ตอนที่ ๔. ห้วงคำนึงที่ไม่จางหาย (消えない想い)
ᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳ
เสียงออดดัง...
“......เอ๋?”
ภาพที่พร่ามัว
พอเริ่มตั้งสติได้ ภาพที่เห็นก็เป็นภาพห้องเรียนตามปกติ
ห้องเรียน
.....ห้องเรียน!?
ผมรีบตื่นขึ้นทัีนที
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ ฮิมุระ”
“คุเซะ...?”
คุเซะที่ดูท่าทางกำลังอารมณ์ดี กำลังตบไหล่ผม
“ได้เห็นหน้าที่กำลังหลับของฮิมุระก่อนที่จะจากกันแบบนี้แล้วรู้สึกดีจัง”
“ถ้าดีใจพอแล้วละก็ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดฤดูร้อนหรอก รีบออกเดินทางไปเลยไป”
เพราะยังรู้สึกเบลออยู่เลยไม่ได้พูดมากไปกว่านี้
หรือว่า.. ผมกำลังหลับในห้องเรียนอยู่หรือนี่...
ดูเหมือนคาบเรียนที่ ๔ จะเลิกไปแล้ว ตอนนี้เป็นตอนพักเที่ยง
“คุเซะ นายเห็นตอนฉันหลับใช่มั้ย?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็นั่งข้างกันอยู่แบบนี้ไม่เห็นก็แปลกแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นทำไมไม่ช่วยปลุกล่ะ”
ผมเป็นนักเรียนทุนที่ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนอยู่ แค่หลับในห้องไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้ถูกมองในทางไม่ดีได้
“อ้อ ถ้าเรื่องครูละก็ ดูท่าทางดีใจใหญ่เลยล่ะ เห็นบอกว่ารู้สึกดีที่ได้เห็นอะไรแปลกๆ”
“อะไรกันน่ะ โรงเรียนนี้”
ถ้าไม่ได้ว่าอะไรก็คงจะสบายใจได้ล่ะนะ
ครั้งหน้าจะต้องไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
“แต่ว่านะ คนอย่างนายหลับในห้องเนี่ย... เป็นอะไรไปน่ะ เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไง?”
“ฉันไม่ได้เป็นพวกใช้ชีวิตสบายๆแบบนายสักหน่อย”
“จะว่าไปเห็นเมื่อวานบอกว่าไปพบนางิมาสินะ..... หรือว่า!?”
พลัก...!
มีรองเท้าลอยมาใส่หน้าของคุเซะเข้าอย่างจัง
“ทำอะไรน่ะ”
คุเซะเงียบลงแล้วพูดกับนางิที่กำลังเดินเข้ามา
“เธอนั่นแหละพูดอะไรน่ะ”
นางิมองคุเซะด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เรื่องของพวกเราจะเป็นยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ”
“เธอก็อย่าพูดจาชวนเข้าใจผิดแบบนั้นสิ”
ใช้คำว่า “พวกเรา” แบบนี้สิยิ่งจะทำให้เข้าใจผิด
“นี่เธอแอบฟังที่พวกฉันคุยกันอยู่ล่ะสิ เป็นงานอดิเรกที่แย่จริงๆเลยนะ”
“อย่าพูดบ้าๆน่ะ เสียงเธอน่ะดังออกขนาดนั้นเป็นใครก็ต้องได้ยินหมดแหละ”
“อย่าพูดแบบนี้เลยน่ะ ดูไม่น่ารักเลยจริงๆ”
“แต่ฉันว่าคนที่บอกให้นางิทำตัวน่ารักเนี่ยแย่กว่าอีก”
“พวกเธอเนี่ย... แกล้งเด็กผู้หญิงที่บอบบางแบบนี้แล้วสนุกงั้นสินะ?”
“บอบบาง...”
คุเซะทำท่าจะพูดต่อแต่ก็เงียบไปแล้วก็ส่งรองเท้าคืนให้นางิ
ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าพูดต่อไปก็เปล่าประโยชน์
“เอาเถอะ ตอนนี้ฉันมีนัดกินข้าวกลางวันน่ะ”
“กับผู้หญิงสินะ”
“ใช่สินะ”
“เหลือเวลาที่จะได้ทานข้าวกับยามาโตะ นาเดชิโกะอีกแค่ไม่นานแล้วนี่นา ภายในช่วงเวลานี้ก็ต้องสนุกให้เต็มที่หน่อย” (*ยามาโตะ นาเดชิโกะ เป็นคำที่ใช้เรียกผู้หญิงญี่ปุ่นที่สมบูรณ์แบบ)
คุเซะพูดขึ้นอย่างมีความสุข
เดี๋ยวพอไปถึงเยอรมนีหมอนี่ก็คงพูดว่า “สาวเยอรมันสุดยอด” อีกแหงๆเลย
“จะว่าไป ยูเองก็ดูท่าจะมีแฟนแล้วสินะ”
“เอ๋..”
“พูดอะไรน่ะ”
พอนางิพูดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทั้งผมและคุเซะต่างก็มีปฏิกิริยาพร้อมกัน
“เอ รู้สึกเห็นบอกว่าชื่อ ยุโกะ สินะ”
“ยูโกะต่างหาก เธอเนี่ยเรียกชื่อยาวๆไม่เป็นจริงๆเลยนะ”
“อ่า ใช่ๆ ยูโกะ น่ารักมากเลยล่ะ รู้สึกจะอยู่ปี ๑ สินะ เด็กคนนั้น”
“เดี๋ยวนะ ยูโกะปี ๑ ที่ว่าน่ะ หรือว่าจะเป็นน้องสาวของครูอามะมิยะ”
“ทำไมนายถึงรู้เรื่องแบบนี้ได้ล่ะ”
“งั้นเหรอ น้องสาวของครูอามะมิยะนี่เองหรอกเหรอ”
ยัยนี่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฟังนามสกุลเลยตั้งแต่แรกจริงๆสินะ
“ถึงจะอยู่คนละชั้นกันแต่ว่าเด็กน่ารักแบบนั้นน่ะไม่มีทางพลาดสายตาฉันไปได้อยู่แล้วล่ะ”
“พูดซะดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลยนะ”
“งั้น ไปกันเุถอะ”
“ที่ไหน?”
“ก็ต้องไปหายูโกะจังแหงอยู่แล้ว”
“....ทำไมจู่ๆ”
หมอนี่มันมีนัดทานข้าวไว้ไม่ใช่หรือไงกัน
“ที่จริงก็แค่อยากเห็นหน้าฮิมุระตอนที่อยู่กับยูโกะจังสักหน่อยน่ะ”
“ตรงไปตรงมาจังเลยนะ เธอเนี่ย”
“มันก็มีเด็กผู้หญิงที่ชอบแบบนี้อยู่เยอะไม่ใช่เหรอ”
“เราว่าเด็กแบบนั้นน่ะควรจะเปลี่ยนมุมมองใหม่ที่มองคนใหม่สักหน่อยนะ”
“เฮ้ย.... พวกนายน่ะช่วยเงียบกันหน่อยได้มั้ย”
ต่อให้ไม่ได้ไปกับคุเซะ ผมก็ไม่ได้คิดจะไปหายูโกะอยู่แล้วสักหน่อย
ทั้งที่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะเจอกันอีกแท้ๆ
แค่ไม่ได้เจอยัยนั่น....... แค่ไม่ต้องเจอ
“ฮิมุระ? นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ดูเหงื่อออกเชียว”
“อ้า เปล่า ไม่มีอะไร”
“อ๊ะ”
“หืม?”
นางิมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ดูตกใจเล็กน้อย
“จะว่าไปแล้ว ครูอามะมิยะเรียกให้ยูไปหาที่ห้องศิลปะน่ะ”
“ไปหา.... ตอนไหนเหรอ?”
“พักเที่ยงวันนี้”
“พักเที่ยง... มันตอนนี้ไม่ใช่เหรอ!”
“ก็คงงั้นล่ะ”
“เธอนี่นะ..”
ถึงผมจะพยายามหลบแค่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นคำสั่งของครูแล้วก็คงจะขัดไม่ได้ล่ะ
ผมรีบลานางิกับคุเซะแล้วเดินออกจากห้องทันที
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ