“แค็กๆ”
ผมกำลังเดินลัดเลาะผ่านระเบียงอันปกคลุมเต็มไปด้วยควันไหม้ ผมไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แต่เพียงว่าต้องรีบหาทางหนีออกสู่ที่ที่ไร้ควันให้เร็วที่สุด เพื่อจะหลีกพ้นจากความทรมานตรงนี้ให้ได้
“ค็อกๆ”
ตอนนี้ระเบียงอบอวนด้วยควันเพลิง บ้างก็เจอประกายแสงส้ม กระแสลมแรงอันร้อนผ่าวไหลอาบแก้มอยู่ประปราย รู้สึกราวกับเส้นผมจะถูกแผดเผาปรายลง ได้ยินเสียงคล้ายอะไรบางอย่างแตกออกก้องดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็เกิดเสียงดังอึกทึก
“ทางออกอยู่ไหน...”
ผมอาศัยเพียงความจำที่พอจะมีอยู่ เกาะพิงผนังพลางเดินออกไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็เห็นพวกผู้ใหญ่กำลังวิ่งพลางส่งเสียงอื้ออึงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก้องดังอยู่ทั่วภายในโรงพยาบาล
ทางออกอยู่ตรงนั้นหรือเปล่านะ? ผมคิดเช่นนั้นและก็เดินโซซัดโซเซออกไป ทันใดนั้นภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าพลันปรากฏเป็นแสงสีส้มขึ้น
“หวา!?”
เปลวเพลิงอันเจิดจ้า ที่เห็นเป็นสีส้มเมื่อครู่นี้ พอได้มองในระยะใกล้แล้วก็กลับเห็นออกเป็นสีเลือด เปลวเพลิงมหึมาที่เผาไหม้และกลายเป็นเถ้าถ่าน ราวกับกลืนกินทุกสิ่งไปสิ้น
เปลวเพลิงที่โยกไหวดังกับมีชีวิต ราวกับกำลังกวักมือเรียกหาผมอยู่ยังไงยังงั้น
“หึย!”
ไอร้อนนั้นได้แผดเผาที่ผิวของผม เจ็บปวดแสบราวกับควันไฟนั้นได้พรูเข้าลำคอ เสียดแทงเข้ายังตา อีกทั้งเสียงอึกทึกที่มาพร้อมกับแสงสีแดงที่อยู่ตรงหน้านั้นได้บีบเร้าจิตใจด้วยความหวาดกลัว
“อุ หวา อา... !”
ผมผละหนีจากความกลัวตรงหน้า แล้ววิ่งออกไป วิ่งบึ่งไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเปลวเพลิง หนีจากความกลัวและความกังวลที่แทบไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ในหัวเต็มไปด้วยความคิดเช่นนั้น ร่างกายถูกปลุกเร้าด้วยความกลัว
จากนั้นผมก็วิ่งผ่านระเบียงที่อบอวนไปด้วยควันไฟและความมืดมิด ภายในดวงตาที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตานั้นมองเห็นได้แต่เพียงเลือนราง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ
ไม่มีแม้แต่เวลาที่จะมานึกถึงแผนที่ทางเดินของโรงพยาบาลอีกแล้ว ขอแค่หนีออกจากเปลวเพลิงนี่ให้ได้ แค่นั้นก็พอ จะวิ่งผ่านทางไหนยังไงก็ไม่รู้ล่ะ
พอรู้สึกตัวอีกที ควันที่เห็นก็ได้จางลง ตอนนี้ผมออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว
พอมองขึ้นไปก็เห็นเปลวเพลิงสีเลือดเมื่อสักครู่กำลังปกคลุมโรงพยาบาลอยู่ เปลวเพลิงกำลังแผ่คลุมไปทั่วบริเวณโรงพยาบาล ราวกับงูที่กำลังแหวกว่ายดิ้นไปมา พละกำลังอันมหาศาลที่ถึงขนาดแผ่ปกคลุมตึกอาคารขนาดใหญ่
เมื่อหนีออกมาจากความหวาดกลัวนั้นได้ก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“โทวยะซัง”
ในตอนนั้น ก็ได้ยินเสียงดังเรียกมาจากข้างหลังผม พี่สาวคนนั้นเป็นคนรู้จักซึ่งเป็นเพื่อนกับแม่ ก่อนหน้านี้เคยได้รับการแนะนำให้รู้จัก เป็นพี่สาวที่แสนใจดีอ่อนโยน
พอได้เจอคนที่รู้จักเข้าก็ทำให้ผมรู้สึกหายใจได้คล่องคอขึ้นมา
“ดีจังเลยที่ปลอดภัย...”
พี่สาวพูดขึ้น
“......”
ผมมองไปยังพี่สาวที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่กำลังจะเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมานั้น ผมก็กลับนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
“คุณแม่ล่ะ?”
“เอ่อ......”
“นี่ คุณแม่ล่ะ?”
“ยังอยู่... ข้างใน...”
“คุณแม่อยู่... ข้างใน?”
พอได้ยินดังนั้น สายตาผมก็หันไปทางโรงพยาบาลซึ่งตอนนี้เปลวเพลิงกลับโหมหนักยิ่งกว่าเดิมอีก
เท้าผมก้าวออกเดิน ในขณะที่กำลังยังคงเหม่อลอยมองขึ้นไป
“ด...เดี๋ยวสิคะ!”
“คุณแม่ยัง... อยู่... ข้างใน... ต้อง... รีบไป”
บ้าจริงๆนั่นล่ะ ภายในตึกอาคารอันแดงเผือดนั่น คงไม่น่าจะมีใครมีชีวิตอยู่อีกแล้ว แต่หากยังอยู่ละก็... ยังไงก็ต้องไปช่วย
“ผมต้องรีบไปหาคุณแม่”
ไฟที่มองเห็นแผ่กว้างอยู่เบื้องหน้านั้นชวนให้คิดดังกับเป็นภาพในความฝันมากกว่าที่จะให้ยอมรับว่าเป็นความจริง
“ไม่ได้ค่ะ!”
“แต่ว่าคุณแม่ยังอยู่ข้างในสินะ ขนาดผมเองก็ยังอยู่มาจนถึงเมื่อครู่นี้เลย”
“มันสาย... เกินไปแล้วค่ะ”
พี่สาวคนนั้นพูดขึ้นพลางโอบกอดผม ผมถูกกอดแน่นเสียจนไม่สามารถเดินก้าวออกไปจากตรงนั้นได้ ซุ่มเสียงอันโศกเศร้ากับหยดน้ำอุ่นๆได้ไหลปรอยลงบนใบหน้าผม
แม้จะสัมผัสถึงความอบอุ่นตรงหน้าได้ แต่ผมก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงตรงหน้านั้น ไม่อยากที่จะยอมรับมัน
“คือว่า... ผมเองก็ยังอยู่มาจนถึงเมื่อครู่นี้เลย ถ้าคุณแม่ยังอยู่ผมก็ควรจะรีบไป บางทีอาจจะกำลังหลงทางอยู่ก็ได้ เพราะงั้น”
“ไม่ทันแล้วล่ะ”
“ไม่มีทางเป็นงั้นหรอกน่ะ ผมเองยังหนีรอดออกมาคนเดียวได้เลย คุณแม่เองก็ต้องกำลังรออยู่แน่นอน”
แม้สัมผัสถึงน้ำเสียงอันโศกเศร้านั้น ผมก็ยังพยายามที่จะขยับดิ้นหนีออกไป พลางมองเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้กระจายแผ่ออกไป
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ