φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



[ef] ตอนที่ ๘. พระเจ้าซึ่งไม่อยู่ที่ไหนเลย (どこにもいない神様)
เขียนเมื่อ 2009/07/16 10:10
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42

ตอนที่ ๘. พระเจ้าซึ่งไม่อยู่ที่ไหนเลย (どこにもいない神様)

>> กลับไปตอนที่ ๗
>> อ่านต่อตอนที่ ๙

>> กลับไปหน้าสารบัญ

ᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳ

ผมนึกอยู่บ่อยๆว่า ที่เมืองแห่งนี้ แต่ก่อนนั้นเคยมีสภาพเป็นยังไงกันนะ.....
สิ่งเดียวที่ผมจำได้ก็มีเพียงภาพของบ้านเก่าๆหลังที่ตัวเองเคยใช้ชีวิตอยู่เท่า นั้น ภาพสวนสาธารณะและท้ายซอยที่เคยวิ่งเล่นไปมาตอนกลางวัน และภาพของย่านร้านค้าที่เคยพาน้องสาวไปเดินนั้นกลับนึกไม่ออกเลย


“................”
ทาง ฟากโน้นของท้องฟ้ายามเช้าที่แจ่มใส เห็นภาพบ้านเมืองสวยงามที่แต่งแต้มไปด้วยสีแดงสดใสแผ่กว้างออกไป คงเพราะได้เห็นทิวทัศน์แบบนี้อยู่ทุกเช้า เลยทำให้ภาพความทรงจำของก่อนหน้าแผ่นดินไหวในครั้งนั้นถูกชะล้างไปหมด

“โห... ยอดเยี่ยมอย่างที่คิดเลยนะคะ”
“อย่าดูนะ”
ผมรีบปิดสมุดสเก็ตช์ภาพลงทันที


“โธ่ ขี้เหนียวจัง แค่ให้ดูนิดหน่อยก็ไม่เห็นจะเสียหายเลยนี่นา”
“ถ้าให้ดูเธอก็จะยิ่งพูดมากนะสิ”
“แล้วรุ่นพี่น่ะไม่อยากจะคุยกับฉันหรือคะ”
ยูโกะทำหน้าบึ้งแล้วพูดขึ้น

“เพราะทำตัวน่าเบื่อแบบนี้ล่ะนะ ถึงได้หาแฟนไม่ได้สินะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“ฮะๆ แ่ต่ถึงยังไงตอนนี้ก็มีฉันอยู่แล้วนี่นะคะ”
“.............”

ปัง...
“โอ๊ย..”
ผมหยิบสมุดสเก็ตช์ภาพมาฟาดใส่หน้ายูโกะเบาๆ

“ฮือ... ทำอะไรน่ะคะ”
ยูโกะมีท่าทางเหมือนจะดีใจผิดกับคำพูดเลย

“เอาเถอะ เธอเองก็เงียบแล้วก็พับเครื่องบินกระดาษเล่นไปซะ”
“ก่อนที่จะเงียบขอถามอะไรอย่างได้มั้ยคะ”
“พูดมาสิ”
“ทำไมอยู่ดีๆถึงหันมาวาดภาพล่ะคะ?”
ยูโกะจ้องมาที่สมุดสเก็ตช์ภาพด้วยความสนใจ

“แปลกจังเลยนะคะ เอ่อ... รุ่นพี่ฮิมุระดูแปลกไปจากทุกทีนะคะ”
“ที่จริงก็อยากถามอยู่หรอกว่าที่แปลกน่ะแปลกตรงไหน แต่ช่างเหอะ เรื่องนี้ไม่มันไม่เกี่ยวกับเธอหรอก”
“ถ้าเป็นเรื่องคนอื่นละก็คงได้ แต่เพราะเป็นรุ่นพี่ถึงได้สนใจไงล่ะคะ”
ยูโกะขยับร่างกายเข้ามาใกล้ นิสัยที่ไม่คิดอะไรเลยแบบนี้ยังไงก็ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆนะ
พอได้กลิ่นหอมจางๆลอยมาทำให้ใจเริ่มรู้สึกสั่นไหวขึ้นมา..... ใจเย็นไว้ก่อน จะมองยูโกะด้วยสายตาแบบนั้นไม่ได้นะ

“บอก ไว้ก่อน ฉันไม่ได้คิดจะเข้าชมรมศิลปะหรอกนะ แค่รู้สึกว่าถ้าแค่เรียนไปเรื่อยๆอย่างเดียวทุกวันก็คงจะไม่ไหวก็เลยจะมาพัก ผ่อนคลายสักหน่อยเท่านั้นเอง”
“ฟังดูมีเหตุผลดีนะคะ สมแล้วที่เป็นนักเรียนดีเด่น แม้แต่วาดรูปก็ยังเก่ง”
“อยากจะถามมาตั้งแต่ตะกี้แล้ว เธอไม่คิดว่าฉันบ้าบ้างเหรอ”
“ไม่เลยค่ะ กลับรู้สึกชอบ”
“เธอนี่ก็ปากหวานอยู่ตลอดเลยนะ”
“รุ่นพี่คงไม่ได้ตั้งใจทำตั้งแต่ต้นสินะคะ”
สิ่งที่ยูโกะเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมากที่สุดก็คงเป็นตรงที่พูดเยอะขึ้นนี่ล่ะนะ

“นี่ รุ่นพี่ฮิมุระ”
“อะไร”
“วาดรูปน่ะ สนุกมั้ยคะ?”
“ก็บอกแล้วว่าวาดเพื่อผ่อนคลาย ถ้าไม่สนุกแล้วจะทำไปทำไมล่ะ”
“ถ้างั้น มาสนุกกันเถอะค่ะ”
ยูโกะยิ้มออกมาอย่างเต็มที่

“ลองให้ฉันเป็นแบบวาดรูปดูมั้ยคะ?”
“ขอปฏิเสธ”


“ว้า”
มา ว้า อะไรกันล่ะ

“แค่ปฏิเสธไม่พอ ยังตอบทันทีแบบนี้ ทำร้ายจิตใจจังเลย”
“ถ้าอยากจะอยู่โดยไม่ต้องเสียใจนะ ก็เก็บตัีวอยู่บ้านไปตลอดชีวิตเลยสิ”

“..........อืม....”
“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ เธอน่ะ”
กำลังคิดที่จะเก็บตัวอยู่กับบ้านจริงๆหรือไงนะ

“เปล่า ค่ะ แค่กำลังคิดว่าถ้าจะดัดนิสัยที่ชอบแกล้งคนกับที่ชอบทำหน้าแบบนั้นของรุ่นพี่ ฮิมุระให้ได้ละก็ สงสัยคงต้องพิชิตโลกให้ได้ทั้งใบก่อนแน่เลยค่ะ”
“เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้ไงเล่า!”
พูดขนาดนี้หมายความว่าไงกันนะ จริงๆเลย

“ฉันเองก็ไม่สนใจวาดรูปคนมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่นา จะวาดเป็นก็แค่ตืกหรือทิวทัศน์ง่ายๆเท่านั้นเอง”
แน่นอนว่าคงจะใช้ยูโกะเป็นแบบไม่ได้ มันเป็นเรื่องของความถนัดนี่นะ

“เพราะงั้นล่ะ อย่ามารบกวนเวลาพักผ่อนของฉันเลยนะ”
“โหย.....”
ยูโกะเริ่มทำท่าเบื่อหน่าย

“แต่ว่า ฉันอยากช่วยนี่นา”
“เธอน่ะไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้นี่นา”
“ยังมีเวลาอีก ๒๐ นาทีกว่าออดจะดังนะคะ”
“หืม? อ้อ ก็ยังมีเวลาอยู่มากล่ะนะ”
“ขอฉันนอนหน่อยได้มั้ยคะ?”
“นอนไม่พออีกแล้วเหรอ เธอน่ะ น่าจะรู้จักแบ่งเวลานอนให้ดีๆนะ”
“ฮะๆ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย การสอบก็ใกล้เข้ามาแล้วนะ เธอน่ะตั้งใจเรียนหรืออยู่หรือเปล่า?”
“ราตรีสวัสดิ์”
“เธอนี่นะ.....”
ยูโกะนั่งพิงผมจากนั้นก็ตกลงสู่ห้วงนิทราอย่างสบายใจ
ดูท่าแต่ละวันจะไม่ค่อยได้นอนอย่างเต็มที่สักเท่าไหร่สินะ จริงๆเลย แต่ละวันเธอใช้ชิวิตทำอะไรบ้างนะ

..................................
เพราะเป็นก่อนเวลาเริ่มเรียนเล็กน้อย ห้องเรียนยังคงคึกคักอยู่ ผมเดินเข้ามาในห้องแล้วตรงไปยังที่นั่งตัวเอง


“อ๊ะ ฮิมุระ”
คุเซะซึ่งกำลังคุยกับเด็กผู้หญิงหลายคนอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง เรียกผมขึ้นทันทีที่เห็น

“อรุณสวัสดิ์ หมู่นี้นายมาสายจนใกล้เวลาบ่อยนะ”
“นายเองก็เถอะ ช่วงนี้ดูเหมือนจะมาเร็วขึ้นนี่นะ”
“แหม ก็เวลาที่จะได้ใช้ชีวิตในโรงเรียนมันเหลืออยู่น้อยแล้วนี่นา”
“อ้อ นั่นสินะ งั้นก็สนุกให้เต็มที่ละกัน”
“หลังเลิกเรียน กะว่าจะไปคาราโอเกะกันหลายคนเลยน่ะ ฮิมุระจะไปด้วยมั้ย?”
“ทั้งที่ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วแท้ๆ คิดยังไงของนายน่ะ?”
สำ หรับคุเซะน่ะ ต่อให้คะแนนสอบมีแต่ตัวแดงก็คงจะไม่ต้องสนอะไรอยู่แล้ว จะว่าไป หมอนี่คงจะฝึกซ้อมไวโอลีนอยู่ตลอดหรือเปล่านะ แต่ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ดูไม่เหมือนเป็นคนขยันอะไรเลย

“น่าเสียดายจัง ฮิมุระเองก็เป็นคนชวนยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วยนี่นะ”
“นายน่ะใช้ชีวิตสบายเกินไปแล้ว”
“อ่อใช่ ฉันจะเป็นคนสืบทอดวิธีการเล่นกับผู้หญิงให้ฮิมุระคุงเองนะ”
“ถึงจะสอนให้ก็ไม่สนหรอกน่ะ”
“เอ๋?”
“อะไร”
“ฮิมุระเนี่ย ไม่ได้กำลังคบกับยูโกะจังอยู่หรอกเหรอ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
“หมู่นี้มีไปเดทกันที่ดาดฟ้าอยู่บ่อยๆไม่ใช่เหรอ”
“เดี๋ยวสิ ทำไมนายถึงได้รู้เรื่องนี้ได้....”
เพราะ ว่าที่ดาดฟ้าเป็นสถานที่ห้ามเข้า ตอนที่จะขึ้นไปก็เลยต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าครูคนอื่นที่ไม่ใช่อามะมิยะมาเห็นเข้าละก็จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

“ก็ยูโกะจังเป็นคนมาบอกฉันเองนี่นา”
“ยัยเด็กนั่น.....”
ลับหลังมีไปคุยอะไรกับคุเซะบ้างล่ะนี่ แล้วไหนจะที่บอกว่า “เดท” อีก

“พูด ให้สวยหน่อย ฉันก็แค่ไปเฝ้าทุกเช้าเพื่อไม่ให้ยัยนั่นก่อเรื่องอะไรอีกเท่านั้น ดูเหมือนการกลั่นแกล้งจะหยุดไปแล้วเพราะกลัวการโต้กลับของยัยนั่น แต่จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไรก็คงไม่อาจรู้ได้ล่ะนะ”

ยูโกะบอกไว้ว่า
-“ถ้าได้เห็นหน้ารุ่นพี่ฮิมุระทุกวันละก็จะทำให้มีกำลังใจพยายามขึ้นทุกวันค่ะ”-

ผมไม่ได้ตั้งใจจะรับปากยูโกะหรอกนะ แต่ก็ดีกว่าปล่อยเอาไว้จนเกิดเรื่องบ้าๆตามมาอีก ก็เลยจับตาดูเท่าที่จะทำได้ไว้ก่อนดีกว่า

“สำหรับฮิมุระคุงผู้ดื้อรั้นแล้ว ก็คงต้องปากแข็งเรื่องที่ไปพบเด็กผู้หญิงมาอยู่แล้วล่ะสินะ”
“............”


“นี่ ฮิมุระ เป็นผู้ชายแต่กลับไม่แสดงท่าทีออกไปให้ชัดเจนแบบนี้น่ะ แย่มากเลยนะ ควรจะแสดงน้ำใจให้มากกว่านี้หน่อยสิ”
แสดงน้ำใจงั้นเหรอ......
ผมเองก็เคยแสดงน้ำใจให้กับใครบ้างหรือเปล่านะ
อย่างน้อย หลังจากคริสต์มาสครั้งนั้นแล้วก็ดูเหมือนจะไม่เคยอีกเลย

กิ๊ง~ก่อง~ก๊าง~ก่อง
เสียงกริ่งเข้าเรียนได้ดังขึ้น

“ขอเปลี่ยนเรื่องคุยหน่อยนะ”
“หา?”
“นางิไม่ได้มาที่นี่มา ๒-๓ วันแล้วนะ”
“จะว่าไปก็...”
นางิโดดเรียนน่ะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่นี่ช่วงใกล้สอบแล้วก็ยังไม่มาอีกนี่สิที่น่าแปลก ยัยนั่นคิดอะไรอยู่หรือเปล่านะ
ผมหยิบหนังสือเรียนกับสมุดโน้ตจากในกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะ


พักกลางวัน ห้องศิลปะ
“...............?”
ดูเหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่จริงๆด้วยสินะ

พอลองคิดดูแล้ว กลับรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้กำลังอยู่ที่นี่เพียงลำพังคนเดียวตอนพักกลางวัน
ไม่ใช่แค่นั้น นอกจากที่บ้านแล้ว กลับมีความรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา
สมัยที่อยู่ที่สถานรับเลี้ยงกลับไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย
ผมแค่พยายามหลีกห่างจากผู้คนรอบข้างมาตลอด
ผมเริ่มฝืนยิ้มเล็กน้อยแล้วค่อยๆเปิดประตูเข้าไป

“ไง”
“ยู?”
นางิหันหน้าหาผมด้วยท่าทีที่เฉื่อยชาราวกับเป็นหุ่นกระบอก


“วันนี้ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ค่อยยังช่วยหน่อยนะ”
“ก็ถูกเตือนมาครั้งนึงแล้วนี่นา เราน่ะไม่ได้บ้าขนาดนั้นสักหน่อย”
“เปล่าหรอก คิดว่าคนปกติก็น่าจะรู้ตัวว่ากำลังทำเรื่องบ้าๆอยู่ก่อนที่จะถูกเตือนล่ะนะ
ว่าแต่ จะเรียกให้มาหาน่ะไม่ว่าหรอกนะ แต่ไอ้ที่เอาปากกามาเขียนโต๊ะแบบนี้น่ะเลิกทีเถอะ”
“แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ ยูเนี่ยจู้จี้จริงๆเลยนะ”
“เธอเนี่ย ชอบทำตัวพิเรนทร์จริงๆเลยนะ”
ดูท่าเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัวเลย แย่จริงๆ ควรจะดัดนิสัยสักหน่อยดีมั้ยนะ

“จะว่าไปแล้ว เหมือนจะไม่ได้เห็นหน้ายูมานานพอดูเลยนะ”
“ก็เพราะว่าเธอไม่ได้มาโรงเรียนไม่ใช่เหรอ”
“นั่นนะสินะ ก็คงงั้นล่ะ”
ช่างเป็นการคุยที่เสียเวลาจริงๆ

“ความจริงแล้วน่ะ...”
“หืม?”
“เราวาดภาพไม่ได้แล้วน่ะ”
“หา....?”
“วาดไม่ได้เลย แม้แต่นิดเีดียว ไม่ใช่แค่นั้นนะ แค่ถือพู่กันขึ้นมาก็รู้สึกไม่ดีเหมือนจะคลื่นไส้แล้วล่ะ”
นา งิพูดออกมาโดยไม่มีสีหน้าเหมือนไม่สบายใจอยู่เลย กลับมีน้ำเสียงไม่ต่างไปจากทุกที ดูเหมือนว่าจะเรียกผมมาเพื่ออยากจะระบายเรื่องนี้สินะ แต่ว่า ถึงจะฟังไปก็เท่านั้นล่ะนะ

“อาการแบบนี้ที่เขาเรียกกันว่า สลัมป์ หรือเปล่านะ?” *สลัมป์ หมายถึงสภาพที่ตกต่ำทำอะไรไม่ค่อยได้ดี
“มันไม่ใช่เรื่องที่จะจำกัดความได้ด้วยคำพูดทั่วไปหรอกนะ”

“ถ้างั้นจะเข้าใจได้ยังไงล่ะ”
“กำลังพูดอยู่ไง”
“หมายถึงใครนะ?”
“ตัวเราด้านที่เป็นจิตรกรน่ะ... กำลังเตือนว่า.. ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ละก็อาจจะวาดภาพไม่ได้ไปตลอดชีวิต...... ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด”
“แล้วใครที่เป็นคนฟังอยู่ล่ะ”
กลายเป็นคนสองบุคลิกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ

“นั่น..สินะ..... ตัวเราด้านที่เป็นผู้หญิง... ล่ะมั้ง”

............................
“นั่น..สินะ..... ตัวเราด้านที่เป็นผู้หญิง... ล่ะมั้ง”


ด้านที่เป็นผู้หญิง... งั้นเหรอ

“น่าสนใจจังเลยนะ”
ฉันค่อยๆเดินห่างออกจากประตูห้องอย่างระมัดระวังโดยไม่ส่งเสียง

“อ้าว ยูโกะจัง”
“ค่ะ ยูโกะจังเองค่ะ”
รุ่นพี่คุเซะยังซึ่งคงใบหน้ายิ้มแย้มอย่างสงบเรียบเหมือนทุกที ได้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน


“จะมาหาฮิมุระไม่ใช่เหรอ หมอนั่นไม่ได้อยู่ในห้องศิลปะหรอกเหรอ?”
“ค่ะ แต่เปลี่ยนใจจะกลับไปก่อนแล้วล่ะค่ะ ถ้าไปเกาะแกะเขามากก็อาจจะถูกโกรธเอาได้น่ะค่ะ รุ่นพี่ฮิมุระเนี่ย”
“หมอนั่นยิ่งหัวแข็งอยู่ด้วยล่ะนะ”
“บางทีเขาอาจจะยังไม่ชินกับการถูกใครตามติดน่ะค่ะ”
“โห”
รุ่นพี่คุเซะอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม แต่ฉันไม่ได้รู้สึกภูมิใจอะไร ก็รุ่นพี่ฮิมุระน่ะออกจะเป็นคนง่ายแบบนั้น

“รุ่นพี่คุเซะคะ”
“หา.. มีอะไรเหรอ?”
“นางิซังกับรุ่นพี่ฮิมุระเขา...”
“นางิกับฮิมุระ... ทำไมเหรอ”
“อ้อ เข้าใจล่ะ”
รุ่นพี่คุเซะทำหน้าเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา

“นางิน่ะ ก็คิดแต่เรื่องวาดรูป ส่วนฮิมุระก็คิดแต่เรื่องเรียนกับเรื่องใช้ชีวิตมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้นั่น ล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแบบที่เธอคิดหรอก”
“ได้ยินแบบนั้นก็ค่อยสบายใจหน่อย รุ่นพี่คะ ขอบคุณมากนะคะ”
ฉันยิ้มออกไป

“แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่อาจวางใจได้หรอกนะ ยังไงก็เป็นผู้ชายกับผู้หญิงนี่นะ”
“ได้ยินเรื่องอะไรที่เกินควรเข้าแล้วสินะคะ”
“อย่างเธอน่ะถึงไม่พูดก็คงจะเข้าใจดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันน่ะไม่่ค่อยเข้าใจเรื่องความรักหรอกค่ะ ต่างกับรุ่นพี่คุเซะผู้มากด้วยประสบการณ์”
“ฮะๆ เธอเองก็พูดอะไรเกินเลยเหมือนกันนะ”
พวก เราต่างยิ้มเข้าหากัน รุ่นพี่คุเซะเองก็ค่อนข้างเป็นคนแปลกเหมือนกัน บางทีก็เหมือนจะรู้อะไรไปหมดทุกเรื่อง หรือบางทีอาจจะไม่รู้อะไรเลย ความรู้สึกแปลกๆที่ไม่อาจเข้าใจได้

“คือ... รุ่นพี่คุเซะคะ มีเรื่องจะปรึกษาหน่อยน่ะค่ะ”
“ได้สิ คราวนี้มีอะไรล่ะ”
“ช่วยเป็นพ่อสื่อให้ทีได้มั้ยคะ?”
ถึงจะไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็คงจะไม่ใช่คนที่จะเป็นศัตรูกับฉันอย่างแน่นอน

..................................


พวกพ้องน่ะไม่จำเป็นหรอก แต่ว่าอย่างน้อยก็คงไม่ทำให้ใครเป็นศัตรูไปหรอก ผมพูดอย่างนี้กับตัวเองมาโดยตลอด

“...............”
ทั้งๆที่พยายามที่จะหลีกหนีจากปัญหายุ่งยากมาโดยตลอดแท้ๆ


“รุ่นพี่ฮิมุระ สีหน้าดูไม่่ค่อยดีเลยนะคะ”
“คงไม่ได้กำลังหิวอยู่หรอกนะ?”
“ไม่หรอก บางทีคงกำลังเก็บความต้องการบางอย่างไว้อยู่ เห็นปกติทำหน้าซื่อๆแบบนั้น แต่คงจะอัดอั้นพอสมควรเลยล่ะ”
“อัดอั้นที่ว่านี่ หมายถึงอะไร?”
“ถ้าให้ฉันทายละก็ คงจะไม่ใช่เรื่องดีสินะคะ”
“นี่ พวกเธอน่ะ เลิกคุยไร้สาระแล้วรีบเริ่มอ่านกันได้แล้ว”
หลัง เลิกเรียน จู่ๆยูโกะกับคุเซะก็รี่เข้ามาหาอย่างไม่ทันตั้งตัว ระหว่างที่กำลังตกใจทำอะไรไ่ม่ถูกอยู่นั้นก็ถูกลากเข้าห้องสมุดมาจนได้ แม้แต่นางิก็ตามมาด้วย จากนั้นการติวหนังสือก็เริ่มขึ้น
จะนัดติวกันก็ไม่่ว่าหรอกนะ แต่...

“ฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดีสักหน่อย ทำไมต้องทำสายตาแบบนั้น...”
“รุ่นพี่ฮิมุระ กำลังบ่นอะไรอยู่หรือคะ”
“หมอนี่มันก็เป็นอย่างงี้อยู่แล้วล่ะ”
“บอกว่า ให้แต่ขยับมือ ปากอย่าขยับด้วยไง ว่าแต่ ทำไมแม้แต่คุเซะก็มาร่วมติวด้วยล่ะ นายน่ะแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับการสอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“แหม ฉันเองก็อยากจะได้คะแนนพอที่จะไม่อายใครเหมือนกันนี่นา”
“เชิญตามสบายเถอะ”
ผมพูดจบก็เริ่มเปิดสมุดโน้ตของตัวเอง

“ว่าแต่ ฉันอยากได้คนเก่งระดับท็อปชั้นปีอย่างรุ่นพี่ฮิมุระมาช่วย...”
“อ่านเองไปเถอะ”
“ยังคงเย็นชาไม่เปลี่ยนเลยนะคะ ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ฉันทำพวกคณิตศาสตร์ไม่ไหวจริงๆนะคะ”
“งั้นก็ดีเลย ดูเหมือนว่าฮิมุระคุงคนนี้น่ะตั้งแต่เรียนมาจะยังไม่เคยทำข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ผิดเลยล่ะ”
“โห... แบบนั้นมันไม่ออกจะเยี่ยมเกินไปหน่อยหรือคะ”
“จะเป็นแบบนั้นได้ไงเล่า คนเรามันก็ต้องมีผิดพลาดบ้างอยู่แล้วสิ”
ถึงอย่างงั้น จำนวนครั้งที่ผิดไปก็น้อยจริงๆนั่นแหละ

“เอาเถอะ ถ้าหากมีเรื่องที่ไม่เข้าใจละก็ จะช่วยสอนให้ละกัน”
“ใจดีไม่สมกับเป็นยูเลยนะ”
ผมเริ่มหันมาจ้องใส่นางิที่พูดขึ้นมา

“แต่ฉันเชื่อนะคะ ว่ารุ่นพี่เป็นคนใจดี”
“ไม่รู้ทำไมนะ อารมณ์อยากสอนมันชักจะเริ่มๆหายไปซะแล้วสิ”
ดูเหมือนจะเลือกกลุ่มติวผิดจริงๆนั่นแหละ ปล่อยไว้แบบนี้ผลการเรียนอาจตกได้จริงๆนะนี่

“รุ่นพี่คะ ช่วยดูข้อนี้ให้ทีค่ะ”
“อื้อ”
ผมมองเ้ข้าไปในหนังสือเรียนที่ยูโกะยกขึ้นมาให้ดู

“อะไรของเธอน่ะ ขนาดคำถามง่ายๆแค่นี้....”
ปัง... ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปิดหนังสือเรียนขึ้น

“เงียบที!”
“หืม?”
จริงๆมันก็ควรจะเงียบอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าจะต้องเงียบเพราะคุเซะบอก

“นายได้ยินหรือเปล่า ฮิมุระ”
“หมายถึงอะไรกันน่ะ”
ไม่ใช่แค่ผม แม้แต่ยูโกะกับนางิก็มองคุเซะด้วยท่าทีประหลาดใจ

“มันกำลังมาแล้ว”
“กำลังมา?”
ช่วงที่กำลังถามกลับ ทันใดนั้นก็เกิดการสั่นไหวรุนแรงขึ้น ภายในห้องสมุดเต็มไปด้วยเสียงร้องตกใจ


“แผ่นดินไหว........!”
ผมพูดสิ่งที่รู้ได้โดยไม่ต้องคิดออกมาทันที แต่ก็ทำใจให้สงบลงได้ในไม่ช้า และเริ่มเกิดความคิดแว้บขึ้นในหัว สิ่งที่ผมควรจะทำ...

“ยูโกะ!”
ผมมองไปขณะที่ตะโกนขึ้น


ใน สภาวะที่แตกตื่นภายในห้องสมุดนั้น มีเพียงอามะมิยะ ยูโกะที่ยังคงสงบนิ่ง สีหน้าแทบจะไม่แสดงออกถึงความรู้สึกเลย... ใบหน้าราวกับคนตาย... ผมรู้สึกเช่นนั้น
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น แผ่นดินไหวก็ได้เริ่มเบาลง

.........................................
“นานพอดูเลยทีเดียว แผ่นดินไหวประมาณระดับ ๔ ได้ล่ะมั้ง” (*หน่วยวัดความแรงแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นมีตั้งแต่ระดับ ๑ เบาสุด ไปจนถึงระดับ ๗ แรงสุด)
พอแผ่นดินไหวสงบลงไปสักพัก คุเซะก็พูดขึ้นราวกับบ่นรำพึงคนเดียว
ห้องสมุดยังคงเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกอยู่

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรถล่มลงมานะ ยังไงก็จะไปดูเพื่อความแน่ใจกันหน่อยมั้ย”
คุเซะลุกออกจากที่ แล้วก็ลับหายไปตามมุมของตู้หนังสือ
บางทีหมอนั่นเองก็อาจจะกำลังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์เมื่อกี้อยู่ก็ได้

“ตกใจหมดเลยนะคะ”
“อะไรนะ? เธอเองก็ออกจะดูท่าทางเงียบสงบไม่ใช่เหรอ”
เงียบซะจนออกจะดูน่ากลัว

“เปล่าค่ะ เห็นตัวแข็งออกแบบนั้น แต่ในใจนี่ตกใจมากเลยล่ะค่ะ สงสัยคนที่มีประสบการณ์แผ่นดินไหวมาก็คงจะเป็นแบบนี้กันสินะคะ”
“งั้นเหรอ”
ฟังดูออกจะเหมือนโกหก แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปสงสัยอะไร

“นี่ นางิ แล้วเธอล่ะ...”
นางิดูตัวแข็งไปเลย

“..............”
แถมยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำเลย

“นางิซัง ดูท่าจะได้รับแรงช็อคไปพอสมควรเลยนะคะ”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างงั้นล่ะนะ...”
นางิเองก็คงจะเคยผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวแบบนี้มา จะมีอาการแบบนี้ก็คงจะไม่แปลก


“นางิ... เฮ่ย...”
ผมเอามือจับที่ไหล่บางๆของนางิแล้วเริ่มเขย่า
ถึงอย่างงั้น นางิก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว

“นางิ”
“.....ไม่เป็นไร”
ในที่สุด นางิก็พูดออกมาคำหนึ่ง... พูดออกมาแค่นั้น

“ค่อยยังชั่วหน่อยนะ แต่ดูท่าจะไม่ใช่บรรยากาศที่จะเรียนได้แล้วล่ะนะ”
“นั่นสินะคะ น่าเสียดาย แต่ยังไงก็คงจะไม่มีสมาธิิแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้าคุเซะกลับมาเมื่อไหร่ก็ไปเลยดีกว่า แล้วนางิล่ะว่าไง”
นางิพยักหน้าขึ้นด้วยท่าทีราวกับหุ่นยนต์ ยัยนี่ไม่เป็นอะไรแน่หรือนี่?

“รุ่นพี่ฮิมุระคะ”
ยูโกะยิ้มขึ้นทั้งๆในท่ามกลางบรรยากาศที่ยังคงวุ่นวายของห้องสมุด


“ขอบคุณนะคะ”
“พูดอะไรของเธอน่ะ”
“เมื่อตะกี้นี้มีเรียกชื่อฉันไม่ใช่หรือคะ”
“..............”
“ดีใจจังนะ ดีใจจริงๆเลยค่ะ แค่ถูกเรียกชื่อก็ดีใจถึงขนาดนี้แล้ว คงจะแปลกสินะคะ”
“ไม่รู้...”
ผมพยายามหลบรอยยิ้มนั้นด้วยการเงียบ
รู้สึก เหมือนทำอะไรที่ไม่สมกับเป็นตัวเองออกไปเลย แต่ว่า ตะกี้เหมือนผมจะคิดถึงยูโกะก่อนอะไรทั้งหมดจริงๆ ลืมทั้งเรื่องความกลัว ลืมเป็นห่วงตัวเอง แต่กับเรื่องของยูโกะ.....

 

........................



ผมเดินออกจากประตูโรงเรียนพร้อมกับยูโกะและนางิ
คุเซะดูเหมือนจะยังมีธุระอะไรบางอย่าง เลยยังอยู่ที่โรงเรียน

“รุ่นพี่ฮิมุระคะ วันนี้ต้องไปทำงานอีกหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า พอดีเป็นช่วงก่อนสอบ เขาเลยให้หยุด”
เจ้า นายที่ร้านกาแฟบอกผมว่า ไม่ควรลืมเรื่องที่ตัวเองมีหน้าที่ต้องเรียน ก็เลยไม่ได้ให้งานผมทำในช่วงนี้ รายได้ลดลงก็คงจะแย่อยู่ แต่ถ้าผลการเรียนแย่จนหลุดจากทุนไปคงจะแย่ยิ่งกว่า เพราะงั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

“มีอะไร หรือว่ายังอยากจะให้ช่วยสอนอยู่เหรอ?”
“จะว่างั้นก็ใช่อยู่หรอกค่ะ......”

“ฮิมุระคุง”
พอได้ยินเสียงคนเรียก ทั้งผมและยูโกะก็หันกลับไป


“เดินกลับกันพร้อมหน้าเชียวนะ”
“พี่นั่นแหละ กลับเร็วจังนะคะ”
พอลองมองดูนาฬิกา ตอนนี้ยังไม่ ๕ โมงเลย นี่ไม่น่าจะใช่เวลากลับบ้านของคนทำงาน

“อ่อ วันนี้มีธุระนิดหน่อยน่ะ เลยขอกลับก่อน”
“เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือคะ?”
“ใช่ เพราะงั้นเลยจะไปที่บ้านของอาจารย์ฮิโรโนะหน่อยน่ะ”
อามะมิยะหันมามองทางนางิ

“พอดีเลย ฮิโรโนะซัง ไปด้วยกันมั้ย”
“ไม่”
“เอ๋?”


“หนูจะกลับคนเดียว ไม่ว่าใครก็ห้ามตามมานะ”
พอพูดจบ นางิก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

“ฮิมุระคุง มีไปทำอะไรเธอไว้หรือเปล่า”

“แล้วทำไมอยู่ดีๆมาคิดว่าผมเป็นคนทำล่ะครับ”
ชอบคิดไปเองอยู่เรื่อยเลย ครูศิลปะคนนี้

“ยัยนั่นน่ะ ดูเหมือนจะกำลังช็อคกับแผ่นดินไหวเมื่อตะกี้อยู่น่ะครับ”
“หืม...? ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่าฮิโรโนะซังจะเป็นอะไรมากกับแค่แผ่นดินไหวระดับนั้น ยังไงก็เถอะ ฉันจะตามไปดูละกัน ยังไงก็เป็นลูกสาวของผู้มีพระคุณ ก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้”
“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ”
“งั้น ยูโกะ จะแวะไปไหนก่อนก็ได้แต่ขอให้กลับภายในเวลาอาหารเย็นนะ”
“ค่ะ เข้าใจแล้ว”
พอยูโกะตอบ อามะมิยะก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มประหลาดขึ้น

“จะไปแวะบ้านก็ได้ แต่ว่าห้ามค้างคืนนะ”
“พี่คะ!”
“ไปล่ะ”
อามะมิยะเดินออกไปด้วยท่าทีเหมือนจะหลบเสียงเกรี้ยวกราดของยูโกะ

“คงจะลำบากใจแย่เลยสินะ”
“ค่ะ ก็คงอย่างงั้น...”
ยูโกะถอนหายใจ
ต่อให้เป็นยูโกะก็เถอะ มีพี่ชายแบบนี้ก็คงจะน่าลำบากใจเหมือนกันนะ

“เอาเถอะ ยังไงก็เป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว คงทำอะไรไม่ได้ล่ะนะ”
“เฮ้อ... นั่นนะสิคะ”


ผมค่อยๆเดินไปช้าๆโดยมียูโกะเดินอยู่ข้างๆ เธอยังคงเดินใกล้เหมือนอย่างทุกทีแต่ครั้งนี้ผมกลับไม่มีความรู้สึกอยากบ่นแล้ว

“เรื่องนั้นช่างเถอะค่ะ ว่าแต่ไหนๆก็ได้รับคำอนุญาตจากพี่แล้ว เราไปแวะที่ไหนกันก่อนดีมั้ยคะ?”
“ฉันไม่ได้หยุดงานเพื่อที่จะมาเล่นกับเธอนะ”
“ไม่ได้เล่นนะคะ ถ้าฉันจะขอคุยเรื่องจริงจังด้วยจะได้มั้ยคะ?”
“ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ฉันไม่อยากจะต้องมาใช้สมองไปอย่างเปล่าประโยชน์”
“แต่ว่า คงจะช่วยมาด้วยได้นะคะ?”
ยูโกะหันมามองผมด้วยสายตาที่ไร้เดียงสา แล้วเข้ามาจับมือผมไว้แน่น


“.............”
แน่นอนว่าผมไม่ได้จับมือกลับ และไม่ได้คิดที่จะให้คำตอบอะไร

..........................


ในโบสถ์นั้นอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่สงบร่มรื่น พอมาอยู่ในนี้แล้วความรู้สึกใจสงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“ว่าแต่ มากี่ทีก็ดูเงียบเหงาไร้ผู้คนอยู่ตลอดเลยนะ ที่นี่น่ะ”
“เป็นสถานที่ที่ดีในการอยู่กันลำพังสองคนนะคะ”
“คิดอะไรน่ะ นี่มันสถานที่สำหรับการอธิษฐานนะ”
“รุ่นพี่เชื่อเรื่องพระเจ้าหรือเปล่าคะ”
“จะบ้าเหรอ ถ้าพระเจ้าอะไรนั่นมีอยู่จริงละก็ ป่านนี้คงโดนฆ่าไปแล้วล่ะ เพราะว่าในโลกนี้น่ะ คงจะมีคนที่โกรธแค้นในโชคชะตาของตัวเองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว”
พอพูดไปอย่างงี้แล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพูดเรื่องอะไรที่ไร้สาระอยู่ยังไงยังงั้น

“นี่นะเหรอ เรื่องจริงจังที่เธอต้องการจะพูด?”
“คิดว่าเรื่องมันลึกซึ้งดีน่ะค่ะ แต่ก็ไม่ได้น่าสนใจถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“เธอเนี่ยชอบเปลี่ยนเรื่องพูดอยู่เรื่อยเลยนะ”
ยูโกะยิ้มขึ้น เป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา ไร้เดียงสาเกินไปจนราวกับจงใจทำเพื่อกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง

“คำพูดของเธอเนี่ย ไม่ค่อยจะเข้าใจเลยว่าอันไหนพูดจริง อันไหนพูดเล่น”
“เรื่องแบบนี้ ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวหรอก ไม่ว่าใครก็ต้องมีหลายหน้ากันทั้งนั้น”
“หน้า งั้นเหรอ”
บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น ทั้งยูโกะและตัวผมเอง หรือแม้แต่คนอย่างคุเซะ ไม่ว่าใครก็คงจะมีด้านที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นอยู่


“นางิซังน่ะ”
“นางิ?”
อ้อ จะว่าไป ยัยนั่นเองก็ด้วย ยัยนั่นเท่าที่ผมรู้จัก จะว่ามีนิสัยที่ดูออกง่ายที่สุดแล้วก็ได้ แต่......

“นางิซัง ไม่เป็นไรสินะคะ”
“ถึงจะแปลกใจนิดหน่อย แต่คงงั้นล่ะนะ อามะมิยะเองยังบอกว่าคิดไม่ถึงเลย แต่ก็คงจะเพราะเป็นห่วงจริงๆล่ะนะ”
ต่อให้เคยเจอประสบกับแผ่นดินไหวแบบไหนมาก็เถอะ ท่าทีของนางิก็ยังถือว่าผิดคาดเกินไปสำหรับผมอยู่ดี

“เพราะนางิซังน่ะ เป็นผู้หญิงไงล่ะคะ”
“ต่อให้ไม่ใช่ผู้หญิง แผ่นดินไหวก็ยังน่ากลัวอยู่ดีแหละ”
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นหรอกค่ะ”
ยูโกะยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“นางิซังเนี่ย สวยจังเลยนะคะ”
“สวย......?”
“รุ่นพี่ฮิมุระเองก็ไม่ปฏิเสธใ่ช่มั้ยล่ะคะ?”
“จะว่างั้นก็ใช่”
นางิน่ะแทบไม่เคยทำอะไรอย่างที่ผู้หญิงเขาทำเลย อย่างน้อยก็เรื่องวาดรูปเปลือยที่ห้องศิลปะในตอนนั้น

“หน้าตาก็ดูสมส่วน ท่าทีก็ดูดี ผิวก็สวย นิสัียก็ดูสมกับเป็นผู้หญิงด้วยล่ะค่ะ”
“เดี๋ยวสิ ไอ้อย่างสุดท้ายนี้ฉันว่าไม่ใช่แล้วล่ะ”
ผมไม่เห็นจะรู้สึกว่านางิดูสมกับเป็นผู้หญิงตรงไหนเลย ดูจากนิสัยแบบนั้นแล้ว

“ไม่่ค่ะ นางิซังน่ะดูสมกับเป็นผู้หญิงออกนะคะ ฉันยังรู้สึกชื่นชอบเธอเลย”
“คิดยังไงถึงไปชื่นชอบยัยนั่นล่ะนี่”
ยูโกะทำหน้าเหนื่อยใจเล็กน้อย หยุดเท้าลงแล้วหันมาจ้องหน้าผม

“รุ่นพี่คะ ทำไมนางิซังถึงได้ช็อคถึงขนาดนั้น ไม่เข้าใจอีกหรือคะ?”
“อย่างที่บอกล่ะ เพราะกลัวแผ่นดินไหวไม่ใช่เหรอ?”
“คิดว่าไม่ใช่หรอกค่ะ”
“ก็ไ่ม่เห็นจะมีเรื่องอื่นให้ต้องตกใจเลยไม่ใช่เหรอ”
ยูโกะทำท่าถอนหายใจเล็กน้อย

“เรื่องที่ทำให้ฉันดีใจน่ะ กลับเป็นเรื่องที่ช็อคสำหรับนางิซังไงล่ะคะ”
“พูดอะไรของเธอน่ะไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“รุ่นพี่ฮิมุระเนี่ยเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆเลยนะคะ”
ยูโกะยิ้มแล้วพูดขึ้น

“ที่หัวช้ากับเรื่องแบบนี้ เพราะมัวเอาหัวไปคิดแต่เรื่องเรียนสินะคะ”
“พูดงี้คิดจะหาเรื่องกันหรือไง?”
ยูโกะหันหลังออกไปทั้งที่ยังยิ้มอยู่


“รุ่นพี่ฮิมุระ ฉันน่ะ จะไม่ยอมแพ้นางิซังหรอกค่ะ”
“คิดจะแข่งอะไรกันกับยัยนั่นกันน่ะ”


“รุ่นพี่คะ ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆสินะคะ ทั้งๆที่อยากจะให้เข้าใจ แต่ว่าคงจะได้แค่คิดเท่านั้นสินะคะ..... เพราะฉะนั้น ฉัน.....”
ยูโกะเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว

“ถ้าเป็นรุ่นพี่ฮิมุระละก็ฉันจะให้ได้เห็น ไม่สิ ฉันอยากให้คุณได้เห็น”
“เห็นอะไรกัน”
“ตัวฉันที่แท้จริง..... น่ะค่ะ”


ริมฝีปากที่เย็นเฉียบ รู้สึกได้ถึงความเบาบางและอ่อนนุ่ม

“ยูโกะ......?”
“แหม ไม่เห็นจะต้องตกใจถึงขนาดนั้นเลยก็ได้นี่คะ”
ผมค่อยๆลูบปากตัวเองดูเบาๆ ไม่ผิดแน่ ผมกับยูโกะได้สัมผัสปากกันเบาๆตะกี้นี้

“คิดอะไรของเธออยู่น่ะ?”
“ดูสงบนิ่งกว่าที่คิดนะคะ รุ่นพี่เนี่ย ทุกทีแค่ฉันเข้าใกล้หน่อยก็ตกใจแล้ว เลยคิดว่าจะตกใจมากกว่านี้ซะอีก”
“......ต้องการจะให้ฉันตกใจเล่นใ่ช่มั้ยนี่”
แค่จูบน่ะไม่ใ่ช่เรื่องที่จะต้องโวยวายอะไร เพียงแต่... เพราะได้สัมผัสกับส่วนหนึ่งของร่างกาย

“รุ่นพี่ฮิมุระไม่เชื่อสินะคะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่ฉันชอบรุ่นพี่ไงล่ะคะ ทั้งที่บอกออกมาทั้งถ้อยคำและการกระทำแล้วแท้ๆ แต่รุ่นพี่กลับ...”
เรื่องนั้นก็เข้าใจอยู่หรอก ยูโกะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างแน่วแน่เต็มที่สุดๆจริงๆ
แต่ว่าผม...


อากาเนะ...
นึกถึงเรื่องของอากาเนะขึ้นมาอีกแล้ว
กับยูโกะที่ทำให้นึกถึงเรื่องของน้องสาวขึ้นแล้ว จะให้รู้สึกว่ายังไงดีล่ะ

“รุ่นพี่คะ”
ยูโกะเริ่มทำหน้าเหมือนกำลังโกรธอยู่เล็กน้อย

“......มันคงจะดูเหมือนกับละครน้ำเน่าสินะคะ ไม่ว่าใครจะตายไป ก็จะมีชีวิตอยู่ในใจของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตลอดไป”
กำลัีงจะพูดอะไรน่ะ

“รุ่น พี่ก็เป็นเช่นนั้นล่ะค่ะ ปล่อยให้คนที่ตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ในจิตใจ ทั้งที่ถึงจะทำแบบนั้นแล้ว คนที่ตายไปแล้วก็ไม่อาจจะกลับมามีชีวิตได้อยู่ดี”
ยูโกะพูดขึ้นมาแล้วเริ่มกัดปากแน่น
ต่อ ให้ไม่พูดถึงขนาดนั้น ทั้งเรื่องที่อากาเนะไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว ทั้งเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไรที่จะเอายูโกะไปเปรียบกับอากาเนะ
ถึง อย่างงั้น การที่ยึดติดอยู่กับเรื่องที่ไม่มีความหมายอะไรแบบนั้นนี่ล่ะ คือมนุษย์ คือตัวผมเอง จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังคงนึกถึงมันอยู่อีก

.............................
หลังจากออกมาจากโบสถ์ พวกเราก็ออกเดินไปด้วยกันต่อ
จะได้กลับบ้านสักทีค่อยยังชั่วหน่อย ไม่สิ ทั้งที่ควรทำแบบนั้นแต่แรกแต่ทำไมผมถึงเลือกที่จะมากับยูโกะนะ

“คงต้องแบบนั้นล่ะค่ะ จะได้ไม่ไปฝืนเอาตอนสอบ ถ้าไม่เข้าโรงเรียนที่เหมาะกับความสามารถตัวเองละก็คงจะลำบาก”
“ถ้าคิดแต่ว่าไม่ไหวอยู่ละก็ จะทำได้แค่นั้นอยู่ต่อไปนะ”
“ไม่ไหวๆ ฉันคงไม่ไหวหรอกค่ะ”
ยูโกะไม่ได้พูดน้อยลงไปกว่าเดิมเลย กลับพูดมากขึ้นกว่าปกติ ตั้งแต่เมื่อตะกี้ก็พูดไม่หยุดเลย

“ถึง จะบอกว่าคนเราต่างก็มีเรื่องที่ตัวเองถนัดหรือไม่ถนัดก็เถอะ แต่ทั้งการเรียนและกีฬาก็ไม่ไหว ยิ่งเรื่องศิลปะนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย คนแบบนี้น่ะคงจะมีอยู่ไม่น้อยเลยนะคะ
อ้อ พอลองคิดดูแล้ว รอบๆตัวฉันนี่ก็มีคนที่เกี่ยวกับวงการศิลปะทั้งนั้นเลยนะคะ ทั้งนางิซัง รุ่นพี่คุเซะ รุ่นพี่ฮิมุระ”

“ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องศิลปะสักหน่อย ว่าแต่ อามะมิยะเองก็อยู่ในวงการด้วยไม่ใช่เหรอ”
“อ้อ นั่นสิๆ ลืมคนสำคัญไปได้ไงกันนะ”
ยูโกะยิ้มขึ้นแล้วทำท่าเคาะหัวตัวเองเบาๆ


เธอกำลังปกปิดอะไรอยู่กันนะ
ตัวเธอที่แท้จริง..... ความหมายของจูบนั่น.....
ผมพยายามจะคิดซะว่าทั้งหมดนั่นเป็นเพียงคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไร

“ว่าไปแล้ว ยูโกะ”
“คะ?”
“ที่อามะมิยะพูดนั่น หมายถึงอะไร?”
“เอ๊ะ? อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ พี่น่ะ อาจจะลาออกจากโอโตวะในปีนะค่ะ”
“หืม? ถ้างั้นทำไมถึงต้องไปหาพ่อของนางิล่ะ”
“คนที่แนะนำให้พี่ไปทำงานที่โอโตวะก็คือคุณพ่อของนางิซัง อาจารย์ฮิโรโนะน่ะค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
เพราะงั้นถ้าจะออกจากงานก็เลยต้องไปคุยกันสักหน่อยสินะ

“หมอนั่นจะย้ายไปทำงานที่โรงเรียนอื่นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ฉันก็ไม่่ค่อยรู้เรื่องนี้เหมือนกัน รู้สึกว่า.....”
ยูโกะเงียบลงแล้วก็เริ่มนึก

“เห็นบอกว่าจะเลิกเป็นครูแล้วหันมาทำเกี่ยวกับการบูรณะฟื้นฟูเมืองน่ะค่ะ”
“ฟังดูเป็นการเป็นงานจังนะ”
อย่าง ที่รู้ว่าตอนนี้เมืองกำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะฟื้นฟู มันเป็นแผนที่ต้องสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จะใช้เวลานานหลายสิบปีก็ไม่แปลกอะไร

“อามะมิยะจะไปทำงานแบบไหนกันน่ะ?”
“ไม่รู้สิ ฉันเองก็รู้แค่นั้นล่ะค่ะ พี่น่ะ ได้ยินว่าเมื่อสมัยเป็นนักเรียนก็เคยทำเกี่ยวกับการออกแบบมาเหมือนกันนะคะ”
“ออกแบบเหรอ.....”
จำได้ว่านางิเคยบอกว่าคนที่จบด้านศิลปะมาแล้วไปทำงานต่อด้านออกแบบก็มีอยู่มาก

“อาจจะเหมาะกับรุ่นพี่ฮิมุระก็ได้นะคะ เรื่องออกแบบ เรื่องสร้างเมือง”
“หา? ยังไงกัน”
“ชอบวาดรูปเมืองไม่ใช่หรือคะ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย......”
“นอกจากนี้ เป็นดีไซเนอร์มันก็ดูดีไม่ใช่หรือคะ”
“เป็นเด็กที่ชื่นชอบงานแบบตะวันตกเหรอไงกัน เธอน่ะ”
แค่เหตุผลว่า “ดูดี” อย่างเดียวน่ะใช้ตัดสินใจเลือกเส้นทางอนาคตไม่ได้หรอก
ทั้งตอนนี้และในอดีตเรื่องวาดรูปก็เป็นแค่งานอดิเรกเท่านั้นเอง ไม่เคยคิดจะทำเป็นงานเลยสักนิด

“แต่ฉันคิดว่าเหมาะน่ะค่ะ รู้สึกเช่นนั้นจริงๆนะคะ”
“อย่ามาตัดสินอนาคตด้วยความรู้สึกสิ”
ถึงผมจะยังไม่ได้ตัดสินใจเส้นทางในอนาคตไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ยูโกะมาตัดสินใจแทนได้

“เรื่องของตัวเองก็ต้องตัดสินใจเองสิ”
“เรื่องของตัวเอง...... นั่นสินะคะ”
ยูโกะยิ้มขึ้น

“รุ่นพี่คะ ช่วยไปด้วยกันอีกสักที่ได้มั้ยคะ?”
ผมทอดสายตามองไปที่บริเวณปากของยูโกะแล้วก็คิดขึ้นว่า ยูโกะก็อยู่ในวัยที่ถ้าจะเคยมีความรักแล้วสักครั้งสองครั้งก็คงไม่แปลก
อยากรู้เรื่องของยูโกะในช่วงก่อนหน้าที่แยกจากกัน อยู่ดีๆผมก็คิดเช่นนั้นขึ้นมา

..............................


คลื่นต่ำๆได้ซัดเข้ามาเป็นจังหวะเอื่อยๆสบายๆ ผิวทะเลที่ส่องเป็นประกายด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นโยกไหวไปมา ผมหรีตาลงเมื่อแสงจ้ากระทบตา

“ไม่ได้มาเที่ยวทะเลตั้งกี่ปีแล้วก็ไม่รู้นะคะ”
ยูโกะดูท่าจะดีใจมากทีเดียว

“สมัยที่อยู่สถานรับเลี้ยง คุณครูก็เคยมีพามาเหมือนกันนะคะ”
“จะว่าไปแล้ว ก็เหมือนจะเคยอยู่หรอก แต่่ว่านั่นมันนานมากเลยนะ”
แถมยังไม่ใช่โอกาสอะไรพิเศษด้วย ก็แค่คุณครูเกิดอยากเล่นขึ้นมาก็เลยพามาเท่านั้นเอง ก็แค่ความทรงจำอย่างหนึ่งที่ไม่ได้สำคัญอะไร

“รุ่นพี่สนใจเล่นน้ำทะเลหรือเปล่าคะ?”
“ไม่สนหรอก แค่ฤดูร้อนเมื่อปีก่อนโดนคุเซะบังคับให้มาด้วยเท่านั้นล่ะ”
จะว่าไปก็ เริ่มเข้าสู่ฤดูเล่นน้ำทะเลแล้วสินะ ปีนี้ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนคุเซะลากมาเพราะงั้นสบายใจได้

“ดีจังเลยนะ ฉันเองก็อยากเล่นบ้าง....”
“จะเล่นก็ได้ไม่ใช่เหรอ ไว้สอบเสร็จแล้วค่อยมาใหม่ก็ได้นี่นา”
“มันก็ได้อยู่หรอกนะคะ แต่ว่าฉันน่ะ......”


ยูโกะมองไปที่แขนตัวเอง
แม้ว่าพระอาทิตย์จะเริ่มใกล้ขอบฟ้าจนทำให้อากาศร้อนเริ่มคลายลง แ่ต่ก็ยังคงรู้สึกร้อนอยู่ ใส่เสื้อแขนยาวปิดสนิทแบบนั้น.....

“โทษที”
“.....แหม รุ่นพี่ฮิมุระขอโทษด้วย”
“อย่าทำเป็นเล่นกับคำขอโทษของคนอื่นได้มั้ย”
“ฮะๆๆ ขอโทษค่ะ”
ทีเธอยังขอโทษเลย

“ขอโทษจริงๆ”
“รุ่นพี่คะ อยากดูมั้ยคะ?”
“อีกแล้วเหรอ...... คราวนี้อะไรอีกล่ะ?”
“แน่นอน ความลับของฉันไงล่ะคะ”
ยูโกะเริ่มถูที่แขนเสื้อเบาๆ มีเหงื่อซึมออกมาจากมือที่กำลังกำอยู่ แสดงให้เห็นว่านี่เป็นเพราะอากาศร้อน

“ฉันไม่สนที่จะรู้เรื่องความลับของคนอื่นหรอก”
“ว่าแล้ว ไม่อยากจะดูของที่ไม่น่าดูสินะคะ”
“ไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย ไม่ต้องห่วง เธอไม่จำเป็นจะต้องฝืนอะไรหรอก”
ยูโกะหัวเราะขึ้น ที่เห็นท่าทางเหมือนกับว่ากำลังเสียดายอยู่หน่อยนั่นคิดไปเองงั้นเหรอ

ผมทอดสายตามองไปที่ชายหาด ยูโกะก็หันไปมองเช่นกัน
ที่นี่ซึ่งมีลมชายฝั่งพัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเย็นขึ้นมาเล็กน้อย

“ฉันเองก็คิดเหมือนรุ่นพี่ล่ะค่ะ”
“คิดเหมือน?”
“พระเจ้าน่ะ ไม่มีอยู่ที่ไหนหรอกค่ะ”
ผมยาวของยูโกะได้พลิ้วไหวไปตามลม

“เพราะ ว่าพระเจ้าไม่มีอยู่ ถึงได้มีเรื่องที่เศร้าและเจ็บปวดเกิดขึ้นมากมาย ถ้าหากว่ามีพระเจ้าอยู่จริงๆละก็ อยากจะให้ช่วยทำให้โลกนี้ดูสวยงามขึ้นกว่านี้ ไม่มีเรื่องอะไรให้เจ็บปวด คนทุกคนมีน้ำใจ ไม่มีใครที่จะต้องอยู่อย่างเดียวดาย.....”
“โลกที่อะไรก็สบายไปหมดแบบนั้นน่ะ ไม่มีหรอก”
“ค่ะ นั่นสินะคะ ถึงได้บอกว่าอยากได้โลกแบบนั้น”
“.....งั้นเหรอ”
โลกที่ไม่มีเรื่องอะไรให้เจ็บปวด คนทุกคนมีน้ำใจ ไม่มีใครที่จะต้องอยู่อย่างเดียวดาย
ผมเอง ถ้าโลกแบบนั้นมีอยู่จริงๆก็รู้สึกอยากที่จะเจอเหมือนกัน

ใช่ เมื่อก่อนผมก็เคยหวังเอาไว้ ว่าถ้าได้ทานอาหารอร่อยๆทุกวัน รายล้อมไปด้วยผู้คนที่ใจดี ไม่ว่าเวลาไหนก็ยังคงยิ้มอยู่ได้
เคยรู้สึกอยากให้ช่วงเวลาที่มีความสุขกับน้องสาวอย่างตอนนั้นดำเนินอยู่ต่อไป เพื่อน้องสาว จึงตั้งใจสร้างเส้นทางนั้นขึ้นมา
บางที หากว่าไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวและไฟไหม้ในครั้งนั้น ผมเองก็อาจจะกำลังได้ทำเพื่อสิ่งนั้นอยู่ก็ได้

“ยูโกะ”
“คะ?”
“ฉันจะ.....”
......ช่วยอะไรเธอได้บ้าง?
ผมพูดค้างไว้แล้วกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป

เธอคงกำลังเก็บงำอะไรบางอย่างไว้อยู่ เป็นอะไรที่สาหัสมากถึงขนาดจะทำลายตัวเธอเองเข้าได้สักวัน ไม่เช่นนั้นคงไม่คิดพยายามเสาะแสวงหาโลกใหม่แบบนี้
แต่ว่า........ ผมไม่ใช่พระเจ้า

“เปล่า ไม่มีอะไร”
บางที ผมอาจจะกำลังคิดให้ยูโกะมาแทนที่อากาเนะอยู่จริงๆก็ได้ ไม่ได้ ต้องพยายามไม่คิดหวังให้ยูโกะมาเป็นตัวแทนสิ

“แปลกคนจริงๆ”
“ก็ไม่แปลกเท่าเธอหรอก”
ผมมันก็แค่คนธรรมดาคนนึง แค่อยากจะปกป้องคนใกล้ตัว แค่คนธรรมดาที่ไม่อาจจะอยู่โดยไร้ซึ่งความปรารถนาใดๆได้



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- บันเทิง >> เกม >> vn

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ