φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



[ef] ตอนที่ ๕. ส่วนลึกของความรู้สึก (心の向こう)
เขียนเมื่อ 2009/06/13 09:59
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42

ตอนที่ ๕. ส่วนลึกของความรู้สึก (心の向こう)

>> กลับไปตอนที่ ๔
>> อ่านต่อตอนที่ ๖

>> กลับไปหน้าสารบัญ

ᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳ

ที่เขาว่าคนเราไม่ว่าเวลาเกิดหรือตายก็ตัวคนเดียวเท่านั้น... ผมไม่คิดอย่างนั้นซะทีเดียว
ตอนเกิดน่ะ ไม่ว่าใครก็อาจจะโดดเดี่ยว
แต่ว่าตอนที่จะจบชีวิตลง ก็อาจสร้างความสูญเสียให้กับคนใกล้ตัวไปด้วยเช่นกัน
ส่วนหนึ่งของฮิมุระ ยูนั้น ได้ตายไปพร้อมกับน้องสาวแล้ว
เพียงแต่ว่า ร่างกายของผมนั้นยังมีชีวิตอยู่

เพราะมีชีวิตอยู่ถึงได้หิว
แม้ว่าจะชินกับการทานอาหารวันละมือเดียว แต่ความอยากอาหารก็ไม่ใช่ว่าจะลดลงเลย
อย่างน้อยก็อยากจะทานข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไปโรงเรียนอยู่เหมือนกัน
ผมคิดเช่นนั้นระหว่างที่กำลังเดินไปยังห้องเรียน

“ยูคุง”
“.............”


“อรุณสวัสดิ์ ยูคุง”
ผมจ้องมองคนที่มาเดินอยู่ข้างๆผม

“จู่ๆก็รู้สึกหมดแรงแต่เช้าเลยแฮะ”
“ทำไมพูดจาโหดร้ายแบบนั้นล่ะคะ”
ยูโกะเหมือนจงใจทำท่าทางตกใจ
ยัยนี่ชอบทำท่าเว่อแบบนี้อยู่เรื่อยเลย

“เรียกคนที่มีอายุมากกว่าแบบนี้ได้ยังไงกัน ไม่ใช่เด็กๆแล้วสักหน่อย”
“ฮะๆ ถ้าอายุเท่ากันก็คงจะเรียกชื่อเฉยๆไปแล้วล่ะค่ะ นี่ก็เลยเติม คุง เข้าไปด้วย”
“เข้าใจแล้วช่างเหอะ”
จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ


“นี่เธอ ไม่ได้ใส่รองเท้าสำหรับใส่เดินในอาคารงั้นเหรอ?”
ทำไมกันนะ ดูเหมือนยูโกะจะใส่แค่ถุงเท้าแล้วเดินมาจนถึงที่นี่
นอกจากใส่ชุดฤดูหนาวในฤดูร้อนแล้ว คราวนี้ก็นี่อีกเหรอ
แต่ถ้าเทียบกันแล้วนี่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกสินะ

“นั่นคงจะไม่ใช่ปัญหาสินะ”
“ถ้าจะถามเองตอบเองแบบนี้ไม่ต้องส่งเสียงออกมาก็ได้นะคะ”
“อ้อ เปล่า ก็เห็นเธอชอบทำตัวแปลกๆอยู่แล้วนี่”
“แต่ว่า สังเกตเห็นได้เร็วจังเลยนะคะ ในที่สุดเด็กชายยูก็เริ่มสนใจมองท่อนล่างของผู้หญิงแล้วสินะคะ”
ยูโกะพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ

“เธอนั่นแหละ พูดคนเดียวไม่ต้องให้คนอื่นได้ยินก็ได้นะ”
“อ๊ะ นอกจากตาไวแล้วยังหูดีอีกนะคะนี่”
ท่าทางเหมือนเธอกำลังชมอยู่จริงๆเลย แต่ว่าถูกชมด้วยเรื่องแบบนี้ไม่เห็นจะน่ารู้สึกดีใจเลยสักนิด

“นี่ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าอามะมิยะไม่ให้แม้แต่เงินซื้อรองเท้าใส่ในโรงเรียน”
ยูโกะหันมายิ้มเล็กน้อย

“แหะๆ พอมาถึงโรงเรียนแล้วเปิดตู้เก็บรองเท้าดูมันก็ไม่อยู่ซะแล้วล่ะค่ะ”
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ล่ะ?”
ถ้าเป็นร่มก็ว่าไปอย่าง แต่อย่างรองเท้าใส่เดินในอาคารนี่ไม่น่าจะมีการหยิบผิดกันได้

“อื...ม หรืออาจจะเป็นฝีมือของพวกสตอเกอร์ที่กำลังระบาดในช่วงนี้ก็ได้นะคะ ขโมยแม้แต่รองเท้าแบบนี้สงสัยจะเป็นพวกคลั่งไคล้อย่างหนักเลยล่ะค่ะ”
“เป็นงั้นแน่เหรอ...?”
ผมเองก็อยากจะช่วยคิดอยู่ แต่ไม่รู้เบาะแสอะไรเลยแบบนี้ต่อให้คิดยังไงก็ลำบากอยู่ล่ะ

“แต่ว่า รู้สึกช็อคจังเลยนะคะ”
อย่างยูโกะนี่ไม่น่าจะถูกขโมยรองเท้าได้ง่ายๆเลยนะ


“ไม่คิดเลยว่าเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนานจะกลายเป็นพวกโรคจิตที่ชอบขโมยของของสาวน้อยน่ารักไปซะแล้ว”
“เดี๋ยวก่อนสิ ถามหน่อย ไอ้โรคจิตที่ว่านี่ใครกัน?”
“หรือว่าจะเอาไปดมเล่นสินะคะ”
“ถามใครกันน่ะหา!”
ยัยเด็กนี่ ถึงจะล้อเล่นก็น่าจะให้มันมีขอบเขตบ้างสิ

“เอาเถอะ ของที่หายไปแล้วก็คงช่วยอะไรไม่ได้ล่ะนะคะ คงต้องตัดใจล่ะค่ะ”
“คือว่านะ ก่อนที่จะตัดใจน่ะช่วยมาขอโทษฉันก่อนด้วย”

“ไม่ได้นะไม่ได้ ให้ผู้หญิงก้มหัวให้แบบนั้นได้ยังไงกัน”
“มาอยู่นี่ได้ไงกันน่ะ คุเซะ”
แล้วก็มีไอ้บ้าคนหนึ่งปรากฏตัวข้างๆผมเหมือนเช่นเคย

“ไม่ว่ายังไง ผู้ชายก็ต้องเป็นฝ่ายยอมให้สิ”
“ทั้งสองคนน่ะ ยั่วให้คนอื่นอารมณ์เสียแต่เช้าเนี่ยสนุกงั้นสินะ?”
“ประมาณนั้นค่ะ”
“อื้อๆ”
“...............”
คุเซะกับยูโกะน่าจะเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกสินะ แต่ไหงดูเข้ากันได้ขนาดนี้เนี่ย?


“อ้อ ใช่ๆ แนะนำตัวช้าไปหน่อยสินะ ฉันชื่อคุเซะ ชูอิจิ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่นี่ของฮิมุระ ยู”
คุเซะทักทายอย่างสุภาพไปพร้อมกับหว่านล้อมด้วยท่าทีที่อ่อนหวานจนหน้าหมั่นไส้

“ยินดีทีได้รู้จักค่ะ อามะมิยะ ยูโกะ ปี ๑ ค่ะ เป็นทาสรักของรุ่นพี่ฮิมุระค่ะ”
“บังเอิญจังเลย ฉันเองก็อยากจะตกเป็นทาสรักเธอเหมือนกัน”
“ทั้งสองคนน่ะ พอเถอะ รีบกลับไปได้แล้ว”
อยากให้รีบกลับไปจริงๆ

“ถ้าอย่างงั้นก็ช่วยไม่ได้นะคะ สามีน่ากลัวแบบนี้ ยูโกะก็คงต้องกลับไปที่ห้องล่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
ยูโกะรีบตัดบทแล้วกำลังจะเดินกลับไปยังห้องตัวเอง

“เดี๋ยวก่อน”
“คะ?”
“ถ้าไปที่ห้องฝ่ายบุคคลละก็ เขาจะให้ยืมรองเท้าแตะมาใส่ได้ เดินไปไหนมาไหนในสภาพแบบนี้น่ะจะเป็นแผลเอาได้นะ”

หลังจากนั้นผมก็เดินกลับมาที่ห้องเรียน
ดูเหมือนคุเซะจะเริ่มคุยกับยูโกะต่อ แต่ว่าผมไม่ได้หันกลับไปมอง
อยู่ดีๆเป็นอะไรขึ้นมากันแน่นะ ต่อหน้ายูโกะทำไมถึงรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองเลย
ทำไมถึงได้พูดใจดีไม่สมกับเป็นตัวเองแบบนี้ออกไปนะ

พอกำลังจะเข้าห้องเรียน คุเซะก็ไล่ตามมาทัน

“อะไรกัน ไม่เห็นจะต้องรีบมาก่อนเลยนี่นา”
“ถ้าจะให้คุยกับพวกนายต่ออีกละก็ ฉันอาจทำให้ระเบียงกลายเป็นทะเลเลือดก็ได้นะ”
“แหม ก็เป็นฤดูร้อนนี่ ทะเลก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”
ไอ้หมอนี่มันโง่บริสุทธิ์จริงๆสินะ
ระหว่างที่ไม่รู้จะตอบอะไร ผมก็วางกระเป๋าลงบนโต๊ะ


“ว้า.. ว่าแต่ยูโกะจังน่ะน่ารักมากเลยนะ แม้จะเพิ่งเคยเห็นใกล้ๆเป็นครั้งแรก แต่เธอน่ะเป็นสุดยอดของชั้นปี ๑ เลยนะ ไม่สิ น่าจะติดท็อปไฟว์ของโรงเีรียนเลยล่ะ”
“งั้นนายคงจะจีบยากหน่อยสินะ แล้วตะกี้ไปถึงไหนกันแล้วล่ะ?”
“เปล่า ก็แค่คุยนินทาฮิมุระกันอย่างสนุกสนานเท่านั้นเอง”
“...เรื่องแบบนั้นไม่ต้องอุตส่าห์มาบอกก็ได้”
เพราะเป็นยูโกะกับหมอนี่ โอกาสที่จะถูกพูดนินทากันจริงๆก็มีสูง
ช่างเหอะ ยังไงก็ไม่รู้อยู่ดีว่าคุยอะไรกัน ปล่อยไปดีกว่า

“เรื่องล้อเล่นน่ะพอก่อน ฉันน่ะไม่ได้คิดจะจีบหรอกน่ะ”
“โฮ่.. ไม่ใช่รสนิยมของนายสินะ”
ผมไม่รู้จักรสนิยมของคุเซะหรอก นึกว่าถ้าแค่น่ารักแล้วจะยังไงก็ได้ซะอีก

“อืม..”
คุเซะเริ่มทำสีหน้าจริงจังอย่างประหลาดแล้วหันมาที่ผม

“จริงๆนะ ยังไงฉันคงรับเด็กคนนั้นไว้ไม่ได้หรอก”
“รับไว้ไม่ได้? หมายความว่าไง?”
“ไม่รู้สินะ”
คุเซะเริ่มตอบแบบไม่รู้ไม่ชี้ เวลาหมอนี่มีท่าทีแบบนี้ขึ้นมาทีไร ต่อให้ถามแค่ไหนก็จะไม่ยอมตอบอะไร

“เรื่องนั้นช่างเหอะ นายเคยบอกไว้ว่ามีตรวจสอบข้อมูลของยูโกะมางั้นสินะ?”
“อื้อ ทำไมเหรอ”
“ถ้างั้นคงจะรู้สินะว่าอยู่ห้องอะไร”
“เอ รู้สึกจะเป็นห้อง 1-B น่ะ ส่วนเลขที่นั่งก็หมายเลข ๒”
หมอนี่ แม้แต่เลขที่นั่งยังรู้เลยหรือนี่
บางทีแม้แต่ส่วนสูง น้ำหนัก สัดส่วน ก็อาจจะตรวจสอบมาหมดแล้วสินะ

“มีคนรู้จักอยู่ห้อง B นั่นหรือเปล่า? จะชายหรือหญิงก็ได้แต่ขอเป็นคนที่ปากหนักสักหน่อย”
“มีสิ จะให้แนะนำเด็กคนนั้นให้ก็ได้นะ?”
“จะช่วยสินะ”
“ก็เป็นคำขอของฮิมุระเพื่อนรักนี่นา ก่อนจะจากไปเยอรมนี ฉันดีใจที่มีโอกาสได้แสดงให้นายได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมิตรภาพนะ”
เรื่องที่คุเซะพูดเพ้อฝันเกี่ยวกับมิตรภาพน่ะช่างมันก่อนเถอะ ยังไงก็ตาม อย่างน้อยการที่ยอมทนฟังที่มันพูดมาตลอดปีกว่านี่ก็ยังมีประโยชน์อยู่นิดหน่อยล่ะนะ
ถึงจะยังไม่่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แต่ยังไงก็หยุดไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ
 
.......................
พักกลางวัน
คุเซะหายตัวไปทันที ในที่สุดผมก็ได้เวลาเป็นอิสระ
เช่นเดียวกับทุกครั้ง ผมไม่ได้ทานมื้อเที่ยง ใช้เวลาสบายๆอยู่ในห้อง
ถ้าคุเซะไม่อยู่ละก็ ยังไงก็แน่ใจได้ว่าจะเงียบสงบ...

“ยู พอจะว่างมั้ย”
จริงสิ ยังมียัยนี่อยู่อีกคน


“มีอะไร”
“คือว่าขอเวลานิดหน่อย ช่วยไปที่ห้องศิลปะหน่อยได้มั้ย”
“ห้องศิลปะ.....”
ผมเริ่มทำหน้าบึ้ง
เวลาพักแบบนี้ ถ้าเจอกับอามะมิยะที่เดินเข้ามาเพื่อจะสูบบุหรี่ละก็คงจะแย่เลย

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเรื่องครูอามะมิยะละก็ วันนี้ออกไปทำงานข้างนอกน่ะ”
“อะ งั้นหรอกเหรอ”
งั้นเหรอ อามะมิยะเองก็ไม่ได้ทำงานแค่เป็นครูสอนศิลปะอยู่ในโรงเรียนสินะ

“งั้นก็ไปกันเถอะ”
นางิถือห่อเล็กๆที่ดูเหมือนกับข้าวกล่องไว้ในมือแล้วรีบเดินออกประตูไป

...........................
ห้องศิลปะตอนพักกลางวันนั้น ไม่มีใครอยู่เลย

“ไม่มีใครชอบมากินข้าวในที่แบบนี้เลยเหรอ”
“หืม ทำไมเหรอ”
นางิทำหน้าแปลกใจ ดึงเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ออกมาแล้วนั่งลง

“แค่รู้สึกว่าได้กลิ่นเหมือนกับพวกห้องอาหารน่ะ”
“งั้นเหรอ ฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยนะ”
สำหรับนางิที่โตมาแบบลูกจิตรกร คงจะมีสัมผัสที่ต่างออกไปนิดหน่อยสินะ
นางิก้มคอลงไปแล้วเปิดห่อข้าวกล่องออกมา

“ยูเองก็จะทานข้าวเที่ยงสักหน่อยก็ได้นะ เอามั้ย?”
“รบกวนกันซะเปล่าน่ะ”
แม้การทานอาหารมื้อเดียวต่อวันจะลำบาก แต่ก็ได้รับสารอาหารเพียงพอที่จะทำให้ไม่ตายได้

“ถ้าอย่างงั้น แค่ดูเราทานไปก็แ้ล้วกันนะ”
“เธอเองก็ลดลงหน่อยก็ดีนะ”
“เราเป็นคนประเภทใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญานน่ะ ถ้าเถียงด้วยละก็คงจะยากหน่อยนะ”
นั่นสินะ ยัยนี่ไม่ใช่คนที่คุยกันด้วยเหตุผลซะด้วย

“ยังไงก็เถอะ โดนจ้องกันขนาดนี้มันทานลำบากนะ”
“คนที่บอกให้มองตอนทานก็คือเธอเองไม่ใ่ชเหรอ!”
ไม่ใช่แค่เหตุผลอย่างเดียว แม้แต่ความสามารถในการจำก็เป็นศูนย์ด้วยสินะ

“จริงด้วยสินะ สมแล้วที่เป็นนักเรียนดีเยี่ยมคนหนึ่งของโรงเีรียน ความจำดีจังเลยนะ”
“เธอนี่ยังไงกันแน่นะ”
“เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
นางิพูดขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย เริ่มขยับตะเกียบ

“นางิ เธอมีธุระอะไรกับฉันไม่ใช่เหรอ?”
“ก็มาทานมือเที่ยงเป็นเพื่อนเราไม่ใช่เหรอ”
“...เนี่ยนะธุระ”
กินข้าวเืที่ยงคนเดียวไม่เป็นหรือไงกันนะ

“จะว่าไป กำลังวางแผนอะไรกับคุเซะอยู่งั้นเหรอ?”
“หา?”
“ทุกครั้งพอพักกลางวัน คุเซะจะออกไปทีไ่หนสักแห่ง พอกลับมาก็จะมาคุยอะไรกับเธอใช่มั้ยล่ะ”
“ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ”
“จิตรกรน่ะ มีนิสัยชอบสังเกตสิ่งรอบข้าง”
ต่อให้เทียบกับคนที่เป็นจิตรกรเหมือนกัน ก็ไม่เห็นว่านางิจะดูไม่แปลกอะไรตรงไหนเลย

“แล้วมีอะไรกันล่ะ หรือว่ามีเรื่องที่บอกคุเซะได้แต่บอกเราไม่ได้งั้นเหรอ”
เธอจ้องผมด้วยสายตาเหมือนจะเสียดแทงเข้าไป
ท่าทางจะไม่ยอมถอยง่ายๆแน่เลยสินะ
ไม่ใช่แค่นางิจะไม่มีเหตุผลเท่านั้น ต่อให้ทางนี้เกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่มีท่าจะเ้ข้าใจเลยด้วย

“ไม่ต้องห่วง ไม่อยากอวดหรอกนะ แต่เราเป็นคนปากหนักน่ะ”
“อย่างนางินี่น่าจะเป็นเพราะไม่มีเพื่อนให้บอกต่อมากกว่าล่ะมั้ง”


“................ ฮือออ”
“โทษทีๆ ผิดไปแล้ว”
ผมรีบก้มหัวขอโทษนางิที่กำลังทำท่าจะร้องไห้

“ยกโทษให้”
ขอดีของนางิคือถ้าขอโทษแล้วก็จะยกโทษให้ทันที

“ยกโทษให้แล้ว เพราะงั้นเล่ามาเถอะ อย่าเห็นเราเป็นคนอื่นไปเลยน่ะ”
“ห้ามพูดให้ใครฟังเด็ดขาดเลยนะ”

หลังจากที่นางิรับปาก ผมก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

.......................
ถึงอย่างงั้นก็ใช้เวลาเล่าแค่ไม่ถึง ๓ นาที
“ฮื่ม.. หมายความว่าให้คุเซะไปสำรวจห้อง 1-B งั้นสินะ?”
“เพราะหมอนั่นเป็นคนที่กว้างขวางในโรงเรียนน่ะ เวลาแบบนี้เลยมีประโยชน์มากเลย”
ถึงอย่างงั้น ถ้าไม่ใ่ช่เวลาแบบนี้ก็ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“อืมอืม”
นางิพยักหน้าอีกครั้งแล้วยืนขึ้น

“นางิ?”
นางิฝากกล่องข้าวที่ยังกินเหลือไว้ให้ผม แล้วก็เดินออกจากห้องศิลปะไปโดยไ่ม่พูดอะไร
อะไรของเขานะ ยัยนั่น
คงไม่ใช่ว่าให้ผมไปเลยนะ

............................
ผ่านไป ๑๐ นาที
นางิปรากฏตัวขึ้นที่ประตูอย่างเงียบๆ แล้วก็รีบเดินมาอยู่ตรงหน้าผม

“ไปไหนมาน่ะ”
“เอ้านี่”
นางิทำท่าไม่สนใจอะไร แ้ล้วโยนอะไรบางอย่างลงมาที่พื้น


“เอ๊ะ นี่ หรือว่าจะเป็น?”
นี่เป็นรองเท้าใส่เดินในอาคารไม่ผิดแน่ แถมยังเป็นของผู้หญิง

“อื้อ บางทีอาจเป็นของยุโกะจัง”
“บอกแล้วว่าไม่ใช่ยุโกะ... ว่าแต่ไปเจอที่ไหนเหรอ?
นางินั่งลงแล้วเริ่มทานข้าวต่อ
ไม่อยากจะว่าหรอก แต่ใช้มือไปถือรองเท้ามาแบบนี้อย่างน้อยก็น่าจะล้างมือสักหน่อยสิ

“บนตู้ใส่รองเท้าของห้อง 1-B”
“บน?”
“ใช่ อยู่ข้างบนน่ะ เพราะว่าใช้มือหยิบไม่ถึงก็เลยก็เลยต้องให้เด็กปี ๑ แถวนั้นช่วยเป็นแท่นเหยียบเพื่อขึ้นไปเอา”
“แล้วรู้ได้ไงว่ามันไปอยู่ตรงนั้น?”
“เราเอง เมื่อก่อนก็เคยทำรองเท้าหายเหมือนกัน”
นางิพูดเช่นนั้นแล้วยิ้มขึ้น
นางิเคยพูดไว้ว่าตัวเองมีเพื่อนน้อยมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว

“นางิ อาจจะพูดยากหน่อยนะ แต่คิดไงกับเรื่องนี้”
“เราบอกได้ ๒ อย่างคือ เรื่องที่ไม่น่าจะมีใครที่อุตส่าห์เอารองเท้าไปวางไว้ในที่แบบนั้นโดยไม่มีเจตนาร้ายอะไร แล้วก็เรื่องที่เธอควรรีบเอารองเท้าไปคืนให้ยุโกะจังซะ”
หลังจากพูดแค่นั้นเสร็จ นางิก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตาทานข้าวต่อไป ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องอยู่ทานข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนด้วยแล้วไปซะ
วันนี้นางิดูใจดีแปลกๆ รู้สึกยังไงไม่รู้สิ แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนดีกว่า

 

.....................
ยูโกะไม่ได้อยู่ที่ห้องเรียน
สิ่งที่เห็นมีแต่ภาพของห้องเรียนที่สงบสุขตามปกติ แต่มองแค่จากภายนอกก็คงตัดสินไม่ได้ล่ะนะ

“ถ้าในห้องเรียนไม่อยู่....”
สถานที่ที่ยัยนั่นจะไปก็นึกออกอยู่แค่ที่เดียว

.........................
ดูเหมือนจะผิดคาด ประตูดาดฟ้ายังคงล็อกกุญแจอยู่

“....แปลกจัง”
ไปห้องน้ำหรือเปล่านะ หรือว่าอยู่ที่ห้องชมรมดาราศาสตร์ แต่ชมรมถูกยุบไปแล้วคงไม่น่าจะใช่ ตัวผมเองก็แทบจะไม่รู้เกี่ยวกับยูโกะเลยด้วย ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่ายัยนั่นทำอะไรบ้าง

“ช่วยไม่ได้นะ...”
ที่ไม่รู้เพราะว่ามีไม่พอเลย ทั้งความคิด ทั้งเวลา ทั้งข้อมูล ไม่พอสักกะอย่าง
ถ้ายูโกะกำลังถูกแกล้งล่ะ เธอจะรับมือกับมันยังไงนะ ผมเองก็ไม่มีทางรู้ได้

“เฮ้อ.... หมดเวลาพักเที่ยงซะแล้วสิ”

.......................
จนถึงหลังเลิกเรียน ก็ยังไม่ได้เอารองเท้าไปคืนให้ยูโกะ
เอาเุถอะ ยัยนั่นน่าจะไปยืมรองเท้าแตะมาใส่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องรีบหรอก

“จะว่าไป ฮิมุระ”
“อะไร”
เสียงจากที่นั่งข้างๆ


“ทั้งที่ปกติก็ทำหน้าอย่างกับฆาตกรอยู่แล้ว วันนี้กลับดูหนักกว่าเก่าอีก”
“เดี๋ยวนี้นี่นายเริ่มสนใจแม้แต่หน้าของผู้ชายแ้ล้วเหรอ?”
“นายน่ะจริงจังกับเรื่องนั้นมากขนาดนี้เลยเหรอ?”
“หา? เรื่องนั้น?”
“คนที่บอกให้ไปคอยตรวจดูห้องนั้นก็คือนายเองไม่ใช่เหรอ”
คุเซะพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ

“อ้อ ลืมไปเลย ถ้าเรื่องนั้นละก็ ฉันได้เรื่องมาแล้วล่ะ”
ไอ้เรื่องเอารองเท้าไปซ่อนเนี่ย ดูเป็นการกระทำของเด็กๆจริงๆ แต่ปัญหาคือโรงเรียนนี้ไม่มีเด็กๆอยู่สักหน่อยนี่สิ
ต่อให้ยูโกะไปฟ้องก็คงจะได้คำตอบแค่ว่าเป็นการแกล้งกันเล่นๆไม่มีอะไร

“เดี๋ยวก่อน ถ้างั้นฉันล่ะ?”
“นายน่ะ่ ไม่เป็นไรหรอก”
“อะไรกันน่ะ ทั้งๆที่ฉันอุตส่าห์พยายามแทบตายแต่ทำไมถึง..”
“ความพยายามน่ะไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับการตอบแทนเสมอไปหรอกนะ การได้รู้จักถึงความเหงาของคนขึ้นมาบ้างมันก็ดีไม่ใช่เหรอ”
“นายเนี่ยน้า ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ”
“ไม่อยากได้ยินแบบนี้จากปากคนอย่างนายเลยแฮะ”
ผมรีบตัดบทแล้วลุกขึ้นยืน

................................
ผมรู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วว่า ที่ชั้นของนักเรียนปี ๑ ถ้าเทียบกับชั้นของนักเรียนปี ๒ หรือ ๓ แล้ว ดูเหมือนจะครึกครื้นกว่ามาก
โอโตวะน่ะเป็นโรงเรียนชั้นนำในการศึกษาต่อ เพราะงั้นพวกที่จะมีเวลาเล่นสนุกได้อย่างสบายใจก็คงจะมีแต่นักเรียนปี ๑ เท่านั้นล่ะ
แต่ผมซึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างเอาแต่เีรียนมาโดยตลอดน่ะไม่เคยได้มีช่วงเวลาที่เล่นสนุกแบบนั้นหรอก

“......................”
เกือบจะเดินผ่านห้อง 1-B ไปซะแล้ว
พอลองมาคิดดูแล้ว จะเข้าไปคืนรองเท้าให้ยูโกะยังไงดีล่ะ เข้าไปให้โดยตรงก็คงจะไม่ได้ หรือจะตะโกนให้ยูโกะออกมาก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย
ช่วยไม่ได้ คงต้องแอบดูอยู่อย่างนี้ไปจนกว่ายูโกะจะออกมาจากห้องล่ะนะ

...............................................
ผ่านไป ๒๐ นาที
ยูโกะยังไม่ออกมา
หรือว่าเผลอคลาดสายตาตอนเดินออกมาหรือเปล่านะ
ตะกี้ตอนที่เดินมาก็น่าจะเห็นยูโกะสักหน่อยสิน่า

“ช่วยไม่ได้นะ”
ผมพูดเช่นนั้นแล้วเดินไปยังห้อง 1-B
ในห้องตอนนี้ดูเงียบเหงา มีลมพัดจากหน้าต่างเข้ามาทำให้อากาศเย็นกว่าที่ระเบียง
ผมเริ่มก้าวเข้ามาในห้อง


“อ้าว?”
ยูโกะซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เพียงลำพังคนเดียวในห้องหันหน้ามามองผม

“รุ่นพี่ฮิมุระ เข้าผิดห้องหรือเปล่าคะ?”
“ยังจะพูดแบบนี้อีกเหรอ มาทำอะไรอยู่คนเดียวน่ะ”
“เด็กสาวที่อยู่ลำพังในห้องคนเดียวหลังเลิกเรียน ดูเข้าซีนดีใช่มั้ยล่ะคะ?”
ยูโกะยิ้มขึ้น

“ไอ้ซีนแบบนั้นน่ะไม่เห็นจะดูน่าสนใจตรงไหนเลย”
ผมพูดอย่างเย็นชา พลางเปิดถุงพลาสติกออกแล้วโยนรองเท้าลงบนพื้น

“อ๊ะ.......”
เธอจ้องไปที่รองเท้า จากนั้นก็หันมา

“ว่าแล้วเชียว รุ่นพี่ฮิมุระเป็นคนเอาไปจริงๆด้วยสินะคะ.....”
“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่! ยังจะมาพูดอีก!”
“ล้อเล่นน่ะค่ะ”
“จริงๆเลยนะ เธอเนี่ย”
ยูโกะหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าใส่เดินในอาคาร

“ว้าว ใส่ได้พอดีเลย แบบนี้ก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายแล้วสินะคะ”
“ดูเหมือนจะเรียกคนที่รอแต่จะให้ใครสักคนมาสร้างความสุขให้โดยไม่คิดทำอะไรด้วยตัวเองว่าซินเดอเรลล่าคอมเพลกซ์งั้นสินะ”
“เอ๋ รุ่นพี่ฮิมุระเนี่ย รอบรู้จังเลยนะคะ”
ผมเริ่มระอากับท่าทีกวนประสาทของยูโกะ
ทันใดนั้นผมก็เริ่มสังเกตว่ามีหนังสือเรียนวางกองอยู่ที่โต๊ะของยูโกะ


“อะไรน่ะ สัปหงกตอนเรียนเหรอ”
ผมเปิดหน้าหนังสืออย่างผ่านๆไม่ได้สนใจอะไร

“.............เฮ้ย”
“มีอะไรน่าสนใจหรือคะ?”
ยูโกะยังคงยิ้มอยู่ แต่ว่านี่มันไม่ใ่ช่เรื่องเล่นๆแล้ว
ตามหน้าหนังสือนั้นเต็มไปด้วยตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ที่เีขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดงและดำอยู่เต็มไปหมด

“นี่มันบ้าอะไรกันน่ะ.......”
“พูดจาไม่ดีอีกแล้วนะคะ ไม่ค่อยต่างไปจากเมื่อก่อนเลย”
“ยังจะมามัวใจเย็นอะไรอยู่อีกล่ะ เธอน่ะ”
ทำไมผมถึงต้องทำท่าโกรธยูโกะด้วยนะ

“บ้าหรือเปล่านะ เธอน่ะ”
ผมปิดหนังสืออย่างแรง
ถ้ายังขืนดูมากกว่านี้ต่อไปละก็ ผมอาจรู้ึสึกอยากฉีกหน้งสือทิ้งขึ้นมาก็ได้

“แปลกนะคะ”
“หา?”
ผมเผลอขึ้นเสียงออกไปโดยไม่ตั้งใจซะแล้ว ยูโกะได้แต่ยิ้มรับ

“ทำไมรุ่นพี่ฮิมุระถึงต้องโกรธด้วยล่ะคะ? หรือว่าจะ...หลงรักฉันเข้าแล้วสินะคะ”
“ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาฟังคำล้อเล่นของเธอหรอกนะ”
“สำหรับฉันแล้วนี่ก็เป็นเรื่องปกติแหละค่ะ ก็แค่ล้อเล่นกันเท่านั้นเอง”
“เรื่องปกติงั้นเหรอ.........?”
ดูจะเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เลย
ผมเองก็คิดว่านี่ไม่น่าจะใช่ครั้งแรก มันเป็นอย่างงั้นจริงๆสินะ

“มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากขนาดนั้นหรอกค่ะ ถ้าจะว่าไปแล้ว เป็นแค่การแกล้งระดับปานกลางเท่านั้น”
ยูโกะยังคงทำท่าเหมือนไม่มีอะไร

“ขนาดแค่ระดับปานกลางยังขนาดนี้ี้เลยนี่นะ”
เหนื่อยใจจริงๆ

“เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ยูโกะหันหน้ามองออกไปทางอื่นแล้วเริ่มทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่

“ถ้าแบบนี้ละก็เมื่อเร็วๆนี้เองค่ะ แต่ก็ถูกเมินมาตั้งแต่เข้าโรงเรียนมาแล้ว”
“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?”
“แค่พลาดโอกาสที่จะหาเพื่อนไปนิดหน่อย ก็เลยเป็นผลมาจนถึงตอนนี้น่ะค่ะ”
“ตอนที่เริ่มถูกแกล้งครั้งแรกก็หลังจากช่วงเปลี่ยนเสื้อผ้าตามฤดูน่ะค่ะ”
อาจเพราะแต่งตัวแบบนี้อยู่คนเดียว ก็เลยทำให้โดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษก็ได้

“ถูกคนพูดกันว่าน่ารำคาญหรือไม่ก็ดูเหมือนกับแม่มด ทีแรกก็ยังมีคนที่พอจะคุยด้วยอยู่บ้าง แต่ถึงตอนนี้กลับต้องรู้สึกว้าเหว่อยู่คนเดียวในห้อง”
“แต่ว่า ทำไมมันพัฒนามาจนถึงขั้นแกล้งกันเลยล่ะ”
ยูโกะทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย

“ไม่รู้สิคะ บางทีพวกเขาอาจจะมีช่วงเวลาที่กลุ้มใจหรือท้อแท้ เลยอยากมาระบายความเครียดบ้าง
แล้วเด็กผู้หญิงที่ดูโดดเดี่ยวไม่มีใครอย่างฉัน ก็คงดูเหมือนว่าเหมาะจะเป็นกระสอบทรายมากที่สุดล่ะมั้งใช่มั้ยล่ะคะ”

พูดออกมาได้ราวกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่นงั้นล่ะ
ทั้งที่ถึงจะบอกว่าเป็นการแกล้งแบบเด็กๆ แต่ก็ไม่ใช่ระดับที่จะปล่อยไว้ได้แท้ๆเลย

......................


ไร้สาระน่ะ ก็แค่เรื่องธรรมดา
แน่นอนว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด
ต่อให้ยูโกะจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมควรจะเข้าไปยุ่งด้วยเลย

-“ฉันจะลบความทรงจำที่แสนเศร้าของคุณออกไปเอง”-
ผมไม่เชื่อคำคำนั้นหรอก
ที่ว่าไม่ให้ไปนึกถึงเด็กที่ตายไป

..ต่อให้มัวกลุ้มใจกับเรื่องที่ไม่อาจคืนมาได้ไปก็ไม่มีประโยชน์..
เรื่องแค่นั้นไม่ว่าใครก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
ทั้งที่รู้อย่างงั้นแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงมัน
คนที่พูดแบบนั้นออกมาได้ บางทีอาจจะไม่รู้ถึงความเศร้าของการที่ต้องเสียคนใกล้ตัวไป หรือไม่ก็คงจะต้องเืลือดเย็น

“รุ่นพี่ฮิมุระ ขอโทษที่ให้คอยค่ะ!”
แม้จะได้ยินเสียงของยูโกะ แต่ผมก็ไม่ได้หันไป
ถ้าอากาเนะยังอยู่ละก็ ป่านนี้จะเป็นเด็กแบบไหนกันนะ พอมองยูโกะที่อายุเท่ากับอากาเนะ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้จริงๆ
อย่าว่าแต่ยูโกะจะลบความทรงจำนั้นออกไปเลย ยังกลับทำให้มันชัดขึ้นกว่าเดิมซะอีก


“ฮะ? เป็นอะไรไปหรือคะ ทำหน้าน่ากลัวแบบนั้น”
“ฉันก็เป็นอย่างงี้อยู่แล้วล่ะน่ะ”
ผมพูดอย่างไม่สนใจ เดินผ่านหน้ายูโกะไป
ยังไงผมไม่ชอบตัวเองตอนที่ทำดีกับยูโกะเลย จึงไม่กล้าที่จะสบตา

“.......? มัวทำอะไรอยู่น่ะ กลับด้วยกันสิ...”
ยูโกะไม่มีทีท่าว่าจะตามมา ผมเลยต้องหันกลับไปอย่างช่วยไม่ได้


“นั่นมันอะไรกันน่ะ”
“ดูท่าจะโกรธแค้นรองเท้าฉันมากเลยนะคะ”
ยูโกะถือรองเท้าที่มีสภาพขาดรุ่งริ่งไว้ในมือแล้วพูดออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่เท้ายังคงใส่รองเท้าสำหรับใส่ในอาคารอยู่

“เอามานี่”
ผมรีบดึงรองเท้าออกมาจากมือยูโกะโดยไม่รอคำตอบ

“ขาดรุ่งริ่งเลย ของมีคมสินะ”
“คงไ่ม่มีใครที่ทำให้ขาดแบบนั้นได้ด้วยมือเปล่าหรอกค่ะ ถ้ามีจริงๆละก็ อยากจะให้ลองทำให้ดูสักครั้งเหมือนกันนะคะ”
ยัยนี่ ยังจะหัวเราะอีก

“ไปกันเถอะ”
“คะ? ไปที่ไหนหรือคะ?”
“ตะกี้เธอพูดว่า พวกเขาคงจะเก็บความเครียดไว้ งั้นสินะ แสดงว่าคงพอจะรู้ตัวคนร้ายอยู่แล้วสินะ”

“แหะๆ เผลอหลุดคำต่อหน้ารุ่นพี่ไม่ได้เลยจริงๆสินะคะ”
ยูโกะยังคงหัวเราะต่อไป

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละค่ะ”
“ไม่ได้หรอก มันชักจะเกินไปแล้ว"
“แต่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่รุ่นพี่จะต้องมาโกรธนี่คะ ทำไมถึงต้องคิดมากขนาดนี้ด้วยล่ะคะ?”
ผมจ้องหน้ายูโกะ

“ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่ชั่วร้ายไงล่ะ”
ถ้ายอมปล่อยเรื่องชั่วร้ายแบบนี้ไปละก็ เราเองก็ไม่ต่างอะไรกับคนพวกนั้นหรอก
บางทีผมอาจจะกำลังคิดเช่นนั้นอยู่

“ฮะๆ ระดับแบบนี้มันก็ดูน่ารักดีนะคะ”
“พูดแบบนี้เธอใช้อะไรมาเป็นเกณฑ์น่ะ”
ผมพยายามห้ามใจไ่ม่ให้โกรธแล้วถามออกไป
ถ้าถึงขั้นอุตส่าห์ใช้ของมีคมแบบนี้ละก็ ต่อให้เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างผมก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
หลังจากยูโกะหยุดคิดสักพักนึงก็เริ่มพูดออกมาอีก

“เพราะว่า... มนุษย์น่ะ ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่คะ?”
พอเธอได้รับรองเท้าที่ผมส่งคืนให้แล้ว เธอก็เริ่มเดินออกไปอย่างช้าๆ

ไม่ชอบให้ใครมาเห็นใจงั้นสินะ
หรือไม่ก็คงจะไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ
อ่านใจของยูโกะไม่ออกเลยจริงๆ
รู้สึกได้แค่ใจของตัวเองเท่านั้นเอง
แค่รู้สึกโกรธคนที่มุ่งร้ายต่อยูโกะ

“อ๊ะ จริงสิ”
จู่ๆเธอหยุดยืนแล้วหันมา
ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับกำลังมีแผนอะไรสักอย่างอยู่ในใจ

“รุ่นพี่คะ มีเรื่องจะรบกวนนิดหน่อยน่ะค่ะ”



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- บันเทิง >> เกม >> vn

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ