φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



ภาษา python เบื้องต้น บทที่ ๑๐: การแสดงผลตัวอักษร
เขียนเมื่อ 2016/03/05 11:29
แก้ไขล่าสุด 2024/02/22 11:01
 

บทนี้จะพูดถึงเกี่ยวกับการควบคุมรูปแบบการแสดงผลของของข้อมูล



การใช้อักษรพิเศษที่มีหน้าที่เฉพาะ

ปกติแล้วข้อความที่พิมพ์ป้อนให้สายอักขระมักจะแสดงผลตามที่ป้อนเข้าไปทั้งหมด แต่ก็มีอักษรบางตัวที่มีหน้าที่พิเศษภายในสายอักขระ ได้แก่ ' " \ % เวลาต้องการใส่อักษรเหล่านี้ลงในสายอักขระจึงอาจต้องระวัง

สายอักขระจะสร้างขึ้นจากการใช้เครื่องหมายคำพูดแบบเดี่ยว ' หรือแบบคู่ " ล้อมข้อความ

แต่ว่าหากต้องการให้มี ' หรือ " อยู่ในสายอักขระแล้วละก็ต้องระวังเพราะอาจทำให้โปรแกรมตีความผิดเข้าใจว่า ตัดจบหรือเริ่มสายอักขระใหม่ได้ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีเลี่ยง

วิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้อีกตัวแทน เช่น ถ้าต้องการข้อความที่มี ' อยู่ก็ต้องใช้ "" เป็นตัวครอบ
print("คำว่า 'รัก' มันยากจะอธิบาย")

ในทางกลับกันถ้าต้องการข้อความที่มี " อยู่ก็ต้องใช้ ' ' เป็นตัวครอบ

แต่ถ้าต้องการใช้ทั้งสองตัวทีเดียวเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ต้องใช้แบ็กสแลช \ ช่วย
print("เครื่องหมายคำพูดมีแบบเดี่ยว ' ' และแบบคู่ \" \"")

ผลที่แสดงออกมา
เครื่องหมายคำพูดมีแบบเดี่ยว ' ' และแบบคู่ " "

เครื่องหมาย \ นี้เป็นตัวที่ทำหน้าที่พิเศษภายในส่วนแสดงผลของสายอักขระ



เอสเคปคาแร็กเตอร์

นอกจากแบ็กสแลชจะทำหน้าที่นำหน้าอักษรที่มีหน้าที่เฉพาะเพื่อให้ปรากฏตามที่เห็นโดยไม่ถูกตีความแล้ว

มีอักษรหลายตัวที่นำหน้าด้วยแบ็กสแลช \ แล้วมีความหมายพิเศษ ซึ่งเรียกว่า เอสเคปคาแร็กเตอร์ (escape character)
  • \n คือ ขึ้นบรรทัดใหม่
  • \t คือ เคาะเว้นย่อหน้า
  • \b คือ แบ็กสเปซ (ลบตัวอักษร)
  • \a คือ ส่งเสียงเตือน

ตัวอย่าง
print('ma\bc') # ได้ mc (เพราะ a ถูกลบ)
print('a\ta') # ได้ a       a
print('\a') # จะได้ยินเสียงเตือนดังขึ้นมา 

หาก \ ตามด้วยตัวอักษรที่รวมแล้วไม่ได้มีความหมายพิเศษก็จะปรากฏตามที่พิมพ์ไป
print('\s') # ได้ \s

แต่หาก \ ตามด้วยอักษรที่รวมแล้วมีความหมายพิเศษ เช่น n t b a ก็จะเกิดการตีความแล้วให้ผลที่ต่างออกจากที่พิมพ์

ในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นเช่นนั้นสามารถทำได้โดยเขียน \ ติดกัน ๒ ขีด เป็น \\ เช่น
print('\\n') # ได้ \n

จะเห็นว่ามี \ ปรากฏขึ้นแค่ตัวเดียว เพราะ \\ ถูกตีความเป็น \ ตัวเดียว หากต้องการ ๒ ตัวก็พิมพ์ ๔ ตัว
print('\\\\') # ได้ \\

หากไม่ต้องการให้เอสเคปคาแร็กเตอร์ทำงานเลยก็สามารถทำได้โดยใส่ r ลงไปหน้าเครื่องหมายคำพูด แล้วสายอักขระนั้นจะถูกมองเป็นตัวอักษรตามที่พิมพ์ลงไปทั้งหมด
print(r'\n\t\b\a') # ได้ \n\t\b\a



ยูนิโค้ด

ในสายอักขระสามารถใช้โค้ดในระบบยูนิโค้ดเพื่อแทนตัวอักษรได้ โค้ดจะถูกแปลงเป็นตัวอักษร วิธีการใช้ทำได้โดยใช้ \u \U และ \X
  • \uคคคค ระบุอักษรด้วยรหัสยูนิโค้ดแบบ utf-16 ( แทนเลขฐาน 16 ทั้งหมด 4 ตัว)
  • \Uคคคคคคคค ระบุอักษรด้วยรหัสยูนิโค้ดแบบ utf-32 ( แทนเลขฐาน 16 ทั้งหมด 8 ตัว)
  • \N{ชื่ออักษร} คือ ระบุอักษรด้วยชื่อที่ถูกเก็บในฐานข้อมูลของยูนิโค้ด

ตัวอย่าง
print('\u0e2e') # ได้ ฮ
print('\U00000e0e') # ได้ ฎ
print("\N{Thai Character Pho Phan}") # ได้ พ

***ในไพธอน 2 จะได้ผลต่างออกไป จำเป็นต้องเติม u นำหน้า
>> อ่านรายละเอียดได้ที่



การเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของข้อความ

ในการแสดงผลข้อมูลที่เป็นตัวเลขนั้นจะเห็นว่าหากสั่ง print ค่าตัวเลขนั้นโดยตรงจะได้ลักษณะที่มีค่าตายตัวแบบหนึ่ง

เช่น จำนวนจริงที่เป็นจำนวนเต็มจะมีศูนย์หลังจุดแค่ตัวเดียวเสมอ หรือเลขทศนิยมที่เล็กมากหรือใหญ่มากจะถูกเขียนในรูป e เช่น
print(3.000000000) # ได้ 3.0
print(0.00000000003) # ได้ 3e-11
print(300000000000000000.) # ได้ 3e+17 

แต่ก็มีวิธีที่จะเปลี่ยนการแสดงผลเมื่อใช้คำสั่ง print หรือเมื่อแปลงเป็นสายอักขระได้ ซึ่งทำได้โดยเขียนให้อยู่ในรูปของ %d, %e, %f, ฯลฯ



การแสดงจำนวนเต็ม

%d ใช้แทนจำนวนเต็มที่แทรกอยู่ภายในสายอักขระ โดยค่าของจำนวนเต็มที่จะคำนวณนั้นต้องใส่ไว้ด้านหลังเครื่องหมายคำพูด
i = 20
print('==%d=='%i) # ได้ ==20==

จากตัวอย่างจะเห็นว่าค่าของ i เข้าไปแทนที่ %d

สิ่งที่อาจชวนสับสนก็คือรูปแบบการเขียนแบบนี้มีการใช้เครื่องหมาย % ถึง ๒ ครั้ง แต่ว่า % ทั้ง ๒ นี้เป็นคนละความหมายกัน

% ตัวแรกอยู่ภายในเครื่องหมายคำพูด วางอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการให้ค่าตัวเลขไปอยู่ แล้วก็ตามด้วยชนิดของข้อมูลที่ต้องการแทน ในที่นี้เป็นจำนวนเต็มใช้ d

ส่วน % ตัวหลังอยู่หลังเครื่องหมายคำพูดโดยตามหลังด้วยค่าที่ต้องการนำไปแทน โดยอาจเป็นตัวเลขหรือเป็นตัวแปรก็ได้

การเปลี่ยนการแสดงผลทำได้โดยใส่ส่วนแต่งเติมลงหลัง % ตัวหน้า
print('==%4d=='%19) # ได้ ==  19== ให้เพิ่มช่องว่างจนครบ 4 ตำแหน่ง
print('==%4d=='%19000) # ==19000== ถ้าเลขเกิน 4 อยู่แล้วไม่มีผล
print('==%04d=='%19) # ได้ ==0019== ให้ใส่เลข 0 จนถึง 4 ตำแหน่ง
print('==%04d=='%19000) # ==19000== ถ้าเลขเกิน 4 อยู่แล้วไม่มีผล
print('==%+d=='%19) # ได้ ==+19== ให้ใส่เครื่องหมาย + เมื่อเป็นค่าบวก
print('==%+d=='%-19) # ได้ ==-19== ถ้าเป็นลบอยู่แล้วไม่มีผล
print('==%+04d=='%19) # ได้ ==+019== 4 ตำแหน่งนี้นับรวมเครื่องหมายด้วย

ตัวอย่าง ไล่เรียงหมายเลขโดยขึ้นเป็น ๒ หลัก
s = ['no.%02d'%i for i in range(1,21)]
print(s) # ได้ ['no.01', 'no.02', 'no.03', 'no.04', 'no.05', 'no.06', 'no.07', 'no.08', 'no.09', 'no.10', 'no.11', 'no.12', 'no.13', 'no.14', 'no.15', 'no.16', 'no.17', 'no.18', 'no.19', 'no.20']

หากมีส่วนที่ต้องการแทรกอยู่หลายตัวก็ให้ใส่ตัวแปรตามจำนวนนั้นโดยใส่วงเล็บแล้วคั่นด้วยจุลภาค ,

ตัวอย่าง แสดงวันเดือนปี
print('%02d / %02d / %04d'%(9,2,2016)) # ได้ 09 / 02 / 2016



แปลงเลขเป็นฐาน 16

นอกจาก %d ที่ให้แสดงเลขตามปกติเป็นฐาน 10 ที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว หากแทนด้วย %x ก็จะได้ค่าเป็นเลขฐาน 16 แทน
print('%x'%(2**16-1)) # ได้ ffff
print('%x'%(27365824924)) # ได้ 65f21599c
print('%09x'%1000) # ได้ 0000003e8

เลขฐาน 16 มีประโยชน์ เพราะใช้แทนค่ารหัสสีซึ่งมักประกอบไปด้วยค่าของเลขฐาน 16 ของค่าแม่สีทั้งสาม
print('#%02x%02x%02x'%(10,252,90)) # ได้#0afc5a 



การแสดงเลขจำนวนจริง

จำนวนจริงใช้ %f ในการแสดง สามารถปรับตำแหน่งหลักและตำแหน่งเลขทศนิยมได้
print('==%12f=='%129.3) # ได้ ==  129.300000== เติมช่องว่างจนครบ 12 ตำแหน่ง
print('==%012f=='%129.3) # ได้ ==00129.300000== เติม 0 จนครบ 12 ตำแหน่ง
print('==%.3f=='%129.3) # ได้ ==129.300== ทศนิยม 3 ตำแหน่ง
print('==%.0f=='%129.3) # ได้ ==129== เศษถูกปัดทิ้ง
print('==%12.3f=='%129.3) # ได้ ==     129.300==
print('==%012.3f=='%129.3) # ได้ ==00000129.300== 

อีกวิธีในการแสดงผลก็คือใช้ %e ซึ่งจะแสดงเป็นตัวเลขในรูปแบบ e
pi = 3.14159
print('==%e=='%pi) # ได้ ==3.141590e+00==
print('==%15e=='%pi) # ได้ ==   3.141590e+00==
print('==%015e=='%pi) # ได้ ==0003.141590e+00==
print('==%.8e=='%pi) # ได้ ==3.14159000e+00==
print('==%.2e=='%pi) # ได้ ==3.14e+00==
print('==%015.8e=='%pi) # ได้ ==3.14e+00== 



นอกจากนี้ยังมี %s ซึ่งแสดงผลสายอักขระเอง
print('==%s=='%'asa') # ได้ ==asa==
print('==%5s=='%'asa') # ได้ ==  asa6==

โดย %s นี้ยังใช้กับข้อมูลชนิดกลุ่มเช่นลิสต์หรือทูเพิลได้ด้วย ผลที่ได้จะเหมือนกับเวลาที่ print ลิสต์หรือทูเพิลนั้นออกมาโดดๆ
print('==%s=='%[1,2]) # ได้ ==[1, 2]==
print('==%25s=='%['a','s','a']) # ได้ ==          ['a', 's', 'a']== 

สำหรับลิสต์ไม่มีปัญหาอะไร แต่กรณีที่ต้องการใช้กับทูเพิลจะมีความยุ่งยากเล็กน้อย เนื่องจากโดยทั่วไปเมื่อมีทูเพิลอยู่หลัง % จะถูกตีความว่าเป็นการใส่ข้อมูลหลายตัว ดังนั้นต้องเขียนในรูปทูเพิลซ้อนทูเพิล
print('==%s=='%('a','s','a')) # ได้ TypeError: not all arguments converted during string formatting
print('==%s %s %s=='%('a','s','a')) # ได้ ==a s a==
print('==%s=='%(('a','s','a'),)) # ได้ ==('a', 's', 'a')==

กรณีที่มีข้อมูลมาแทนเป็นจำนวนไม่เท่ากันกับจำนวน % ที่อยู่ด้านหน้า หรือชนิดผิด ก็จะขัดข้องทันที
print('==%s,%s=='%'asa') # ได้ TypeError: not enough arguments for format string
print('==%f=='%'asa') # ได้ TypeError: a float is required 

กรณีมี % ตัวอื่นอยู่ในสายอักขระและไม่ได้ต้องการให้แสดงผลด้วยเลยให้ใส่ % นำหน้าอีกตัว
print('==%.2f%%formaldehyde=='%70) # ได้ ==70%formaldehyde==



สรุปเนื้อหา
  • ในบทนี้ได้เข้าใจรูปแบบการแสดงผลของสายอักขระแล้ว เมื่อเข้าใจแล้วก็จะสามารถเปลี่ยนผลให้ออกมาได้ตามที่ต้องการ
  • ต้องระวังการใช้เอสเคปคาแร็กเตอร์ \n \t \b \a \' \" \\ ให้ดี
  • เวลาที่แปลงตัวเลขเป็นสายอักขระมักถูกตีความในรูปแบบที่ถูกกำหนดมาแล้ว แต่ด้วย %d %x %f %e สามารถเปลี่ยนให้หลากหลายขึ้นได้


อ้างอิง




-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- คอมพิวเตอร์ >> เขียนโปรแกรม >> python

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ