#พุธ 16 พ.ย. 2016 จีนมีการพัฒนาด้านดาราศาสตร์มายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีการพัฒนาแยกต่างหากจากทางตะวันตก มีเอกลักษณ์ของตัวเองที่ต่างออกไป
แม้ปัจจุบันดาราศาสตร์ของชาวตะวันตกซึ่งมีรากฐานจากกรีกโบราณจะกลายเป็นมาตรฐานสากลของโลกไปแล้ว แต่เราก็ยังคงเห็นร่องรอยของดาราศาสตร์ในสมัยก่อนของจีนได้อยู่ โดยดูจากโบราณสถานต่างๆมากมายที่ยังคงหลงเหลือไว้ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ
สำหรับในปักกิ่งแล้ว โบราณสถานทางดาราศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดก็คือสถานที่ที่เรียกว่า
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง (北京古观象台, เป่ย์จิงกู่กวานเซี่ยงไถ) หอดูดาวโบราณปักกิ่งสร้างขึ้นในปี 1442 ซึ่งเป็นสมัยของจักรพรรดิเจิ้งถ่ง (正统, ปี 1436-1449) แห่งราชวงศ์หมิง (明朝, ปี 1368-1644) โดยสร้างขึ้นที่ป้อมมุมตะวันออกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคราชวงศ์หยวน (元朝, ปี 1271-1368)
ในช่วงระยะแรกได้ใช้อุปกรณ์เช่น
หุนอี๋ (浑仪, วงล้อทรงกลมท้องฟ้า) และ
เจี่ยนอี๋ (简仪, วงล้อทรงกลมท้องฟ้าแบบย่อ) แบบโบราณดั้งเดิม
แต่ตอนหลังพอเข้าสู่ยุคราชวงศ์ชิง (清朝, ปี 1644-1912) ทางหอดูดาวได้เริ่มหันมาใช้ระบบการวัดที่ได้รับอิทธิพลจากชาวตะวันตกตามคำแนะนำของหมอสอนศาสนาชาวเยอรมัน โ
ยฮันน์ อดัม ชัล ฟอน เบล (Johann Adam Schall von Bell หรือชื่อจีนว่า
ทางรั่วว่าง (汤若望), 1592-1666
) อุปกรณ์ดาราศาสตร์จำนวนมากได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงต้นยุคราชวงศ์ชิง ที่เหลืออยู่จนปัจจุบันและแสดงให้ชมมี ๘ ชิ้น ดังนี้
|
อุปกรณ์ |
ชื่อ |
|
เสียงอ่าน |
จีนตัวย่อ |
จีนตัวเต็ม |
พินอิน |
1. |
วงล้อทรงกลมท้องฟ้าของเฉียนหลง |
จีเหิงฝู่เฉินอี๋ |
玑衡抚辰仪 |
璣衡撫辰儀 |
jīhéngfǔchényí |
2. |
เครื่องวัดมุมเงยดาว |
เซี่ยงเซี่ยนอี๋ |
象限仪 |
象限儀 |
xiàngxiànyí |
3. |
ลูกทรงกลมท้องฟ้า |
เทียนถี่อี๋ |
天体仪 |
天體儀 |
tiāntǐyí |
4. |
เครื่องวัดตำแหน่งดาวในระบบพิกัดสุริยวิถี |
หวงเต้าจิงเหว่ย์อี๋ |
黄道经纬仪 |
黃道經緯儀 |
huángdàojīngwěiyí |
5. |
เครื่องวัดมุมทิศดาว |
ตี้ผิงจิงอี๋ |
地平经仪 |
地平經儀 |
dìpíngjīngyí |
6. |
เครื่องวัดมุมทิศและมุมเงยดาว |
ตี้ผิงจิงเหว่ย์อี๋ |
地平经纬仪 |
地平經緯儀 |
dìpíngjīngwěiyí |
7. |
เครื่องวัดระยะเชิงมุม |
จี้เซี่ยนอี๋ |
纪限仪 |
紀限儀 |
jìxiànyí |
8. |
เครื่องวัดตำแหน่งดาวในระบบพิกัดศูนย์สูตรฟ้า |
ชื่อเต้าจิงเหว่ย์อี๋ |
赤道经纬仪 |
赤道經緯儀 |
chìdàojīngwěiyí |
ชื่ออุปกรณ์ที่แปลไทยในที่นี้ไม่ได้แปลตรงตัวนักแต่แปลเอาความหมายโดยขยายความให้เห็นภาพชัดจึงค่อนข้างยาว
ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิงส่วนหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวนดอกไม้ข้างๆแท่นสังเกตการณ์และในอาคารจัดแสดง และบางส่วนก็ย้ายไปที่
หอดูดาวจื่อจินซาน (紫金山天文台) ที่หนานจิง
อุปกรณ์ทางดาราศาสตร์เหล่านี้ไม่ใช่แค่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานจริงได้เท่านั้นแต่ยังถูกตกแต่งอย่างสวยงาม เช่นสลักลายมังกรอันเป็นสัญลักษณ์ของจีน มีคุณค่าทางศิลปะไปด้วยในขณะเดียวกัน
รายละเอียดของแต่ละชิ้นจะอธิบายถึงในส่วนถัดไป
อุปกรณ์ ๖ ชิ้นจาก ๘ ชิ้นในนี้สร้างขึ้นในช่วงปี 1669-1673 ตามคำสั่งของจักรพรรดิคางซี (康熙, ปี 1661-1722)
ยุคสมัยของคางซีนั้นเป็นช่วงที่มีการเปิดรับเอาวิทยาการจากชาวตะวันตกมามาก อุปกรณ์เหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก โดยผู้ที่สร้างเป็นชาวเบลเยียมชื่อ
แฟร์ดินันด์ แฟร์บีสต์ (Ferdinand Verbiest, ปี 1623-1688
) หรือชื่อจีนว่า
หนานหวยเหริน (南怀仁) ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับสำนักหอดูดาวหลวง (钦天监监副, ชินเทียนเจียนเจียนฟู่)
ส่วนอีก ๒ อันคือตี้ผิงจิงเหว่ย์อี๋ สร้างขึ้นในปี 1713 และ จีเหิงฝู่เฉินอี๋ สร้างในปี 1754
พูดถึงหอดูดาวคนอาจมักนึกถึงกล้องโทรทรรศน์ แต่ว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้งที่หอดูดาวโบราณนี้ล้วนเป็นอุปกรณ์แบบโบราณดั้งเดิมซึ่งใช้ตาเปล่าสังเกตการณ์ไม่มีการใช้เลนส์และกล้องโทรทรรศน์ เพราะวัตถุประสงค์สำคัญคือการสังเกตการณ์เคลื่อนที่ของดาวเพื่อคำนวณฤดูกาลและกำหนดปฏิทิน
หอดูดาวแห่งนี้ถูกใช้งานในฐานะหอดูดาวหลวงมาตลอดตั้งแต่ถูกสร้างขึ้น จนสิ้นสุดการใช้งานลงในปี 1929 นับรวมเวลาใช้งานเกือบห้าร้อยปี
หลังจากนั้นที่นี่ก็ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้ผู้คนเข้ามาชม และตั้งแต่ปี 1956 ได้กลายมาอยู่ใต้สังกัดของ
ท้องฟ้าจำลองปักกิ่ง (北京天文馆) ปี 1959 ตอนที่วางแผนสร้างรถไฟใต้ดินขึ้นได้มีการเสนอว่าให้รื้อหอดูดาวแห่งนี้ทิ้ง แต่โจวเอินไหล (周恩来) นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เสนอว่าให้รถไฟใต้ดินอ้อมไปแทน ไม่ควรจะรื้อทิ้ง ดังนั้นที่นี่จึงอยู่มาถึงทุกวันนี้ โดยรถไฟใต้ดิน
สถานีเจี้ยนกั๋วเหมิน (建国门站) ก็ได้ถูกสร้างขึ้นใกล้ๆกัน
บริเวณที่เปิดให้คนสามารถเข้าชมได้นั้นแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนคือ
- แท่นสังเกตการณ์ ประกอบด้วยอุปกรณ์ดาราศาสตร์โบราณ ๘ ชิ้นตั้งแสดงอยู่
- สวนดอกไม้ เป็นสวนที่มีแบบจำลองอุปกรณ์โบราณที่สร้างเลียนแบบขึ้นตั้งอยู่
- อาคารจัดแสดง เป็นอาคาร ๓ หลังซึ่งภายในจัดแสดงเรื่องราวและความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้อง
อุปกรณ์ที่จัดแสดงอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ทั้ง ๘ อันวางในตำแหน่งตามที่แสดงด้วยหมายเลขตามที่เขียนไว้ข้างต้น
สีส้มคือส่วนของอาคารจัดแสดง
การเดินทางมาต้องขึ้นรถไฟฟ้าสาย 2 มาลงที่สถานีเจี้ยนกั๋วเหมิน แล้วออกทางประตูตะวันตกเฉียงใต้ (ประตู C)
ภาพแผนที่หน้าประตู C
แล้วก็จะเห็นตัวแท่นสังเกตการณ์หอดูดาวโบราณตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าทันที
เดินเลียบกำแพงแท่นสังเกตการณ์มาทางขวาจะเจอประตูทางเข้า ด้านขวาจะมีช่องขายตั๋วเข้าชมอยู่ ให้ซื้อก่อนค่อยเข้า
ตั๋วราคา ๒๐ หยวน
เมื่อเข้ามาด้านใน ทางด้านซ้ายจะเป็นทางขึ้นสู่แท่นสังเกตการณ์ แต่ถ้าเดินตรงถัดไปจะเข้าสู่พื้นที่ของสวนดอกไม้
ขอเริ่มแนะนำจากสวนดอกไม้ก่อน สวนดอกไม้ตั้งอยู่ทางใต้ของแท่นสังเกตการณ์ เมื่อเดินมายังกลางสวนสามารถมองขึ้นไปเห็นอุปกรณ์ที่อยู่บนแท่นได้
ในภาพจะเห็นอุปกรณ์ดาราศาสตร์โบราณจำลองอยู่สองชิ้น อันที่วางอยู่ทางเหนือคืออุปกรณ์ที่เรียกว่า
หุนอี๋ (浑仪) หุนอี๋เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้วัดตำแหน่งของวัตถุท้องฟ้าโดยการหมุนวงล้อต่างๆซึ่งแทนเส้นที่สำคัญต่างๆบนทรงกลมท้องฟ้า เช่น
วงเส้นศูนย์สูตรฟ้า (赤道圈),
วงเส้นสุริยวิถี (黄道圈),
วงไรต์แอสเซนชัน (四游圈) และมีลำกล้องเล็งติดอยู่ที่วงไรต์แอสเซนชันซึ่งสามารถหมุนเพื่อปรับค่าเดคลิเนชันเพื่อเล็งหาดาว เมื่อเล็งจนเห็นดาวที่ต้องการในลำกล้อง เราสามารถบอกตำแหน่งของดาวนั้นได้จากมุมเดคลิเนชันที่ลำกล้องหมุนไป และมุมของวงไรต์แอสเซนชัน
อุปกรณ์ลักษณะนี้เชื่อกันว่าถูกประดิษฐ์ขึ้นมาตั้งแต่ช่วงก่อนยุคจ้านกั๋ว (战国, 475-221 ปีก่อน ค.ศ.) โดยมีบันทึกเขียนถึงไว้อยู่ในหนังสือชื่อ
กานสือซิงจิง (甘石星经) ซึ่งเป็นหนังสือที่เอาหนังสือที่เขียนโดย
กานเต๋อ (甘德) และ
สือเซินฟู (石申夫) นักดาราศาสตร์ยุคจ้านกั๋วทั้งสองคนมารวมกัน ทั้งสองคนอยู่ในยุคเดียวกันแต่อยู่กันคนละแคว้น ต่างคนต่างเขียนหนังสือ แต่ในสมัยต่อมามีคนเอาหนังสือของทั้งสองมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
หุนอี๋บางครั้งก็ถูกเรียกว่า
หุนเทียนอี๋ (浑天仪) เพียงแต่คำว่าหุนเทียนอี๋ยังถูกใช้เรียก
ลูกทรงกลมท้องฟ้า (天体仪, เทียนถี่อี๋) ได้ด้วย
รายละเอียดเกี่ยวกับลูกทรงกลมท้องฟ้าจะกล่าวถึงในส่วนต่อๆไป
คำว่าหุนอี๋อาจแปลเป็นไทยได้ว่าเป็น "วงล้อทรงกลมท้องฟ้า" หรืออาจแปลว่าเป็น "ลูกทรงกลมท้องฟ้าแบบวงล้อ" เพราะมีลักษณะคล้ายลูกทรงกลมท้องฟ้าแต่มีโครงสร้างเป็นวงล้อ
ในยุคแรกหุนอี๋ค่อนข้างเรียบง่าย มีวงไม่มาก แต่ยุคสมัยผ่านไปก็ค่อยๆเพิ่มวงเข้ามา มีความซับซ้อนมากขึ้น
หุนอี๋อันนี้ที่ตั้งอยู่ในสวนดอกไม้เป็นอันที่สร้างเลียนแบบหุนอี๋ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงสำหรับใช้ที่หอดูดาวแห่งนี้ ของเดิมปัจจุบันไม่อยู่ที่นี่แล้ว
ส่วนอีกอันที่ตั้งอยู่ข้างๆหุนอี๋คือ
เจี่ยนอี๋ (简仪) เป็นอุปกรณ์ที่นำหุนอี๋มาปรับปรุงให้ง่ายขึ้น โดยแยกวงล้อต่างๆออกจากกัน
เจี่ยนอี๋สร้างโดย
กัวโส่วจิ้ง (郭守敬, ปี 1231-1316
) นักดาราศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคราชวงศ์หยวน เขามีผลงานโดดเด่นมากมาย สิ่งประดิษฐ์ของเขามีเยอะจนไม่อาจกล่าวถึงในนี้ได้หมด
เจี่ยนอี๋ที่กัวโส่วจิ้งสร้างนั้นปัจจุบันไม่เหลืออยู่แล้ว แต่เจี่ยนอี๋ที่ใช้ที่หอดูดาวแห่งนี้เป็นของที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์หมิง ปี 1437 แต่ของดั้งเดิมได้ถูกย้ายไปที่หอดูดาวจื่อจิงซานที่หนานจิงแล้วตั้งแต่ปี 1933 ปัจจุบันอันที่เห็นอยู่นี้เป็นอันที่สร้างขึ้นเลียนแบบของเดิม
ข้างๆกันนั้นมีรูปปั้นของกัวโส่วจิ้งอยู่ด้วย
ใกล้ๆกันมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า
เจิ้งฟางอ้าน (正方案) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ของกัวโส่วจิ้ง ใช้สำหรับวัดทิศทางโดยดูจากเงาของดวงอาทิตย์ที่ตกกระทบลงบนแผ่น
ถัดไปจะเห็น
หลิงหลงอี๋ (玲珑仪) คือลูกท้องฟ้าจำลองซึ่งคิดค้นโดยกัวโส่วจิ้ง ลักษณะเป็นทรงกลมที่มีการเจาะรูเอาไว้ตามตำแหน่งดาว
วิธีการใช้ก็คือให้คนไปนั่งอยู่ด้านในทรงกลมท้องฟ้าอันนี้แล้วปล่อยให้แสงลอดผ่านรูเข้ามาจากภายนอก จะมองเห็นแสงเป็นจุดตามรูที่เจาะไว้ เหมือนได้ดูดาวอยู่จริงๆ และทรงกลมนี้ยังสร้างให้หมุนไปเรื่อยๆได้ สามารถจำลองการเคลื่อนที่ของดาวจริงๆได้
ข้างๆกันยังมีรูปปั้น
เสิ่นคั่ว (沈括, 1030-1094
) นักดาราศาสตร์ของจีนที่มีชื่อเสียงอีกคน เขาทำงานอยู่ในสำนักหอดูดาวของราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋, ปี 960-1127) เขามีส่วนในการปรับปรุงหุนอี๋ให้ดีขึ้น ได้ค้นพบว่าขั้วแม่เหล็กโลกไม่ได้อยู่ที่ขั้วโลก และได้อธิบายหลักการในการใช้กระจกเว้าเพื่อขยายภาพ และยังมีผลงานทางด้านภูมิศาสตร์อีกด้วย
ในบริเวณยังมี
กุยเปี่ยว (圭表) เป็นอุปกรณ์บอกวันที่โดยดูจากเงาของเสาที่ได้รับแสงอาทิตย์ โดยเงาของเสาจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆในรอบปี
ในวัน
ครีษมายัน (夏至, เซี่ยจื้อ) ดวงอาทิตย์ช่วงเที่ยงวันจะสูงที่สุดจากขอบฟ้าทางทิศใต้และเงาจะทอดมาทางเหนือสั้นที่สุด ส่วนในวัน
เหมายัน (冬至, ตงจื้อ) ดวงอาทิตย์จะขึ้นต่ำที่สุดและเงาจะยาวที่สุด
อย่างไรก็ตามจะเป็นแบบนี้เฉพาะพื้นที่ที่อยู่ละติจูดสูงกว่า ๒๓.๕ องศาเหนืออย่างปักกิ่งเท่านั้น สำหรับที่ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศไทยดวงอาทิตย์ยามเที่ยงจะอยู่ได้ทั้งในทิศเหนือและใต้สลับตามฤดู และที่ละติจูดต่ำกว่า ๒๓.๕ องศาใต้ดวงอาทิตย์จะอยู่ทางทิศเหนือตลอด
กุยเปี่ยวประกอบด้วยส่วนที่เป็นฐานซึ่งมีขีดบอกค่า เรียกว่า "กุย" (圭) และส่วนของแท่งที่วางตั้งเอาไว้บังแสงให้เกิดเงา เรียกว่า "เปี่ยว" (表) รวมกันจึงเรียกเป็นกุยเปี่ยว
ตัวที่เห็นอยู่นี่เป็นของที่ทำขึ้นในปี 1437 หลังสร้างหอดูดาวแห่งนี้ไม่นาน เพียงแต่ว่าที่เป็นของจริงที่ทำตอนนั้นคือแค่ส่วนฐานหิน แต่ส่วนโลหะได้ถูกย้ายไปที่หอดูดาวจื่อจินซานที่หนานจิงตั้งแต่ปี 1931 ที่เห็นอยู่นี้เป็นของที่ทำขึ้นใหม่ในปี 1983
ส่วนทางนี้เป็น
นาฬิกาแดดแบบศูนย์สูตรฟ้า (赤道日晷, ชื่อเต้ารื่อกุ่ย) เป็นนาฬิกาแดดที่เรียบง่ายที่สุด เพราะตั้งระนาบมุมเอียงตามละติจูดของสถานที่ และดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ขนานไปกับระนาบนี้และสร้างเงาในทิศทางเดียวกันตลอดทั้งปี
และนี่คือ
นาฬิกาแดดแบบแนวระดับ (地平式日晷, ตี้ผิงซื่อรื่อกุ่ย) ต่างจากแบบศูนย์สูตรฟ้าตรงที่ฐานวางอยู่ในแนวระดับไม่ได้เอียงตามละติจูด แต่แท่งบังแสงก็ยังเอียงตามละติจูดเหมือนเดิม การที่ฐานไม่ได้เอียงตามละติจูดทำให้ขีดบอกเวลาซึ่งอยู่บนฐานไม่ได้เว้นระยะห่างเท่ากันเหมือนอย่างแบบศูนย์สูตรฟ้า
ส่วนอันนี้ก็เป็นนาฬิกาแดดอีกแบบหนึ่ง ลักษณะเด่นคือจะเห็นว่าฐานสำหรับอ่านค่าวางอยู่บนพื้นโค้งต่างจากสองอันแรก รูทางซ้ายมีไว้เสียบแท่งบังแสง
และอันนี้เป็นนาฬิกาแดดที่ทำในแบบตะวันตก จะเห็นว่าเลขที่ใช้เป็นเลขโรมัน ส่วนรูที่เห็นตรงกลางมีไว้เสียบแท่งบังแสง
ที่ผนังนี้แสดงเทพแห่งดวงดาวต่างๆในทางฮินดู-พุทธซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ที่รูปแสดงชื่อเทพต่างๆทั้งในภาษาจีนและภาษาสันสกฤต ภาพเทพเหล่านี้ได้ถูกลืมเลือนไปตั้งแต่ช่วงสมัยราชวงศ์หมิงที่อิทธิพลดาราศาสตร์ตะวันตกเริ่มเข้ามา
ข้างๆสวนดอกไม้มีทางเข้าสู่บริเวณที่เป็นส่วนสถานที่ทำงานซึ่งไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม
ต่อมาจะมาดูในส่วนของแท่นสังเกตการณ์ ซึ่งสามารถขึ้นไปชมด้านบนได้
เดินขึ้นบันไดมา
เดินขึ้นมาจนถึงด้านบนสุดแล้วมองหันกลับไปจะเห็นทิวทัศน์ด้านล่างและไกลออกไปเป็นตึกสมัยใหม่ ในขณะที่ทางซ้ายเริ่มเห็นอุปกรณ์ดาราศาสตร์โบราณชิ้นแรกคือเซี่ยงเซี่ยนอี๋ (เครื่องวัดมุมเงยดาว)
เซี่ยงเซี่ยนอี๋นี้ วางอยู่ด้านซ้ายของ จีเหิงฝู่เฉินอี๋ (วงล้อทรงกลมท้องฟ้าของเฉียนหลง)
ถ้ามองถัดไปทางซ้ายจะเห็นอุปกรณ์อีก ๖ ชิ้นที่เหลือ ไล่จากขวาไปซ้ายคือ
เทียนถี่อี๋ > หวงเต้าจิงเหว่ย์อี๋ > ตี้ผิงจิงอี๋ > ตี้ผิงจิงเหว่ย์อี๋ > จี้เซี่ยนอี๋ > ชื่อเต้าจิงเหว่ย์อี๋
จากตรงนี้จะเริ่มอธิบายรายละเอียดของอุปกรณ์ทั้ง ๘ นี้ทีละชิ้น ไล่จากหมายเลขที่เขียนในแผนที่ซึ่งเรียงทวนเข็มนาฬิกา ในที่นี้คือไล่จากขวาไปซ้าย
อันแรกคืออุปกรณ์ที่เรียกว่า
จีเหิงฝู่เฉินอี๋ (玑衡抚辰仪) เป็นวงล้อทรงกลมท้องฟ้าแบบหนึ่ง หนัก ๕๑๔๕ กก. สูง ๓.๓๗๙ เมตร
จีเหิงฝู่เฉินอี๋สร้างขึ้นตามคำสั่งของจักรพรรดิเฉียนหลง (乾隆, ปี 1735-1795) ถือเป็นอุปกรณ์ที่ใหม่ที่สุดในบรรดา ๘ ชิ้น เพราะชิ้นที่เหลือถูกสร้างในสมัยจักรพรรดิคางซี
เดิมทีในปี 1744 จักรพรรดิเฉียนหลงได้มาที่หอดูดาวแห่งนี้แล้วเห็นว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่ใช้อยู่ตอนนั้น (อุปกรณ์อีก ๗ ชิ้นที่เหลือซึ่งสร้างก่อนหน้า) มีโครงสร้างเป็นแบบตะวันตก จึงอยากให้สร้างอุปกรณ์ขึ้นมาใหม่อีกชิ้นที่แสดงถึงความเป็นจีนมากกว่านี้ อุปกรณ์สร้างเสร็จในปี 1754
วงล้อทรงกลมท้องฟ้าอันนี้ประกอบด้วยวงล้อต่างๆคล้ายกับหุนอี๋อันที่วางอยู่ที่สวนดอกไม้ เพียงแต่ไม่มีวงสุริยวิถี
หน้าที่หลักคือใช้วัด
เวลาสุริยะคติปรากฏ (真太阳时) และวัดตำแหน่งดาวในระบบพิกัดศูนย์สูตรฟ้า คือ
เดคลิเนชัน (赤纬) กับ
ไรต์แอสเซนชัน (赤经) อันถัดมาคือ
เซี่ยงเซี่ยนอี๋ (象限仪) เครื่องวัดมุมเงยของดาว หนัก ๒๔๘๓ กก. สูง ๓.๔๘๓ เมตร
ส่วนประกอบหลักที่สำคัญคือแผ่นรูปส่วนตัดของแผ่นวงกลมขนาด ๙๐ องศาที่สลักเป็นรูปลายมังกรสวยงาม ส่วนนี้สามารถหมุนไปมาในแนวระดับได้เพื่อปรับมุมทิศให้ตรงกับดาวที่ต้องการจะวัด จากนั้นก็เลื่อนหมุนท่อเล็งซึ่งมีแกนหมุนอยู่ที่กึ่งกลางส่วนโค้งของแผ่นส่วนของเส้นโค้งไปเรื่อยๆจนมองเห็นดาวเป้าหมาย โดยที่ปลายแผ่นมีขีดบอกมุม เมื่อเล็งเจอดาวที่ต้องการแล้วก็อ่านค่าที่ขีดก็จะรู้มุมเงยของดาว
อันที่สามคือ
เทียนถี่อี๋ (天体仪) ลูกทรงกลมท้องฟ้า มีไว้ใช้แสดงตำแหน่งดาวต่างๆโดยแสดงบนทรงกลมเช่นเดียวกับลูกโลก
ลูกทรงกลมท้องฟ้าอันนี้หนัก ๓๘๕๐ กก. สูง ๒.๗๓๕ เมตร แสดงดาวทั้งหมด ๑๘๗๖ ดวง โดยมีการทำขนาดให้ต่างกันไปตามความสว่างปรากฏด้วย
ขีดแบ่งมุมที่ใช้ในลูกทรงกลมท้องฟ้าอันนี้แบ่งเป็น ๓๖๐ องศาตามแบบสากล แทนที่จะใช้ ๓๖๕.๒๕ องศา ตามจำนวนวันในรอบปีอย่างที่จีนเคยใช้อยู่ดั้งเดิม อีกทั้งมีการแสดงดาวในซีกโลกใต้ส่วนที่ไม่มีอยู่ในกลุ่มดาวจีนดั้งเดิมและไม่มีวันเห็นได้ในจีนด้วย นี่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของทางตะวันตกที่มีต่อดาราศาสตร์จีนในช่วงราชวงศ์ชิง
ลูกทรงกลมท้องฟ้าในจีนมีบันทึกว่าถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดย
เกิ่งโซ่วชาง (耿寿昌) นักดาราศาสตร์ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (西汉, 202 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 8)
ในสมัยก่อนถึงยุคราชวงศ์ชิงจะนิยมเรียกลูกทรงกลมท้องฟ้าว่า
หุนเซี่ยง (浑象) หรือ
หุนเทียนอี๋ (浑天仪) แต่คำว่าหุนเทียนอี๋บางครั้งอาจหมายถึงหุนเซี่ยง (วงล้อทรงกลมท้องฟ้า) ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันด้วยได้
อันที่สี่คือ
หวงเต้าจิงเหว่ย์อี๋ (黄道经纬仪) เครื่องวัดตำแหน่งดาวในระบบพิกัดสุริยวิถี หนัก ๒๗๒๐ กก. สูง ๓.๓๘๐ เมตร
อุปกรณ์มีไว้ใช้วัดตำแหน่งของดาวในระบบพิกัดสุริยวิถี (ละติจูดและลองจิจูดสุริยวิถี)
ลักษณะจะเป็นวงล้อคล้ายกับหุนอี๋แบบดั้งเดิม แต่ว่าต่างกันมาก เพราะไม่มีวงเส้นศูนย์สูตรท้องฟ้า แต่ประกอบด้วย
วงปรับไรต์แอสเซนชันของจุดหยุด** (极至圈),
วงเส้นสุริยวิถี (黄道圈) และ
วงลองจิจูดสุริยวิถี (黄道纬圈) ** "จุดหยุด" หรือ "อายัน" (solstice) เป็นคำที่ใช้เรียกรวมทั้ง "ครีษมายัน" และ "เหมายัน" วงปรับไรต์แอสเซนชันของจุดหยุดเป็นวงที่หมุนไปตามแนวไรต์แอสเซนชัน โดยยึดติดกับวงเส้นสุริยวิถีโดยมีจุดยึดอยู่ที่จุดคริสมายันและจุดเหมายัน ต้องหมุนวงนี้เพื่อปรับระนาบสุริยวิถีให้สอดคล้องตามตำแหน่งดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน เนื่องจากระนาบสุริยวิถีเปลี่ยนไปตลอดปี ต่างจากระนาบศูนย์สูตรฟ้าซึ่งตรึงอยู่กับที่ตลอดได้
ในวงล้อทรงกลมท้องฟ้าที่สร้างขึ้นในสมัยก่อนหน้านั้นแม้ว่าจะมีการใส่วงสุริยวิถีไปด้วยแต่ก็ไม่มีการใช้ระบบพิกัดสุริยวิถีในการวัดจริงๆ ดังนั้นวงล้อทรงกลมท้องฟ้าในระบบพิกัดสุริยวิถีอันนี้จึงนับเป็นอุปกรณ์แรกของจีนที่มีการใช้ระบบพิกัดสุริยวิถี ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของดาราศาสตร์ตะวันตก
อย่างไรก็ตามเนื่องจากนักดาราศาสตร์จีนในสมัยนั้นก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบพิกัดสุริยวิถีมากนัก อุปกรณ์นี้จึงได้ใช้ค่อนข้างน้อย
อันที่ห้าคือ
ตี้ผิงจิงอี๋ (地平经仪) เครื่องวัดมุมทิศของดาว หนัก ๑๘๑๑ กก. สูง ๓.๒๐๑ เมตร
อุปกรณ์มีลักษณะเป็นวงล้อที่สามารถหมุนได้ เวลาใช้จะขึงเส้นเชือกสองเส้นไว้ระหว่างส่วนยอดของแกนกลางและแท่งที่ลากผ่านศูนย์กลางวงล้อ เวลาใช้ก็หมุนวงล้อจนเห็นดาวเป้าหมายอยู่ด้านหลังเชือกสองเส้นนั้น วัดมุมว่าหมุนวงล้อไปเท่าไหร่ก็จะรู้มุมทิศของดาว
อันที่หกคือ
ตี้ผิงจิงเหว่ย์อี๋ (地平经纬仪) เครื่องวัดมุมทิศและมุมเงยของดาว หนัก ๗๓๖๘ กก. สูง ๔.๑๒๕ เมตร
นี่เป็นเครื่องมืออีกอันที่ไม่ได้สร้างในต้นรัชกาลของจักรพรรดิคางซี แต่สร้างขึ้นในปี 1713 ซึ่งเป็นช่วงปลายรัชกาล สร้างโดยหมอสอนศาสนาชาวเยอรมัน
คีเลียน สตุมพฟ์ (Kilian Stumpf, ปี 1655-1720
) หรือชื่อจีนว่า
จี้หลี่อาน (纪理安) อุปกรณ์นี้รวมความสามารถของตี้ผิงจิงอี๋ (วัดมุมทิศ) และเซี่ยงเซี่ยนอี๋ (วัดมุมเงย) เข้าด้วยกัน สามารถวัดได้ทั้งมุมทิศและมุมเงยของดาวพร้อมกัน
นี่เป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวที่ได้สร้างด้วยศิลปะแบบฝรั่งเศสแทนที่จะเป็นแบบจีนเหมือนอย่างชิ้นอื่น
อันที่เจ็ดคือ
จี้เซี่ยนอี๋ (纪限仪) เครื่องวัดระยะเชิงมุม หนัก ๘๐๒ กก. สูง ๓.๒๗๔ เมตร
ประกอบไปด้วยแถบรูปส่วนของวงกลมขนาด ๖๐ องศา มีลักษณะเหมือนกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า
เซ็กซ์แทนต์ (六分仪) เอาไว้ใช้วัดระยะเชิงมุมระหว่างดาวสองดวงซึ่งอยู่ห่างกันไม่เกิน ๖๐ องศา
และอันสุดท้ายคือ
ชื่อเต้าจิงเหว่ย์อี๋ (赤道经纬仪) เครื่องวัดตำแหน่งดาวในระบบพิกัดศูนย์สูตรฟ้า หนัก ๒๗๒๐ กก. สูง ๓.๓๘๐ เมตร
ลักษณะคล้ายกับหุนอี๋ในสวนดอกไม้ แต่ไม่มีวงสุริยวิถี หน้าที่หลักคือใช้วัดเวลาสุริยะคติปรากฏ เดคลิเนชัน และไรต์แอสเซนชันของดาว เช่นเดียวกับจีเหิงฝู่เฉินอี๋
ทิวทัศน์ที่มองจากด้านบนแท่นสังเกตการณ์ไปยังถนนด้านนอก
ส่วนจัดแสดงกลางแจ้งมีอยู่เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ไปที่เหลือเป็นส่วนจัดแสดงภายในอาคารซึ่งจะให้ข้อมูลความรู้ต่างๆที่เกี่ยวข้องมากมาย
อ่านต่อได้ในตอนต่อไป
https://phyblas.hinaboshi.com/20170204 แหล่งข้อมูลอ้างอิง https://zh.wikipedia.org/wiki/北京古观象台 http://www.chiculture.net/0801/html/b01/0801b01.html http://baike.baidu.com/view/41715.htm http://wiki.cdstm.cn/index.php?doc-view-13039 http://blog.sina.com.cn/s/blog_44faf8f9010008bh.html http://kjbl.ypskz.com.cn/TWW/twdg/index.htm http://web2.nmns.edu.tw/Web-Title/china/A-1-7_display.htm http://s.visitbeijing.com.cn/html/j-118101_kd.shtml http://www.china.com.cn/culture/zhuanti/2009-05/19/content_17801109.htm หนังสือ 星移物換-中國古代天文文物精華
http://www.telescopes.com.tw/shop/print_product_info.php?products_id=265&Twesid=yttauzxdtun