ในบทความที่แล้ว 
https://phyblas.hinaboshi.com/20170824ได้แนะนำเกี่ยวกับภาษาหมิ่นหนาน (ฮกเกี้ยน) ในไต้หวันไปแล้ว และก็ได้ทิ้งท้ายด้วยเรื่องของการออกเสียงเอาไว้ 
 สำหรับในบทความนี้จะพูดถึงในส่วนของวรรณยุกต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถือว่ายุ่งยากที่สุดสำหรับภาษานี้ แต่ก็มีความน่าสนใจน่าศึกษาไม่น้อย    
ภาษาหมิ่นหนานมีวรรณยุกต์กี่เสียง วรรณยุกต์เป็นลักษณะร่วมอย่างหนึ่งของภาษาทั้งหมดในกลุ่มภาษาจีน โดยส่วนใหญ่แล้วภาษาจีนท้องถิ่นที่ใช้ในจีนตอนใต้จะมีวรรณยุกต์ค่อนข้างมาก โดยกวางตุ้งมีเยอะสุดคือ ๙ เสียง เทียบกันแล้วจีนกลางถือว่าค่อนข้างน้อยคือมีแค่ ๔ เสียงเท่านั้น 
 ภาษาหมิ่นหนานนั้นดั้งเดิมมีเสียงวรรณยุกต์ทั้งหมด ๘ เสียง แต่ในปัจจุบันสำเนียงส่วนใหญ่ได้สูญเสียวรรณยุกต์ไป ๑ เสียง จึงเหลือ ๗ เสียง 
 สำเนียงฮกเกี้ยนในไต้หวันและเซี่ยเหมินเดิมทีได้รับอิทธิพลจากสำเนียงจางโจวและสำเนียงเฉวียนโจวมามาก ซึ่งสำเนียงจางโจวนั้นมีวรรณยุกต์ ๗ เสียง ในขณะที่สำเนียงเฉวียนโจวเหลือวรรณยุกต์ครบ ๘ เสียง 
 แต่ในไต้หวันสำเนียงจางโจวมีอิทธิพลมากกว่า และยังมีสำเนียงผสมอีก สุดท้ายแล้วคนไต้หวันที่ใช้สำเนียงที่มีวรรณยุกต์ ๘ เสียงจึงเหลือแค่ที่อำเภอลู่ก่าง (鹿港) จังหวัดจางฮว่า (彰化) เท่านั้น ซึ่งเป็นแค่ส่วนน้อยมาก ส่วนสำเนียงเซี่ยเหมินเองก็เหลือ ๗ เสียงเช่นกัน 
 ดังนั้นโดยทั่วไปสามารถถือได้ว่าฮกเกี้ยนมีวรรณยุกต์ ๗ เสียง 
 มาดูทางด้านภาษาแต้จิ๋วกันบ้างเพื่อการเปรียบเทียบสักหน่อย 
 เนื่องจากสำเนียงฮกเกี้ยนกับสำเนียงแต้จิ๋วเป็นภาษาหมิ่นหนานเหมือนกัน ต่างกันแค่สำเนียงเท่านั้น ดังนั้นจึงมีลักษณะร่วมกันในระดับที่สามารถเทียบเคียงกันได้ 
 วรรณยุกต์เองก็เช่นกัน สามารถเทียบเคียงกันได้โดยสมบูรณ์ ตัวเลขที่ใช้แทนวรรณยุกต์ใช้แบบเดียวกัน คือแทนด้วยเลข 1-8 
 เมื่อเทียบแล้วเราจะพบว่าสำเนียงแต้จิ๋วไม่ว่าจะแถบไหนก็ตามล้วนมีการอนุรักษ์วรรณยุกต์ไว้ครบ ๘ เสียง    
ทำความเข้าใจวรรณยุกต์ ก่อนอื่นทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับวรรณยุกต์สักนิดก่อน แต่ไหนแต่ไรวรรณยุกต์คืออะไร 
 หลายคนคงอธิบายได้ว่ามันคือความสูงต่ำของเสียงนั่นเอง ซึ่งก็ไม่ผิดแต่นั่นเป็นแค่คำตอบแบบง่ายๆเท่านั้น เพราะจริงๆถ้าวรรณยุกต์เป็นแค่การออกเสียงให้สูงหรือต่ำต่างกัน มันก็ไม่อาจจะมีความหลากหลายเท่านี้ได้ 
 ความจริงสิ่งที่ทำให้เราแยกได้ว่าวรรณยุกต์อะไรนั้นต้องประกอบไปด้วยสองส่วนคือ ความสูงต่ำของเสียง และการเปลี่ยนแปลงความสูงต่ำในระหว่างออกเสียง 
 ภาษาที่แบ่งวรรณยุกต์แค่ความสูงต่ำของเสียงก็มีอยู่ แต่ภาษาแบบนั้นจะแบ่งวรรณยุกต์ได้แค่ ๓ เสียงคือสูง กลาง ต่ำ เท่านั้น 
 แต่ภาษาไทยและภาษาจีนทั้งหมดแบ่งวรรณยุกต์โดยใช้ทั้งความสูงต่ำและความเปลี่ยนแปลงไปด้วยพร้อมกัน ดังนั้นจึงสร้างวรรณยุกต์ได้หลากหลาย 
 เพื่อให้เห็นภาพชัดมาดูวรรณยุกต์ทั้ง ๕ ของภาษาไทยกันก่อนว่ามีการเปลี่ยนแปลงเสียงยังไง  
 
  ส่วนวรรณยุกต์ทั้ง ๗ ของภาษาหมิ่นหนานสำเนียงไต้หวันจะเป็นแบบนี้  
 
  ฟังเสียงทั้ง ๗ ได้ในคลิปนี้ 
https://www.youtube.com/watch?v=a_BVabMdiSk  ในนี้จะเห็นว่าแยกเป็น ๘ เสียง แต่เสียงที่ 6 ก็ใช้สัญลักษณ์เดียวกับ 2 แล้วก็อ่านเหมือนกัน 
 ฟังแล้วจะเห็นว่าฟังดูคล้ายภาษาไทย ดังนั้นเราจึงสามารถทำการเทียบเคียงแปลงมาเป็นวรรณยุกต์ไทยได้แบบคร่าวๆ แม้จะไม่ได้พอดีเป๊ะก็ตาม    
เสียงวรรณยุกต์ของภาษาหมิ่นหนาน ตารางแสดงการเปรียบเทียบวรรณยุกต์ 
| ตัวเลข | สัญลักษณ์ | ฮกเกี้ยน | แต้จิ๋ว | 
| a1 | a | อ๊า | อา | 
| a2 | á | อ้า | อ้า | 
| a3 | à | อ่า | อ่า | 
| ah4 | ah | อะ | อะ | 
| a5 | â | อ๋า | อ๊า | 
| a6 | ǎ | อ้า | อ๋า | 
| a7 | ā | อา | อ่า | 
| ah8 | a̍h | อ๊ะ | อ๊ะ | 
  ในที่นี้เสียง 4 กับ 8 จะเป็นพยางค์ปิด คือลงท้ายด้วย h k p t (ะ ก บ ด) ส่วนที่เหลือเป็นพยางค์เปิด 
 โดยรวมแล้วจะเห็นว่าเสียงพยางค์เปิดทั้ง ๕ (ตัดเสียง 6 ทิ้ง) จับคู่กับวรรณยุกต์ทั้ง ๕ ในภาษาไทยได้พอดี 
 ถึงจะมีพยางค์ปิดเพิ่มเข้ามาอีก ๒ เสียงคือเสียง 4 กับ 8 แต่ก็เป็นคนละคำกับเสียงอื่นแน่นอนจึงไม่ต้องกลัวจะสับสน 
 ทั้งนี้นี่เป็นแค่การเทียบเคียงแบบให้ใกล้เคียงที่สุดเท่านั้น ในความเป็นจริงไม่ได้เหมือนเป๊ะ อีกทั้งยังมีความแปรปรวนโดยขึ้นกับสำเนียงด้วย ในที่นี้ฮกเกี้ยนยึดตามสำเนียงมาตรฐานในเซี่ยเหมินและไต้หวัน ส่วนแต่้จิ๋วยึดตามซัวเถา 
 ตัวอย่างเสียงที่มีครบ ๗ วรรณยุกต์ 
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 7 | 8 | 
| 君 | 滾 | 棍 | 骨 | 群 | 郡 | 滑 | 
| kun | kún | kùn | kut | kûn | kūn | ku̍t | 
| กุ๊น | กุ้น | กุ่น | กุด | กุ๋น | กุน | กุ๊ด | 
 ที่ต้องระวังสักหน่อยคือเสียง 1, 4 และ 8 
 เสียง 1 สามารถเทียบเคียงเป็นเสียงตรี แต่ที่จริงมีความต่าง คือเป็นเสียงสูงเรียบ แต่เสียงตรีของไทยจะมีการยกเสียงสูงขึ้นในช่วงท้าย (ดูเส้นในภาพข้างบนเปรียบเทียบ) 
 เสียง 4 ที่จริงเป็นเสียงสามัญ ไม่ใช่เสียงเอก เสียงอยู่ในระดับกลาง ไม่ได้ต่ำนัก แต่ในภาษาไทยไม่สามารถเขียน "คำตายเสียงสามัญ" ได้ เลยได้แต่เขียน "อะ" หรือ "อัด" แบบนั้น 
 เสียง 8 ก็เป็นเสียงสูงเรียบเช่นเดียวกับเสียง 1 แต่จะสูงกว่าและสั้นกว่า 
 แล้วก็ที่จริงนอกจากนี้แล้วยังมีวรรณยุกต์เสียงเบาด้วย เช่นเดียวกับจีนกลาง ไม่นับว่าเป็นวรรณยุกต์นึง แล้วก็เจอในคำบางคำแบบไม่ตายตัว ต้องจำเอาเองว่าคำไหนเป็น 
 ปกติเวลาเขียนพินอินเสียงเบาจะถูกเขียนแทนด้วย -- นำหน้า เช่น 
 出來 tshut--lâi อ่านว่า "ฉุดไหล่" 
 กรณีนี้ 來 เป็นเสียงเบา แม้จะยังเขียนรูปวรรณยุกต์อยู่แต่ก็ไม่ได้ออกเสียงตามนั้นแล้ว แต่เสียงจะกลายเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่คำ 
 จากตรงนี้จะเห็นว่าแม้วรรณยุกต์ในไต้หวันกับแต้จิ๋วจะเทียบเคียงกันได้ แต่เสียงเดียวกันก็ออกเสียงต่างกัน ที่ต่างกันชัดคือเสียง 1 5 6 7 
 เสียง 1 ของฮกเกี้ยนจะเสียงค่อนข้างสูง ใกล้เคียงเสียงตรี แต่ของแต้จิ๋วจะตรงกับเสียงสามัญ 
 เช่นคำว่าเต้าฮวย คือ 豆花 tāu-hue แต้จิ๋วเรียกว่า "เต่าฮวย" แต่ฮกเกี้ยนจะเป็น "เต่าฮ้วย" 
 (tāu ในที่นี้เป็นเสียง 7 (สามัญ) แต่ผันเป็นเสียง 3 (เอก) เพราะนำหน้าคำอื่น เกี่ยวกับเรื่องนี้จะขยายความในหัวข้อถัดไป) 
 เสียง 5 ของไต้หวันเป็นเสียงจัตวา ส่วนแต้จิ๋วเป็นเสียงตรี 
 เช่นคำว่าลูกเต๋า คือ 骰 tâu แต้จิ๋วเรียกว่า "เต๊า" แต่ฮกเกี้ยนเป็น "เต๋า" 
 เสียง 7 ของฮกเกี้ยนเป็นเสียงสามัญ ของแต้จิ๋วเป็นเสียงเอก 
 เช่นคำว่าเต้าหู้ คือ 豆腐 tāu-hū แต้จิ๋วเรียกว่า "เต่าหู่" ฮกเกี้ยนเรียกว่า "เต่าฮู" 
 นอกจากนี้คำที่ในแต้จิ๋วเป็นเสียง 6 นั้น ฮกเกี้ยนจะไม่มีแล้ว (ยกเว้นแค่ในบางสำเนียง) จึงกลายเป็นเสียงอื่นแทน มักกลายเป็นเสียง 7 
 อย่างคำว่า "ตี๋" 弟 ที่แปลว่าน้องชาย คำนี้เป็นเสียง 6 ในแต้จิ๋ว ไทยเรียกตามแต้จิ๋ว แต่ในฮกเกี้ยนเป็นเสียง 7 คือ "ตี" dī    
การเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์เมื่อนำหน้าคำ วรรณยุกต์ในภาษาหมิ่นหนานมีเอกลักษณ์ตรงที่ต้องมีการเปลี่ยนเสียงเมื่อไปนำหน้าคำอื่น 
 ไม่ว่าจะฮกเกี้ยนหรือแต้จิ๋วก็มีการเปลี่ยนเสียง แต่ว่าเป็นไปในคนละทิศทางกัน 
 อีกทั้งสำเนียงฮกเกี้ยนภายในไต้หวันเองก็ยังมีกฎการเปลี่ยนไม่เหมือนกัน โดยขึ้นอยู่กับว่าได้รับอิทธิพลจากสำเนียงจางโจวหรือเฉวียนโจวมากกว่ากัน 
 แต่แบบจางโจวนั้นจะแพร่หลายกว่า สำเนียงมาตรฐานที่เซี่ยเหมินเองก็ยึดการผันตามแบบจางโจว ดังนั้นในนี้ก็จะยึดแบบจางโจวเป็นหลัก 
 สรุปเป็นแผนผังได้ดังนี้  
 
  ที่เขียนว่า 漳 คือแบบจางโจว ที่เขียนว่า 泉 คือแบบเฉวียนโจว 
 จากแผนผังสรุปสั้นๆได้ว่า สำหรับวรรณยุกต์ที่เป็นเสียงพยางค์เปิด การเปลี่ยนจะวนดังนี้ สำหรับสำเนียงจางโจว
 5 → 7 → 3 → 2 → 1 → 7
 อ๋า > อา > อ่า > อ้า > อ๊า > อา 
 เพียงแต่ว่าหากเป็นสำเนียงเฉวียนโจวจะมีกฎการวนเป็น 1 → 7 → 3 → 2 → 5 → 3 แต่อันนี้ไม่ต้องจำก็ได้เพราะเป็นส่วนน้อย แค่ให้รู้ว่ามีคนผันแบบนี้ 
 ตัวอย่าง คำว่า จางโจว 漳州 ชื่อในสำเนียงฮกเกี้ยนคือ tsiang-tsiu เป็นเสียง 1 (ตรี) ทั้งคู่ แต่ตัวหน้าต้องผันเป็นเสียง 7 (สามัญ) จึงเป็น "เจียง-จิ๊ว" 
 คำว่าไต้หวัน 台灣 tâi‑uân เป็นเสียง 5 (จัตวา) ทั้งตัวหน้าและหลัง แต่ตัวหน้าต้องผันเป็นเสียง 7 (สามัญ) ดังนั้นจึงอ่านว่า "ไตอ๋วน" 
 เซี่ยเหมิน 廈門 ē-mn̂g ตัวแรกเป็นเสียง 7 (สามัญ) ต้องผันเป็นเสียง 3 (เอก) จึงเป็น "เอ่หมึง"   
 ลองเทียบกับแต้จิ๋วดูสักหน่อย สำหรับกฎการผันของแต้จิ๋วจะเป็น
 2 → 6 → 7
 3 → 5 → 7 
 จะเห็นว่าต่างไปมาก นอกจากจะไม่ได้มีลักษณะเป็นวังวนแล้ว เสียง 1 กับ 7 ก็ไม่มีการผันด้วย แต่ของฮกเกี้ยนจะต้องผันหมดไม่ว่าเสียงไหน 
 ยกตัวอย่างเช่นเสียง 2 (โท) ฮกเกี้ยนผันเป็นเสียง 1 (ตรี) แต่แต้จิ๋วผันเป็นเสียง 6 (สำหรับแต้จิ๋วคือจัตวา) 
 เช่นคำว่า "ก๋วยเตี๋ยว" คือ 粿條 kué tiâu แต้จิ๋วเรียกว่า "ก๋วยเตี๊ยว" ฮกเกี้ยนเรียก "ก๊วยเตี๋ยว"   
 ต่อมาดูกรณีของเสียงพยางค์ปิด ซึ่งอันนี้ต้องแบ่งเป็น ๒ กรณี คือกรณีลงท้ายด้วย k p t (อัก อับ อัด) จะเป็น
 4 → 8 และ 8 → 4 
 ก็คือแค่สลับกันเท่านั้น
 อัด > อั๊ด, อั๊ด > อัด 
 ตัวอย่างเช่น คำว่า "ฮกเกี้ยน" ในสำเนียงฮกเกี้ยนจริงๆต้องอ่านเป็น "ฮ็อกเกี่ยน" คำนี้มาจาก ห็อก 福 hok กับ เกี่ยน 建 kiàn แต่พอรวมกันแล้วตัวหน้าซึ่งเป็นเสียง 4 จะผันเป็นเสียง 8 จึงเป็น "ฮ็อกเกี่ยน" 
 แล้วก็ หากคำว่า "คนฮกเกี้ยน" ก็จะเป็น 福建人 hok-kiàn-lâng ซึ่งตัว kiàn ก็ต้องถูกผันไปด้วย จากเสียง 3 (เอก) จึงกลายเป็นเสียง 2 (โท) เป็น "ฮ็อกเกี้ยนหลัง" 
 ส่วนกรณีที่ลงท้ายด้วย h (อะ) จะมีกฎการผันต่างไป คือกลายเป็น
 4 → 2 และ 8 → 3 
 ข้อสังเกตก็คือเสียงจะกลายเป็นพยางค์เปิดไป เสียงจะยาวขึ้น
 อะ > อ้า, อ๊ะ > อ่า 
 สำหรับการผันของแต้จิ๋วนั้น ก็จะเป็น 4 กับ 8 เปลี่ยนไปมาเช่นกัน แต่จะเป็นทุกกรณี ไม่ว่าจะลงท้ายด้วย h หรือเปล่า 
 ตัวอย่างความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเช่นคำว่า "บ๊ะจ่าง" 肉粽 bah-tsàng พยางค์แรก "บะ" ต้องผัน 
 แต้จิ๋วจะผันเป็น "บ๊ะจั่ง" แต่ฮกเกียนต้องออกเสียงยาวเป็น "บ้าจั่ง" 
 ลองดูคลิปนี้จะได้ยินชัดเจนว่าออกเสียงเป็น "บ้าจั่ง" 
https://www.youtube.com/watch?v=E3nbd4REaY4    คำไหนบ้างที่ต้องเปลี่ยนเสียง หลังจากที่เข้าใจว่าคำไหนผันเสียงยังไงแล้ว ยังมีปัญหาที่ยุ่งยากเหลืออยู่อีกข้อ นั่นก็คือ... คำไหนบ้างที่จะต้องเปลี่ยนเสียง 
 ในตอนแรกได้อธิบายแค่คร่าวๆว่าเมื่อนำหน้าคำอื่นจะต้องเปลี่ยนเสียง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกตัวยกเว้นตัวสุดท้ายของคำจะต้องเปลี่ยนเสียงทั้งหมด มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องทำความเข้าใจก่อน 
 เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน รายละเอียดจริงๆยังจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เป็นอย่างมาก 
 ในที่นี้จะสรุปคร่าวๆดังนี้  
(จากตรงนี้คำไหนขีดเส้นใต้ก็คือไม่เปลี่ยนเสียง)  ๑. ในประโยคจะมีการแบ่งช่วงใจความชัดเจน คำสุดท้ายของแต่ละช่วงไม่ต้องเปลี่ยนเสียง 
 ๒. คำที่เป็นภาคประธานของประโยคก็ถือเป็นการแบ่งช่วงจึงไม่ต้องเปลี่ยนเสียง
 台灣文學
史 真趣
味 tâi‑uân-bûn‑ha̍k-
sái tsin tshù‑
bī ไต-วัน-บุน-หัก-
ไซ่ จิน ชู่-
บี (ประวัติศาสตร์วรรณกรรมไต้หวันน่าสนุกมาก) 
 柑
仔 敢有
甜?
 kam‑
á kám ū 
tinn ?
 กัม-อ้า กั๊ม อู ตี๊ง์?
 (ส้มหวานมั้ย?) 
 ๓. เพียงแต่ว่ายกเว้นคำที่เป็นสรรพนาม เนื่องจากมักเป็นสิ่งที่ผู้พูดและผู้ฟังรู้ดีอยู่แล้ว อาจเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนเสียงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเน้นหรือเปล่า เช่น 
 伊敢欲來台
北?
 i kám beh lâi Tâi-
pak ?
 อี กั๊ม เบ้ ไหล ไต-
ปัก?
 (เขาจะมาไทเปมั้ย?) 
 ๔. คำที่เป็นหัวข้อหลักที่เน้นในประโยค แม้จะไม่ใช่ประธานก็ไม่ต้องเปลี่ยนเสียงด้วย เช่นคำที่ยกกรรมขึ้นมากล่าวก่อน เช่น 
碗 予你
洗,塗
跤 我來
掃 uánn hōo lí 
sué, thôo-
kha guá lâi 
sào อั๊วง์ ห่อ ลี้ ซ่วย, ทอ-คา งั้ว ไล เส่า
 (ชามให้เธอล้าง พื้นให้ฉันกวาด) 
 ๕. ท้ายคำที่นำหน้าคำบุพบทจะไม่ต้องเปลี่ยนเสียง เช่น
 狡
怪的
人 交無朋
友 káu‑
kuài ê 
lâng kau bô pîng‑
iú เก๊า-
ก่วย เอ 
หลัง เกา เบอ ปิง-
อิ้ว (คนเจ้าเล่ห์จะไม่มีเพื่อนคบ) 
 ๖. คำบอกเวลาหรือสถานที่ ท้ายคำไม่ต้องเปลี่ยนเสียง เช่น 
 南
投 透
早 閣地
動 Lâm-
tâu thàu‑
tsá koh tē‑
tāng ลัม-
เต๋า เท่า-
จ้า เก้อ เต่-
ตัง (หนานโถวตอนรุ่งสางแผ่นดินไหวอีกแล้ว) 
 ๗. คำที่นำหน้าคำเสียงเบาไม่ต้องเปลี่ยนเสียง 
 เช่น 
講起來 
kóng--khí-lâi (ว่าไปแล้ว) คำนี้ 講 อ่านเสียงเดิมเป็น "ก้อง" 
 คำบางคำตัวท้ายอาจมีทั้งเสียงเบาและไม่เบา ก็จะทำให้ตัวหน้าอ่านต่างกันไปด้วย แล้วความหมายก็จะต่างกัน 
 เช่น 驚死 kiann-sí ถ้าตัวหลังเสียงเบาจะอ่านว่า "เกี๊ยง์สี่" แปลว่า "กลัวจะตาย" (กลัวมากๆ) 
 แต่ถ้าตัวหลังไม่ใช่เสียงเบาจะอ่านว่า "เกียง์ซี่" แปลว่า "กลัวความตาย" (ขี้ขลาด) 
 ๘. คำที่ขยายคำที่อยู่ข้างหลังจะต้องเปลี่ยนเสียง แต่ถ้าคำหลังขยายคำหน้าจะไม่มีการเปลี่ยนเสียง 
 เช่น 烏
天 暗
地 oo 
thinn àm 
tē ออ ที้ อั้ม เต (ฟ้าดำดินมืด) ตัว 烏 กับ 暗 จะเปลี่ยนเสียง 
 แต่ถ้า 
天烏 地暗 thinn oo tē àm ที้ อ๊อ เต อั่ม (ความหมายเหมือนกัน) อ่านเสียงเดิมทั้งหมด 
 ๙. ประโยคที่มีกริยาหลายตัวคู่ขนานกันไปก็ถือเป็นการแบ่งช่วง ท้ายแต่ละช่วงไม่ต้องเปลี่ยนเสียง
 我欲買便
當 轉來
食 guá beh bué piān‑
tong tńg lâi 
tsia̍h งั้ว เบ้ บ๊วย เปี่ยน-
ท้อง ตึ๊ง ไล 
เจี๊ยะ (ฉันจะซื้อเบนโตวกลับมากิน) 
 ในที่นี้เริ่มจากซื้อก่อน เสร็จแล้วก็ค่อยกลับมากิน แม้จะมีความต่อเนื่องแต่สองส่วนนี้ก็มีใจความแยกกันอยู่ในตัว   
 นอกจากนี้ก็ยังมีเงื่อนไขหรือข้อยกเว้นปลีกย่อยอีกมากมาย    
อ้างอิง https://www.moedict.tw http://uegu.blogspot.tw/2015/01/blog-post_16.html http://twblg.dict.edu.tw/holodict_new/compile1_3_9_3.jsp http://210.240.193.39/loh/jiapeng/d1-12.pdf https://zh.wikipedia.org/wiki/台灣話 https://zh.wikipedia.org/wiki/闽南语 https://zh.wikipedia.org/wiki/闽南语连续变调 https://zh.wikipedia.org/wiki/台湾闽南语罗马字拼音方案 https://www.youtube.com/watch?v=DA_DMxQVLqE https://www.youtube.com/watch?v=BPjAK3f5fJ4 http://v.youku.com/v_show/id_XNDk0MTAxNjM2.html หนังสือ "ลูกหลานคนแต้จิ๋ว 潮人後裔" โดยเหล่าตั๊ง