# จันทร์ 24 ก.พ. 2020ช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์เป็นช่วงปิดเทอมของไต้หวัน ก็เลยกลับไทยไปสักพัก และพอเจอสถานการณ์ไวรัสโคโรนา COVID-19 หรือที่นิยมเรียกในภาษาจีนว่า
武漢肺炎 "ปอดบวมอู่ฮั่น" หรือ "ปอดอักเสบอู่ฮั่น" ทำให้วันเปิดเทอมก็ถูกเลื่อนไป
จากเดิมที่ควรเปิดตั้งแต่ 17 ก.พ. ก็เลื่อนไป ๒ สัปดาห์ เป็น 2 มี.ค. ดังนั้นจึงตัดสินใจเลื่อนวันกลับไต้หวันให้ช้าออกไปเป็นวันที่ 24 ก.พ. ซึ่งก็ผ่านมาเดือนนึงพอดีหลังจากการปิดเมืองอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2020
ตอนแรกยังหวังว่าเลื่อนมาถึงตอนนี้แล้วสถานการณ์จะดีขึ้น แต่พอถึงเวลาจริงสถานการณ์ยังคงน่าเป็นห่วงอยู่ ทำให้มีความกังวลในการเดินทางพอสมควร และแน่นอนว่าระหว่างเดินทางครั้งนี้ก็สวมหน้ากากอนามัยไว้ตลอด
ครั้งนี้ตัดสินใจไม่บินไปลงสนามบินเถาหยวนเหมือนทุกที เพราะอยากเลี่ยงผู้คนเยอะๆไว้ก่อน ถ้าไปสนามบินเล็กๆน่าจะสบายกว่า เพราะช่วงนี้อาจมีการตรวจป้องกันโรค และต้องรอนาน ยิ่งสนามบินเถาหยวนนั้นในเวลาปกติก็คนเยอะต้องรอนานอยู่แล้วด้วย
ดังนั้นจึงเลือกไปลงที่เมือง
ไถจง (台中) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ ๓ ของไต้หวัน รองจากไทเปและเกาสยง ตั้งอยู่ที่ภาคกลาง
สนามบินนานาชาติไถจง (台中國際機場) หรืออีกชื่อว่า
สนามบินไถจงชิงเฉวียนกาง (台中清泉崗機場) ตั้งอยู่ในบริเวณเขต
ซาลู่ (沙鹿),
ชิงสุ่ย (清水),
เสินกาง (神岡) และ
ต้าหย่า (大雅) ของเมืองไถจง ตั้งอยู่ค่อนไปทางตะวันตกของเมือง ใกล้ริมทะเล
ที่นี่เป็นสนามบินนานาชาติแห่งหนึ่งของไต้หวัน มีเที่ยวบินเชื่อมต่อกับไม่กี่ประเทศ เช่น จีน, ไทย, เวียดนาม, เกาหลีใต้
สำหรับเที่ยวบินจากไทยนั้นเปิดโดยสายการบิน Vietjet ของเวียดนาม เที่ยวบินออกจากสุวรรณภูมิ 9:00 แล้วถึงไถจงตอน 13:45
จากไถจงไปยังซินจู๋นั้นไกลกว่าจากเถาหยวนไปซินจู๋พอสมควร การเดินทางก็ลำบากกว่า แต่ก็เพราะระหว่างทางสามารถชมเมืองและผ่านเส้นทางที่ไม่เคยไปมาก่อน ก็ถือว่าคุ้มที่จะลองสักครั้ง แต่คงจะไม่มีครั้งต่อไป คราวหลังกลับจากทางสนามบินเถาหยวนเหมือนเดิมยังไงก็ดีที่สุด
เริ่มแรกตอนเช้ามาขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช็กอิน แล้วก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าออกเมืองไป เข้ามายังห้องรอเครื่อง
ระหว่างรอก็มองเห็นเครื่องบินของ Vietjet ที่กำลังจะขึ้น รอไปสักพักเขาก็เรียกไปขึ้นเครื่อง
ตอนแรกก็ยังคิดว่าในเมื่อเป็นสายการบินของเวียดนามก็อาจเจอคนเวียดนามหรือใช้พนักงานคนเวียดนาม แต่ว่าจริงๆแล้วสายการบินนี้มีสาขาที่ไทย เที่ยวบินที่ออกจากไทยก็จัดการโดยคนไทย บนเครื่องก็พูดแต่ภาษาไทย
แต่ว่าลองไปเข้าห้องน้ำในเครื่องก็พบว่าในนี้เขียนเป็นภาษาเวียดนามอยู่ ก็เป็นร่องรอยให้พอรู้สึกได้ว่านี่เป็นสายการบินของเวียดนาม
ตอนกลับจากห้องน้ำถือโอกาสถ่ายบรรยากาศในเครื่องไว้ เท่าที่ดูคนน้อยโล่งมาก นั่งไม่ถึงครึ่ง ช่วงนี้น่าจะไม่ค่อยมีคนอยากเดินทางมาก อีกทั้งเกือบทุกคนสวมหน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองพร้อม ไม่ว่าจะผู้โดยสารหรือพนักงาน
แล้วเครื่องก็บินมาถึงสนามบินนานาชาติไถจง เริ่มแรกจะต้องมาผ่านด่านตรวจควบคุมโรค โดยเขาจะให้กรอกข้อมูลบอกว่าตัวเองเคยไปจีนแผ่นดินใหญ่หรือฮ่องกงมาเก๊ามาหรือเปล่า หรือว่ามีอาการไม่สบายอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีเลยเขาก็ปล่อยผ่านไปเลย ไม่ได้ตรวจอะไรต่อ ไม่ได้มีการวัดไข้อะไร ไม่เสียเวลามาก คงเพราะว่าไทยตอนนี้ยังไม่ถือว่าสถานการณ์หนักมากจนต้องตรวจเข้ม
แล้วก็เดินออกมาผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาสบาย ไม่ได้มีปัญหาอะไรอย่างที่กังวล ไม่ได้ถูกถามอะไรเป็นพิเศษ รอคิวก็แป๊บเดียว เพราะคนน้อยมาก ไม่แออัดเหมือนอย่างเถาหยวน ดูแล้วก็เหมือนจะคิดถูกที่มาลงที่นี่แทนในเวลาแบบนี้
ผ่านจุดสายพานรับกระเป๋า แล้วก็เดินออกมา
ภายในสนามบินเล็กมาก ก็เดินดูในนี้แค่นิดหน่อย แล้วก็รีบเดินออกไปหาทางเดินทางกลับ
สำหรับการเดินทางจากที่นี่เพื่อกลับไปยังมหาวิทยาลัยชิงหัวซึ่งอยู่เมืองซินจู๋นั้น ทางที่ดีที่สุดคือไปโดยนั่งรถไฟ
เพียงแต่ว่าสนามบินนี้อยู่ค่อนข้างไกลจากสถานีรถไฟไถจงซึ่งอยู่กลางเมือง สถานีที่ใกล้สนามบินที่สุดคือ
สถานีชิงสุ่ย (清水站) ไปขึ้นที่สถานีนั้นจะสะดวกกว่าเดินทางเข้าไปถึงใจกลางเมือง
สถานีชิงสุ่ยเป็นสถานีที่อยู่ในทางรถไฟ
สายริมชายฝั่ง (海岸線) ซึ่งเป็นคนละสายกับสายที่ผ่านสถานีไถจง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินกว่า
ทั้ง ๒ สายนี้ไปเชื่อมกันที่
สถานีจู๋หนาน (竹南站) ในเมืองจู๋หนาน จังหวัดเหมียวลี่ ซึ่งอยู่ทางใต้ของซินจู๋ ดังนั้นกรณีที่จะไปซินจู๋จะขึ้นสายไหนก็ไปได้เหมือนกัน จึงไม่จำเป็นต้องไปขึ้นที่สถานีไถจง แม้ว่าจะเป็นสถานีที่ใหญ่ มีเที่ยวรถมากกว่าก็ตาม
สถานีชิงสุ่ยเป็นแค่สถานีเล็กๆ ไม่ได้เป็นสถานีหลัก จึงไม่มีรถไฟแบบจื้อเฉียง (
自強) ซึ่งเป็นรถด่วนผ่าน แต่ก็มีรถไฟแบบจวี่กวาง (
莒光) ซึ่งเป็นรถกึ่งด่วน จอดที่สถานีมากกว่ารถด่วนนิดหน่อย แต่ข้ามสถานีที่ไม่สำคัญไป
ที่จริงใกล้ๆกันนี้ยังมี
สถานีซาลู่ (沙鹿站) ซึ่งอยู่ทางใต้ถัดไปจากสถานีชิงสุ่น ที่นั่นเป็นสถานีหลักซึ่งรถด่วนทุกขบวนผ่าน ถ้าไปขึ้นที่นั่นจะมีเที่ยวรถไปสะดวกกว่า แต่ว่าตัวสถานีอยู่ไกลกว่าพอสมควร จึงตัดสินใจเลือกไปสถานีชิงสุ่ย
การเดินทางจากสนามบินไปยังสถานีชิงสุ่ยมีรถเมล์ไป แต่เนื่องจากตอนนี้สภาพอากาศกำลังเย็นสบาย และเห็นว่าถ้าเดินไปก็ระยะทาง ๔-๕ กม. ใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมง ก็เลยตัดสินใจเดินไป จะได้เดินชมเมืองตรงแถวนั้นไปด้วย
เดินออกมาจากสนามบิน เดินไปทางเหนือ มีมุมให้ถ่ายเห็นอาคารสนามบิน
ระหว่างทางที่เดินไป แถวๆใกล้สนามบินเป็นย่านเมือง
เดินไปเรื่อยๆก็เริ่มเป็นย่านที่เงียบลง
เริ่มเป็นทางเขามีหน้าผา
มองลงไปก็เห็นทิวทัศน์ตัวเมืองด้านล่างในบริเวณเขตชิงสุ่ย
ทางเดินตามเขาต่อไป จากตรงนี้ดูตามเส้นทางในแผนที่แล้วดูคดเคี้ยวต้องวกซิกแซกไปมา
ดังนั้นจึงพยายามหาดูว่ามีทางลัดผ่านสวนได้หรือเปล่า ก็เจอทางให้แทรกเข้า
พอเดินข้ามาจึงรู้ว่าสวนตรงนี้คือสวนสุสานนั่นเอง เรียกว่าสุสานที่หนึ่งเขตชิงสุ่ย (
清水區第一公墓) มีฮวงซุ้ยอยู่มากมาย แต่ทางเดินดูเต็มไปด้วยหญ้ารก ดูแล้วไม่น่าจะตัดผ่านไปได้ง่ายๆ
ก็เลยกลับมาเดินตามเส้นทางต่อ
โค้งหักศอก และเบื้องหน้าเป็นหน้าผา
มองลงไปเห็นย่านเมืองข้างล่าง
เดินไปตามถนนจนสุทางเจอ
สวนสาธารณะเอ๋าเฟิงซาน (鰲峰山公園)เดินเลี้ยววกกลับมาตามทางลงเขาต่อ
เดินลงมาเรื่อยๆก็มาถึงย่านตัวเมืองด้านล่าง
ผ่านวัดว่านซ่านถาง (
萬善堂)
ส่วนตรงนี้คือ
วัดเทียนไฉ่หยวินเทียนกง (天彩雲天宮) เดินออกไปยังถนนจงซาน (
中山路) ตรงทางออกจากซอยเป็นซุ้มประตูที่เขียนชื่อวัดนี้
จากนั้นเดินไปทางใต้ ผ่านถนนใหญ่ เท่ออีเฮ่าเต้าลู่ (
特一號道路)
เลี้ยวเข้าถนนจงเจิ้ง (
中正路)
จากตรงนี้เดินตรงเข้ามาตามถนนจงเจิ้งเรื่อยๆก็ถึงสถานีชิงสุ่ย
ตัวอาคารสถานีชิงสุ่ย เป็นหลังเล็กๆ
ตอนที่ไปถึงสถานีเป็นเวลา 14:54 แล้วพอดูตารางเที่ยวรถก็พบว่ารถไฟเที่ยวถัดไปที่จะไปซินจู๋ได้นั้นก็คือรถไฟจวี่กวาง ซึ่งเป็นแบบกึ่งด่วนซึ่งมีปลายทางอยู่ที่ซีตู่ แถวไทเป ระหว่างทางผ่านซินจู๋
ตั๋วที่นั่งบนรถไฟนี้สำหรับเดินทางจากชิงสุ่ยไปซินจู๋ ที่จริงจะไม่ซื้อแล้วใช้แตะบัตรเอาเหมือนเวลาขึ้นรถไฟฟ้าก็ได้ แต่อยากได้ตั๋วเก็บกลับไปเป็นที่ระลึกสักหน่อย ว่าเคยมาถึงสถานีนี้ ตั๋วราคา ๑๔๘
รถไฟเที่ยวนี้จะมาตอน 15:33 ทำให้ต้องรออยู่ที่สถานีนี้กว่าครึ่งชั่วโมง ระหว่างนี้ก็เดินเล่นดูแถวสถานีและในตัวสถานี แต่ก็ไม่มีอะไรมาก
ใกล้เวลาก็เข้าไปรอที่ชานชลา
ทิวทัศน์บริเวณรอบๆนี้ ถ่ายจากทางลอยข้ามด้านบนในชานชลา
รอรถไฟในชานชลา
รถไฟมาช้ากว่าเวลาไปเล็กน้อย
บรรยากาศในรถไฟ คนดูจะไม่เยอะ ทำให้นั่งที่ไหนก็ได้ตามสบาย ไม่ต้องไปนั่งที่จองไว้ก็ได้ ช่วงนี้ไม่ใช่เวลาที่คนจะเดินทางเยอะอยู่แล้ว อีกทั้งสถานการณ์โรคระบาดตอนนี้น่าจะทำให้คนยิ่งน้อยลงไปอีก และจะเห็นว่าหลายคนสวมหน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองพร้อม
ระหว่างทางเลียบริมทะเล ผ่านจังหวัดเหมียวลี่ บางบริเวณก็เห็นทิวทัศน์สวยอยู่
รถไฟถึงสถานีซินจู๋เวลา 16:54 ตามเวลา
แวะหาอะไรกินข้างสถานีก่อนกลับ ก็แวะมาเดินในห้างจิงผิ่นเฉิง (
晶品城購物廣場)
ลงไปชั้นใต้ดิน กินราเมงเกลือยามางาตะ (
山形鹽味拉麵) ๑๔๐ บาท
นอกจากแวะมาหากินมื้อเย็นก็ไม่ได้ดูอะไรมาก แต่พอดีเดินผ่านตู้คีบตุ๊กตาเห็นแมวน่ารักเลยอดไม่ได้ที่จะถ่ายมาด้วย
เสร็จแล้วเดินเล่นต่อแถวๆนั้นดูบรรยากาศในเมืองแถวนี้ไป เท่าที่เห็นก็รู้สึกได้ว่าคนดูบางตา ทั้งที่เป็นย่านร้านอาหาร เวลาแบบนี้คนควรจะพลุกพล่านกว่านี้ สถานการณ์ตอนนี้ดูจะทำให้คนพยายามหลีกเลี่ยงที่ที่คนเยอะ และแต่ละคนก็สวมหน้ากากอนามัยกันเป็นส่วนมากด้วย
เสร็จแล้วก็นั่งรถเมล์กลับมหาวิทยาลัยชิงหัว เข้าหอพักไปพักผ่อน ก็สิ้นสุดการเดินทางของวันนี้เท่านี้
หลังจากนั้นก็ได้เวลากลับมาใช้ชีวิตในไต้หวันต่อ ตั้งใจทำวิจัยต่อไป