#อาทิตย์ 30 ต.ค. 2022ที่ญี่ปุ่นพอถึงฤดูใบไม้ร่วงใบไม้ต่างๆก็จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองหรือแดง เกิดเป็นทิวทัศน์สวยงามน่าประทับใจให้ผู้คนหลั่งไหลไปชมกัน
แต่ละแห่งในญี่ปุ่นก็มีแหล่งดูใบไม้เปลี่ยนสีและช่วงที่เหมาะแก่การดูต่างกันไป สำหรับที่
จังหวัดมิยางิ (宮城県) นั้นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือสถานที่ที่เรียกว่า
หุบเขานารุโกะ (鳴子峡) โดยช่วงปลายเดือนตุลาคมกำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง เหมาะแก่การเที่ยวชมที่สุด
หุบเขานารุโกะนั้นตั้งอยู่ใน
เมืองโอซากิ (大崎市) ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยางิ ที่กลางหุบเขานี้มี
แม่น้ำเอไอ (江合川) ไหลผ่าน เกิดเป็นทิวทัศน์สวยงาม พืชพรรณที่อยู่แถบนี้ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่เปลี่ยนสีสวยงามในฤดูใบไม้ร่วง
เมืองโอซากินั้นที่จริงแล้วเป็นเมืองใหญ่ที่เกิดจากการควบรวมเมืองเล็กๆหลายเมืองเข้าด้วยกันตอนปี 2006 โดยก่อนการควบรวม บริเวณหุบเขานารุโกะนี้ก็เป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง มีชื่อว่า
เมืองนารุโกะ (鳴子町)แผนที่แสดงตำแหน่งเมืองโอซากิในจังหวัดมิยางิ แสดงเป็นสีชมพูเข้ม บริเวณทางตะวันตกสุดของเมืองนี้เป็นพื้นที่ที่เดิมเป็นเมืองนารุโกะ
หุบเขานารุโกะนั้นนอกจากจะมีชื่อเสียงเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีแล้วก็ยังมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งอนเซง (น้ำพุร้อน) ด้วย โดยแหล่งอนเซงในแถบนี้เรียกรวมๆว่า
นารุโกะอนเซงเกียว (鳴子温泉郷) มีอยู่หลายแห่งตามหุบเขาแห่งนี้
นอกจากนี้แล้วที่นี่ก็ยังเป็นแหล่งผลิตตุ๊กตาโคเกชิ (
こけし) ที่สำคัญของญี่ปุ่นด้วย โดยมี
พิพิธภัณฑ์โคเกชิญี่ปุ่น (日本こけし館) ตั้งอยู่ สามารถแวะเข้าชมได้
ฉะนั้นพอพูดถึงหุบเขานารุโกะแล้ว ๓ สิ่งที่ผู้คนจะนึกถึงก็คือ
- ใบไม้เปลี่ยนสี
- อนเซง
- ตุ๊กตาโคเกชิ
บันทึกนี้จะเล่าเรื่องที่ได้ไปเที่ยวที่นี่มา โดยจะเริ่มจากใบไม้เปลี่ยนสีก่อน แล้วจึงไปชมพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาโคเกชิ แล้วก็อนเซง
หุบเขานารุโกะสามารถเดินทางไปได้สะดวกโดยรถไฟ โดยที่นี่เป็นทางผ่านของทางรถไฟสายริกุอุตะวันออก (
陸羽東線) โดยมีอยู่ถึง ๔ สถานีตั้งอยู่ในบริเวณนี้ หากเดินทางจากเซนไดก็อาจนั่งรถไฟสายหลักโทวโฮกุไปต่อรถไฟที่
สถานีโคโงตะ (小牛田駅) ได้ หรือจะนั่งชิงกันเซงไปต่อรถไฟที่
สถานีฟุรุกาวะ (古川駅) ก็ได้เช่นกัน
สถานีหลักที่เป็นศูนย์กลางของที่นี่คือ
สถานีนารุโกะอนเซง (鳴子温泉駅) ส่วนสถานีที่อยู่ใกล้จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิยมที่สุดคือ
สถานีนากายามะไดระอนเซง (中山平温泉駅) แต่ไม่ว่าจะลงที่สถานีไหนก็จำเป็นต้องเดินไกลเพื่อไปถึงเป้าหมาย
สำหรับในการไปครั้งนี้เราไปกับเพื่อนคนญี่ปุ่นรวมกันเป็น ๕ คน จึงเช่ารถขับไปด้วยกัน ทำให้สะดวกกว่ารถไฟมาก ยิ่งช่วงนี้ผู้คนต่างหลั่งไหลกันไปเที่ยวที่นั่นทำให้รถไฟจะแน่นกว่าปกติจนต้องเบียดเสียดคน และอาจไม่มีที่นั่ง
เพียงแต่ว่าขับรถไปเองก็ต้องเจอกับรถติด แล้วก็เรื่องการหาที่จอดรถด้วย แต่โดยรวมแล้วก็ยังสะดวกกว่า
ตอนเช้า เรานัดเจอกันตอน ๗ โมงในเมืองเซนได แล้วเพื่อนก็ขับรถที่เช่ามารับทุกคนเพื่อออกเดินทางไป รถคันที่เช่ามานี้มีสีเขียวสวยเด่นจำง่ายดี
ทิวทัศน์ระหว่างทางเมื่อเข้าสู่เขตนารุโกะ
เริ่มเข้าสู่เขตย่านชุมชน แถวนี้มีทั้งโรงแรมและที่แช่อนเซงอยู่หลายแห่งอยู่ตามทาง เช่นบาบะอนเซง (
馬場温泉) ทีถ่ายรูปได้ตอนขับผ่านพอดี
ขาไปนั้นยังเช้า รถไม่ติดสักเท่าไหร่ จึงผ่านมาได้สบาย แล้วก็มาถึงแถวๆที่หมาย โดยใช้เวลาชั่วโมงกว่า ที่จอดรถก็มีหลายจุดแต่ค่อนข้างแน่น สุดท้ายก็หาที่จอดรถเจอได้ตรงจุดที่อยู่ก่อนถึงจุดชมทิวทัศน์หลักของหุบเขานารุโกะ จากตรงนี้ต้องเดินไปอีกหน่อยแต่ก็ไม่ไกลมาก
จากนั้นก็เดินต่อไปตามทางทางใต้เรื่อยๆ ระหว่างทางยิ่งใกล้ที่หมายก็ยิ่งเห็นรถที่เริ่มจะติดหนักจนเคลื่อนช้า โชคดีแล้วที่เราจอดรถตั้งแต่ไกลๆแล้วค่อยเดินไป
เดินสักพักก็มาถึงปากทางลงไปยังจุดชมทิวทัศน์เล็กๆแห่งหนึ่ง
จากตรงนี้ต้องเดินลงไปนิดหน่อย ไม่ไกล
จากตรงนี้มองเห็นทิวทัศน์ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม
จากนั้นเดินต่อมา เจอทางแยก ซึ่งดูจากแผนที่และป้ายแล้วก็รู้ว่าตรงนี้คือเส้นทางที่เรียกว่า เส้นทางเดินเล่นโอฟุกาซาวะ (
大深沢遊歩道) ซึ่งก็เป็นเส้นทางเดินเล่นชมทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสี เพียงแต่มีป้ายเขียนบอกว่าปลายทางตรงนี้ปิดซ่อมอยู่ ไม่สามารถทะลุไปต่อได้ ถ้าไปแล้วจะต้องเดินย้อนกลับมา ดังนั้นก็เลยตัดสินใจไม่เข้าไปเดินในเส้นทางนี้
จากนั้นเดินต่อไปทางใต้
ก็มาถึงสถานที่ที่เป็นจุดเด่นแห่งหนึ่งของที่นี่ คือสะพานโอฟุกาซาวะ (
大深沢橋) เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงาม จึงมีคนมายืนชมทิวทัศน์และถ่ายรูปกันอย่างแน่นหนา
ทิวทัศน์หุบเขาที่มองจากบนสะพานนี้ ช่างสวยงามสมแล้วที่ผู้คนหลั่งไหลกันมาเดินชม
มองลงไปข้างล่างเห็นคนด้วย ตรงนั้นเป็นจุดชมทิวทัศน์อีกแห่ง ซึ่งเดี๋ยวเราก็จะเดินลงไปเหมือนกัน
มองไปทางโน้นมองเห็นเรสต์เฮาส์หุบเขานารุโกะ (
鳴子峡レストハウス) ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์หลักของที่นี่ และเราก็กำลังจะมุ่งหน้าไปทางนั้น
หลังจากเดินเบียดคนอยู่บนสะพานมาสักพักเราก็เดินผ่านสะพานออกมา
เดินมาอีกหน่อยก็ถึงเรสต์เฮาส์ที่เห็นจากไกลเมื่อกี้
ที่ตรงนี้คับคั่ง มีร้านขายของกินมากมาย
เราและเพื่อนลองซื้อคนเนียกุ (
玉こんにゃく) มาลองกิน เพราะดูแล้วเห็นว่าราคาถูกกว่าอย่างอื่น ไม้นึงมี ๓ ชิ้น ราคา ๑๐๐ เยนเท่านั้น
ทางโน้นเป็นตัวอาคารเรสต์เฮาส์
ซึ่งข้างในเป็นร้านอาหาร แล้วก็ร้านขายของที่ระลึก แต่เราไม่ได้แวะเข้าไปกัน
ที่จริงแล้วความสำคัญของที่นี่จริงๆไม่ใช่เรื่องของกินหรือของที่ระลึก แต่เป็นทิวทัศน์ต่างหาก จะเห็นว่าผู้คนต่างมาเดินถ่ายรูปกันตรงนี้
จากตรงนี้สามารถมองเห็นสะพานโอฟุกาซาวะ ที่ซึ่งเราเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อกี้ได้ ทิวทัศน์จากตรงนี้เป็นอะไรที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงมากที่สุดสำหรับที่นี่
และตรงนี้มีทางให้เดินลงไปยังด้านล่าง
ซึ่งระหว่างทางพอลงไปก็มีจุดที่มองเห็นตัวสะพานได้อยู่เรื่อยๆ ดูสวยงาม
ผู้คนเดินไปเดินมามากมาย จึงต้องเบียดกันไปเรื่อยๆตลอดทาง ต้องเดินระวังหน่อย
จากตรงนี้มองเห็นน้ำตกได้
แล้วก็มาจนถึงสุดทาง
จากตรงนี้ไปต่อไม่ได้แล้ว
ที่ด้านล่างสุดนี้มองขึ้นไปก็จะเห็นสะพาน ซึ่งเมื่อตะกี้เราเป็นฝ่ายมองจากบนสะพานลงมาด้านล่าง ตอนนี้กลับกัน มองจากด้านล่างขึ้นไปด้านบน
หลังจากชมทิวทัศน์อยู่ข้างล่างนั้นสักพักก็ต้องเดินกลับขึ้นไปใหม่ เดินขึ้นเหนื่อยอยู่ แต่ตั้งแต่ตอนเดินลงก็ทำใจไว้แล้วล่ะ
จากนั้นเดินย้อนกลับมายังสะพานโอฟุกาซาวะ
ซึ่งตอนนี้คนแน่นกว่าตอนที่มาซะอีก เรายังได้เจออาจารย์ที่มหาวิทยาลัยซึ่งเรารู้จักโดยบังเอิญด้วย เขาก็มาเที่ยวที่นี่เหมือนกัน ดูเหมือนช่วงนี้คนแถวนี้ใครๆก็พากันมาเที่ยวที่นี่เต็มไปหมดจริงๆ
เดินข้ามสะพานกลับมาย้อนไปตามทางเดิม
แล้วเราก็ไปเดินลุยเส้นทาง โอกุโนะโฮโซมิจิ (おくのほそ
道) ซึ่งปากทางเข้าอยู่ข้างๆเส้นทางเดินเล่นโอฟุกาซาวะที่เราเจอตอนแรกแต่ไม่ได้เข้าไปนั่น
ทิวทัศน์ระหว่างทางตรงนี้ก็สวยงามไม่น้อยเช่นกัน
อันนี้ดูเหมือนจะเป็นระฆังที่เอาไว้ตีไล่หมี
แท็งก์น้ำตั้งอยู่กลางป่า
จากตรงนี้เป็นเส้นทางเดินลง
ข้ามสะพานแคบๆ
เดินอยู่ในเส้นทางนั้นประมาณ ๒๐ นาทีก็มาโผล่สู่ถนน
จากถนนตรงนี้เราสามารถเดินต่อไปเพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์โคเกชิญี่ปุ่นได้ สำหรับเรื่องตรงส่วนนี้จะยกไปเขียนถึงต่อในตอนต่อไป
https://phyblas.hinaboshi.com/20221031