# เสาร์ 17 ก.ย. 2022ต่อจากตอนที่แล้วที่เดินทางมาถึง
สถานีฮนชิโองามะ (本塩釜駅) ใน
เมืองชิโองามะ (塩竈市) แล้วกินข้าวเที่ยง
https://phyblas.hinaboshi.com/20220919ก่อนจะเดินทางกลับก็ตั้งใจจะถือโอกาสแวะไปเที่ยวสถานที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ นั่นคือ
ศาลเจ้าชิโองามะ (鹽竈神社)ชื่อเมืองชิโองามะและชื่อศาลเจ้าชิโองามะนั้นอาจเขียนด้วยอักษรได้หลายแบบ ได้แก่
鹽竈,
鹽竃,
塩竈,
塩釜 ซึ่งไม่ว่าจะเขียนแบบไหนก็อ่านว่า "ชิโองามะ" (しおがま) เหมือนกัน
อักษร
鹽 และ
塩 นั้นต่างก็อ่านว่า "ชิโอะ" (しお) และมีความหมายว่า "เกลือ" เหมือนกันเพียงแต่ว่า
鹽 เป็นการเขียนแบบคันจิแบบเก่า (อักษรจีนตัวเต็ม) ในขณะที่
塩 เป็นการเขียนด้วยอักษรแบบปรับปรุงใหม่ซึ่งนิยมใช้ในปัจจุบัน
ส่วน
竈 (หรืออาจเขียนย่อเป็น
竃 แต่ไม่นิยมใช้) นั้นหมายถึง "เตาอิฐ" ปกติจะอ่านว่า "คามาโดะ" (かまど)
ในขณะที่
釜 นั้นหมายถึง "หม้อ" อ่านว่า "คามะ" (かま) ถือเป็นคันจิคนละตัวและต่างความหมายกับ
竈 (หรือ
竃)
ปกติแล้วจะใช้อักษรตัวไหนเขียนก็ได้ ไม่ถือว่าผิด แล้วแต่ว่าเขาจะใช้แบบไหน แต่ว่าชื่ออย่างเป็นทางการนั้นสำหรับชื่อศาลเจ้าจะเขียนเป็น
鹽竈 ในขณะที่ชื่อเมืองจะเขียนเป็น
塩竈 ส่วนชื่อสถานีรถไฟจะเขียนเป็น
塩釜 เป็นต้น
สรุปแล้วก็คือ เราอาจเห็นการเขียนชื่อต่างไปหลายแบบ แต่ไม่ว่าจะเขียนแบบไหนก็หมายถึงชื่อเมืองและชื่อศาลเจ้าแห่งเดียวกันนี้
สำหรับการเดินทางไปศาลเจ้าชิโองามะนั้น โดยทั่วไปแล้วอาจนั่งรถไฟมาลงสถานีฮนชิโองามะ ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วเดินไปได้
ครั้งนี้เราอยู่ที่สถานีฮนชิโองามะอยู่แล้ว จากตรงนี้ก็แค่เดินไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทางประมาณครึ่งกิโลเมตร
ภาพถ่ายระหว่างเดินจากสถานีฮนชิโองามะไป
ระหว่างทางผ่านศาลเจ้าเล็กๆแห่งหนึ่ง ศาลเจ้าโอกามะ (
御釜神社)
ภายในบริเวณศาลเจ้า ที่นี่มีขนาดเล็กนิดเดียว เดินแวะแค่แป๊บเดียวก็เสร็จ
จากนั้นก็เดินต่อไปอีกนิด
แล้วก็มาถึงปากทางที่จะเข้าไปยังศาลเจ้าชิโองามะ
ต้องปีนขึ้นไปตามทางนี้
ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงด้านบน
เมื่อขึ้นมาถึงก็เจอพิพิธภัณฑ์ศาลเจ้าชิโองามะ (
鹽竈神社博物館)
แต่ว่าการเข้าชมนั้นต้องเสีย ๒๐๐ เยน แล้วข้างในก็ห้ามถ่ายรูปด้วย ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่เข้าไป
เสาโทริอิขนาดใหญ่หน้าทางเดินไปยังตัวศาลเจ้า
เดินขึ้นมาตามทาง
เมื่อขึ้นมาก็เจอกลุ่มคนที่ดูเหมือนว่าจะมาทำการจัดพิธีแต่งงานกันในนี้
ตรงนี้เป็นศาลเจ้าชิวาฮิโกะ (
志波彦神社) เป็นศาลเจ้าเล็กๆอีกแห่งที่ถูกสร้างขึ้นด้านในบริเวณของศาลเจ้าชิโองามะ แต่ถือเป็นคนละศาลเจ้ากัน
เริ่มจากเข้าไปชมในศาลเจ้าชิวาฮิโกะก่อน
ตรงนี้มีแผนที่อยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นกลุ่มอาคารหลักของศาลเจ้าชิโองามะที่อยู่ทางมุมบนซ้าย ส่วนบริเวณเล็กๆที่อยู่ทางขวาคือศาลเจ้าชิวาฮิโกะที่เพิ่งแวะเข้าไปชมมา
ตรงนี้มีภาพเสือน่ารักดี
ต่อไปก็เดินขึั้นไปชมส่วนกลุ่มอาคารหลักของศาลเจ้าชิโองามะ
ภายในบริเวณนี้กว้างใหญ่และสวยงามมากทีเดียว
ร้านขายเครื่องรางปัดเป่าโรคร้าย
ต้นไม้ต้นใหญ่ตั้งเด่นสง่า
วัวที่ให้ลูบเพื่อนำโชค
อาคารตรงนี้ใช้เป็นที่จัดงานแต่งงาน
ระหว่างที่กำลังเดินชมอยู่ก็พบว่ากลุ่มจัดพิธีแต่งงานเดินมาตรงนี้พอดี และได้เห็นเดินเข้าไปข้างในนั้น
การชมภายในบริเวณด้านบนกลุ่มอาคารหลักของศาลเจ้าก็จบลงแค่นี้ แต่ในบริเวณรอบๆศาลเจ้านี้ยังเป็นสวนสวยๆให้เดินชมได้
ลองมองลงไปก็เห็นตัวเมืองที่อยู่ด้านล่างและชายฝั่งทะเลด้วย
ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของนกต่างๆมากมาย
ตรงนี้เป็นกลุ่มอาคารสำนักงาน ไม่ได้เปิดให้เข้าชม แต่เดินดูรอบๆแล้วสวยงามมาก
ตรงนี้มีที่จอดรถสำหรับผู้เข้าชมศาลเจ้า แต่ทางขึ้นของรถนั้นอยู่คนละฝั่งกับที่เราเดินขึ้นมา
จากนั้นก็เดินลงไปออกจากบริเวณศาลเจ้า โดยผ่านคนละเส้นทางกับที่เดินขึ้นมา
จากก็เดินลงมาทางใต้ ขึ้นมาทางนี้
ก็เจอ
หอศิลป์สึงิมุระ จุงเมืองชิโองามะ (塩竈市杉村惇美術館) เห็นว่าอยู่ใกล้ๆกันก็เลยลองแวะมาชมดูนิดหน่อย
ภายในนี้ไม่มีอะไรมาก ส่วนจัดแสดงหลักมีค่าเข้าชม จึงไม่ได้แวะเข้าไป เลยเดินชมเฉพาะส่วนนอกจากตรงนั้น
หลังจากนั้นก็ได้เวลาเดินทางกลับ โดยขากลับนั้นไม่ได้กลับจากสถานีฮนชิโองามะที่เรามาถึงตอนแรก แต่เดินไปขึ้นที่
สถานีชิโองามะ (塩釜駅) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ และอยู่บน
สายหลักโทวโฮกุ (東北本線) คนละสายกับสถานีฮนชิโองามะที่อยู่บนสายเซนเซกิ (
仙石線) ซึ่งเราใช้เดินทางตอนขามา สายนี้มีสถานีถี่น้อยกว่าสายเซนเซกิ จึงเดินทางได้เร็วกว่าเมื่อเทียบกับตอนขามา
ระหว่างทางเดินไปสถานี ผ่านสุสาน
เส้นทางเป็นย่านชุมชนบนทางลาด
แล้วในที่สุดก็เดินทางมาถึงสถานีชิโองามะ
ตอนที่มาถึงนั้นได้เวลารถไฟรอบ 14:34 พอดี จึงรึบขึ้นรถไฟเพื่อกลับ ค่ารถไฟจากสถานีนี้ไปยังสถานีเซนไดเป็น ๒๔๒ เยน
จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับถึงเซนได การเที่ยวครั้งนี้ก็จบลงเท่านี้