φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



gift -prism- บทยุการิ
เขียนเมื่อ 2009/04/05 17:45
แก้ไขล่าสุด 2023/03/30 06:40

เกม gift -prism- เนื้อเรื่องของยุการิ

อันนี้เคยเขียนเป็นสปอยถมขาวไว้ใน tirkx แต่ว่าย้ายมาลงในนี้เพื่อความสะดวกในการอ่าน

ต้องบอกก่อนว่าการเขียนนี้เป็นลักษณะแบบตามอารมณ์มากๆ แปลๆ ข้ามๆ ไม่มีความแน่นอน ขึ้นกับความน่าสนใจของเนื้อเรื่อง และความยากของเนื้อหา(บางฉากมันก็สำคัญ แต่แปลไม่ออกตัดทิ้งไปก็มี) ดังนั้นอาจไม่ใ่ช่ผลงานที่ดีอะไรนัก แถมตอนจบท้ายสุดก็ดันแปลไม่ออกจนต้องตัดจบดื้อๆ อาจดูเสียอรรถรสไปสักหน่อย

การเขียนเรื่องจะเป็นลักษณะบุคคลที่ ๑ เหมือนในเกม เพื่อความง่าย

เนื้อเรื่องจะเริ่มต้นตรงทางแยกของเนื้อเรื่องเลย ไม่ได้เริ่มแต่ต้น ดังนั้นควรจะดูอนิเมะจบมาก่อนแล้วค่อยมาดู ไม่งั้นก็คงดูไม่รู้เรื่องแน่นอน
เนื้อเรื่องก่อนช่วงนี้จะคล้ายในอนิเมะมาก(แต่อนิเมะจะเข้าแต่เนื้อเรื่อง ของริโกะกับคิริโนะ) ดังนั้นแค่ดูอนิเมะจบก็มาอ่านอันนี้ต่อได้เลย

อารมณ์คงจะประมาณว่าเหมือนกับดู clannad ๒๒ ตอน จบไป แล้วก็มาดูตอนพิเศษ Tomoyo chapter(ตอนที่ ๒๔) อีกที

แล้วก็ ที่พิมพ์มาทั้งหมดนี่พิมพ์รอบเดียว และไม่มีการตรวจทานข้อความหรือกลับมาแก้ซ้ำเลย ดังนั้นคงมีที่พิมพ์ผิดอยู่มากพอสมควร และเนื่องจากคิดว่าถ้าต้องเสียเวลาตรวจทานแก้ข้อความทั้งหมดคงไม่คุ้มกับเวลา เพราะยาวมาก ดังนั้นคงปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น

เหมือนเผางานยังไงไม่รู้สิเรา



----------------------

วันที่ 16 เมษายน
ผมได้ออกมาเดินซื้อของตอนกลางคืนกับริโกะ ขณะที่กำลังจะเดินกลับก็ได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดนอนเดินอยู่ ท่าทางน่าสงสัย ผมตั้งใจว่าจะลองเรียกดู แต่ริโกะก็ห้ามไว้บอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวจะถูกหาว่าเป็นพวกโจรลักพา แล้วเวลาก็ยังไม่ใช่กลางดึก ไม่ต้องเป็นห่วงมาก ดังนั้นพวกเราจึงเดินกลับไปโดยไม่ได้ติดใจอะไร


วันที่ 17 เมษายน
ผมได้เดินออกมาซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ขากลับก็เจอกับยุการิเข้าพอดี จึงได้ชวนกันเดินเล่น ระหว่างทางก็เจอคนทักยุการิอยู่ตลอด ดูเหมือนยุการิจะเป็นที่รู้จักดีในแถวนี้อย่างมาก ผมถามว่า “ทำยังไงถึงได้เป็นที่รู้จักของใครๆได้แบบนี้” ยุการิตอบว่า “แค่มาซื้อของทุกวันเองค่ะ”


ระหว่างทางได้เจอกับแมวตัวนึง ซึ่งยุการิเรียกชื่อมันว่า “ไดโงโรซัง” ผมเลยถามไปว่า
“แมวของคนรู้จักเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“แต่ทำไมถึงรู้ชื่อล่ะ”
“แค่ชื่อถามเอาก็ได้น่ะค่ะ”

สักพักผมก็เห็นเด็กผู้หญิงในชุดนอนคนเมื่อวาน
“งั้นหรือคะ เมื่อคืนก็เห็นหรือคะ” ยุการิกำลังทำท่าเหมือนคุยกับแมวอยู่
“อย่าบอกนะว่าเธอสามารถพูดกับมันรู้เรื่อง”
“แม้แต่สัตว์เองก็มีสิ่งที่อยากบอกเหมือนกันนะคะ”
ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“เมื่อคืนฉันเองก็เห็นเด็กคนนี้เหมือนกันล่ะ” ผมบอกไป
ยุการิบอกว่ารู้สึกเป็นห่วง จะขอตามดูเด็กคนนี้ต่ออีกสักพัก ส่วนผมก็แยกย้ายกลับบ้าน

วันที่ 20 เมษายน
วันนี้ได้มีพยากรว่าไต้ฝุ่นจะเข้ามาในวันมะรืน ในคาบโฮมรูมในห้องเรียน อ.โลลี่ ก็มีพูดถึงเรื่องนี้ หลังจากนั้น อ.โลลี่ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องความรักบ้าบออะไรของตัวเองก็ไม่รู้ แถมยังบอกให้รีบหาความรักกันเข้าไว้ เป็นอาจารย์ที่แปลกดีจริงๆ

ตกกลางคืน ริโกะได้เข้ามาหาผมในห้อง บอกว่ากำลังคิดมากถึงเรื่องที่ อ.โลลี่พูดในห้อง เรื่องเกี่ยวกับความรัก ไม่รู้ว่าทำไมริโกะถึงได้ดูจริงจังนักหนา
“พี่ชายน่ะ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ริโกะถาม
“อะไรกัน เป็นห่วงเรื่องนั้นมากขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ ยังไงก็เป็นเรื่องของพี่ชายตัวเอง”
“หรือว่าเธอ...”
“เอ๋?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
บางทีริโกะอาจจะกำลังชอบเราอยู่ก็ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกไปได้
“ก็ไม่มีใครที่ชอบอยู่เป็นพิเศษหรอก แต่ถ้าหาแฟนได้จริงๆก็ดีใจเหมือนกัน” ผมตอบไป
“นี่พี่ชาย ถ้ามีแฟนแล้วละก็ ช่วยบอกฉันด้วยนะ”
“อื้อ ถ้าหาได้นะ”

หลังจากนั้นยุการิก็ได้โทรเข้ามา บอกว่าเจอกับเด็กสวมชุดนอนอีกแล้ว ตอนนี้กำลังแอบตามอยู่ กำลังมุ่งหน้าไปยังบนเนินเขา จึงชวนผมให้ไปด้วย แต่เมื่อไปถึงยอดเนิน ก็กลับไม่พบอะไร จากนั้นผมก็เดินลงมา ระหว่างทางก็ได้เห็นยุการิ กำลังทำอะไรบางอย่างกับสัตว์อยู่ กำลังยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์

“เข้าใจแล้วค่ะ”
“เอ๋?”
ผมส่งเสียงดังขึ้น ทำให้พวกสัตว์ต่างตกใจแยกย้ายหนีกันไปหมด ยุการิบอกว่า “ตอนนี้รู้ที่ที่เด็กคนนั้นอยู่แล้วค่ะ ถามเอาจากพวกสัตว์” ผมยังแทบไม่อยากเชื่อเลย

จากนั้นยุการิก็นำทางเดินไป ในที่สุดก็ได้พบเด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ เมื่อเห็นพวกเราเข้าเธอก็ตกใจ วันนี้เธอก็ยังคงใส่ชุดนอนเช่นเคย เท่าที่ดูน่าจะอายุประมาณสิบขวบ คงยังอยู่ชั้นประถม
“มีอะไรงั้นหรือคะ” เด็กสาวถามขึ้น
“ระวังจะเป็นหวัดเอานะคะ ใส่ชุดแบบนั้นเดินบนเขาตอนกลางคืนแบบนี้” ยุการิตอบ
“พี่คือคนที่ตามหนูมาตั้งแต่ตะกี้สินะคะ” เด็กผู้หญิงพูดด้วยท่าทีไม่ไว้ใจ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นนะคะ แค่...” ยุการิตอบ แต่พูดไม่ทันจบเธอก็หนีไปซะแล้ว
หลังจากนั้นยุการิก็บอกว่า
“เมื่อคืนเธอก็มาที่นี่แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ทำอะไรเลย”
“รู้ได้ไงน่ะ”
“ถามจากพวกสัตว์เอาน่ะค่ะ”
ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปสงสัยอะไร ยังไงก็คงต้องเชื่อเอาไว้ก่อนล่ะ
จากนั้นพวกเราตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะกลับมาตามหาดูอีกครั้ง เพราะยังไงก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

ตอนเดินลงจากเขาผมก็ถามขึ้นว่า “เธอพูดคุยกับสัตว์ได้ยังไงกันน่ะ” เธอตอบว่า “เป็นความลับค่ะ”


วันที่ 21 เมษายน
ตอนเช้า คิริโนะได้ถามผมว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกับยุการินมาเหรอ เห็นมีโทรไปถามเบอร์โทรศัพท์ด้วย” ผมอธิบายเรื่องราวไป จากนั้นพวกเราก็คุยกันถึงเรื่องนี้ ทั้งริโกะและคิริโนะเองก็ดูจะเป็นห่วงเช่นกัน

ตอนพักกลางวันผมตั้งใจว่าเดินขึ้นไปหายุการิที่ห้องเพื่อคุยเรื่องเมื่อคืน แต่กลับเห็นเธอกำลังคุยอยู่กับใครบางคนในชั้นเรียนของ ม.5 เธอบอกว่าที่กำลังคุยอยู่คือมินาโตะซังที่อยู่ชมรมวรรณคดี เธอมาปรึกษาเรื่องที่มีจดหมายรักมาโผล่อยู่หน้าล็อกเกอร์

หลังจากนั้นพวกเราได้ตกลงว่าจะไปที่เนินเขาเพื่อหาเด็กคนนั้นกันอีก พวกเรานัดเจอกันที่สถานี พอผมไปถึงก็เห็นยุการิกำลังคุยกับไดโงโรอยู่ ยุการิบอกว่าแค่คุยเรื่องทั่วไป จากนั้นพวกเราก็บอกลาไดโงโรแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังเนินเขา

เมื่อไปถึงเนินก็พบเด็กคนนั้นจริงๆ
“ทำไมถึงต้องตามมาด้วยล่ะ” เธอถามด้วยท่าทีไม่พอใจ
“เอ่อ... พวกเราก็แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง” ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไง
“หยุดเถอะ หนูไม่ยอมให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาตามหรอก”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระพือปีกขึ้น เด็กผู้หญิงล้มลงก้นกระแทกพื้น พอลองมองดูนั่นก็คือนกฮูกนั่นเอง เด็กผู้หญิงดูตกใจมาก ยุการิได้เข้าทักทายนกฮูก และนกฮูกก็ดูจะเชื่อฟังอย่างง่ายดาย เด็กผู้หญิงรู้สึกทึ่ง
“สุดยอดไปเลย ไม่กลัวเลยเหรอ?”
“ไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะว่าเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ”
“เพื่อนเหรอ... ขอจับหน่อยได้มั้ย?”
เด็กผู้หญิงดูเหมือนจะสงบลง สักพักนกฮูกก็บินจากไป เด็กผู้หญิงจ้องมองนกฮูกที่บินจากไป
“ชอบสัตว์งั้นหรือคะ?” ยุการิถาม
“อื้อ เพราะสัตว์จะไม่มีวันหักหลัง”
เธอพูดราวกับว่าไปโดนใครหักหลังมาอย่างนั้นเลย
“พวกเรามาเป็นเพื่อนกันนะ” หลังจากนั้นพวกเราก็แนะนำตัวกัน จึงได้รู้ว่าเด็กผู้หญิงชื่อ โนโนมุระ มินางิ หลังจากคุยกันได้ไม่นาน มินางิก็ขอตัวกลับก่อน พวกเรานัดเจอกันที่เดิมในวันพรุ่งนี้

หลังจากนั้นผมก็คุยกับยุการิเรื่องมินางิ เรื่องที่มินางิสวมโรงเท้าแตะซึ่งมีเขียนชื่อโรงพยาบาลเอาไว้ “โรงพยาบาลนาระซากิจูโอว” ทำให้เข้าใจว่ามินางิน่าจะเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลนั้น ยุการิบอกว่าพรุ่งนี้ลองไปเยี่ยมดูดีกว่า แต่ผมห้ามไว้เพราะเห็นว่ามินางิยังไม่ได้ชวน ถ้าไปก็คงจะไม่ดี จึงตั้งใจว่าจะแค่ลองไปถามเรื่องดูเฉยๆ ที่โรงพยาบาล

วันที่ 22 เมษายน
หลังเลิกเรียน ผมได้ลองเดินไปยังโรงพยาบาล ที่นั่นมีผู้คนที่แต่งชุดนอนอยู่เต็มไปหมด หลังจากนั้นผมก็ได้กลับมาบ้าน เพื่อค้นหาของเล่นที่จะเอาไปให้มินางิเล่น จากนั้นจึงไปเจอกับยุการิที่นัดกันไว้ที่สถานี จากนั้นเราก็เดินขึ้นเนินไปด้วยกัน จากนั้นก็เจอมินางิ วันนี้ดูเหมือนจะใส่รองเท้าธรรมดา ทั้งผมและยุการิต่างก็เอาของเล่นที่เตรียมไว้ให้มินางิดู จากนั้นก็คุยเล่นกันอยู่สักพัก จึงพูดถึงเรื่องที่เรารู้กันว่ามินางิเป็นคนไข้ของโรงพยาบาล มินางิบอกว่าพยาบาลเป็นคนอนุญาตให้ออกมาได้ จากนั้นยุการิก็พูดเอาใจช่วยให้นางิหายไวๆ แต่มินางิกลับทำหน้าเศร้าแล้วพูดว่า “ถ้ารักษาหายได้นะ...” แล้วก็วิ่งหนีออกไปเลย มันเป็นโรคที่รักษาได้ยากขนาดนั้นเลยเหรอ
“ดูเหมือนการที่พูดแต่ว่าให้พยายามเข้านะคะจะเป็นความคิดที่ง่ายไปหน่อยสินะคะ” ยุการิพูดขึ้นราวกับหมดกำลังใจ

แม้มินางิจะบอกว่าพยาบาลอนุญาตแล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงนัดกันว่าจะไปลองดูที่โรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้ โดยไม่ต้องให้มินางิรู้


วันที่ 23 เมษายน
พวกเราได้ไปที่โรงพยาบาลตามที่นัดไว้ และได้เจอกับคุณพยาบาลชื่อยางิ ซึ่งเป็นคนที่คอยดูแลมินางิอยู่ พอเราบอกเรื่องที่รู้ว่ามินางิแอบหนีออกไปเดินเล่นตอนกลางคืน เธอก็ทำท่าตกใจว่า “ทำไมถึงรู้ได้ล่ะคะ?” ยุการิตอบว่า “เพราะเป็นเพื่อนกันน่ะค่ะ แม้ว่าจะอายุห่างกันก็ตาม” คุณพยาบาลดูจะดีใจมากที่มินางิมีเพื่อน และขอให้เราเป็นเพื่อนกับเธอต่อไป พอเราถามไปว่าทำไมถึงปล่อยให้มินางิออกมาตอนกลางคืน เธอก็ตอบว่า “เพราะตอนกลางวันน่ะ เด็กคนนั้นจะ...” แต่ก็หยุดไว้ไม่พูดต่อ บอกแค่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าอยากรู้อะไรให้ไปถามเจ้าตัวเองจะดีกว่า หลังจากนั้นพวกเราก็ขอตัวกลับโดยบอกคุณพยาบาลว่าไม่ให้บอกมินางิเรื่องที่มาหา

ตกกลางคืนก็ขึ้นมาบนเนินเพื่อหามินางิอีกครั้ง จากนั้นก็คุยเล่นกันไปเรื่อยๆ เธอบอกว่าทุกทีจะขึ้นมาเล่นบนเนินเขาอย่างนี้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ดังนั้นอีกสักพักก็จะต้องกลับไปแล้ว มินางิบอกว่าอาหารที่โรงพยาบาลไม่อร่อย จึงทานไม่หมด ยุการิจึงบอกว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารมาให้

วันที่ 24 เมษายน

ตอนกลางคืนพวกเราก็นัดมาเจอกันเหมือนเคย คราวนี้ได้มาทานข้าวด้วยกัน มินางิบอกว่าอาหารของยุการิอร่อยมาก ไม่ได้ทานแบบนี้มานานแล้ว เพราะอาหารที่โรงพยาบาลไม่อร่อยเลย และบอกว่าให้พรุ่งนี้ช่วยทำมาให้อีก จากนั้นนางิถามว่า “สงสัยมาตั้งแ่ต่แรกแล้ว ทั้งสองคนนี่เป็นอะไรกันเหรอ? หรือว่าจะเป็นแฟนกัน?” ยุการิตอบว่า “ผู้คนที่ย่านร้านค้าก็เข้าใจแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แต่ความจริงเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ”


วันที่ 25 เมษายน

วันนี้ยุการิมาทำอาหารที่บ้าน ผมอยู่กินที่บ้านกับริโกะก่อน จากนั้นจึงค่อยออกไปยังเนินเขาเพื่อหามินางิเหมือนทุกที วันนี้ก็ทำอาหารไปให้มินางิทานอีกเช่นเคย มินางิบอกว่าทานข้าวที่โรงพยาบาลเหลือครึ่งนึง ผมจึงบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก เพราะอาจจะทำให้ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาอีก จากนั้นพวกเราจึงถามมินางิว่าจะให้ไปเยี่ยมตอนกลางวันได้มั้ย มินางิตอบว่าไม่ได้เด็ดขาด ให้รอจนถึงกลางคืน


วันที่ 26 เมษายน
คืนนี้ผมไปหายุการิที่บ้าน เพราะต้องช่วยขนของเข้าบ้านด้วย หลังจากนั้นก็ไปเจอกับมินางิที่เนินเขาตามปกติ พอมินางิทานอาหารเสร็จ ก็บอกว่าง่วงขอหนุนตักยุการินอน จากนั้นมินางิก็ถามว่า “ช่วยมาเป็นแม่ของหนูได้มั้ย” ผมเลยถามว่า “ถ้าแบบนั้นคุณแม่ของเธอจะเสียใจนะ” มินางิตอบกลับว่า “หนูไม่มีแม่ คนคนนั้นน่ะ ไม่ใช่แม่ของหนูหรอก” ดูเหมือนเธอจะมีปัญหาอะไรกับคุณแม่อยู่จริงๆ จากนั้นมินางิจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

มินางิเล่าว่าตัวเองเข้าโรงพยาบาลมาได้สักระยะนึงแล้ว ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลมา คุณแม่ก็มีท่าทีแปลกขึ้นเรื่อยๆ เอาแต่อารมณ์เสีย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นใจดีแท้ๆ พอถามว่ามินางิเป็นโรคอะไร เธอก็ตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน หาสาเหตุไม่ได้เลย อาการที่เป็นอยู่ก็คืออยู่ดีๆมักจะรู้สึกปวดหัวตอนกลางวันอยู่บ่อยๆ ปวดทรมานมากจนอยากตายไปเลย แต่ตอนกลางคืนกลับไม่เป็นอะไรเลย ด้วยเหตุนี้จึงออกมาเล่นตอนกลางคืนแบบนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่อยากให้ใครมาหาตอนกลางวัน มินางิบอกว่า “ถ้ายุการิเป็นแม่จริงๆก็คงจะดี” ยุการิบอกว่า “แม้จะเป็นครอบครัวให้ไม่ได้ แต่พวกเราก็เป็นเพื่อนกัน ดังนั้นพยายามเข้านะคะ”


วันที่ 27 เมษายน
วันนี้พวกเราขึ้นเนินมาหามินางิเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้กลับไม่พบมินางิเลย จึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมตอนกลางวัน

วันที่ 28 เมษายน
พวกเราไปที่โรงพยาบาลที่มินางิอยู่ เจอคุณพยาบาลยางิจากนั้นคุยเล่นกันอยู่สักพักจึงถามถึงเรื่องที่มินางิไม่มาเมื่อคืน คุณพยาบาลบอกว่าพอดีมีเรื่องนิดหน่อย แต่ให้ไปถามจากเจ้าตัวเอาเองดีกว่า จากนั้นคุณพยาบาลก็ไปถามมินางิว่าจะยอมให้เราสองคนเข้าไปหรือเปล่า คุณพยาบาลเดินกลับมาพร้อมคำตอบว่าเข้าไปได้ตามสบายเลย มินางิเองก็ดูจะดีใจที่มาเยี่ยม

จากนั้นพวกเราก็เข้าไปในห้อง มินางิดูจะดีใจมาก พอถามถึงเรื่องที่ไม่ได้ไปเมื่อคืน มินางิก็ตอบว่า เพราะคุณแม่รู้เรื่องที่ทานอาหารโรงพยาบาลเหลือก็เลยโกรธ ไม่ยอมให้ออกมา
“คุณแม่ต่อต้านเรื่องที่ออกไปข้างนอกงั้นหรือคะ” ยุการิถาม
“อื้อ”
“คงจะเป็นห่วงจริงๆนั่นล่ะ” ผมตอบไป
“แม่เขาไม่คิดแบบนั้นหรอก แค่อยากโกรธก็โกรธ ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของหนูเลย”
นางิบอกว่าให้รีบกลับไปก่อน 4 โมงเย็น ไม่งั้นจะเจอกับคุณแม่เข้าแล้วจะเป็นปัญหา แต่ยุการิบอกว่าจะรอเพื่อพบกับคุณแม่ จากนั้นพวกเราก็คุยเล่นกันไปเรื่อยๆจนถึงเวลา

พอคุณแม่ของมินางิเห็นพวกเราก็แสดงความไม่พอใจ เรื่องที่เล่นกันตอนกลางคืน ดูเหมือนจะเป็นห่วงว่ามินางิจะเป็นอะไรตอนกลางคืนขึ้นมา เพราะว่ายังหาสาเหตุไม่ได้ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง จากนั้นมินางิจึงตะโกนออกมาว่า
“หยุดได้แล้วน่ะ หนูบอกแล้วไงว่ากลางคืนไม่เป็นอะไร ทำไมแม่ถึงต้องพูดแบบนี้ด้วย!”
“กล้าพูดกับแม่แบบนี้เหรอ!”
จากนั้นมินางิก็วิ่งออกจากห้องไป
แม่ของมินางิหันมาพูดว่า “พวกคุณ! ถ้ามินางิเป็นอะไรตอนกลางคืนขึ้นมาจะทำไง!” แล้วก็ออกจากห้องไป จากนั้นคุณป้าที่นอนอยู่ห้องเดียวกันก็ตะโกนเรียกนางพยาบาล หลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย

จากนั้นพวกเราก็เดินออกจากโรงพยาบาล ระหว่างทางก็คุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเราตัดสินใจว่าคืนนี้จะไปหามินางิบนเนินเขาเหมือนทุกที

เมื่อขึ้นไปก็เจอมินางิอยู่อย่างเคยจริงๆ ยุการิบอกว่าขอโทษสำหรับเรื่องวันนี้ แต่นางิกลับบอกว่าคนที่ผิดคือแม่ต่างหาก ยุการิบอกว่า “ยังไงก็ขอให้เข้าใจความรู้สึกเป็นห่วงของคุณแม่ด้วยนะคะ” แต่มินางิกลับตะโกนกลับว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก!”
“คุณแม่ก็แค่อายเรื่องของหนูเท่านั้นเอง” นั่นคือความคิดของมินางิ
ผมคิดว่ามินางิจะต้องเข้าใจอะไรคุณแม่ผิดๆอยู่แน่ ที่มินางิบอกว่าถูกหักหลังหมายถึงเรื่องนี้นั่นเอง
จากนั้นพวกเราก็คุยกันว่าจากนี้ไปจะมาเยี่ยมตอนกลางวันที่โรงพยาบาลด้วย

ระหว่างทางกลับผมเดินคุยกับยุการิ เรื่องความคิดของมินางิที่มีต่อคุณแม่ จากนั้นจึงเผลอพูดเรื่องที่ตัวเองไม่มีแม่ออกไป ยุการิบอกว่าคล้ายกับตัวเธอเองเลย เพราะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ครอบครัวตัวเองด้วย


วันที่ 29 เมษายน
วันนี้พวกเรามาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ระหว่างเดินขึ้นบันไดก็พบแม่ของมินางิกับลังคุยกับคุณพยาบาลยางิอยู่ จึงได้แอบฟัง คุณแม่ของมินางิบ่นเรื่องที่โรงพยาบาลยอมให้มินางิออกไปเดินเล่นได้ คุณพยาบาลตอบ
“เพราะโรงพยาบาลไม่ใ่ชเรือนจำ จะให้ขังอยู่แบบนี้เกรงว่าจะ...”
“จะว่ามินางิไปทำอะไรไม่ดีงั้นหรือคะ!”
“เปล่าค่ะ หมายถึง...” บทสนทนายังคงต่อไป คุณแม่ของนางิเหมือนจะไม่ยอมรับฟังอะไรง่ายๆ
“แถมยังให้คนประหลาดที่ไหนไม่รู้เข้ามา” ดูเหมือนจะกำลังพูดถึงพวกเรา
“สองคนนั้นเขาเป็นเพื่อนนะคะ เพราะว่าคนที่มาเยี่ยมมินางิ ก็มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น” คุณแม่ของมินางิจนด้วยคำพูด
“ยังไงก็เถอะ รีบๆรักษามินางิให้หายซะ เรื่องนี้ล่ะที่สำคัญที่สุด”
บทสนทนาจบลงแค่นี้

จากนั้นพวกเราก็เดินเข้ามาหามินางิ คุยเล่นกันสักพักจากนั้นก็กลับ

พอตกกลางคืนก็มาพบกันอีกเช่นเคย ผมเล่าเรื่องที่โรงเีรียนกำลังจะมีจัดทัศนศึกษา มินางิก็บอกว่าน่าอิจฉาจัง ผมจึงบอกว่าไว้ได้รายละเอียดแล้วจะปรินต์มาให้ดู

วันที่ 30 เมษายน
ในความฝันของยุการิ เธอกำลังคุยกับใครคนนึงอยู่
“จะให้ฉันทิ้งองค์หญิงแล้วไปคนเดียวได้ไงล่ะคะ”
“ไม่มีเวลาแล้ว เร็วเข้า คนที่จะช่วยโลกนี้ได้ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นยุการิ ขอร้องล่ะ อย่าให้ความรู้สึกของฉันต้องสูญเปล่าเลยนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“แบบนี้ล่ะดีแล้วล่ะ”
“ลาก่อนค่ะ”
“ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เราต้องได้พบกันอีกแน่นอน”
“..............”
“พวกมันมาแล้ว”

ตอนเช้า ผมไปหายุการิที่ห้อง เธอดูมีท่าทีเหม่อลอยชอบกล ผมทักสักพักกว่าเธอจะตอบกลับ พอถามว่าเป็นอะไร เธอก็ตอบว่านอนไม่พอนิดหน่อย

หลังเลิกเรียนพวกเราไปหานางิที่โรงพยาบาลเหมือนทุกที พอไปถึง คุณพยาบาลยางิก็บอกว่าแม่ของนางิอยู่ ท่าทีเหมือนกำลังรอพวกเราอยู่ ดังนั้นวันนี้จึงไม่ควรขึ้นไปเยี่ยม ผมจึงฝากใบปรินต์เรื่องทัศนศึกษาไปให้นางิ

ตอนกลางคืน พอพวกเราไปถึง ก็กลับพบแม่ของนางิรออยู่ เธอต่อว่าพวกเราเรื่องที่มาเล่นกับนางิบนเนินนี้
“คิดอะไรอยู่กันคะ มินางิน่ะเป็นคนป่วยนะคะ!”
“แต่คุณพยาบาลเขาบอกว่าตอนกลางคืนไม่เป็นอะไร...”
“จะรอให้เป็นก่อนหรือไงล่ะคะ!!”
“แค่คิดว่าถ้าให้ออกมาข้างนอกแบบนี้จะได้สดชื่นขึ้นน่ะค่ะ น่าจะดีกว่านั่งนอนเล่นอยู่แต่ในห้องพยาบาล”
“ถ้าอย่างงั้นทำไมผลการตรวจถึงแย่ลงล่ะคะ!?”
มินางิอาการแย่ลง เรื่องนั้นผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของพวกคุณนั่นแหละ!”
“หยุดเถอะน่ะ! มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่อาการแย่ลงหรอก หนูแค่รู้สึกสนุกที่ไ่ด้อยู่กับพวกเขาเท่านั้นก็พอแล้ว!”
“ถ้าเกิดเป็นขึ้นมาตอนนี้จะทำยังไง!”
“เรื่องนั้นจะอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันแหละน่ะ ต่อให้นอนเล่นอยู่โรงพยาบาลก็เถอะ!”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังดีกว่าที่นี่แหละน่ะ! ยังไงก็เถอะ สงบใจก่อนเุถอะนะ เดี๋ยวอาการจะยิ่งแย่ลง”
“คุณแม่น่ะก็แค่อายเท่านั้น!”
“เอ๋?”
“ไม่ใ่ช่เพราะเห็นห่วงหนูหรอก! แค่อายเรื่องของหนูเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากให้หนูออกไปข้างนอก!”
“เด็กบ้า!” เสียงตบดังขึ้น
“หนูไม่ต้องการแม่อีกต่อไปแล้ว!!”
จากนั้นมินางิก็วิ่งหนีออกไป

“ขอแค่ไม่มีพวกคุณอยู่ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
“แต่ว่าความรู้สึกที่ต้องสูญเสียเพื่อนไปน่ะ แม้แต่คุณแม่ก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือครับ พวกเราไม่ใช่หมอ จึงไม่อาจรักษาให้ได้ แต่ว่านี่ก็คือสิ่งที่พวกเราจะทำได้”
“ยังไงก็เถอะ อย่ามาพบมินางิอีกเลย ขอร้องล่ะ อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวเลย”
“มินางิอาการแย่ลงจริงๆหรือคะ”
“มินางิไม่ได้บอกอะไรเลยเหรอ คนที่เป็นแม่น่ะคือฉัน เพราะฉะนั้นคนที่จะเป็นห่วงนางิมากที่สุดก็คือฉัน”
จากนั้นเธอก็เดินจากไป
“ถึงอย่างนั้น สิ่งที่สำคัญก็ไม่ได้มีแต่พ่อแม่เท่านั้นหรอก” ผมพูดกับยุการิ
“นั่นสินะคะ”


วันที่ 1 พฤษภาคม
ในฝันยุการิยังคงคุยกับองค์หญิงอยู่เช่นเคย
“ฉันรู้จักชื่อของศัตรูแล้วล่ะ”
“ชื่ออะไรหรือคะ?”
“นรกะ”
“นรกะ?”
“เป็นคำภาษาโบราณ หมายถึงขุมนรก ซึ่งไม่มีก้น”
*นรกะ(ナラカ) เข้าใจว่าคำนี้มาจากชื่อปีศาจที่ปรากฏอยู่ในตำนานเทพเจ้าของอินเดีย
“ไม่มีก้น?”
“ตามลักษณะของตัวมันเลย ก่อนอื่นเราต้องรวบรวมข้อมูลให้มากไว้ก่อน ยุการิ ช่วยจัดเตรียมให้ทีนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”

วันนี้ยุการิก็ดูท่าเหมือนจะนอนไม่พออีกแล้ว เธอบอกว่าแค่ฝันร้ายนิดหน่อย วันนี้เราไปเยี่ยมมินางิที่โรงพยาบาลเหมือนทุกที คุยเล่นกันสักพักก็ถามถึงเรื่องเมื่อคืน ดูเหมือนหลังจากหายไปมินางิก็กลับมาที่นี่ทันที พอถามเรื่องที่บอกว่าอาการแย่ลง มินางิบอกว่าช่วงนี้มีอาการปวดหัวบ่อยขึ้น แต่ตอนกลางคืนก็ยังไม่เป็นไรเหมือนเดิม จากนั้นก็คุยกันเรื่องที่ว่าถ้าจะค้นหาอาการต่อไปอาจต้องเดินทางไปยังเมืองใหญ่ และอาจไม่ได้พบกันอีก แต่ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้นอาการปวดหัวของมินางิก็กำเริบขึ้น มินางิไล่พวกเราออกจากห้อง จากนั้นพวกเราก็รีบออกไปทันที นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมินางิขณะที่เกิดอาการ

ระหว่างกำลังเดินทางกลับ พวกเราก็คุยกันว่าถ้าใช้ gift จะสามารถรักษามินางิให้หายได้มั้ย ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะลองใช้ gift กับมินางิเพื่อรักษาอาการป่วยดู

ตอนกลางคืนพวกเราก็มาที่เนินเหมือนทุกที หลังจากคุยเล่นกันสักพัก ผมก็บอกมินางิว่าจะใช้ gift ให้ หลังจากนั้นพิธีก็เริ่มขึ้น แต่กลับไม่เกิดอะไรขึ้นเลย อย่างที่คิดเลยว่าไม่สามารถใช้แบบนี้ได้จริงๆด้วย หลังจากนั้นมินางิก็ขอเบอร์โทรศัพท์ผม แต่พอถามว่าจะเอาไปทำอะไรก็กลับไม่ยอมตอบ

วันที่ 2 พฤษภาคม
ความฝันของยุการิเหมือนที่ผ่านมา
ยุการิกำลังรายงานสภาพลักษณะข้อมูลของนรกะให้องค์หญิงฟัง ในนั้นมีเรื่องที่ว่านรกะสามารถเปิดประตูมิติได้ ยุการิรู้สึกแปลกใจที่มีคนสามารถเปิดประตูมิติได้ แต่องค์หญิงไม่รู้สึกแปลก องค์หญิงบอกว่าเพราะตัวเองก็สามารถทำได้เหมือนกัน


วันที่ 3 พฤษภาคม
วันนี้เป็นวันเริ่มออกเดินทางไปทัศนศึกษา

วันที่ 5 พฤษภาคม
ตอนเย็นวันสุดท้ายของทัศนศึกษา ในที่สุดการเดินทางทัศนศึกษาสามวันได้สิ้นสุดลงแล้ว พรุ่งนี้ก็จะเดินทางกลับบ้าน ในตอนนั้นอยู่ดีๆมินางิก็ได้โทรมา บอกว่าตอนนี้อยู่บนรถไฟแล้ว กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ยุการิเองก็กำลังมาที่นี่ด้วยเช่นกัน
สาเหตุที่มินางิถามเรื่องกำหนดการของทัศนศึกษา และขอเบอร์โทรศัพท์มือถือก็เพราะอย่างนี้นั่นเอง

ผมขอแยกตัวกับริโกะกับมากิ จากนั้นมารอนางิกับยุการิอยู่ที่สถานี หลังจากนั้นมินางิก็มาถึงก่อน ผมเป็นห่วงว่าอาการของมินางิจะกำเริบขึ้นมาอีก แต่มินางิบอกว่ากลางคืนไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่ถ้าเป็นขึ้นมาจริงๆก็ดี เพราะอยากเห็นว่าแม่จะเป็นห่วงตัวเองสักแค่ไหนกัน ผมพยายามเกลี้ยกล่อมมินางิให้กลับไป แต่มินางิก็ไม่ยอม บอกว่าเตรียมแผนการไว้ทั้งหมดแล้ว สุดท้ายผมก็ต้องยอมปล่อยเลยตามเลย


เมื่อยุการิมาถึงพวกเราก็ไปเที่ยวสวนสนุกกัน หลังจากนั้นก็ใกล้ได้เวลาแยกย้ายกลับ ขณะที่กำลังเดินข้ามถนนเพื่อไปซื้อเครื่องดื่ม อยู่ดีๆมินางิก็ล้มลงไป ดูเหมือนอาการจะเกิดกำเริบขึ้นมาอีก ทั้งๆที่เป็นกลางคืนแท้ๆ ผมเดินเข้าไปพยายามที่จะช่วยมินางิ แต่ว่าดูท่าจะไม่ทันแล้ว ผมกำลังจะโดนรถทับไปพร้อมๆกับมินางิ


ทันใดนั้นยุการิก็ปรากฏตัวตรงหน้า เมื่อเสียงรถใกล้เข้ามาผมก็หลับตาลง.................


ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นมินางิที่กำลังนอนทุรนทุรายอยู่ตรงหน้า พอมองไปข้างๆก็เห็นยุการิยืนอยู่ จะว่าไปตะกี้พวกเราน่าจะโดนรถทัีบกันหมดแล้วนี่นา แต่กลับไม่เห็นร่องรอยเลย
พอผมหันไปมองอีกทาง ก็เห็นรถกำลังพลิกคว่ำอยู่
“อามามิซัง เรียกรถพยาบาลเร็วเข้า” เสียงยุการิตะโกนขึ้น จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถพยาบาลไป

จากนั้นผมก็นั่งอยู่กันสองคนกับยุการิที่หน้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน ผมไม่ได้โทรไปบอกทางครูที่โรงเรียนเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะไม่มีใจจะโทร ระหว่างนั้นก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าอยู่ดีๆรถก็พลิกขึ้นเอง เป็นไปได้ไงกันนะ ผมไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้ ที่นึกออกมีเพียงว่าตอนนั้นยุการิกำลังยืนอยู่เท่านั้น ผมตัดสินใจถามยุการิ
“ยุการิ เธอไม่รู้จริงๆ่น่ะเหรอ ถึงสาเหตุที่รถนั้นกระเด็นออกไป”
“ทำไมถึงถามอย่างนั้นล่ะคะ”
ผมอธิบายถึงเหตุผลต่างๆที่คิดมาตลอด
“ดูเหมือนจะปิดไว้ต่อไปไม่ได้แล้วสินะคะ ไม่สิ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดอะไร”
ผมแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ สรุปว่ายุการิเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆสินะ
“อามามิซังอยากฟังจริงๆหรือคะ?”
“อื้อ”
“ถ้าได้รู้เรื่องแล้ว มันอาจไม่ได้จบลงแค่สนองความอยากรู้เท่านั้นนะคะ ถึงอย่างนั้นก็ยอมหรือคะ?”
“ถึงงั้นก็ไม่เป็นไร”
“งั้นฉันขอถามอีกอย่าง ฉันมีเงื่อนไขแลกเปลี่ยนอยู่อย่างนึง”
“อะไรเหรอ?”
“ช่วยให้ gift กับฉันด้วยนะคะ”
“เรื่องนั้น...”
“ที่ผ่านมาฉันโกหกอะไรมามากมาย แต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ใช่ นั่นคือ ฉันชอบอามามิซังค่ะ เพราะมินางิซังถึงทำให้ฉันเข้าใจถึงความรู้สึกนี้ได้ ฉันพยายามจะห้ามมันเอาไว้ แต่ว่ามันคงจะมากเพียงพอแล้วล่ะค่ะ”
“ห้ามเอาไว้? ทำไมกัน?”
“แล้วอามามิซังล่ะคะ คิดยังไง?”
“ฉัน... ก็คงจะชอบละมั้งนะ”
“ดีใจจังเลยค่ะ”
“จะให้ก็ได้... ตอนนี้เหรอ?”
“ไว้รอเจอกับพ่อแม่ของมินางิซังก่อนละกันค่ะ เอาไว้ก่อน คราวนี้ฉันจะตอบคำถามล่ะนะคะ”

“ฉันเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ค่ะ”
ทันใดนั้นมินางิก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ทำให้ต้องพักเรื่องทั้งหมดที่คุยเอาไว้แค่นี้ก่อน ดูเหมือนมินางิจะไม่เป็นอะไรแล้ว ดูท่าจะไม่บาดเจ็บอะไรเลย มีแค่แผลที่หกล้มนิดหน่อยเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งคุยกันไปสักรอ เวลาผ่านไปสักพัก พ่อแม่ของมินางิก็ได้มาถึง เมื่อมาถึง คุณแม่ของมินางิก็รีบตรงเข้ามาหาทันที เธอไม่ได้ว่าอะไรแต่กลับเข้ามากอดนางิ แล้วพูดแสดงความเป็นห่วง ภาพตรงหน้าช่างน่าประทับใจจริงๆ


“ในที่สุดมินางิซังก็จะได้คืนดีกับคุณแม่แล้วนะคะ”
“อื้อ”
“เรื่องที่ค้างเอาไว้ตะกี้น่ะ ไว้ค่อยคุยกันหลังจากกลับไปแล้วละกันนะคะ”

วันที่ 7 พฤษภาคม
ตอนเช้าคิริโนะเห็นหน้าผมแล้วก็ตกใจที่เห็นตาบวม ผมจึงเล่าเรื่องไปว่าเพราะหายไประหว่างทัศนศึกษาโดยไม่บอกใคร ก็เลยโดนครูพละต่อย

วันนี้เราก็เดินไปหามินางิที่โรงพยาบาลอีกเช่นเคย ระหว่างทางผมได้ถามยุการิเรื่องที่คุยค้างเอาไว้ แต่ยุการิบอกว่าไว้หลังจากเยี่ยมมินางิก่อน จากนั้นผมได้หยิบเครื่องรางความรักที่ซื้อเป็นของฝากจากทัศนศึกษาให้ยุการิ

พอมาถึงโรงพยาบาล เจอคุณพยาบาลยางิ เขาก็บอกว่าดูเหมือนมินางิจะคืนดีกับคุณแม่แล้ว และแม่ของมินางิก็ไม่ติดใจเอาความอะไรพวกเราแล้วด้วย เธอบอกว่าเพิ่งเคยเห็นมินางิทำหน้ามีความสุขมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก

พอขึ้นไปยังห้องคนป่วย ก็เจอกับแม่ของมินางิ เธอขอโทษพวกเราสำหรับเรื่องที่ผ่านมา และยอมรับพวกเราเป็นเพื่อนกับมินางิแล้ว และขอร้องให้พวกเราช่วยดูแลมินางิต่อไปด้วย แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มินางิไม่สามารถออกไปไหนตอนกลางคืนได้อีกแล้ว พวกเราจึงมาเยี่ยมได้แค่ตอนกลางวันเท่านั้น

จากนั้นพวกเราก็เดินมาคุยกันที่ริมชายหาด
“เรื่องที่ฉันบอกว่าความจำเสื่อมน่ะ ที่จริงแล้วเป็นเรื่องโกหกค่ะ ตกใจหรือเปล่าคะ”
“งั้นเหรอ ฉันก็เคยมาีคิดอยู่เหมือนกันนะ”
“เพราะฉันคิดมาตลอดว่าถ้าลืมมันได้จริงๆก็คงจะดี เมื่อวันนั้นฉันจึงคิดได้ว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังอะไรอีก เพราะไม่ควรที่จะมีความลับอะไรกับคนที่เราจะให้มอบ gift ให้”
“สิ่งที่เธอต้องการก็คือ การลืมเรื่องราวทั้งหมดงั้นสินะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคำบัญชาละก็ ฉันก็อยากแบบนั้นอยู่ค่ะ”
คำบัญชา? ใช้คำซะหรูทีเดียว
ยุการิเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง เรื่องที่เธอเป็นคนจากโลกมิติอื่น แต่บังเอิญที่ทุกอย่างเหมือนกับโลกนี้ ยุการิเห็นผมทำท่าไม่เชื่อ จึงได้แสดงเวทมนตร์ให้ดู พอดีมีเด็กคนนึงทำลูกโป่งหลุดมือลอยขึ้นฟ้า ยุการิจึงใช้เวทมนตร์ทำให้ลูกโป่งลอยลงมา พอเด็กถามว่าทำได้ยังไงยุการิก็ตอบว่า “เพราะพี่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ไงล่ะคะ”
ผมจึงยอมเชื่อ

ยุการิเล่าต่อว่า ที่ต้องข้ามมาที่นี่เพราะว่าโลกนั้นก็ได้โดนบุกโดยศัตรูที่มาจากมิติอื่น ซึ่งเรียกว่า “นรกะ” ซึ่งมีความหมายว่าไม่มีก้น นั่นเพราะว่านรกะมีลักษณะเหมือนกับหลุมดำ เพียงแต่ว่ามีความคิดเท่านั้น หรืออาจคล้ายกับพวกไวรัส และตอนนี้ผู้ที่เหลือรอดก็มีแค่ตัวเธอเองคนเดียวเท่านั้น เพราะมีคนที่ช่วยเปิดประตูมิติให้เธอข้ามมาได้ หลังจากนั้นจึงได้เจอกับจินตะ และได้มาอยู่บ้านฟุจิมิยะ

แต่เรื่องมันไ่ม่จบแค่นั้น เพราะนรกะได้ตามเธอมาด้วย ในฐานะที่เป็นเหยื่อสังเวยคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ หากมันตามมาถึง โลกใบนี้ก็จะต้องถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นสิ่งที่เธออยากให้ผมมอบให้ก็คือ....
“ชิ ค่ะ”
ชิ? ผมพยายามนึกความหมายที่เป็นไปได้ของคำพูดนั้น 師(ครู)? 氏(นาย)? 市(เมือง)? 詩(กลอน)? 四(สี่)? ไม่หรอก มันต้องไม่ใช่ 死(ความตาย) หรอกน่ะ
“ฉันจำเป็นจะต้องสละชีวิตค่ะ”
“เรื่องนั้น อะไรกัน ทำไมกัน?”
“ฉันนึกทางออกอยู่แค่นี้ล่ะค่ะ มีแต่จะต้องใช้ gift เท่านั้น เพื่อที่จะให้ทุกคนรอด ฉันจำเป็นจะต้องสละชีวิตเท่านั้น”
หลังจากนั้นเธอพูดถึงความประทับใจทั้งหลายตั้งแต่มาอาศัยอยู่ที่โลกนี้
“เข้าใจแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องตอนนี้ก็ได้ ยังพอจะมีเวลาอยู่ ยังไงก็ช่วยคิดให้ดี จากนั้นช่วยตัดสินใจด้วยนะคะ คนที่ฉันรักน่ะมีแค่อามามิซังคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถขอร้องอย่างนี้กับใครอื่นอีก”
ยุการิพูดทิ้งเอาไว้แล้วก็เดินจากไป

เมื่อกลับไปบ้านผมก็เก็บตัวปิดไฟอยู่ในห้องเงียบๆคนเดียว จนริโกะเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายผมตัดสินใจว่าจะไปหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องของ gift ในวันพรุ่งนี้ที่สถาบันโมริ

วันที่ 8 พฤษภาคม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ตอนเช้าพี่ทามะมาหา พอดีเลย ผมจึงให้เขาช่วยพาไปที่สถาบันโมริ เพื่อที่จะหาข้อมูลเรื่อง gift พอไปถึงผมก็เปิดหาข้อมูลดู ในนั้นมีบันทึกเรื่องการใช้ gift ที่ผ่านๆมาทั้งหมด ผมพบว่าวันแรกที่ gift เกิดขึ้นมานั้นก็คือวันเกิดของผม หรือก็คือวันตายของคุณแม่นั่นเอง นอกจากนี้ยังพบว่ามีคนเคยใช้ gift เพื่อก่อให้เกิดความตายมาแล้ว


วันที่ 9
วันนี้ผมไม่มีใจจะเรียนเลยทั้งวัน มัวแต่ครุ่นคิดเรื่องของ gift ว่ามันมีความหมายว่ายังไง เกิดขึ้นมาได้ยังไง มีเงื่อนไขการใช้ยังไง

ตอนกลางวันผมไปหายุการิและทานข้าวกล่องด้วยกัน ระหว่างนั้นก็คุยเรื่องเดิมต่อ ผมบอกเรื่องที่ว่าคนที่ทำให้ gift เกิดขึ้นมาอาจเป็นแม่ของผมเองก็ได้ และคุณแม่คงไม่ต้องการให้ใครเอามาใช้มันเพื่อส่งความตายเป็นแน่ ยุการิชวนผมไปเยี่ยมนางิอีก แต่วันนี้ผมบอกว่าไม่มีอารมณ์

ผมถามยุการิว่าแน่ใจหรือเรื่องที่นรกะจะมา ยุการิบอกว่าแน่ใจ เพราะเห็นกาฝากของนรกะอยู่บนตัวนกกา ผมถามว่าทำไมถึงไม่ลองสู้กับมันดูล่ะ แต่ยุการิก็ตอบทันทีว่าไม่มีทาง เพราะรู้ถึงความน่ากลัวของมันดี บางทีถ้าองค์หญิงยังอยู่ อาจจะพอมีทางก็เป็นได้ หลังจากนั้นยุการิบอกว่าขอนัดเจอที่เนินที่เดิมคืนนี้ จากนั้นเราก็แยกย้ายกัน ผมก็ไปซ้อมเบสบอลต่อ

จากนั้นเราก็มาเจอกันที่เนินตอนกลางคืนตามที่นัดไว้ ยุการิบอกว่าพวกสัตว์ดูแตกตื่นเหมือนจะรู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมบอกว่าผมรู้สึกว่าตัวเองก็มีพลังเวทย์อยู่นิดหน่อยเหมือนกัน จากนั้นเราก็คุยกันถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป เธอบอกว่ามีเวลาจนถึงวันที่ 15 เท่านั้น

วันที่ 10 พฤษภาคม
วันนี้ผมบอกริโกะว่าเป็นหวัด ขอหยุดเรียน ริโกะก็ยอมโดยง่ายโดยไม่ว่าอะไร จากนั้นผมจึงออกมาเดินเล่นในเมือง จากนั้นจึงมาที่โรงพยาบาลและขึ้นมาหามินางิ จากนั้นเราก็คุยเล่นกัน ผมพูดเล่นๆว่าอาจจะมีวิญญาณสิงอยู่ก็ได้นะ มินางิก็บอกว่า อาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้


วันที่ 11 พฤษภาคม
วันนี้หลังเลิกเรียนผมรู้สึกไม่อยากเจอหน้ายุการิขึ้นมา จึงเดินออกมาคนเดียว มาเดินชายหาด แต่ก็กลับเจอยุการิอยู่ที่นั่น เราได้คุยกันอย่างเงียบๆ ยุการิบอกว่าอยากให้ผมนอนหนุนตัก


ผมบอกกับยุการิว่าผมได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ยุการิบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปเจอกันที่เนิน หลังจากนั้นผมก็ได้หลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกทียุการิก็ไม่อยู่แล้ว

วันที่ 12 พฤษภาคม
ตอนเย็น ผมได้ขึ้นมาหายุการิที่เนินตามที่นัดเอาไว้ หลังจากนั่งรอได้ไม่นาน ยุการิก็มาถึง


“ตั้งแต่วันที่ฉันได้เปิดเผยตัวจริง ก็ได้ผ่านมาสัปดาห์นึงพอดีเลยนะคะ หลังจากนั้นสองวันก็ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง เวลาได้ผ่านมาพอสมควรแล้วนะคะ ขอให้เข้าใจว่าเราไม่มีเวลาอีกแล้ว”


จากนั้นผมก็ยืนขึ้น แล้วเริ่มพิธี
“gift”
ดูเหมือนว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น
“ล้มเหลวสินะคะ”
“รอบที่สองแล้วสินะ”
“เป็นเพราะมือไม่สัมผัสกันหรือเปล่าคะ?”
“นั่นมันไ่ม่เกี่ยวหรอก การสัมผัสกันนั่นมันเป็นแค่ธรรมเนียมเท่านั้น”
“งั้นหรือคะ สิ่งที่จำเป็นสำหรับทำให้ gift สำเร็จได้ก็คือทั้งสองฝ่ายต้องตกลงใจยอมสินะคะ”
“อื้อ”
“อามามิซังงั้นหรือคะ?”
“ถ้าจะว่างั้นมันก็...”
“บางที... อาจเป็นเพราะฉันเอง”
“..........”
“ฉันน่ะ ที่จริงแล้ว ฉันอยากจะลืมทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง... นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดจริงๆ”
เพราะว่านั่นคือสิ่งที่ยุการิปรารถนามากที่สุดจริงๆ ดังนั้นแล้วจึงทำให้ gift ไม่มีผล
“ขอโทษนะคะ ที่ขออะไรตามใจชอบ ทั้งที่ตัวฉันเองก็ไม่ได้ต้องการเลยแท้ๆ การต้องแยกจากคนที่รัก หายไปจากเมืองนี้ จากโรงเรียนนี้... ฉันทำใจไม่ได้... ถึงอย่างนั้นแล้ว... ขอโทษนะคะ...”


“ยุการิน ในเวลาที่น่าดีใจแบบนี้ไม่ต้องขอโทษหรอก”
ดีแล้วล่ะแบบนี้
“ต่อให้ใช้เวทมนตร์ได้ แต่เราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเรามาพยายามด้วยกันเถอะให้เต็มที่เถอะ อย่างที่เธอเคยพูดอยู่บ่อยๆไง”

จากนั้นเสียงมินางิก็ได้ดังขึ้น
“อยู่จริงๆด้วย”
“ออกมาข้างนอกไม่เป็นอะไรเหรอ”
“อ่อ ครั้งนี้มันเป็นกรณีฉุกเฉินน่ะ”
“ฉุกเฉิน?”
“อืม การที่ทั้งสองคนอยู่ที่นี่จริงๆก็แสดงว่าไม่ใช่แค่อาการป่วยจริงๆด้วยสินะ”
“???”
“คือว่านะ อาจจะฟังดูตลกนะ แต่ดูเหมือนในตัวหนูจะมีวิญญาณอยู่ล่ะ”
“เอ๋?”
“เขาบอกว่าทั้งสองคนอยู่ที่เนินนี่ ยังไงก็ให้รีบมาหาด่วน”
จากนั้นมินางิก็ทำท่าเหมือนคุยอยู่กับตัวเอง
“งั้นเดี๋ยวจะขอสลับตัวนะ”
จากนั้นมินางิก็หลับตาลง พอเปิดตาขึ้นมาบรรยากาศก็เปลี่ยนไป รู้สึกราวกับเป็นอีกคนนึง

“ไม่ได้เจอกันนานนะ ยุการิ”
“องค์หญิง!?”
เรื่องมันเป็นยังไงผมเริ่มงงไปหมดแล้ว จากนั้นองค์หญิงก็ได้เล่าให้ฟังว่าตัวเองจริงๆนั้นได้ตายไปแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงวิญญาณที่มาสิงมินางิอยู่เท่านั้น ยัีงไงก็ตาม ดีแล้วที่ใช้ gift ไม่สำเร็จ เพราะตราบในที่องค์หญิงยังอยู่ในร่างของมินางิ ยังไงพวกนรกะก็ต้องตามมาอยู่ดี เพราะที่นรกะเล็งไว้นั่นคือพลังงานของคนที่อยู่ในโลกนั้น แม้แ่ต่วิญญาณก็รวมอยู่ในนั้นด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มเดินลงเขาเพื่อกลับไปโรงพยาบาล

องค์หญิงบอกว่าเธอรู้เรื่องทุกอย่างผ่านมินางิมาโดยตลอด
“ว่าแต่เวทมนตร์เนี่ย สามารถทำให้ตัวเองกลายเป็นวิญญาณได้ด้วยเหรอ?”
“เปล่า ฉันก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน เพียงแต่ฉันเป็นผู้ใช้เวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญคือการที่ฉันเข้ามาขอยืมร่างของมินางิแบบนี้ทำให้ฉันรอดมาได้ แต่ก็กลับทำให้มินางิ...”
“งั้น สาเหตุของอาการป่วย....”
“ใช่แล้วล่ะ ดูเหมือนว่าเวทมนตร์ที่เป็นของธรรมดาสำหรับพวกเรา กลับเป็นของอันตรายสำหรับคนที่นี่”
“สาเหตุที่อาการเกิดขึ้นเฉพาะตอนกลางวันก็เพราะอย่างนี้เองสินะคะ ตอนกลางวันองค์หญิงจะมีพลังเวทย์สูงมากที่สุด”
ดูเหมือนปริศนาทุกอย่างจะไขกระจ่างอยู่ตรงนี้
“ว่าแต่องค์หญิงมาอยู่ด้วยแบบนี้ก็อาจจะสามารถล้มนรกะได้สินะ?”
“เรื่องนั้นไว้คุยกันหลังจากถึงโรงพยาบาลละกัน”
“ว่าแต่ทำไมถึงไม่แสดงตัวออกมาเลยจนถึงตอนนี้ล่ะคะ?”
“นั่นเพราะในตอนแรก มินางิยังคงแบกรับความเกลียดชังต่อตัวเองอยู่ี เพราะอาการป่วยแล้วก็สถานการณ์ที่รุมเร้า เรื่องนั้นพวกเธอก็รู้ดีอยู่แล้วสินะ นั่นเพราะมีแต่ความสิ้นหวัง ถึงขนาดสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีต่อคุณแม่ขึ้นมา ในสภาพแบบนั้นคงยากที่จะยอมรับตัวตนที่ไม่รู้มาจากไหนอย่างฉันได้ ถ้าฉันยิ่งโผล่ไปอาจจะยิ่งให้ผลไม่ดีก็ได้”
“นั่นสินะคะ”
“ดังนั้นฉันจึงได้วางแผนเพื่อจะให้แม่ลูกคืนดีกัน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งเรื่องของยุการิ และเรื่องของนรกะ”

เมื่อพวกเรามาถึงโรงพยาบาล ก็ได้คุยกันต่อเรื่องแผนการที่จะจัดการกับนรกะ องค์หญิงบอกว่าแม้ว่าตัวเองจะยังมีพลังเวทย์อยู่ แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากในร่างของมินางิ เพราะยิ่งใช้พลัง มินางิก็จะยิ่งทรมานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงมีแ่ตยุการิเท่านั้นที่จะสู้ได้ นอกจากนี้ยังบอกอีกว่านรกะจะสะสมพลังงานจากสิ่งที่มันโจมตีได้ ดังนั้นถ้าจะจัดการมันได้ ก็ต้องตอนที่มันเพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาเท่านั้น นั่นเป็นโอกาสเดียว แ่ตถึงอย่างนั้น พลังของยุการิคนเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงขอเวลาคิดหาทางดูก่อน ยังพอมีเวลา

จากนั้นองค์หญิงก็คืนร่างให้กับมินางิ มินางิได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยุการิกล่าวขอโทษกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่มินางิก็ไม่ได้โกรธอะไร มินางิบอกกับยุการิว่า “ห้ามคิดที่จะตายไปเองคนเดียวอีกนะ”
ตอนนี้คำบัญชาได้เปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือต้องสู้เท่านั้น


วันที่ 13 พฤษภาคม
หลังเลิกเรียน ผมไปเยี่ยมมินางิที่โรงพยาบาล มินางิบอกว่าตั้งแต่รู้เรื่องขององค์หญิงแล้ว อาการก็ดีขึ้น นั่นเป็นเพราะรู้ว่าสาเหตุมาจากอะไรแล้ว จึงทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาก ดีกว่าอยู่ในสภาพที่ไม่ทราบสาเหตุ ผมถามมินางิว่าองค์หญิงนึกแผนการออกหรือยัง มินางิตอบว่ายัง

ตอนเย็นผมมาเดินที่ริมชายหาด ในตอนนั้นโทรศัพท์จากยุการิก็ได้ดังขึ้น ผมฟังเสียงในโทรศัพท์แล้วจึงรู้ว่าเธอก็อยู่ที่ชายหาดเช่นกัน หลังจากนั้นพวกเราจึงเดินมาเจอกัน ดูเหมือนว่าวันนี้ยุการิจะโดดเรียน เพราะมีเรื่องต้องคิดมากมาย เธอเล่าเรื่องในอดีตว่าตัวเองโตมากับองค์หญิงเหมือนเป็นพี่น้องกันเลย
“อย่างที่คิดเลย เธอเองก็มีอดีตที่สำคัญอยู่เหมือนกันสินะ”
“เอ๋?”
“ที่บอกว่าอยากลืมน่ะ มีแค่เรื่องนั้นเท่านั้นสินะ สุดท้ายแล้วก็ยังดีที่ไม่ได้ลืมไปจริงๆไม่ใช่เหรอ เรื่องที่ขมขื่นนั้นอาจมีมากมายจริงอยู่ แต่มันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแบบนั้นสักหน่อย”
“นั่นสินะคะ”
“การมีเรื่องที่ต้องเจ็บปวดน่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว”
หลังจากนั้นยุการิก็เข้ามาใกล้ แล้วก็...
“ฉันชอบคุณนะคะ”


วันที่ 14 พฤษภาคม
ตอนเช้าขณะเดินไปโรงเรียน ได้มีโทรศัพท์ดังเข้ามา
“ฮัลโหล มินางิเหรอ?”
“ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ?”
“ทำไมน่ะเหรอ ก็มีเบอร์ขึ้นอยู่แ้ล้วไม่ใช่เหรอ”
“อืม ไอ้มือถือเนี่ย มันก็สะดวกดีไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ”
“ลักษณะการพูดแบบนี้ หรือว่าจะเป็นองค์หญิง?”
“ถูกต้องแล้ว”
“องค์หญิง?” อยู่ดีๆริโกะก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ที่โทรมาตอนนี้ หรือว่าจะนึกออกแล้วเหรอ? แผนการที่ว่า”
“ก็ประมาณนั้นล่ะ”
“เป็นไงบ้างล่ะ”
“ตอนนี้ฉันรออยู่ที่ระหว่างทางไปโรงเีรียนของอามามิอยู่นะ วันนี้อยากให้ช่วยแนะนำสักหน่อย”
“หา?”
“พอเลิกเรียนก็ต่อในเมืองนะ แต่นี้นะ”
“หา? นี่...” จากนั้นสายก็ตัดลง
ริโกะเข้ามาถามว่าคุยกับใคร ผมบอกไปว่าเป็นเด็กผู้หญิงสวมชุดนอนที่เจอตอนนั้น
“ที่ว่าแผนการนี่?” คิริโนะแทรกขึ้น
“ฟังดูมีลับลมคมในจังเลยนะ” ริโกะพูด
“ก็นะ”

เมื่อมาถึงโรงเีรียนก็พบองค์หญิงรออยู่จริงๆ
“สวัสดี ทั้งสองท่านข้างหลัง” องค์หญิงทักขึ้น
“ทั้งสองท่าน” ริโกะฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ
“นี่น้องสาวกับเพื่อนบ้านฉัน ริโกะกับคิริโนะ” ผมแนะนำตัวทั้งสองคนให้
“ยินดีที่ได้รู้จัก ขอฝากตัวด้วย” ริโกะกับคิริโนะตอบ
“ยินดีที่ได้พบท่าน* ฉันชื่อมินางิ ขอฝากตัวด้วย” *(お初にお目にかかる โอฮัตสึนิโอเมะนิคาการุ)
“...................”
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” จากนั้นองค์หญิงก็เดินนำออกไป
“นี่ มินางิจังนี่เขาชอบดูละครย้อนยุคเหรอ?”
“อืม”
จากนั้นผมก็เข้าเรียนโดยมีองค์หญิงติดไปด้วย ผมเป็นห่วงว่าถ้ามินางิไม่อยู่โรงพยาบาลจะเป็นอะไรหรือเปล่า แต่องค์หญิงบอกว่าตัวเองกางม่านเวทย์เอาไว้แล้ว ไม่ว่าใครที่เข้าห้อง ก็จะรู้สึกไม่รู้สึกสงสัยอะไร ตอนเที่ยง หลังเลิกเรียน เราก็ขึ้นไปหายุการิกัน มีคุยกันเรื่องต่อสู้กับนรกะนิดหน่อย จากนั้นจึงเดินออกมาจากโรงเรียน จากนั้นองค์หญิงบอกว่าจะขอไปเดินในกับผมสองคน ให้ยุการิกลับบ้านไปก่อน หลังจากนั้นผมก็เดินพาองค์หญิงชมเมือง

หลังทานข้าวเสร็จ พวกเราก็นัดคุยกันที่เนินเขาเกี่ยวกับแผนการจัดการกับนรกะ แผนที่องค์หญิงบอกก็คือใช้ gift นั่นเอง ถ้าหากมีคนส่ง gift ให้กับยุการิ พลังเวทย์ก็จะมากขึ้นจนสามารถจัดการกับนรกะได้ องค์หญิงถามเรื่องเงื่อนไขของ gift ผมก็ตอบไป
1. จะต้องไม่รบกวนระบบของธรรมชาติ
2. จะต้องใช้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
3. จะต้องไม่มีผลกระทบต่อบุคคลที่สาม
4. จะต้องไม่ใช้กับเรื่องไม่ดี
“gift ที่จะให้กับยุการิน่ะไม่น่าจะขัดต่อกฎข้อไหนนะ แม้ว่าจะรุนแรง แต่ก็คงจะไม่รบกวนระบบธรรมชาติหรอก ดังนั้นไม่น่าจะมีปัญหา ยุการิก็มีพลังเวทย์อยู่แต่แรกแล้ว”
“คิดว่าคงจะใช้ได้ล่ะนะ”
“เรื่องที่องค์หญิงพูดน่ะไม่เคยมีผิดหรอกค่ะ”
“แต่ว่าวิธีนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างนึง นั่นคือ gift แค่จากคนเดียวน่ะไม่น่าจะเพียงพอ”
“เอ๋?”
“ดูเหมือนอามามิจะมีพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วสินะ ว่า gift เป็นสิ่งที่คนทำขึ้น ดังนั้นมันก็ต้องย่อมมีขีดจำกัดอยู่”

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้คนจำนวนมากเท่านั้น ผมตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้กับมากิ โดยเริ่มจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแต่ต้น มากิยอมช่วยเหลืออย่างง่ายดาย มากิเสนอว่าให้ติดสปีเกอร์ไว้ให้ทั่วเมืองแล้วประกาศออกอากาศทีเดียว แทนที่จะใช้การบอกปากต่อปากไปเรื่อยๆ ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่การติดสปีเกอร์ให้ทั่วเมือง พวกเราจึงตัดสินใจเรียก ริโกะ คิริโนะ จิสะ ริงกะ มาช่วย รวมแล้วเป็น 7 คน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปติดสปีเกอร์

เมื่อเสร็จงาน ผมก็เดินมาส่งมินางิที่โรงพยาบาล ระหว่างทางองค์หญิงก็ออกมาคุยด้วยว่า เฉพาะผมเท่านั้นที่ยังไม่ต้องใช้ gift กับยุการิ ให้เก็บไว้ใช้กับตัวองค์หญิงเอง เพื่อที่จะออกจากร่างของมินางิ และยังบอกว่าที่ตอนนั้นที่ใช้ gift กับมินางิล้มเหลวนั่นเป็นเพราะว่ายังเป็นห่วงเรื่องของนรกะอยู่ จึงไม่ยอมให้ใช้ gift ได้สำเร็จ แ่ต่หากการต่อสู้จบลงแล้ว เธอจะไปไหนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอีกแล้ว เรื่องนี้ห้ามไม่ให้บอกยุการิ เพราะไม่ต้องการให้เธอต้องเป็นกังวลก่อนการต่อสู้


วันที่ 15 พฤษภาคม
ในที่สุดเวลาก็มาถึง พวกเรามารวมตัวกันที่สวนโรงเรียนตามที่นัดเอาไว้ มากิยื่นไมค์ให้ยุการิจากนั้นเธอจึงเริ่มกล่าวทักทายและเล่าเรื่องทั้งหมด เสียงถูกส่งกระจายไปทั่วเมือง

แม้ว่าเรื่องมันจะดูไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายทุกคนก็เชื่อ นั่นเพราะว่าเป็นยุการิ คนที่เป็นที่รักของใครๆทั้งหมด ในที่สุดทุกคนก็มารวมตัวกัน จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังชายหาด


ในที่สุดนรกะก็ปรากฏตัวขึ้น การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นและจบลงอย่างง่ายดาย ยุการิได้ใช้พลังที่ได้รับมาจากทุกคนจัดการกับนรกะเรียบร้อย เหล่าผู้คนในเมืองที่ยืนดูอยู่ข้างหลังต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องยินดี

หลังจากนั้นผมก็ไปแข่งเบสบอล ตอนเย็นก็กลับมาเดินที่ชายหาดอีกครั้งกับยุการิและมินางิ(องค์หญิง) หลังจากคุยอะไรกันไปสักพัก องค์หญิงก็พูดขึ้น
“ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงแล้วสินะ เวลาแห่งการจากลา”
“องค์หญิง”
“อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิ คิดว่าฉันจะทำผิดพลาดเหมือนอย่างที่ยุการิเคยทำเหรอ?”
“ไม่ได้นะ” อยู่ดีๆมินางิก็แทรกขึ้น นั่นเป็นเสียงของมินางิจริงๆ
“ฉันจะขอรับความรู้สึกดีๆนี้ไว้นะ มินางิ ขอบคุณมากนะ” องค์หญิงตอบ


“ไม่มีอะไรน่าเศร้าหรอก ยังไงฉันก็ได้ตายไปก่อนแล้ว แค่ได้อยู่ดูจนการต่อสู้จบลง เท่านี้จะยังมีอะไรให้ต้องเศร้าอีกล่ะ แค่ได้เห็นภาพที่มีความสุขของเธอ แค่นี้ก็ไม่มีอะไรต้องเศร้าอีกแล้ว”
ถึงอย่างนั้นก็น่าโศกเศร้าอยู่ดีล่ะ การต้องมาแยกจากคนที่รักไป
“ถึงอย่างนั้น... ถึงอย่างนั้น... ฉัน...”
“ยุการิน่ะทำได้ดีมากเลยนะ เธอเป็นคนมีความพยายาม ทุกคนอุตส่าห์มอบพลังให้เพื่อเธอเพียงคนเดียว ตอนนี้เธอไม่ใช่คนของโลกที่ตายไปแล้วอีกต่อไป แต่เป็นคามิชิโระ ยุการิ คนของที่นี่ ดาวดวงนี้ ญี่ปุ่น เมืองนาระซากิ”
“องค์หญิงคะ องค์หญิงคะ... ฉันน่ะมีความสุขขึ้นกว่าแต่ก่อนนะคะ สูญเสียพ่อแม่... ต้องอยู่ตัวคนเดียว... แต่ว่าเพราะได้มาอยู่กับองค์หญิง เพราะได้อยู่ด้วยกันมาตลอด”
“ฉันเองก็ด้วย แต่ว่าจากนี้ต่อไปจะต้ิองยิ่งมีความสุขขึ้นไปอีก อยู่เพื่อเอาใจช่วยผู้คนต่อไป ดังนั้นจึงต้องยิ่งพยายามต่อไป”
“ค่ะ”
“..........เอาล่ะ อามามิ ช่วยทีนะ”
ผมยื่นมือออกไปจะเริ่มพิธี แต่ก็หยุดกลางคัน
“ทำไมเหรอ?”
“ฉันคิดมาโดยตลอด ในที่สุดก็เข้าใจแล้ัว วิธีที่จะช่วยองค์หญิง”
“เอ๋?” ยุการิพูดขึ้นด้วยเสียงตกใจ
“ไม่มีประโยชน์หรอก”
“ฟังฉันก่อนสิ วิธีการนั่นก็คือให้ย้ายมาอยู่กับฉันแทนไงล่ะ”
“เอ๋?”
“องค์หญิงเคยพูดไว้สินะ ว่าคนที่นี่จะรับพลังขององค์หญิงไม่ได้”
“อื้อ”
“แต่ถ้าเป็นฉันละก็น่าจะไม่เป็นอะไร มินางิ ฟังนะ ดูเหมือนว่าฉันเองก็มีพลังเวทย์อยู่ แม้ว่าจะนิดหน่อยก็เถอะ ดังนั้นสำหรับฉันแล้วไม่ต้องห่วง”
“เยี่ยมไปเลย พี่ชาย” คราวนี้เป็นมินางิพูด
“แต่ว่ามันอันตรายนะ จะทนได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ด้วย ที่สำคัญคือใช้ gift ไปแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกจะมาเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้แล้วนะ” เปลี่ยนกลับมาเป็นองค์หญิงพูด
“ผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอก”
“อามามิ”
“ฉันเพียงแต่ต้องการจะชดเชยความผิดในตอนนั้น”
“ชดเชยความผิด?”
“ในตอนนั้น บางทีฉันอาจจะตั้งใจใช้ gift นั่นกับยุการิจริงๆ โชคดีที่ไม่สำเร็จ แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจว่าตัวเองได้ทำอะไรบ้าๆลงไป”
“มันไม่ใช่ความผิดอะไรสักหน่อย”
“ก็แล้วแต่จะคิด gift น่ะ ไม่ได้มีไว้ใช้ให้เกิดความเศร้าหรอก แต่มีไว้เพื่อความสุขต่างหาก นั่นล่ะน่าจะเป็นความหมายของ gift”
“ช่วยไม่ได้นะ มันก็ไม่เลว ถ้างั้นก็เอาเลย” จากนั้นองค์หญิงก็ยื่นมือมา
“ไม่ได้นะ ถ้าใจยังยอมรับไม่ได้แบบนี้ละก็!” อยู่ดีๆมินางิก็แทรกขึ้น
“มินางิ” คราวนี้เป็นองค์หญิงพูดขึ้น
“ฉันรู้นะ สุดท้ายแล้วตั้งใจจะไม่รับมันใช่มั้ยล่ะ หนูน่ะชอบองค์หญิงนะ ถ้าได้อยู่ด้วยกันจะมีความสุขมาก แต่ถ้าหายไปละก็คงจะเหงาแย่ ที่สำคัญ ถ้าเป็นพี่ชายละก็ไม่เป็นอะไรหรอก เห็นอย่างนี้แต่ก็เป็นคนที่พึ่งพาได้มากเลย เนอะ ตอนนั้นที่หนูกำลังจะถูกรถทับ ก็ยังมาช่วยเอาไว้เลย”
“ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้นะ” องค์หญิงยิ้มขึ้น คราวนี้เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีอะไรมาบดบังอีกต่อไป
จากนั้นองค์หญิงก็ได้เล่าถึงความสุขและสิ่งที่จะทำหลังจากนี้ไป ดูเหมือนองค์หญิงจะคิดเรื่องสนุกทำได้ตั้งมากมายหลังจากที่จะได้เข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับผม
จากนั้นพวกเราก็เริ่มพิธีกันอีกครั้ง ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกต่อไป
“gift”
..................

บทส่งท้าย
พวกเรามีนัดกับมินางิว่าจะไปฉลองที่มินางิได้ออกจากโรงพยาบาล จึงออกไปซื้อของกัน ระหว่างทางที่เดินไปนั้นเราก็ได้คุยกัน
“ตอนที่ฉันอยู่กับองค์หญิงน่ะฉันมีความสุขมาก แต่ถึงอย่างนั้นการที่ไม่มีครอบครัว ก็ยังทำให้ฉันรู้สึกเหงามาโดยตลอด แต่ว่าอามามิซังก็บอกสินะคะ ว่าครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่จะต้องสร้างมันขึ้นมา”
“ก็ไม่ใช่ว่าจะโผล่มาจากตอไม้ที่ไหนก็ได้นี่นะ”


“ถ้าได้สร้างอนาคตร่วมกันกับอามามิซังละก็ ฉันคงจะมีความสุขมาก”
“ฉันเองก็ด้วย”
“ถ้าเป็นครอบครัวกันแล้ว ให้เรียกด้วยนามสกุลอยู่ก็คงจะดูแปลกสินะคะ”
“อืม นั่นสินะ”
“งั้นฉันจะไปคิดดูนะคะ”
“คิดอะไรน่ะ ก็แค่เรียกชื่อเฉยๆก็ได้”
“แบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
“ท..ทำไมล่ะ?”
“เรียกให้น่ารักไว้น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือคะ”


เธอพูดแล้วยิ้มขึ้น
ต่อจากนี้ไป ผมเองก็จะเรียกเธอว่า “ยุการิน” ต่อไปเช่นกัน...

--------------------

หลังจากอ่านจบไป รู้สึกว่าเป็นเนื้อเรื่องที่โอเค ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ สมกับที่ใช้เวลาเล่นมาค่อนเดือน กับเสียเวลาเขียนบทสปอยวันครึ่ง

แต่ก็ยังมีบางส่วนที่รู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง เช่นเรื่องที่มินางิสามารถคืนดีกับแม่ได้ ซึ่งตรงๆนี้งงมาก เหมือนกับมันง่ายเกินไป แต่ชีวิตคนเราจริงๆมันคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก

กับอีกจุดที่งงก็คือทำไมยุการิถึงไม่ฆ่าตัวตายเอง แต่กลับต้องใช้ gift อันนี้ยังนึกเหตุผลไม่ออก

นอกจากนี้ยังมีจุดที่ขัดแย้งอยู่ นั่นคือถ้าหากเราเล่นบทคนอื่นล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นนะ ยุการิจะหาทางช่วยโลกยังไง เพราะถ้าเล่นบทคนอื่นไป เราก็ไม่ได้มาเจอมินางิ(กัีบองค์หญิง) แล้วก็ไม่ได้ช่วยยุการิสู้ และก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยน่ะสิ หรือบางทียุการิอาจมีทางออกที่ดีกว่านี้เองก็ได้

ฉากต่อสู้ก็ไม่มีอะไรเลย เพราะพอนรกะโผล่มาไม่นาน ก็ถูกกำจัดอย่างรวดเร็วง่ายดาย แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แนวต่อสู้อยู่แล้ว

ชอบเนื้อเรื่องแบบนี้ตรงที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรักชายหญิงเลย ซึ่งเรารู้สึกเฉยๆกับเนื้อเรื่องประเภทนั้นอยู่แล้ว แต่ที่ชอบก็คือเกี่ยวกับความรักความอบอุ่นในครอบครัวแล้วก็เพื่อน ทำให้ดูแล้วซึ้งไปกับมันได้ บทริโกะกับคิริโนะมีแต่เรื่องความรักแบบนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกเฉยๆ

อยากเล่นบทคนอื่นต่อ แต่คิดว่าคงไม่มีเวลาเล่นแล้ว ก็คงจะจบลงเพียงเท่านี้ สำหรับส่วนสปอย
gift



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- บันเทิง >> เกม >> vn

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ