φυβλαςのβλογ
phyblasのブログ



ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
เขียนเมื่อ 2022/01/31 15:58
แก้ไขล่าสุด 2023/04/26 20:44
 



อักษรไทยที่เราใช้เขียนหนังสือกันอยู่ทุกวันนี้เป็นอักษรชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก อักษรพราหมี (𑀩𑁆𑀭𑀸𑀳𑁆𑀫𑀻 𑀮𑀺𑀧𑀺) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอักษรอีกหลายชนิดที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ

บทความนี้จะแนะนำถึงที่มาของอักษรไทยแต่ละตัวโดยสืบรากลงไปถึงอักษรพราหมี และเปรียบเทียบกับอักษรอื่นที่พัฒนามาจากรากเดียวกันด้วย

บทความนี้จะแสดงอักษรพราหมีด้วย แต่หากไม่มีฟอนต์อยู่ในเครื่องก็จะแสดงผลไม่ได้แล้วเห็นเป็นสี่เหลี่ยมไป ดังนั้นเพื่อให้เห็นอักษรได้ ขอแนะนำให้โหลดฟอนต์ Segoe UI Historic ได้ที่ลิงก์นี้




อักษรตระกูลพราหมีมีอะไรบ้าง

"ตระกูลอักษรพราหมี" นั้นเป็นชื่อเรียกรวมๆของอักษรที่พัฒนามาจากอักษรพราหมี

อักษรพราหมีนั้นคาดว่ามีต้นกำเนิดในช่วงประมาณ 600 ปีก่อน ค.ศ. โดยเดิมทีใช้เขียนภาษาสันสกฤตและอีกหลายภาษาที่ใช้ในเอเชียใต้ในสมัยก่อน แล้วจึงพัฒนาแตกแขนงออกมาเป็นอักษรต่างๆอีกมากมายซึ่งถูกใช้แพร่หลายทั้งในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรวมถึงในจีนด้วย

ต่อไปจะขอแสดงตารางแสดงตัวอย่างอักษรที่พัฒนามาจากอักษรพราหมีว่ามีอะไรบ้าง พร้อมแสดงตัวอย่างอักษรที่ใช้เขียนชื่ออักษรนั้นเอง

อนึ่ง การจะเห็นอักษรได้จำเป็นต้องมีฟอนต์ของอักษรชนิดนั้นลงไว้อยู่ในเครื่อง จึงอาจทำให้ไม่เห็นบางส่วน หากต้องการเห็นอักษรที่ขาดไปให้ไปโหลดฟอนต์จากหน้านี้ที่รวมฟอนต์อักษรตระกูลพราหมีไว้ได้

ในที่นี้จะไม่อธิบายรายละเอียดของภาษาต่างที่ยกมา แต่ทำเป็นลิงก์หน้าวิกิพีเดียไว้ที่ชื่ออักษรชนิดนั้นให้คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติมได้

อักษร ประเทศ
พราหมี
𑀩𑁆𑀭𑀸𑀳𑁆𑀫𑀻 𑀮𑀺𑀧𑀺
คุปตะ สิทธัม
𑖭𑖰𑖟𑖿𑖠𑖽
เทวนาครี
देवनागरी
อินเดีย
เนปาล
ปรัจลิตเนปาล
𑐥𑑂𑐬𑐔𑐮𑐶𑐟 𑐣𑐾𑐥𑐵𑐮
อินเดีย
เนปาล
เบงกอล
বাংলা লিপি
บังกลาเทศ
อินเดีย
ติรหุตา (ไมถิลี)
𑒞𑒱𑒩𑒯𑒳𑒞𑒰‎‎
อินเดีย
เนปาล
สิเลฏินาครี
ꠍꠤꠟꠐꠤ ꠘꠣꠉꠞꠤ
บังกลาเทศ
โอริยา
ଓଡ଼ିଆ ଲିପି
อินเดีย
คุชราต
ગુજરાતી લિપિ
อินเดีย
ไกถี
𑂍𑂶𑂟𑂲
อินเดีย
โมฑี
𑘦𑘻𑘚𑘲‎
อินเดีย
คุนชลาโคนฑี
𑵶𑶍𑶕𑶀𑵵𑶊 𑵶𑶓𑶕𑶂𑶋‎
อินเดีย
สวยัมภู
𑪁𑩖𑩻𑩖𑪌𑩰𑩖 𑩰𑩑𑩢𑩑𑪊‎
จีน
มองโกเลีย
ศารทา
𑆯𑆳𑆫𑆢𑆳
คุรมุขี
ਗੁਰਮੁਖੀ
อินเดีย
ขุทาพาที
𑊻𑋩𑋣𑋏𑋠𑋔𑋠𑋏𑋢
อินเดีย
ฏากรี
𑚔𑚭𑚊𑚤𑚯
อินเดีย
โฑครี
𑠖𑠵𑠌𑠤𑠬
อินเดีย
มหาชนี
𑅬𑅱𑅐𑅛𑅧𑅑
อินเดีย
โขชกี
𑈉𑈲𑈐𑈈𑈮
อินเดีย
ปากีสถาน
มุลตานี
𑊠𑊂𑊣𑊖𑊀𑊚𑊁
ปากีสถาน
อักษรไภกษุกี
𑰥𑰹𑰎𑰿𑰬𑰲𑰎𑰱
อินเดีย
ทิเบต ทิเบต
བོད་སྐད་
จีน
ภูฏาน
พักปา

ꡏꡡꡃ ꡣꡡꡙ ꡐꡜꡞ
จีน
มองโกเลีย
ชญานวัชระ
𑨢𑨆𑨏𑨳𑨋𑨆𑨬𑨳
จีน
มองโกเลีย
มาร์เชน
𑲁𑲊𑱷‎𑲳𑱽
จีน
เลปชา
ᰛᰩᰵ་
อินเดีย
ลิมบู
ᤕᤰᤌᤢᤱ ᤐᤠᤴ་
เนปาล
อินเดีย
มณีปุระ
ꯃꯤꯇꯩ ꯃꯌꯦꯛ
อินเดีย
กทัมพะ

ปัลลวะ
กันนาดา
ಕನ್ನಡ ಅಕ್ಷರಮಾಲೆ
อินเดีย
เตลูกู
తెలుగు లిపి
อินเดีย
ครันถะ
𑌗𑍍𑌰𑌨𑍍𑌥
เสาราษฏร์
ꢱꣃꢬꢵꢰ꣄ꢜ꣄ꢬ
อินเดีย
มลยาฬัม
മലയാളലിപി
อินเดีย
ดิเวส อกุรุ มัลดีฟส์
สิงหล
සිංහල හෝඩි
ศรีลังกา
ทมิฬ
தமிழ் அரிச்சுவடி
อินเดีย
ศรีลังกา
สิงคโปร์
จาม
ꨀꨇꩉ ꨌꩌ
เวียดนาม
มอญ
မန်
พม่า
မြန်မာအက္ခရာ
พม่า
ไทลื้อ
ᦟᦲᧅᦷᦎᦑᦺᦟᦹᧉ
จีน
ไทใต้คง
ᥖᥭᥰᥘᥫᥴ
จีน
ไทอาหม
𑜒𑜑𑜪𑜨
อินเดีย
จักมา
𑄌𑄋𑄴𑄟𑄳𑄦 𑄃𑄧𑄏𑄛𑄖𑄴
อินเดีย
ล้านนา
ᩋᨠ᩠ᨡᩁ. ᨵᩢᨾ᩠ᨾ᩺ᩃ᩶ᩣ᩠ᨶᨶᩣ
ไทย
เขมร เขมร
អក្សរខ្មែរ
กัมพูชา
ไทย
อักษรไทย
ไทย
ไทเวียด
ꪎꪳ ꪼꪕ
เวียดนาม
ไทย
ลาว
ອັກສອນລາວ
ลาว
กวิ ไบบายิน
ᜊᜌ᜔ᜊᜌᜒᜈ᜔
ฟิลิปปินส์
ฮานูโนโอ
ᜱᜨᜳᜨᜳᜢ
ฟิลิปปินส์
บูฮิด
ᝊᝓᝑᝒ
ฟิลิปปินส์
ตักบันวา
ᝦᝪᝯ
ฟิลิปปินส์
ชวา
ꦲꦏ꧀ꦱꦫꦗꦮ
อินโดนีเซีย
บาหลี
ᬅᬓ᭄ᬱᬭᬩᬮᬶ
อินโดนีเซีย
ซุนดา
ᮃᮊ᮪ᮞᮛ ᮞᮥᮔ᮪ᮓ
อินโดนีเซีย
บาตัก
ᯘᯮᯒᯖ᯲ ᯅᯖᯂ᯲
อินโดนีเซีย
ลนตารา
ᨒᨚᨈᨑ
อินโดนีเซีย
มากัซซาร์
𑻪𑻢𑻪𑻢
อินโดนีเซีย
เรอจัง
ꥆꤰ꥓ꤼꤽ ꤽꥍꤺꥏ
อินโดนีเซีย
มาเลเซีย
อักษรขโรษฐี
𐨑𐨪𐨆𐨯𐨠𐨁

แม้ว่าอักษรพราหมีนั้นปัจจุบันจะไม่ได้ถูกใช้แล้ว แต่ก็ได้พัฒนาแตกย่อยไปเป็นอักษรต่างๆมากมายซึ่งมีความสำคัญและถูกใช้อย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบันดังที่เห็น

อักษรที่พัฒนามาจากอักษรพราหมีนั้นอาจแบ่งย่อยได้อีกหลายกลุ่มมากมาย ซึ่งแบ่งหลักๆได้เป็นฝั่งเหนือซึ่งพัฒนาต่อมาจากอักษรคุปตะ และฝั่งใต้ซึ่งพัฒนามาจากอักษรกทัมพะและอักษรปัลลวะ

อักษรของภาษาที่ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงอักษรของภาษาในศรีลังกาและตอนใต้ของอินเดียนั้น ล้วนพัฒนามาจากอักษรปัลลวะ ซึ่งเริ่มพัฒนาขึ้นมาในประมาณช่วงศตวรรษที่ 4 ที่อินเดียตอนใต้ แล้วจึงแพร่ขยายเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วพัฒนาต่อไปเป็นอักษรอื่นๆเช่น อักษรเขมร, อักษรมอญ, อักษรกวิ เป็นต้น ก่อนพัฒนาต่อๆไปอีก

อักษรไทยและอักษรลาวก็พัฒนามาจากอักษรเขมร หรือถ้าจะเขียนอธิบายให้ละเอียดจริงๆก็คือ อักษรไทยปัจจุบันนั้นพัฒนามาจากอักษรไทยสมัยสุโขทัย ซึ่งก็พัฒนามาจากอักษรเขมรอีกที แต่เป็นอักษรเขมรสมัยยุคนั้น ซึ่งก็ต่างจากอักษรเขมรปัจจุบันเล็กน้อย

 อักษรปัลลวะ
   ↓
อักษรเขมรโบราณ → อักษรเขมรปัจจุบัน
   ↓
อักษรไทยสุโขทัย → อักษรไทยปัจจุบัน

อักษรที่พัฒนามาจากอักษรปัลลวะนั้นได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สำคัญเป็นพิเศษก็คือ อักษรไทย, อักษรลาว, อักษรเขมร, อักษรพม่า ทั้ง ๔ อักษรนีมีสถานะที่ถือว่าค่อนข้างพิเศษ คือเป็นอักษรที่ใช้อยู่ในภาษาราชการในประเทศของประเทศนั้นๆที่เดียว จึงเรียกได้ว่าแต่ละอักษรนั้นเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ประเทศที่มีแบบนี้ จึงถือเป็นเรื่องน่าภูมิใจอย่างหนึ่ง

นอกจากนี้แล้ว ภาษาจามที่ใช้ในหมู่ชาวจามซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในเวียดนามก็มีการใช้อักษรจาม แต่ปัจจุบันชาวจามมีจำนวนน้อยและยิ่งน้อยคนที่จะรู้อักษรนี้

ส่วนในฟิลิปปินส์ก็มีการใช้อักษรไบบายินในภาษาตากาล็อก ซึ่งเป็นภาษาราชการของฟิลิปปินส์ แต่ปัจจุบันทางฟิลิปปินต์เลิกใช้อักษรไบบายินแล้ว หันมาใช้อักษรโรมันแทน

ส่วนทางอินโดนีเซียก็มีหลายภาษา เช่น ภาษาชวา, ภาษาซุนดา, ภาษาบาหลี ซึ่งก็ล้วนเคยมีอักษรใช้เป็นของตัวเองโดยพัฒนามาจากอักษรกวิทั้งสิ้น แต่ก็ได้เลิกใช้ไป หันไปใช้อักษรโรมันแทนทั้งหมด เนื่องจากอิทธิพลของชาติตะวันตก ดังนั้นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังใช้อักษรเป็นของตัวเองจนถึงทุกวันนี้จึงมีเพียง ๔ ประเทศ ๔ ภาษา ๔ อักษร ดังที่กล่าวมา

อักษรเรอจัง ซึ่งเป็นอักษรอีกชนิดที่พัฒนามาจากอักษรกวินั้นก็เคยถูกใช้ในหลายภาษาแถวอินโดนีเซียและมาเลเซีย รวมถึงภาษามลายูด้วย แม้จะไม่เป็นที่แพร่หลายแล้วก็ถูกแทนที่ด้วยอักษรโรมันทั้งหมด

ในขณะเดียวกันอักษรส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศในเอเชียใต้ในปัจจุบันนี้ รวมถึงอักษรทิเบตนั้นก็พัฒนาผ่านมาจากทางอักษรคุปตะและอักษรกทัมพะ ซึ่งก็พัฒนามาจากอักษรพราหมีไปอีกทาง ในจำนวนนั้นที่สำคัญและใช้กว้างขวางที่สุดคืออักษรเทวนาครี (देवनागरी)

นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ซึ่งจะขอละไว้ ในที่นี้จะเน้นไปที่ความเกี่ยวข้องกับอักษรไทยเป็นหลัก



อักษรต่างๆในกลุ่มตระกูลอักษรพราหมีนั้นหากสืบรากย้อนไปแล้วจะมีที่มาที่เทียบเคียงเป็นอักษรตัวเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม แต่ละภาษานั้นต่างก็มีทั้งเสียงอ่านหรือไวยากรณ์ในแบบของตัวเองซึ่งไม่ได้เกี่ยวพันกับภาษาในกลุ่มอินเดีย ดังนั้นเมื่อสร้างเป็นอักษรของตัวเองขึ้นมา ก็มีการเพิ่มอักษรขึ้นมาใหม่ หรือตัดบางตัวที่ไม่ใช้ออก

อักษรไทยก็เป็นอักษรหนึ่งในกลุ่มนี้ ซึ่งมีทั้งอักษรที่เทียบเคียงได้กับอักษรอื่นๆในกลุ่มอักษรพราหมีได้โดยตรง และมีส่วนหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา

โดยพื้นฐานอักษรพราหมีที่กลายมาเป็นอักษรพยัญชนะของอักษรต่างๆในกลุ่มนี้นั้นมีทั้งหมด ๓๕ ตัว ซึ่งภาษาไทยก็รับมาใช้ทั้งหมด และยังสร้างเพิ่มอีก ๙ ตัว จึงเป็น ๔๔ ตัวดังที่รู้จักในปัจจุบัน




อักษรไทย ๓๕ ตัวที่มีรากจากอักษรพราหมีโดยตรง

อักษรไทยที่สืบทอดมาจากอักษรพราหมี ๓๕ ตัวนั้นอาจจัดเป็นกลุ่มแล้วแสดงเป็นตารางได้ดังนี้

  อักษรกลาง อักษรสูง อักษรต่ำคู่ อักษรต่ำคู่
อีกตัว
อักษรต่ำเดี่ยว
วรรค กะ
วรรค จะ
วรรค ฏะ
วรรค ตะ
วรรค ปะ
เศษวรรค
อักษรต่ำเดี่ยว
อักษรสูง
ที่เหลือ

อีก ๙ ตัวที่ไม่ได้อยู่ในนี้คือ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ ฮ นั้นถูกเสริมเข้ามาภายหลัง ซึ่งรายละเอียดตรงนี้เดี๋ยวจะค่อยกล่าวถึงอีกที ก่อนอื่นมาเริ่มทำความเข้าใจจากอักษร ๓๕ ตัวนี้กันก่อน

อักษร ๓๕ ตัวนี้จะแบ่งเป็น ๒๕ ตัวที่อยู่ใน ๕ วรรคหลัก วรรคละ ๕ ตัว มี ๕ วรรค จึงรวมเป็น ๒๕ ตัว และนอกจากนั้นอีก ๑๐ ตัวเรียกว่า "เศษวรรค"

อักษรใน ๕ วรรคหลักนั้นถูกจัดเรียงแบ่งอย่างเป็นระบบดังที่เห็น ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอักษรแต่ละตัวกันอย่างดี การแบ่งกลุ่มอักษรในภาษาไทยนั้นก็มีที่มาจากการเรียงวรรคแบบนี้นั่นเอง โดยใน ๕ ตัวของแต่ละวรรคนั้นจะแบ่งได้เป็น
  • อักษรกลาง
  • อักษรสูง
  • อักษรต่ำคู่
  • อักษรต่ำคู่ (อีกตัว)
  • อักษรต่ำเดี่ยว
ส่วนของเศษวรรคนั้นมี ๑๐ ตัว ซึ่งไม่ได้มีความเป็นระบบเท่า ๒๕ ตัวใน ๕ วรรคหลัก แต่ก็จะเห็นได้ชัดว่าแบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม คือมีอักษรต่ำเดี่ยวอีก ๔ ตัวคือ ยรลว และอักษรสูง ๔ ตัวคือ ศษสห ส่วนที่เหลืออีก ๒ ตัวคือ ฬ อ นั้นเป็นส่วนที่ถูกใส่เพิ่มเติมมา

โดย นั้นไม่มีในภาษาสันสกฤต แต่ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อใช้เขียนในบางภาษาเช่นภาษาบาลี

ส่วน นั้นจริงๆแล้วในภาษาพราหมีเดิมถือเป็นสระ ไม่ใช่พยัญชนะ แต่ในอักษรไทยและอีกหลายภาษาเช่น ลาว, เขมร, พม่า, ทิเบต ได้รวม เป็นพยัญชนะด้วย โดยวางไว้ในลำดับท้ายสุด ดังนั้นในที่นี้จะถือว่า ในอักษรพราหมีเป็นพยัญชนะไปด้วย




เทียบกับอักษรพราหมี ๓๕ ตัว

หลังจากที่รู้จักว่าอักษรไทย ๓๕ ตัวที่มีรากมาจากอักษรพราหมีนั้นมีอะไรบ้าง ต่อไปก็มาดูกันว่าที่มาของแต่ละอักษรนั้นเป็นอักษรแบบไหน

ตารางแสดงพยัญชนะในอักษรพราหมีนั้นเขียนได้ดังนี้ (หากใครไม่มีฟอนต์ให้ดูเป็นภาพได้ที่ลิงก์นี้)

  เสียงกัก
ไม่ก้อง
ไม่ปล่อยลม
เสียงกัก
ไม่ก้อง
ปล่อยลม
เสียงกัก
ก้อง
ไม่ปล่อยลม
เสียงกัก
ก้อง
ปล่อยลม
เสียงออกจมูก
เพดานอ่อน 𑀓
𑀔
𑀕
𑀖
𑀗
เพดานแข็ง 𑀘
𑀙
𑀚
𑀛
𑀜
ปลายลิ้นม้วน 𑀝
𑀞
𑀟
𑀠
𑀡
ปุ่มเหงือก 𑀢
𑀣
𑀤
𑀥
𑀦
ริมฝีปาก 𑀧
𑀨
𑀩
𑀪
𑀫
เศษวรรค
เสียงเปิด 𑀬
𑀭
𑀮
𑀯
เสียงกัก
เสียดแทรก
𑀰
𑀱
𑀲
𑀳
ที่เหลือ 𑀴
𑀅

ในที่นี้ด้านล่างได้ใส่อักษรไทยที่เทียบเท่าไว้ด้วยเพื่อเปรียบเทียบด้วย โดยอักษรที่เขียนเป็นสีเขียวนั้นคืออักษรที่ไทยนำมาใช้แล้วเสียงอ่านต่างไปจากเดิม

อักษรพราหมีนั้นเดิมถูกใช้เขียนภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี ซึ่งเป็นที่มาของคำศัพท์ที่ใช้ในภาษาไทยมากมาย ดังนั้นอักษรไทยจึงถูกสร้างขึ้นโดยยืนพื้นจากอักษรพราหมี แต่ก็ไม่ได้รักษาเสียงอ่านเดิมไว้ได้ทั้งหมด

จากตารางจะเห็นได้ว่า ๕ วรรคหลักนั้นเรียกชื่อตามฐานเวลาออกเสียงอักษรกลุ่มนั้น ได้แก่
  • เพดานอ่อน → วรรคกะ ก ข ค ฆ ง
  • เพดานแข็ง → วรรคจะ จ ฉ ช ฌ ญ
  • ปลายลิ้นม้วน → วรรคฏะ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • ปุ่มเหงือก → วรรคตะ ต ถ ท ธ น
  • ริมฝีปาก → วรรคปะ ป ผ พ ภ ม
เพียงแต่ว่าวรรคฏะ ซึ่งเป็นเสียงที่มาจากฐานปลายลิ้นม้วนนั้นไม่มีในภาษาไทย จึงไปออกเสียงตรงกับตัวที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันในวรรคตะ ซึ่งเป็นเสียงจากฐานปุ่มเหงือก ซึ่งมีในภาษาไทยและภาษาอื่นๆส่วนใหญ่ในโลก

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ภาษาไทยมีอักษรที่ออกเสียงซ้ำกันเป็นคู่ๆเกิดขึ้นตามนี้

ฏ → ต
ฐ → ถ
ฑ → ท
ฒ → ธ
(ซึ่งยังไปซ้ำกับ อีกที)
ณ → น


ส่วนการแบ่งเป็น ๕ กลุ่มตามแนวนอนจะได้ว่า
  • เสียงกักไม่ก้องไม่ปล่อยลม → อักษรกลาง ก จ ฏ ต ป
  • เสียงกักไม่ก้องปล่อยลม → อักษรสูง ข ฉ ฐ ถ ผ
  • เสียงกักก้องไม่ปล่อยลม → อักษรต่ำคู่ ค ช ฑ ท พ
  • เสียงกักก้องปล่อยลม → อักษรต่ำคู่ (อีกตัว) ฆ ฌ ฒ ธ ภ
  • เสียงออกจมูก → อักษรต่ำเดี่ยว ง ญ ณ น ม

โดยกลุ่มที่ ๑, ๒, ๕ คือ เสียงกักไม่ก้องไม่ปล่อยลม, เสียงกักไม่ก้องปล่อยลม, เสียงออกจมูกนั้นนำมาใช้ในภาษาไทยแล้วก็ออกเสียงตามนั้นเลยโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก จึงง่ายในการทำความเข้าใจรากศัพท์

แต่ที่จะมีปัญหาก็คือกลุ่มเสียงกักก้อง (ทั้งปล่อยลมและไม่ปล่อยลม) ซึ่งเดิมทีไม่มีเสียงนี้ในภาษาไทย พอนำมาใช้ในอักษรไทยจึงกลายเป็นอักษรต่ำคู่ ซึ่งเสียงจะไปซ้ำซ้อนกับ ข ฉ ฐ ถ ผ ซึ่งเป็นเสียงกักไม่ก้องปล่อยลม แต่ไปต่างกันที่การผันวรรณยุกต์เท่านั้น ตามหลักของภาษาไทย

และนี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดอักษรเสียงซ้ำขึ้นมา

ส่วน 𑀬 (ย) 𑀭 (ร) 𑀮 (ล) 𑀯 (ว) นั้นถูกนำมาใช้อ่านตามเสียงอ่านที่ใกล้เคียงเสียงเดิมโดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงเข้าใจได้ง่ายๆ

𑀲 (ส) กับ 𑀳 (ห) ก็เช่นกัน อ่านออกเสียงตรงกับในภาษาไทย

แต่ 𑀰 (ศ) กับ 𑀱 (ษ) นั้นแทนเสียงเสียดแทรกหลังปุ่มเหงือกไม่ก้อง /ʃ/ และ เสียงเสียดแทรกลิ้นม้วนไม่ก้อง /ʂ/ ซึ่งไม่มีในภาษาไทย แต่ใกล้เคียงกับ ดังนั้นแม้ในภาษาไทยจะถูกนำมาเขียนแยกเป็นอักษร กับ แต่ก็จะถูกอ่านเหมือนกับ กับ

ส่วน 𑀴 (ฬ) นั้นถูกใช้ในภาษาบาลี โดยจะออกเสียงใกล้เคียงกับ 𑀮 (ล) แต่จะเป็นเสียงกระดกม้วนลิ้น ซึ่งถือเป็นคนละหน่วยเสียงกัน แต่พอนำมาใช้ในภาษาไทยก็ไม่สามารถแยกแยะเสียงนั้นได้ จึงถูกอ่านเป็น ไปด้วย

นอกจากนี้ 𑀜 (ญ) นั้นเดิมทีออกเสียงเป็นเสียงนาสิกเพดานแข็ง /ɲ/ ต่างจาก แต่ในภาษาไทยกลางปัจจุบันเสียง กลายเป็น ไปแล้ว จึงเป็นที่มาของอักษรเสียงซ้ำอีกคู่

จะเห็นว่าการเข้าใจรากที่มาของอักษรทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมในภาษาไทยถึงต้องมีอักษรเสียงซ้ำกันเยอะ

นั่นก็เพราะจริงๆแล้วพวกนี้เป็นคนละเสียงกันในภาษาที่ถูกเขียนด้วยอักษรพราหมีมาก่อนเช่นภาษาสันสกฤตและบาลีนั่นเอง และจะเห็นได้ว่าอักษรเสียงซ้ำเหล่านี้ ได้แก่ ฆ ฌ ญ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ศ ษ ฬ ก็ถูกใช้เพื่อเขียนคำศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤตและบาลีเป็นหลัก

ส่วน ค ช ท พ นั้นเป็นอักษรต่ำคู่ ซึ่งเสียงไปซ้ำกับอักษรสูง ข ฉ ถ ผ แต่ก็ต้องใช้ร่วมกันไปเพื่อการผันวรรณยุกต์

หากนับเฉพาะอักษรที่ถูกนำมาอ่านตามเสียงเดิม (ซึ่งเขียนเป็นอักษรสีดำในตารางด้านบน) ได้แก่ ก ข ง จ ฉ ต ถ น ป ผ ม ย ร ล ว ส ห อ จะเห็นว่าทุกตัวเป็นคนละหน่วยเสียงกันทั้งหมด และล้วนถูกใช้บ่อยทั้งในคำที่มาจากภาษาสันสกฤตและบาลีหรือคำไทยแท้ด้วย




เทียบโยงไปถึงอักษรฟินิเชีย ๒๑ ตัว

อักษรพราหมีนั้นเชื่อว่ามีรากฐานซึ่งอาจโยงไปได้ถึงอักษรฟินิเชีย (Phoenicia) ซึ่งเป็นอักษรโบราณที่เป็นรากของภาษาเกือบทั้งหมดบนโลกนี้ รวมถึงอักษรกรีกและอักษรโรมันที่ใช้ในยุโรปด้วย

อักษรฟินิเชียมีทั้งหมด ๒๒ ตัว และในจำนวนนั้น ๒๑ ตัวคาดว่าเป็นที่มาของอักษรพราหมี โดยพัฒนาผ่านมาจากทางอักษรอารามอีกที

ภาพแสดงวิวัฒนาการของตัวอักษร ตั้งแต่อักษรฟินิเชียมาเป็นอักษรอักษรอารามแล้วจึงมาเป็นอักษรพราหมี ซึ่งถูกพัฒนาต่อมาเป็นอักษรปัลลวะ แล้วมาเป็นอักษรเขมร จนในที่สุดกลายมาเป็นอักษรไทย



อักษรไทยที่มีรากโยงไปถึงอักษรฟินิเชียได้แก่ ก ข ค ฆ ช ต ถ ธ น ป พ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห อ

อย่างไรก็ตาม อักษรพราหมีนั้นมีจำนวนมากกว่าอักษรฟินิเชียมาก และยังมีการแยกพยัญชนะและสระด้วย จึงมีอักษรหลายตัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอักษรฟินิเชียโดยตรง

ดังนั้นอักษร ง จ ฉ ฌ ญ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ท ผ ภ ฬ นั้นแม้จะมีรากมาจากอักษรพราหมีแต่ก็ไม่ได้เชื่อมโยงไปถึงอักษรฟินิเชีย




เทียบกับอักษรเทวนาครี ๓๕ ตัว

อักษรพราหมีนั้นในปัจจุบันไม่ได้ถูกใช้แล้ว แต่ภาษาที่เคยถูกเขียนด้วยอักษรพราหมี เช่นภาษาสันสกฤตและภาษาบาลีนั้นปัจจุบันนิยมเขียนด้วยอักษรเทวนาครี ซึ่งอักษรเทวนาครีนี้ยังได้ถูกนำมาใช้เขียนอีกหลายภาษาในเอเชียใต้ เช่น ภาษาฮินดี, ภาษาเนปาล, ภาษามราฐี, ภาษากัศมีร์ เป็นต้น

ดังนั้นปัจจุบันนี้ให้จำอักษรเทวนาครีจะใช้งานได้กว้างขวางกว่าอักษรพราหมีที่เลิกใช้ไปแล้ว ซึ่งอักษรเทวนาครีเองก็เทียบเคียงกับอักษรพราหมีได้โดยตรงทั้งหมดทุกตัว

หากเขียนตารางเดิมโดยเปลี่ยนจากอักษรพราหมีเป็นอักษาเทวนาครีจะได้เป็นแบบนี้

  เสียงกัก
ไม่ก้อง
ไม่ปล่อยลม
เสียงกัก
ไม่ก้อง
ปล่อยลม
เสียงกัก
ก้อง
ไม่ปล่อยลม
เสียงกัก
ก้อง
ปล่อยลม
เสียงออกจมูก
เพดานอ่อน
เพดานแข็ง
ปลายลิ้นม้วน
ปุ่มเหงือก
ริมฝีปาก
เศษวรรค
เสียงเปิด
เสียงกัก
เสียดแทรก
ที่เหลือ


อักษรเทวนาครีเองก็มีการสร้างเพิ่มเติมเพื่อใช้กับภาษาต่างๆด้วย ซึ่งในที่นี้จะไม่พูดถึง แต่โดยรวมแล้วมี ๓๕ ตัวนี้ที่มีรากมาจากอักษรพราหมีโดยตรงเช่นเดียวกับภาษาไทย

หากอ่านอักษรเทวนาครีได้ก็จะทำให้เราสามารถอ่านภาษาสันสกฤตและบาลี และยังรวมไปถึงภาษาฮินดีซึ่งเป็นภาษากลางที่ใช้กว้างขวางที่สุดในอินเดีย รวมถึงภาษาเนปาลที่ใช้ในประเทศเนปาล ดังนั้นในที่นี้จึงได้ถือโอกาสแนะนำอักษรเทวนาครี โดยให้จำแทนอักษรพราหมีได้เลย




อักษรเพิ่มเติมในภาษาไทย

หลังจากที่แนะนำอักษรไทย ๓๕ ตัวที่มีที่มาจากอักษรพราหมีโดยตรงแล้ว ต่อไปก็ได้เวลามารู้จักกับอักษรอีก ๙ ตัวที่ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อใช้ในภาษาไทยโดยเฉพาะ นั่นคือ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ ฮ

อักษร ๙ ตัวนั้นถูกแทรกเข้ามาในตำแหน่งต่างๆกันไป โดยหากนำตารางที่เดิมเขียน ๓๕ อักษรนั้นมาเขียนใหม่โดยเติม ๙ อักษรใหม่เข้าไปจะได้แบบนี้

  เสริม
อักษร
กลาง
อักษร
กลาง
อักษร
สูง
เสริม
อักษร
สูง
อักษร
ต่ำคู่
เสริม
อักษร
ต่ำคู่
อักษร
ต่ำคู่
อีกตัว
อักษร
ต่ำเดี่ยว
วรรค กะ  
วรรค จะ    
วรรค ฏะ    
วรรค ตะ    
วรรค ปะ
เศษวรรค
อักษรต่ำเดี่ยว
อักษรสูง
ที่เหลือ

ในที่นี้อักษรที่เพิ่มเข้ามาถูกเขียนด้วยสีชมพูเข้ม ซึ่งพอจะแบ่งเป็น ๓ กลุ่มได้ดังที่เห็นนี้
  • เสริมอักษรกลาง: ฎ ด บ
  • เสริมอักษรสูง: ฃ ฝ
  • เสริมอักษรต่ำคู่: ฅ ซ ฟ ฮ
แต่ละตัวที่ถูกเพิ่มเข้ามานั้นล้วนแล้วแต่หน้าตาใกล้เคียงอักษรที่มีอยู่เดิมทั้งนั้น แถมยังวางอยู่ในตำแหน่งข้างๆกัน จึงน่าจะช่วยให้จำได้ไม่ยาก

ฎ ด บ (ไม่มีหยัก, หางสั้น) นั้นแยกร่างมาจาก ฏ ต ป (มีหยัก, หางยาว) อีกที เนื่องจากคำที่มาจากในภาษาสันสกฤตและบาลีนั้นพอมาเป็นภาษาไทย ส่วนหนึ่งได้ออกเสียงเพี้ยนไป

เช่น เสียงที่เดิมควรจะเป็น นั้นถูกออกเสียงเป็น ในภาษาไทย ดังนั้นจึงแยกอักษร ออกมาจากอักษร เพื่อแสดงเสียงที่ต่างกัน

ส่วน ก็เช่นกัน แยกออกมาจาก โดยคำที่เดิมควรเขียนเป็น นั้นคำไหนออกเสียง ก็เขียน ตามเดิม แต่ถ้าออกเสียงเป็น ก็เขียนเป็น แทน

และ ก็มีที่มาในลักษณะเดียวกัน คือบางคำที่เดิมทีเป็นเสียง กลับออกเสียงเป็น ก็เลขเขียนแยกตามเสียงให้ชัด

ส่วน และ นั้นถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อแสดงเสียงใหม่ที่มีในภาษาไทยแต่ไม่มีในภาษาสันสกฤตและบาลีเดิม โดยแตกออกมาจากอักษร และ ซึ่งก็วางไว้ข้างๆกันนั่นเอง

กับ ก็เช่นเดียวกัน ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อแสดงเสียงใหม่ซึ่งต่างจาก และ คือเป็นเสียงที่เรียกว่า เสียงเสียดแทรกเพดานอ่อน ซึ่งใกล้เคียงกับ และ แต่ออกเสียงเสียดแทรกออกจากลำคอ เพียงแต่ว่าในภาษาไทยปัจจุบันเสียงนี้ได้หายไปแล้ว เสียงของ และ ก็ได้ถูกควบรวมกับ และ จึงเลิกใช้ไปแล้วยุบกลับไปอยู่กับ และ อีก ทั้งที่เพิ่งจะแยกออกมา

สำหรับ นั้นถูกใส่เข้ามาเป็นอักษรต่ำคู่ที่มีเสียงคู่กับอักษรสูง เพียงแต่แทนที่จะเพิ่มเข้ามาข้างๆ กลับเพิ่มขึ้นข้างๆ แทน

และ นั้นได้เพิ่มเข้ามาในท้ายที่สุดเพื่อใช้เป็นอักษรต่ำคู่ที่เป็นคู่กับอักษรสูง

จะเห็นได้ว่าอักษร ๖ ตัวที่เพิ่มเข้ามาเพื่อเสริมเสียงที่ขาดไป ได้แก่ ฃ ฅ ซ ฝ ฟ ฮ นั้นมีการใช้ค่อนข้างน้อย และไม่ใช้กับคำที่มาจากภาษาสันสกฤตและบาลี

และนี่คือที่มาของพยัญชนะทั้ง ๔๔ ตัวในภาษาไทย และเหตุผลที่มันถูกจัดเรียงแบบนี้ ทั้งหมดมีที่มาที่ไปและมีหลักเกณฑ์ที่สามารถสังเกตและจดจำได้ ดีกว่าท่องไล่ไปโดยไม่รู้หลัก

จริงๆแล้วมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายสำหรับที่มาของแต่ละตัว แต่กล่าวโดยสรุปก็คืออักษร ๙ ตัวถูกเพิ่มเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆกันดังที่กล่าวมาเพื่อใช้ในภาษาไทยโดยเฉพาะ




การเพิ่มเติมและตัดอักษรออกในแต่ละภาษา

ไหนๆก็ได้เขียนถึงที่มาของอักษรไทยแล้ว เพื่อความเข้าใจเพิ่มเติมเลยจะขอแนะนำอักษรในกลุ่มเดียวกันซึ่งมีที่มาใกล้กันด้วย
ในที่นี้จะยกตัวอย่างอักษรที่สำคัญอีก ๔ ชนิดมาเทียบ นั่นคือ อักษรลาว, อักษรเขมร, อักษรพม่า, อักษรทิเบต

อักษรเหล่านี้ก็ล้วนมีรากมาจากอักษรพราหมีเช่นเดียวกับภาษาไทย และก็มีการเพิ่มอักษรบางส่วนเข้าไป และบางส่วนก็ยังตัดออกด้วย

หากนับจำนวนอักษรที่เพิ่มเข้ามาจาก ๓๕ ตัวเดิม แล้วหักลบตัวที่ตัดออกทิ้งไป ก็จะได้จำนวนอักษรที่เหลืออยู่ในภาษานั้นทั้งหมดขณะนี้ ซึ่งสรุปได้ดังตารางนี้

  เพิ่มเติม ตัดออก จำนวนอักษร
ไทย 9 0 35 +9 = 44
ลาว 5 13 35 +3 -11 = 27
เขมร 0 0 35 = 35
พม่า 0 2 35 -2 = 33
ทิเบต 6 11 35 +6 -11 = 30

จะเห็นว่าอักษรแต่ละชนิดมีการเพิ่มเข้าและตัดออกต่างกันออกไปเพื่อปรับใช้กับภาษาของตัวเอง

ในจำนวนนั้นภาษาไทยเพิ่มเข้ามาเยอะที่สุดคือ ๙ ตัว และไม่ได้ตัดออกสักตัว เลยเยอะที่สุด มีมากถึง ๔๔ ตัว

ส่วนอักษรเขมรนั้นใช้ ๓๕ ตัวที่มีรากมาจากอักษรพราหมีโดยตรงโดยไม่ได้เพิ่มเข้าหรือตัดออกเลย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมี ๒ ตัวที่เลิกใช้ไปแล้ว คือ และ ซึ่งเทียบได้กับ และ ในภาษาไทย โดยเสียงของ ๒ ตัวนี้ซ้ำกับ ซึ่งเทียบได้กับ ในภาษาไทยนั่นเอง

ส่วนในภาษาพม่านั้นก็ได้ตัดอักษรที่เทียบเท่ากับ และ ไปก่อนเลยแล้วยุบรวมเป็น ศ ษ เป็น ตัวเดียว จึงเหลือแค่ ๓๓ อักษร

ส่วนภาษาลาวและทิเบตนั้นมีทั้งเพิ่มเติมเข้ามาและตัดออกเป็นจำนวนมาก ทำให้ต่างไปจากอักษรพราหมีเดิมมากพอสมควร




เทียบกับอักษรลาว ๒๗ ตัว

เนื่องจากอักษรลาวนั้นมีความใกล้เคียงกับอักษรไทยมาก ดังนั้นจึงขออธิบายรายละเอียดในที่นี้ไปด้วย

อักษรลาวนั้นแบ่งเป็นอักษรสูง กลาง ต่ำ เช่นเดียวกับภาษาไทย และเดิมทียังมีการใส่อักษรเข้าไปเช่นเดียวกับอักษรไทย

อย่างไรก็ตาม ภาษาลาวได้ทำการตัดอักษรที่เสียงซ้ำกันทิ้งไปหมด ซึ่งต่างจากภาษาไทยที่ยังเก็บเสียงซ้ำไว้ทั้งหมด จึงทำให้อักษรเหลือน้อยลงมาก

หากนำตารางจัดเรียงอักษรไทยมาเขียนใหม่โดยใส่อักษรลาวลงไปแทนจะได้ดังนี้

  เสริม
อักษร
กลาง
อักษร
กลาง
อักษร
สูง
เสริม
อักษร
สูง
อักษร
ต่ำคู่
เสริม
อักษร
ต่ำคู่
  อักษร
ต่ำเดี่ยว
วรรค กะ  
 
 
(ฆ)
วรรค จะ  
(ฉ)
 
 
(ฌ)
   
(ฏ)
(ฐ)
 
(ฑ)
 
(ฒ)
(ณ)
วรรค ตะ
 
 
(ธ)
วรรค ปะ
(ภ)
เศษวรรค
อักษร
ต่ำเดี่ยว
อักษร
สูง
(ศ)
(ษ)
ที่เหลือ
(ฬ)


ที่ใส่เป็นวงเล็บอักษรภาษาไทยไว้นั่นคืออักษรที่ถูกตัดออกในภาษาลาว เนื่องจากเสียงซ้ำ นับดูแล้วจะเห็นว่ามีมากถึง ๑๓ ตัว และแต่ละตัวนี้ส่วนใหญ่ในภาษาไทยเองก็เสียงซ้ำเช่นกัน

เพียงแต่ว่าอักษร สาเหตุที่หายไปจากภาษาลาวเป็นเพราะเสียงมันไปซ้ำกับ ซึ่งตรงนี้ต่างจากในภาษาไทยซึ่งเสียง กับ ต่างกันชัดเจน

นอกจากนี้เสียง ในภาษาลาวก็กลายเป็นเสียง ดังนั้น อักษร นั้นแม้จะเป็น ช ช้าง แต่ในภาษาลาวกลายเป็นเสียง ซ ซ้าง ไป ดังนั้นในภาษาลาวจึงไม่ต้องมีการเพิ่มอักษร เข้ามาอย่างในภาษาไทย เพราะ ออกเสียงเป็น อยู่แล้วนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีอีกตัวที่เสียงอ่านต่างจากภาษาไทย นั่นคือตัว ซึ่งเทียบได้กับ ในภาษาไทย แต่ในภาษาไทยเสียง กลายเป็น ไป ในขณะที่ในภาษาลาว เสียง ยังรักษาเสียงเดิมไว้ จึงไม่ได้ทิ้งอักษรตัวนี้ไป

เพียงแต่จริงๆแล้วอักษร เองก็ไม่ได้เทียบเท่ากับ ซะทีเดียว เพราะมันถูกเพิ่มมาจาก (หางยาวกว่า) ซึ่งเทียบเท่ากับ ในภาษาไทย เพียงแต่ (หางสั้น) ถูกนำไปวางในตำแหน่งของอักษร เพราะเสียงเหมือนกัน

นอกจากนี้แล้ว อักษร ในภาษาลาว ซึ่งเทียบเท่ากับอักษร นั้นก็จริงๆแล้วไม่ได้อยู่ในตำแหน่งระหว่าง และ ดังในตารางนี้ แต่ถูกย้ายไปแทนที่ตำแหน่งของ นั่นคือข้างหน้า ซึ่งออกเสียงเป็น ไปแทน




ถ้าภาษาไทยก็ตัดอักษรออกแบบภาษาลาว

จะเห็นว่าอักษรลาวนั้นใกล้เคียงกับอักษรไทยมาก อาจเรียกได้ว่าอักษรลาวก็เหมือนเป็นอักษรไทยที่ตัดตัวที่เสียงซ้ำกันทิ้งไปจนทำให้เรียบง่ายขึ้น

ดังนั้นก็เลยน่ามาลองคิดดูสักหน่อยว่าหากอักษรไทยตัดตัวที่เสียงซ้ำออกไปแบบภาษาลาวบ้าง จะกลายเป็นอย่างไร

ผลที่ได้ก็จะเป็นดังตารางนี้

  เสริม
อักษร
กลาง
อักษร
กลาง
อักษร
สูง
เสริม
อักษร
สูง
อักษร
ต่ำคู่
เสริม
อักษร
ต่ำคู่
  อักษร
ต่ำเดี่ยว
วรรค กะ        
วรรค จะ        
                 
วรรค ตะ      
วรรค ปะ  
เศษวรรค
อักษร
ต่ำเดี่ยว
อักษร
สูง
   
ที่เหลือ  

โดยรวมแล้วแทบจะเหมือนกับอักษรลาว เพียงแต่อักษรไทยมีเสียง ฉ/ช แยกกับ ส/ซ ชัดเจน ดังนั้นจึงไม่มีการตัด ทิ้ง และยังต้องมีการเพิ่ม เข้ามาด้วย

อย่างไรก็ตาม เสียง ในภาษาไทยเสียงเหมือนกับ จึงอาจถูกตัดทิ้งไปเช่นกัน

ดังนั้นโดยรวมแล้วแม้ภาษาไทยจะตัดอักษรที่เสียงซ้ำไปก็ยังคงจะเหลืออักษรมากกว่าอักษรลาวอยู่ ๑ ตัว คือเป็น ๒๘ ตัว

อันที่จริงเคยมีความเคลื่อนไหวเพื่อจะยุบอักษรไทยที่เสียงซ้ำกันทั้ง ซึ่งเกิดขึ้นในยุคจอมพล แปลก พิบูลสงคราม (ปี 1938-1944) แต่ก็ทำไม่สำเร็จ สุดท้ายก็เลยยังใช้อักษร ๔๒ ตัวมาจนถึงปัจจุบัน




เทียบกับอักษรเขมร ๓๕ ตัว

อักษรไทย ๓๕ ตัวนั้นพัฒนาจากอักษรพราหมีโดยผ่านทางอักษรเขมรมาอีกที และอักษรเขมรก็ใช้อยู่แค่ ๓๕ ตัวโดยที่ไม่มีการเพิ่มเข้ามาเลย ดังนั้นทั้ง ๓๕ ตัวในอักษรเขมรจึงเทียบได้กับอักษรพราหมีโดยตรง

หากเขียนตารางแสดงอักษรเหมือนที่เขียนกับอักษรเทวนาครีแต่เปลี่ยนเป็นอักษรเขมรจะเขียนได้ดังนี้

  เสียงกัก
ไม่ก้อง
ไม่ปล่อยลม
เสียงกัก
ไม่ก้อง
ปล่อยลม
เสียงกัก
ก้อง
ไม่ปล่อยลม
เสียงกัก
ก้อง
ปล่อยลม
เสียงออกจมูก
เพดานอ่อน
เพดานแข็ง
ปลายลิ้นม้วน
ปุ่มเหงือก
ริมฝีปาก
เศษวรรค
เสียงเปิด
เสียงกัก
เสียดแทรก
ที่เหลือ

ในตารางนี้อักษรที่รับมาใช้แล้วต่างไปจากเสียงเดิมในภาษาสันสกฤตจะเขียนแทนด้วยตัวสีเขียว ซึ่งจะเห็นว่าเกือบจะเหมือนกับภาษาไทยทั้งหมด (ยกเว้นเสียง ញ (ญ) ไม่ได้หายไปแบบภาษาไทย) คือไม่มีเสียงในวรรคปลายลิ้นม้วนกับกลุ่มเสียงกักก้อง จึงทำให้เกิดเสียงซ้ำกันขึ้น ยุบไปรวมกับเสียงกักไม่ก้องแทน

แต่ที่น่าสนใจก็คือ อักษร ត (ต) กับ ប (บ) นั้นจริงๆแล้วออกเสียงได้ ๒ แบบ คล้ายกับปัญหาที่เจอในอักษร ในภาษาไทย

โดย อาจออกเสียงเป็น หรือ ก็ได้แล้วแต่คำ ส่วน อาจออกเสียงเป็น หรือ

หมายความว่าเสียง กับ ในภาษาเขมรก็ถูกแตกออกมาเป็นเสียง ด ต กับ บ ป เช่นเดียวกับในภาษาไทย แต่อักษรเขมรไม่ได้ทำการสร้างอักษรใหม่ขึ้นมาทำให้เกิดเป็นตัวที่อ่านได้ ๒ เสียง ต้องมาจำแยกว่าคำไหนออกเสียงอย่างไรกันเอาเอง ดังนั้นการที่ภาษาไทยสร้างอักษรเพิ่มจึงดูจะเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ถ้าหากแก้ปัญหาเรื่องตัว ด้วยก็คงจะดีกว่านี้




เทียบกับอักษรพม่าและอักษรทิเบต

สำหรับอักษรพม่าและอักษรทิเบตนั้นก็มีความน่าสนใจเช่นกัน เพราะวิวัฒนาการไปในลักษณะที่ต่างไปจากอักษรไทย ลาว เขมร อีกคนละแบบ เป็นเอกลักษณ์ต่างกันออกไป

เรื่องเกี่ยวกับอักษรพม่านั้นได้เคยเขียนถึงไปในบทความเรื่อง หลักการเขียนทับศัพท์ภาษาพม่า

ส่วนเรื่องของอักษรทิเบตนั้นได้เคยเขียนถึงไปในบทความเรื่อง หลักการเขียนทับศัพท์ภาษาทิเบต

ดังนั้นสำหรับในที่นี้จะขอละรายละเอียดไว้ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถตามไปอ่านได้ที่บทความเหล่านี้




เปรียบเทียบตัวอักษรพยัญชนะ ๗ ชนิด

ต่อไปนี้ลองเอาพยัญชนะของอักษรชนิดต่างๆในกลุ่มนี้มาสรุปจัดเรียงเทียบเป็นตารางดู โดยในที่นี้จะแสดงแค่ ๗ ชนิด ซึ่งได้พูดถึงเป็นหลักมาในบทความนี้

สำหรับอักษรที่ถูกตัดทิ้งไปในภาษานั้นๆจะเว้นว่างไว้แล้วระบายเป็นช่องสีเทา

อักษร
พราหมี
อักษร
เทวนาครี
อักษร
ไทย
อักษร
ลาว
อักษร
เขมร
อักษร
พม่า
อักษร
ทิเบต
𑀓 က
𑀔
𑀕
𑀖    
𑀗
𑀘
𑀙  
𑀚
𑀛    
𑀜
𑀝    
𑀞    
𑀟    
𑀠    
𑀡    
𑀢
𑀣
𑀤
𑀥    
𑀦
𑀧
𑀨
𑀩
𑀪    
𑀫
𑀬
𑀭
𑀮
𑀯
𑀰    
𑀱      
𑀲
𑀳
𑀴    
𑀅
ที่เหลือ











   





ช่องสุดท้ายนั้นแสดงอักษรที่เพิ่มเข้ามาจาก ๓๕ ตัวแรก โดยอักษรไทยมี ๙ ตัว อักษรลาว ๕ ตัว อักษรทิเบต ๖ ตัว ส่วนอักษรเทวนาครีนั้นจริงๆก็มีเพิ่มมาหลายตัวโดยการใช้งานก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้ในภาษาอะไร ซึ่งในที่นี้จะไม่ขอพูดถึง




สระในอักษรไทยที่มีรากมาจากอักษรพราหมี

ที่ผ่านมาเขียนถึงแต่เรื่องของพยัญชนะ แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่าอักษรไทยนั้นนอกจากมีพยัญชนะแล้วก็ยังต้องประกอบด้วยสระที่มาเกาะอยู่กับพยัญชนะด้วยเพื่อที่จะกลายเป็นหน่วยเสียงขึ้นมา ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะร่วมกันของอักษรตระกูลพราหมี

สระในอักษรไทยก็ยืนพื้นมาจากสระในอักษรพราหมี เพียงแต่ว่าในภาษาไทยมีสระเยอะกว่านั้นมาก จึงได้มีการใส่เพิ่มเข้ามาใหม่ด้วย

ต่อไปนี้เป็นตารางแสดงเสียงสระทั้งหมดในภาษาไทยและที่มาจากอักษรพราหมี และใส่อักษรเทวนาครีเปรียบเทียบไว้ด้วย

โดยสระนั้นต้องมีพยัญชนะเป็นตัวเกาะ ดังนั้นในที่นี้จะใช้พยัญชนะ 𑀓 = क = ก เป็นหลัก ส่วนที่ไม่มีในอักษรพราหมีเดิมคือที่เพิ่มเข้ามาในภาษาไทยเองนั้นจะเขียนเป็นสีชมพูเข้ม ส่วนที่มีในอักษรพราหมีจะเขียนเป็นสีดำ

สระเสียงสั้น   สระเสียงยาว
อักษร
พราหมี
อักษร
เทวนาครี
อักษร
ไทย
อักษร
พราหมี
อักษร
เทวนาครี
อักษร
ไทย
𑀓 กะ 𑀓𑀸 का กา
𑀓𑀺 कि กิ 𑀓𑀻 की กี
    กึ     กือ
𑀓𑀼 कु กุ 𑀓𑀽 कू กู
  कॆ เกะ 𑀓𑁂 के เก
  कॅ แกะ     แก
  कॊ โกะ 𑀓𑁄 को โก
    เกาะ     กอ
    เกอะ     เกอ
    กัวะ     กัว
    เกียะ     เกีย
    เกือะ     เกือ
สระเกิน
    กำ    
    ใก
𑀓𑁃 कै ไก
𑀓𑁅 कौ เกา
𑀓𑀾 कृ กฤ 𑀓𑀿 कॄ กฤๅ
𑀓𑁀 कॢ กฦ 𑀓𑁁 कॣ กฦๅ

สระที่มาจากอักษรพราหมีนั้นทั้งหมดมีสระเดี่ยว ๘ ตัวคือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ โดยที่อักษรพราหมีและเทวนาครีนั้นพยัญชนะที่ไม่ได้เติมรูปสระจะถือว่ามีเสียงสระอะอยู่ในตัวอยู่แล้วดังนั้นในที่นี้จึงแสดงเป็นพยัญชนะ 𑀓 = क = ก

นอกจากนี้มีสระเกิน ๖ ตัวคือ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ รวมทั้งหมดแล้วเป็น ๑๔ สระ

ในที่นี้สระ เอะ แอะ โอะ แม้ว่าจะไม่มีในอักษรพราหมีแต่มีในอักษรเทวนาครี จึงใส่ของอักษรเทวนาครีมาด้วย แต่ก็นับว่าเป็นอักษรที่เพิ่มเข้ามาในภาษาไทยเอง
ในขณะที่ในภาษาไทยจะเติม เข้าไปชัดเจน

สระที่เพิ่มเติมเข้ามาในภาษาไทยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสระเดี่ยวเสียงสั้น ได้แก่ อึ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ ซึ่งอาจจำง่ายๆว่าส่วนใหญ่เป็นสระที่มี เป็นตัวประกอบ

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสระเดี่ยวเสียงยาวได้แก่ อือ แอ เออ ออ

ส่วนสระประสมได้แก่ เอียะ เอีย เอือะ เอือ อัวะ อัว นั้นล้วนเพิ่มขึ้นมาใหม่เองในภาษาไทย โดยไม่ได้สร้างอักษรเพิ่มแต่อย่างใด แค่เอารูปสระหรือพยัญชนะที่มีอยู่แล้วมาประกอบกัน

นอกจากนี้ในภาษาไทยยังมีไม้ม้วน ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาเพราะเดิมทีออกเสียงต่างจาก โดยเสียง นั้นคือเสียงประสมจาก อะ+อิ แต่ไม้ม้วนนั้นเดิมทีจะเป็นเสียงประสมจาก อะ+อึ แต่ในปัจจุบันเสียงนี้ได้หายไป ทำให้ไม้ม้วนกลับมาออกเสียง อะ+อิ เหมือน แต่รูปไม้ม้วนก็ยังถูกเก็บไว้ใช้ในคำ ๒๐ คำ ที่อยู่ในกลอน ๒๐ ม้วน




เทียบสระของอักษร ๗ ชนิด

ต่อไปจะขอแสดงการเขียนสระใน ๗ อักษรเปรียบเทียบกัน โดยใช้พยัญชนะ 𑀓 क ก ກ ក က ཀ (ทั้งหมดเทียบเท่าตัว ) เป็นพื้น

อักษร
พราหมี
อักษร
เทวนาครี
อักษร
ไทย
อักษร
ลาว
อักษร
เขมร
อักษร
พม่า
อักษร
ทิเบต
𑀓𑀸 का กา ກາ កា ကာ ཀཱ
𑀓𑀺 कि กิ ກິ កិ ကိ ཀི
𑀓𑀻 की กี ກີ កី ကီ ཀཱི
𑀓𑀼 कु กุ ກຸ កុ ကု ཀུ
𑀓𑀽 कू กู ກູ កូ ကူ ཀཱུ
𑀓𑁂 के เก ເກ កេ ကေ ཀེ
𑀓𑁃 कै ไก ໄກ កៃ    
𑀓𑁄 को โก ໂກ កោ   ཀོ
𑀓𑁅 कौ เกา ເກົາ កៅ ကော်  
𑀓𑀾 कृ กฤ   ក្ឫ ကၖ ཀྲྀ
𑀓𑀿 कॄ กฤๅ   ក្ឬ ကၗ ཀཷ
𑀓𑁀 कॢ กฦ   ក្ឭ ကၘ ཀླྀ
𑀓𑁁 कॣ กฦๅ   ក្ឮ ကၙ ཀླཱྀ

จะเห็นว่าไม่ว่าจะในภาษาไหนก็ตาม สระถูกเติมเข้ามาด้านบนล่างหน้าหลังเพื่อประกอบกับพยัญชนะ โดยอาจมีตำแหน่งวางต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะเห็นว่าคล้ายกัน

สำหรับในภาษาลาวกับทิเบตนั้นก็ได้ยกเลิก ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไปหมด ใช้ ຣ (ລ) ར กับ ລ ལ ตามเสียงอ่านแทน




สระลอยในอักษรต่างๆในตระกูลพราหมี

สระที่เราคุ้นเคยกันในอักษรไทยนั้นมีที่มาจาก "สระจม" ในอักษรพราหมี โดยสระจมนั้นหมายถึงสระที่จะอยู่เดี่ยวๆไม่ได้ (ยกเว้น ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ) ต้องเกาะติดกับพยัญชนะเพื่อจะเกิดเป็นหน่วยเสียงขึ้นมา

แต่เดิมทีในอักษรพราหมี รวมถึงอักษรเทวนาครีนั้นมีสระที่เรียกว่า "สระลอย" ซึ่งเอาไว้ใช้อ่านเสียงพยัญชนะ ซึ่งต้องจำแยกต่างหากอีกที และในอักษรพม่ากับเขมรก็ยังมีการใช้สระลอยเหล่านี้อยู่ด้วย แต่ในอักษรไทย ลาว ทิเบต ได้ยุบรวมเป็นสระจมทั้งหมด เพราะจริงๆแล้วสระลอยก็คือสระจมที่มีเสียงพยัญชนะเป็น นั่นเอง จึงสามารถเขียนแทนด้วยพยัญชนะ + สระจม

ดังนั้นหากดูในแง่นี้แล้วอักษรไทยถือว่าดูเรียบง่ายลงมาหน่อยเมื่อเทียบกับอักษรเขมรและพม่า เพราะไม่ต้องมาจำสระลอย

ต่อไปนี้เป็นตารางสระลอย

อักษร
พราหมี
อักษร
เทวนาครี
อักษร
ไทย
อักษร
ลาว
อักษร
เขมร
อักษร
พม่า
อักษร
ทิเบต
𑀆 อา ອາ အာ ཨཱ
𑀇 อิ ອິ ཨི
𑀈 อี ອີ ཨཱི
𑀉 อุ ອຸ ཨུ
𑀊 อู ອູ ཨཱུ
𑀏 เอ ເອ ཨེ
𑀐 ไอ ໄອ    
𑀑 โอ ໂອ   ཨོ
𑀒 เอา ເອົາ  
𑀋   རྀ
𑀌 ฤๅ   རཱྀ
𑀍   ལྀ
𑀎 ฦๅ   ལཱྀ

ในที่นี้ของภาษาไทย ลาว ทิเบต จะใส่เป็น อ, ອ, ཨ + สระจม ส่วนภาษาพม่านั้นบางตัวไม่มีสระลอย ก็ใช้เป็น + สระจม เหมือนกัน

อนึ่ง ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ นั้นในภาษาไทยไม่มีการแยกรูปสระจมกับสระลอย แต่ดูจากลักษณะการเขียนแล้วจะใกล้เคียงกับสระลอยมากกว่า เพราะอยู่เดี่ยวๆโดยไม่มีพยัญชนะก็ได้




ตัวเลข

สุดท้ายนี้ขอแถมเรื่องของตัวเลขสักหน่อย เพราะอักษรในตระกูลพราหมีนั้นล้วนมีตัวเลขเป็นของตัวเอง ซึ่งก็มีหน้าตาคล้ายๆกันเพราะพัฒนามาจากรากเดียวกัน รวมถึงเลขอารบิกที่ใช้เป็นสากลทั่วโลกในตอนนี้เองก็เช่นกัน

เลข
อารบิก
เลข
พราหมี
เลข
เทวนาครี
เลข
ไทย
เลข
ลาว
เลข
เขมร
เลข
พม่า
เลข
ทิเบต
0 𑁦
1 𑁧
2 𑁨
3 𑁩
4 𑁪
5 𑁫
6 𑁬
7 𑁭
8 𑁮
9 𑁯





สรุปส่งท้าย

จะเห็นได้ว่าอักษรไทยนั้นมีที่มาจากอักษรพราหมี ๓๕ ตัว และเพิ่มมาอีก ๙ ตัว โดยที่อักษรชนิดอื่นๆในตระกูลพราหมีก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และมีการเพิ่มอักษรเข้าไปเพื่อให้เข้ากับภาษาของตัวเอง

การศึกษาที่มาของอักษรจะช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมอักษรไทยจึงจัดเรียงและแบ่งกลุ่มเป็นแบบนี้ รวมถึงสะดวกเวลาที่ศึกษาภาษาเพื่อนบ้านด้วย เพราะอักษรเหล่านี้สามารถเทียบเคียงกันได้เป็นส่วนใหญ่

สำหรับเนื้อหาในบทความนี้ขอจบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่หากใครสนใจอยากรู้เรื่องอักษรไหนในรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถหาอ่านได้ตามวิกิพีเดียและเว็บต่างๆ


-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประวัติศาสตร์
-- ภาษาศาสตร์ >> ตัวอักษร
-- ภาษาศาสตร์ >> ภาษาลาว
-- ภาษาศาสตร์ >> ภาษาเขมร

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目次

日本による名言集
モジュール
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
機械学習
-- ニューラル
     ネットワーク
javascript
モンゴル語
言語学
maya
確率論
日本での日記
中国での日記
-- 北京での日記
-- 香港での日記
-- 澳門での日記
台灣での日記
北欧での日記
他の国での日記
qiita
その他の記事

記事の類別



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  記事を検索

  おすすめの記事

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文