บทความนี้จะเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประชาธิปไตย เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย
เนื้อหาทั้งหมดเรียบเรียงมาจากหนังสือของญี่ปุ่น 天才美少女生徒会長が教える民主主義のぶっ壊し方
โดยมีการเสริมเนื้อหาบางส่วนจากแหล่งอื่นประกอบไปด้วย
อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ได้ใน
https://phyblas.hinaboshi.com/20191208
ประชาธิปไตยไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว
ประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ถูกใช้แพร่หลายที่สุดในโลกยุคปัจจุบันนี้ เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ
ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่าหลักการของประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่อยู่ในสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่
คือผู้คนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะมีสิทธิต่างๆเหมือนๆกัน
แต่ว่าโลกในยุคอดีตไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะสังคมสมัยก่อนนั้นการแบ่งชนชั้นถือเป็นเรื่องปกติ
การที่มนุษย์ไม่เคยจะเท่าเทียมกันนั้นกลับจะเป็นเรื่องปกติในสามัญสำนึกทั่วไปของคนสมัยก่อน
ดังนั้นกว่าจะมาเกิดเป็นระบอบประชาธิปไตยได้นั้นต้องผ่านกระบวนการอะไรมากมาย ผ่านประวัติศาสตร์ยาวนาน
หากศึกษาประวัติศาสตร์จะรู้ว่าสังคมถูกเปลี่ยนผ่านมาเรื่อยๆ จากยุคแรกที่แต่ละคนไม่เท่าเทียมกัน
จนเริ่มรู้สึกถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน
ระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้นั้นก็เกิดขึ้นมาจากวิวัฒนาการที่เป็นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
การศึกษาประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญที่จะทำให้เข้าใจความหมายของประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดีขึ้น
รวมถึงมองข้อดีและข้อเสียของระบบให้ออกเพื่อเป็นแนวทางในการเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต
รากฐานของประชาธิปไตยคือรัฐธรรมนูญ
หากพูดถึงคำว่าประชาธิปไตยแล้ว ส่วนประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า
"รัฐธรรมนูญ"
ดังนั้นก่อนอื่นจึงควรเริ่มอธิบายจากตรงนี้ก่อน
ที่จริงแล้ว ความหมายของรัฐธรรมนูญนั้นอาจสามารถตีความได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าใช้ในบริบทไหน
หากว่ากันตามรากศัพท์แล้ว คำวารัฐธรรมนูญนี้มาจากภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศสว่า
constitution
ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน
constitutus โดยมีความหมายเดิมว่า "โครงสร้าง, โครงร่าง, เค้าโครง, สิ่งที่ประกอบขึ้นมา"
เมื่อนำคำนี้มาใช้กับประเทศ จึงควรจะหมายถึง "อะไรบางสิ่งที่บอกถึงโครงสร้าง อุดมคติ
แนวทางที่จะก้าวเดินไปของประเทศ"
แต่เดิมทีแล้วสิ่งนี้อาจไม่ต้องอยู่ในรูปของกฎหมาย และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับระบอบประชาธิปไตย
เช่นในประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการนั้นอาจถือได้ว่าตัวผู้นำเผด็จการนั่นเองคือรัฐธรรมนูญของประเทศนั้น
มีสิทธิ์ขาดที่จะกำหนดความเป็นไปของประเทศทุกอย่าง
หากอยู่ในรูปของกฎหมาย
กฎหมายรัฐธรรมนูญ (constitution law) ก็คือ "กฎหมายสูงสุดของประเทศ"
นั่นเอง
นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าจะออกกฎหมายอะไรขึ้นมาใหม่ ก็จะขัดกับสิ่งที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไม่ได้
แม้แต่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศก็ตาม
หากรัฐธรรมนูญถูกกำหนดไว้แล้ว แล้วพบว่าผู้มีอำนาจในประเทศออกคำสั่งหรือกฎหมายอะไรก็ตามที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ประชาชนสามารถหยิบรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมในการที่จะไม่ทำตามได้
ซึ่งถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบไม่ให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจได้เต็มที่โดยขาดการควบคุม จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น
"กฎที่ควบคุมจำกัดสิทธิ์ในการบริหารประเทศ"
และหลักประชาธิปไตยก็เกิดขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากตรงนี้เอง รัฐธรรมนูญเกิดขึ้นมาก่อนระบอบประชาธิปไตย
และเดิมทีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับประชาธิปไตยเลย แต่รัฐธรรมนูญเป็นแกนหลักของประชาธิปไตย
ทุกวันนี้สิ่งที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญถูกใช้ทั่วไปในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าใจที่มาของประชาธิปไตย จึงอาจต้องมองย้อนไปถึงที่มาของรัฐธรรมนูญ
กำเนิดรัฐธรรมนูญในยุคกลาง
เรื่องราวของรัฐธรรมนูญนั้นอาจต้องย้อนไปดูอดีตไกลถึงช่วงยุคกลางของยุโรป ซึ่งหมายถึงช่วงศตวรรษที่ 5~15
สมัยนั้นสิ่งที่เรียกว่ากฎหมาย
จารีตประเพณี (customary law) เป็นสิ่งที่ถูกใช้เป็นหลักในการปกครอง
หลักนี้มีพื้นฐานมาจากยุคโรมัน ซึ่งในสมัยนั้นได้มีการตั้งกฎต่างๆขึ้นมามากมายและมีการบันทึกเอาไว้
ดินแดนต่างๆในยุโรปก็หยิบมาใช้เป็นแบบอย่าง
ในยุคกลางท้องถิ่นต่างๆจะมีผู้ปกครองซึ่งครอบครองผืนดินในที่นั้นๆ
และมีผู้ที่เป็นศูนย์กลางคอยผูกรวมผู้ปกครองแต่ละท้องถิ่นไว้อีกที นั่นก็คือกษัตริย์
อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ในยุคแรกๆนั้นไม่ได้มีอำนาจท่วมท้นอะไร
เป็นแค่ผู้ที่เป็นเหมือนตัวกลางในการติดต่อระหว่างแต่ละท้องถิ่นในอาณาจักรเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจปกครองท้องถิ่นโดยตรง
อีกทั้งบางท้องถิ่นก็อาจขึ้นอยู่กับกษัตริย์มากกว่าหนึ่งประเทศในเวลาเดียวกัน
ทำให้ประเทศในสมัยนั้นถือเป็นการรวมตัวแบบหลวมๆเท่านั้น
สิ่งที่มีอำนาจยิ่งกว่ากษัตริย์ในสมัยนั้นก็คือกฎหมายจารีตประเพณี แม้จะเป็นกษัตริย์ก็ต้องปฏิบัติตาม
แต่เวลาผ่านไปกษัตริย์ก็เริ่มสั่งสมอำนาจบารมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มจะเพิกเฉยต่อกฎหมายจารีตประเพณีดั้งเดิม
เช่นมีการเรียกภาษีหรือค่าคุ้มครองจากผู้ครองท้องถิ่น จึงทำให้ผู้ครองท้องถิ่นไม่พอใจ
ที่อังกฤษ ได้เกิดจุดแตกหักที่สำคัญขึ้นในปี 1215 กษัตริย์อังกฤษในขณะนั้นคือ
พระเจ้าจอห์น (King John)
ช่วงนั้นมีการทำสงครามกับฝรั่งเศสอยู่เรื่อยๆ จึงมีการเรียกเก็บภาษีจากผู้ครองท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
เหล่าผู้ครองท้องถิ่นต่างๆก็ไม่พอใจและรวมตัวกันเขียนสิ่งที่เรียกว่า
"มหากฎบัตร" หรือชื่อในภาษาละตินว่า
"มักนา
คาร์ตา" (Magna Carta) ซึ่งเป็นข้อสัญญายาว ๖๓ ข้อขึ้นมา
จากนั้นก็ได้บุกเข้าไปหาพระเจ้าจอห์นเพื่อบังคับให้เซ็นยอมรับข้อสัญญานี้
ไม่เช่นนั้นจะจับประหารทิ้งแล้วหาคนอื่นมาเป็นกษัตริย์แทน พระเจ้าจอห์นจึงจำต้องยอม
มหากฎบัตร
ใจความสำคัญข้อหนึ่งของสัญญานั้นก็คือหากจะมีการตัดสินใจทำการอะไรบางอย่างที่สำคัญเช่นการเรียกเก็บภาษีขึ้นมา
กษัตริย์ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองคนเดียวได้
จะต้องมีการเรียกประชุมกับผู้ครองท้องถิ่นต่างๆ เพื่อหารือตกลงกัน
นี่เป็นจุดเริ่มต้นในการให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการปกครอง
เพียงแต่ว่าประชาชนในที่นี้จริงๆแล้วก็คือกลุ่มชนชั้นสูงเช่นผู้ครองท้องถิ่นต่างๆเท่านั้น ซึ่งเป็นแค่สัดส่วนเล็กน้อย
ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ไม่ได้มีส่วนอะไรในการปกครอง
อย่างไรก็ตาม มหากฎบัตรที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ได้ถูกคนยุคหลังยกย่องว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกในโลก
การต่อสู้กับแนวคิดเทวสิทธิราชย์
ที่อังกฤษแม้จะเกิดมหากฎบัตรขึ้นมาแล้ว แต่จริงๆก็ไม่ได้มีผลกระทบมากมายอย่างที่ควรจะเป็น
และเวลาผ่านไปไม่นานก็กลับถูกลืมเลือนไป
ซ้ำร้าย เวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าอำนาจของกษัตริย์กลับเพิ่มขึ้นอีก
สาเหตุมาจากการที่ศาสนาคริตส์มีอิทธิพลอย่างมากในยุคนั้น
สิ่งที่ถูกเขียนในคัมภีร์ไบเบิลถูกนำมาเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญ
แต่คัมภีร์ไบเบิลถูกเขียนด้วยภาษาละติน ซึ่งคนทั่วไปอ่านไม่ออก ทำให้คนส่วนใหญ่ยากที่จะเข้าถึงได้
ได้แต่รับรู้ผ่านนักบวชหรือผู้มีความรู้เท่านั้น
สิ่งที่เขียนในพระคัมภีร์นั้นมีหลายส่วนที่คลุมเครือ แล้วแต่คนจะตีความ
มีใจความส่วนหนึ่งที่สามารถตีความไปในทางที่สนับสนุนแนวคิด
เทวสิทธิราชย์ (divine right)
ซึ่งถือว่ากษัตริย์คือสมมติเทพ ได้รับมอบอำนาจมาจากพระเจ้า มีอำนาจล้นพ้น และไม่อยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ
นั่นก็คือระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์
อย่างไรก็ตาม ปี 1517 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญในยุโรป คือการปฏิรูปศาสนาคริสต์ครั้งใหญ่โดย
มาร์ติน ลูเทอร์ (Martin
Luther, ปี 1483~1546) ในเยอรมนี
ลูเทอร์มองว่านักบวชและผู้ปกครองใช้อำนาจจากศาสนาในทางที่ผิด
เขาจึงทำการแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาเยอรมันให้คนทั่วไปอ่านได้และเผยแพร่
ช่วงนั้นประจวบเหมาะกับที่เพิ่งเกิดเทคโนโลยีการพิมพ์ขึ้นโดย
โยฮันเนิส กูเทินแบร์ค (Johannes Gutenberg, ปี
1400~1468) และเริ่มเป็นที่แพร่หลาย คัมภีร์แปลของลูเทอร์จึงได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างรวดเร็ว
คนทั่วไปได้เข้าใจความจริงต่างๆในพระคัมภีร์ซึ่งถูกบิดเบือนไป หลังจากนั้นคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (protestant)
ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ทางด้านอังกฤษนั้นตั้งแต่ปี 1625 ก็ได้เข้าสู่ยุคของ
พระเจ้าชาลส์ที่ 1 (Charles I, ปี 1600~1649)
ช่วงนั้นได้มีนักปรัชญาชื่อ
รอเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Robert Filmer, 1588~1653)
ตีพิมพ์แนวคิดซึ่งสนับสนุนเทวสิทธิราชย์ให้กษัตริย์มีอำนาจล้นพ้น
แต่ทว่าในตอนนั้นนิกายโปรเตสแตนต์ได้แพร่เข้ามาถึงอังกฤษแล้ว ทำให้เกิดกลุ่มชาวคริสต์โปรเตสแตนต์กลุ่มใหญ่ในอังกฤษ
เรียกว่ากลุ่ม
พิวริตัน (Puritan) พวกเขาต่อต้านแนวคิดเทวสิทธิราชย์ของฟิลเมอร์
และความขัดแย้งนี้ได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอังกฤษขึ้นในปี 1642 แล้วในที่สุดพวกพิวริตันก็ทำรัฐประหารได้สำเร็จ
ภาพวาดแสดงสภาพสงครามภายในระหว่างยุทธการที่เนสบี
ในครั้งนี้ มหากฎบัตรซึ่งถูกทำสัญญาขึ้นมาเมื่อ 400 กว่าปีแล้วเคยถูกลืมเลือนไป
ก็ได้เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกนำมาใช้สนับสนุนฝั่งพิวริตัน โอยอ้างว่าพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ได้ทำผิดข้อตกลงในสัญญา
ในที่สุดพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ก็ถูกล้มและถูกประหารในปี 1649
แม้ว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะยังไม่ได้เปลี่ยนถ่ายไปสู่ประชาธิปไตย
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มหากฎบัตรซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญได้มีการให้บทลงโทษต่อกษัตริย์ที่ละเมิดข้อตกลงจริงๆ
เป็นการแสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นผู้มีอำนาจแค่ไหนก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
สัญญาประชาคมสำหรับโลกในอุดมคติ
แม้ว่ากลุ่มพิวริตันจะล้มพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ได้สำเร็จ แต่ความวุ่นวายก็ยังไม่จบ การปกครองไม่มีเสถียรภาพ
เกิดรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำอีกจนในที่สุดปี 1660 กลุ่มที่สนับสนุนกษัตริย์ก็ชนะ
พระเจ้าชาลส์ที่ 2 (Charles II, ปี
1630~1685) ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ได้มาขึ้นครองราชย์ ทำให้อังกฤษกลับมาปกครองในระบบเดิมต่ออีก
สาเหตุหนึ่งมาจากการที่งานเขียนของฟิลเมอร์ที่สนับสนุนเทวสิทธิราชย์นั้นยังคงมีอิทธิพลอยู่มากในอังกฤษ
และได้ถูกฝั่งสนับสนุนกษัตริย์นำมาใช้
ส่วนทางฝรั่งเศสช่วงนั้นก็เข้าสู่ยุคที่ปกครองโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV, ปี 1638~1715)
ซึ่งปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์ไปแล้ว
ถึงกระนั้นแนวคิดสนับสนุนอำนาจกษัตริย์ในอังกฤษก็อ่อนแอลงมาก
และในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่มีการปะทะกันทางแนวคิดและปรัชญาอยู่เรื่อยๆในยุโรป
บุคคลที่มีความสำคัญที่สุดคนหนึ่งคือนักปรัชญาชาวอังกฤษ
จอห์น ล็อก (John Locke, ปี 1632~1704)
ได้พยายามตีพิมพ์งานซึ่งวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของฟิลเมอร์ จนถูกกลุ่มสนับสนุนกษัตริย์หมายหัว
จนต้องลี้ภัยหนีออกจากอังกฤษ
จอห์น ล็อก
ช่วงนั้นอังกฤษได้เกิดสงครามกับฮอลันดาขึ้น และนำไปสู่การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ปี 1688
กลุ่มปฏิวัติได้ตั้งพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 (William III) ขึ้นครองราชย์แทนและเป็นกษัตริย์ภายใต้สัญญาที่เรียกว่า
"ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง" (Bill of Rights)
ซึ่งถือรากฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญในอังกฤษ
แม้จะมีรัฐธรรมนูญแล้ว และจำกัดสิทธิ์การบริหารของกษัตริย์แล้ว
แต่ก็แค่เปลี่ยนถ่ายอำนาจไปยังเหล่าขุนนางซึ่งเป็นชนชั้นปกครองที่เป็นส่วนน้อยของประเทศ จึงยังไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
แค่ถือว่าใกล้เข้ามาอีกก้าว
และสิ่งที่สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นก็คือเรื่องแนวคิดที่เกิดขึ้นมาใหม่ และได้มีอิทธิพลต่อการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้
แนวคิดหนึ่งที่มีความสำคัญ
"สัญญาประชาคม" (social contract) ซึ่งว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชน
แนวคิดนี้หักล้างหลักการของเทวสิทธิราชย์
แนวคิดสัญญาประชาคมนี้ได้ถูกเสนอขึ้นโดยนักปรัชญาหลายคน มีความแตกต่างกันไปในรายละเอียด
แต่โดยรวมแล้วที่เหมือนกันก็คือเริ่มจากอธิบายว่าสังคมของมนุษย์ควรเกิดขึ้นมาจากการที่คนในสังคมทำสัญญาอะไรบางอย่างร่วมกัน
ต้องมีการกำหนดว่าใครจะมีหน้าที่อะไรและจะได้สิทธิอะไรตอบแทน
แทนที่จะปล่อยให้มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ตามอำเภอใจโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ
แนวคิดของล็อกก็อยู่บนพื้นฐานของสัญญาประชาคม ในปี 1689 เขาได้เดินทางกลับอังกฤษและตีพิมพ์หนังสือ
"ศาสตร์นิพนธ์สองบรรพว่าด้วยการปกครอง" (Two Treaties of Government) ซึ่งรวบรวมแนวคิดของเขาไว้
เป็นผลงานสำคัญซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเมืองทั่วโลกหลังจากนั้น
เนื้อหาแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกอธิบายหักล้างแนวคิดเทวสิทธิราชโดยเด็ดขาด
และส่วนที่สองว่าด้วยสัญญาประชาคมในแบบของเขา ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่าการปกครองที่จะมาแทนควรเป็นอย่างไร
แนวความคิดของเขาว่าด้วยเรื่อง
สิทธิตามธรรมชาติ (ius naturale) ของมนุษย์
โดยบอกว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนต้องการอิสระไม่ต้องการถูกใครสั่ง
อยากมีสิทธิ์ในการทำอะไรกับตัวเองหรือสิ่งที่ตัวเองครอบครอง และควรจะเท่าเทียมกัน
เมื่อมนุษย์อยากได้ของอะไรของคนอื่นก็ควรจะทำอะไรให้เป็นการตอบแทน และมนุษย์ก็มีความรู้สึกที่อยากได้ความรัก
จึงต้องพยายามทำให้คนอื่นรักเราด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ามนุษย์จะสามารถทำอะไรได้อย่างอิสระโดยสมบูรณ์ เพราะมนุษย์ต่างก็มีสิ่งที่ต้องการเหมือนกัน
คือต้องการปกป้องชีวิต สุขภาพ อิสระ หรือทรัพย์สินของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ควรจะทำลายสิ่งเหล่านี้ของคนอื่นเช่นกัน
ซึ่งที่จริงแล้วนี่เป็นพื้นฐานของสิ่งที่ทุกวันนี้เราเรียกกันว่าหลักสิทธิมนุษยชนนั่นเอง
นี่เป็นพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อนำไปสู่การเกิดประชาธิปไตย
สิทธิมนุษยชนมาจากไหน
พูดถึงสิทธิมนุษยชนแล้ว สำหรับคนในยุคเราคงถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับสมัยนั้นคนทั่วไปยังมีแนวคิดแตกต่างกันไป
อาจมองได้ว่าแนวความคิดเรื่องนี้ก็เหมือนกับศาสนา คือมีคนคิดขึ้นแล้วก็เผยแพร่สู่คนทั่วไป
ซึ่งปัจจุบันแนวความคิดนี้ประสบความสำเร็จในการครอบงำความคิดของคนส่วนใหญ่ในโลก
จึงทำให้เรารู้สึกว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องธรรมดาที่อยู่ในสามัญสำนึกนั่นเอง
จึงถือว่าคนที่วางรากฐานความคิดของคนรุ่นหลังก็คือนักคิดนักปรัชญาสมัยก่อน
และแนวคิดของล็อกนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมาก
แต่ว่าแนวคิดนี้ของล็อกนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาคริสต์ กล่าวคือพระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้
ซึ่งสำหรับคนยุโรปสมัยนั้นแล้วนี่เป็นแนวคิดที่ได้ผลดี เพราะส่วนใหญ่นับถือคริสต์และเชื่อในพระเจ้า
อิทธิพลตรงนี้ได้แสดงให้เห็นในรัฐธรรมนูญของประเทศตะวันตก และบางแห่งยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน
แต่เมื่อแนวคิดถูกเผยแพร่มาสู่ประเทศทางเอเชียซึ่งไม่ได้นับถือคริสต์ เช่นญี่ปุ่น กลับไม่พบเนื้อหาที่พูดถึงพระเจ้า
แต่ใจความเรื่องสิทธิมนุษยชนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ปัญหาคือการที่ในยุคเริ่มแรกมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้มีปัญหาที่ว่าสิทธิมนุษยชนนี้ควรจะให้แก่ใครบ้าง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกาศเอกราชและก่อตั้งขึ้นในปี 1776
เป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก อย่างไรก็ตาม
สหรัฐอเมริกาในยุคนั้นยังคงมีการใช้งานทาสซึ่งเป็นคนดำ และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองอินเดียนแดงอย่างโหดร้าย
แม้สหรัฐอเมริกาจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศแรกซึ่งใช้ระบอบประชาธิปไตย และประกาศไว้ว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน
แต่สิทธิ์นี้ไม่รวมคนดำซึ่งเป็นทาสและชนเผ่าพื้นเมือง พวกเขาไม่ถูกมองว่าเป็นคนเหมือนกัน
ซึ่งตรงนี้ก็แสดงให้เห็นว่าสิทธิมนุษยชนในยุคแรกนั้นถูกนำมาใช้แบบไม่เต็มที่
ทั้งๆที่ในอุดมคติตามความคิดของล็อกบอกว่าทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกันควรจะเท่าเทียมกัน
ธรรมชาติของมนุษย์อาจก่อให้เกิดโศกนาฏกรรม
แนวคิดของล็อกนั้นถือว่าเป็นสังคมแบบโลกสวย แต่ว่านั่นอาจเป็นเพียงอุดมคติซึ่งคิดขึ้นมาเองเท่านั้น
มีตัวอย่างแนวคิดที่สำคัญอีกอันหนึ่งซึ่งถูกเผยแพร่มาก่อนของล็อกไม่นานก็คือแนวคิดสัญญาประชาคมของ
ทอมัส
ฮ็อบส์ (Thomas Hobbes, 1588~1679) นักปรัชญาชาวอังกฤษ เขาได้ตีพิมพ์ขึ้นในปี 1651
ทอมัส ฮ็อบส์
แนวคิดของเขาก็ว่าด้วยเรื่องสัญญาประชาคม คือมีการกล่าวถึงสภาพโดยธรรมชาติของมนุษย์
และดูเหมือนจะเริ่มต้นจากหลักความคิดคล้ายกันกับของล็อก แต่กลับมีหลายสิ่งตรงกันข้ามกัน
และนำไปสู่ข้อสรุปที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นจึงมักถูกนำมาเปรียบเทียบกัน
สภาพตามธรรมชาติของมนุษย์ในความคิดของฮ็อบส์ก็คือ มนุษย์มีความต้องการและความอยากเอาตัวรอด
จึงคิดอยากช่วงชิงของหรือทรัพย์สินจากคนอื่น ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากถูกใครแย่งของตัวเองไปด้วยจึงต้องชิงลงมือก่อน
และหากถึงขั้นต้องสู้กันขึ้นมา ไม่ว่าใครก็ไม่อยากตาย จึงต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้ก่อนที่จะถูกฆ่าซะเอง
ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ มีแต่จะต่อสู้แย่งชิงกัน เกิดเป็นโศกนาฏกรรม
ฮ็อบส์ได้ตั้งชื่อสังคมแบบนี้ว่า
"เลวีอาธาน" (Leviathan)
ซึ่งเป็นชื่อของอสูรแห่งความสับสนวุ่นวายในตำนานที่ปรากฏในพระคัมภีร์โบราณ
เลวีอาธาน จากเกม FFVII
และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพื่อที่จะสามารถอยู่ได้อย่างสันติสุข
จึงต้องมีการทำสัญญากันเพื่อที่มนุษย์จะอยู่ร่วมกันในสังคม โดยมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ทำให้คนเกรงกลัวแล้วไม่กล้าขัดขืน
และต้องมีบทลงโทษที่ปฏิบัติได้จริง
แต่เพื่อการนั้นจำเป็นจะต้องมีผู้ที่มีอำนาจตัดสินว่าใครทำผิด
ซึ่งตรงนี้เขามองว่าระบบที่ดีที่สุดก็คือการที่มีผู้ถือสิทธิ์สูงสุดอย่างเพียงคนเดียว
ซึ่งก็คือระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์
สรุปก็คือแนวคิดของฮ็อบส์นั้นเป็นการมองมนุษย์ในแง่ที่เลวร้าย ซึ่งตรงกันข้ามกับของล็อกโดนสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ล็อกเป็นฝ่ายตีพิมพ์แนวคิดภายหลัง เขาได้อ่านแนวคิดของฮ็อบส์ก่อน
และถือว่างานเขียนของเขาก็มีส่วนที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของฮ็อบส์ โดยเขาหักล้างแนวคิดนี้ด้วยการมองโลกในแง่ดี
ล็อกมองว่าไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจบังคับเด็ดขาดมนุษย์ก็รู้จักที่จะรักษากฎเองได้
ต่างจากฮ็อบส์ที่ไม่คิดว่ามนุษย์จะสามารถรักษากฎเองได้หากไม่มีผู้ที่มีอำนาจคอยพิพากษา
เรื่องของทรัพย์สินและแรงงาน
นอกจากเรื่องธรรมชาติของมนุษย์แล้ว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวคิดของล็อกและฮ็อบส์ได้ผลสรุปออกมาต่างกันอีกอย่างก็คือแนวคิดในเรื่องของทรัพย์สิน
ตามแนวคิดของฮ็อบส์แล้ว เมื่อมนุษย์มีสิ่งที่อยากได้เหมือนกัน และทรัพยากรก็มีอยู่อย่างจำกัด ถ้าใครได้มาก
อีกคนก็ต้องได้น้อย จึงจำเป็นต้องแก่งแย่งกัน
ที่มองแบบนี้ก็เพราะว่าในสมัยนั้นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือที่ดิน
ซึ่งที่ดินบนโลกเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างเห็นได้ชัด ไม่สามารถเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้
อีกทั้งสมัยนั้นผลผลิตที่ได้ในพื้นที่ใดๆจะถือว่าเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินนั้นทั้งหมด การมีที่ดินจึงมีค่ามาก
และประชาชนชั้นล่างซึ่งไม่มีที่ดินจึงไม่มีสิทธิ์อะไรมาก
ในขณะที่ล็อกกลับมองว่า "แรงงาน" เป็นต้นทุนที่สำคัญของมนุษย์ มีค่ายิ่งกว่าที่ดิน
มนุษย์ที่ใช้แรงของตัวเองในการทำงานจะมีสิทธิ์ในการถือครอง
เช่นถ้าเราล่าหมูป่าได้แล้วเอามาแล่เนื้อ ก็ถือว่าเราได้ออกแรงแล้ว จึงมิสิทธิ์ที่จะครอบครองเนื้อที่ได้
หรือชาวนาที่ทำเกษตร ได้ทำการปลูกพืชและดูแลและเก็บเกี่ยวผลผลิต ดังนั้นผลผลิตได้จึงควรเป็นของชาวนา
สำหรับคนยุคเราอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่จริงล็อกเป็นคนแรกที่พูดถึงคุณค่าของแรงงานในลักษณะนี้ขึ้นมา
มองว่าแรงงานเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่าที่ดิน
มนุษย์ยิ่งทำงานก็จะยิ่งได้สิ่งตอบแทน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้กำลังต่อสู้แย่งชิงกัน แค่ตั้งใจทำงานก็ได้
และงานในที่นี้ก็มีอยู่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ล่าสัตว์หรือปลูกพืชซึ่งทำเพื่อดำรงชีวิต
เมื่อสังคมมีความมั่งคั่งแล้วมนุษย์ก็จะแสวงหาความสนุกในชีวิต สิ่งที่ทำให้คนมีความสุขได้ก็ล้วนมีค่าทั้งสิ้น
และมนุษย์ก็มีพลังที่จะสามารถคิดอะไรใหม่ๆขึ้นมาได้เรื่อยๆ
ดังนั้นทรัพย์สินที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์นั้นจึงยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้อย่างไม่จำกัด
แนวความคิดนี้อาจดูเลื่อนลอยในสมัยนั้น แต่เวลาผ่านไปก็เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้น
ซึ่งช่วยกระตุ้นให้แนวคิดของล็อกเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น
ทำไมทุกคนจึงควรมีสิทธิ์ออกเสียงเท่าเทียมกัน
นอกจากฮ็อบส์จะมีมองว่ามนุษย์โดยธรรมชาติแล้วจะต้องต่อสู้กัน
ก็ยังมองว่ามนุษย์แต่ละคนความสามารถไม่ได้ต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัดมาก
หมายความว่าคนที่อ่อนแอที่สุดก็สามารถฆ่าคนที่แข็งแกร่งได้ อาจจะด้วยการวางแผน หรือการรวมหัวกัน
ดังนั้นหากมีความขัดแย้งกันระหว่าง ๒ ฝ่ายขึ้น โดยทั่วไปแล้วฝ่ายที่มีจำนวนมากกว่าก็มักจะได้เปรียบ
หากเกิดเหตุการณ์ที่ความเห็นไม่ลงตัวกันแล้วตัดสินใจตามความเห็นของฝ่ายที่น้อยกว่า
ฝ่ายที่มากกว่าก็จะสามารถต่อต้านด้วยการต่อสู้ เพราะถือว่าคนมากได้เปรียบ สุดท้ายก็ชนะด้วยกำลังอยู่ดี
ในขณะที่ถ้ายอมตามคนหมู่มาก ทางฝ่ายที่คนน้อยกว่าถึงจะไม่พอใจก็ไม่อาจขัดขืนอะไรได้
นี่จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าเราจำเป็นจะต้องให้สิทธิ์กับทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ในฐานะไหนก็ตาม
ทำให้นำไปสู่ระบบเลือกตั้งที่ให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียง ๑ เสียงอย่างเท่าเทียมกัน
ประเทศอังกฤษหลังจากผ่านการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ปี 1688 ไปแล้ว ก็ค่อยๆวิวัฒนาการเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยทีละน้อย
เริ่มมีการเลือกตั้ง แม้ตอนแรกจะให้สิทธิ์แค่คนระดับสูง และเฉพาะผู้ชายเท่านั้น
แต่ว่าของเขตของคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแล้วก็ครอบคลุมคนทั้งประเทศ
แต่ยังไงก็ยังมีข้อยกเว้น นั่นคือเด็กที่ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์เลือกตั้ง เพราะถือว่ายังอาจไม่มีวิจารณญาณที่ดีพอ
ทุกประเทศเป็นเช่นนี้เหมือนกัน จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีประเทศไหนให้สิทธิ์เด็กเลือกตั้ง
แต่จริงๆแล้วคนที่ไม่มีวิจารณญาณดีพออาจจะไม่ใช่แค่เด็ก เพราะประชาชนส่วนมากเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีความรู้
การให้คนที่ไม่มีความรู้ได้เลือกตั้งอาจนำไปสู่การปกครองโดยคนโง่ได้
นี่จึงเป็นปัญหาของระบอบประชาธิปไตยที่ถูกพูดถึงกันมากเช่นกัน
เสียงของคนส่วนน้อยที่ถูกละเลย
อีกปัญหาหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่มักถูกกล่าวถึงกันมากก็คือ เมื่อมีการออกเสียงเพื่อโหวตเลือกอะไรก็ตาม
ความเห็นฝ่ายที่มีจำนวนมากก็จะถูกเลือก และความเห็นของฝ่ายส่วนน้อยก็จะถูกเพิกเฉยไปเลยทันที
จึงถูกมองว่านี่เป็นระบอบเผด็จการโดยคนหมู่มาก และทอดทิ้งคนส่วนน้อย
อย่างไรก็ตาม เป็นความจริงที่ว่าการจะให้ทุกคนเห็นพ้องตรงกันหมดนั้นเป็นไปได้ยาก จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องยอมสละส่วนน้อย
ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจทำอะไรได้
ตัวอย่างที่น่าสนใจที่น่าพูดถึงในเรื่องนี้ก็คือประเทศโปแลนด์
ในอดีตประเทศโปแลนด์เคยมีการประชุมที่มีกฎว่าทุกคนต้องเห็นด้วยไม่เช่นนั้นจะไม่ตัดสินใจทำอะไร
คือสมัยที่ก่อตั้งเป็น
ราชอาณาจักรโปแลนด์ (Królestwo Polskie) และต่อมารวมกับลิทัวเนีย กลายเป็น
เครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย (Królestwo Polskie i Wielkie Księstwo Litewskie)
ถือเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในยุคนั้น
เครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ปี 1648 แสดงเป็นพื้นที่สีชมพู
ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางซึ่งรวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของยูเครน
สมัยนั้นโปแลนด์ปกครองแบบสาธารณรัฐ เวลาจะตัดสินใจอะไรจะเรียกขุนนางของแต่ละท้องที่มาประชุม
โดยมีหลักการว่าถ้ามีแม้แต่คนเดียวที่ไม่เห็นด้วยก็จะไม่ตัดสิน
ปรากฏว่าระบบนี้ใช้งานได้ดี อย่างน้อยก็ตลอดช่วงที่
ราชวงศ์ยาเกียลลอน (Dynastia Jagiellonów, ปี 1386~1572)
ปกครองโปแลนด์อยู่ แต่นั่นเป็นเพราะโดยธรรมเนียมแล้วเมื่อมีคนที่แสดงความเห็นด้วยมากเกินครึ่ง
คนที่เหลือก็จะเกรงใจและไม่กล้าค้านอะไร ดังนั้นในทางปฏิบัติแล้วจึงไม่ต่างจากระบบเสียงข้างมาก
แต่พอถึงปลายศตวรรษที่ 16 ปัญหาของระบบนี้ก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็น
การที่หากมีคนไม่เห็นด้วยแค่คนเดียวก็ตัดสินใจทำอะไรไม่ได้
นั่นก็หมายความว่าถ้าหากสามารถเตี๊ยมกับผู้มีสิทธิ์ร่วมประชุมได้แม้แต่คนเดียวให้เขาช่วยออกความเห็นคัดค้านหัวชนฝา
สภาก็จะตัดสินอะไรไม่ได้ทันที
แล้วเหตุการณ์เช่นนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ ทำให้ระบบบริหารของโปแลนด์เป็นอัมพาต มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายในยุคหลัง
ถูกแทรกแซงจากประเทศรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ
และนำไปสู่การล่มสลายในที่สุด
นี่จึงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ยอมสละเสียงส่วนน้อยเลยก็จะเป็นปัญหากับส่วนรวม
ดังนั้นประชาธิปไตยจึงต้องตัดสินโดยคนส่วนมาก และต้องยอมละเลยคนส่วนน้อยไป
การเมืองที่ไม่มีการใช้กำลังแย่งชิงอำนาจ
โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ทุกคนก็รักตัวกลัวตาย แต่ในขณะเดียวกันก็รักอิสระด้วย บางครั้งต่อให้รู้ว่าขัดขืนแล้วอาจต้องเสี่ยงตาย
แต่เพื่อให้ได้อิสระแล้วก็ยอมเสี่ยง
ดังนั้นการผูกมัดผู้คนด้วยกำลังอำนาจ ไม่อาจทำให้ผู้มีอำนาจปลอดภัยแน่นอน
มนุษย์ที่อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการเมื่อจนตรอกมากๆก็อาจลุกฮือขึ้นใช้กำลัง ล้มล้างรัฐบาลได้ ตายเป็นตาย ดีกว่าต้องอยู่ต่อไปแบบไม่มีอิสระ
แต่ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ผู้นำมาจากการเลือกของประชาชน ผู้ปกครองจึงต้องเห็นแก่ประชาชน
และหากประชาชนไม่พอใจก็สามารถเปลี่ยนรัฐบาลใหม่หมดได้ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ ไม่จำเป็นจะต้องลุกฮือออกมาใช้กำลังต่อต้าน
ดังนั้นจึงทำให้บ้านเมืองยังคงอยู่ในความสงบได้ แม้จะขัดแย้งก็แย้งกันด้วยการโต้เถียงกัน ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ
นี่เป็นข้อดีที่เด่นชัดของประชาธิปไตย ยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ที่มนุษย์ทุกคนต่างต้องการสันติสุข
ยิ่งทำให้ระบอบประชาธิปไตยดูจะเป็นตัวเลือกที่ลงตัว
ประชาธิปไตยก็เหมือนกับศาสนา
ข้อดีของระบอบประชาธิปไตยดังที่กล่าวมาก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เป็นระบอบที่ใช้กันแพร่หลาย
แต่เหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือความกระตือรือร้นในการเผยแพร่ระบอบการปกครอง เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ในสมัยก่อน
มูลเหตุสำคัญเร่ิมมาจากช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ปี 1914~1918)
ช่วงแรกๆเป็นสงครามระหว่างฝ่ายมหาอำนาจกลางที่ประกอบไปด้วยเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ออตโตมัน (ตุรกี)
และฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ส่วนสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าร่วมกับฝ่ายไหนแต่วางตัวเป็นกลาง
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นคือ
วูดโรว์ วิลสัน (Woodrow Wilson, ปี 1856~1924)
ตอนนั้นได้รับเลือกตั้งเข้ามาเพราะนโยบาลที่จะวางตัวเป็นกลาง ไม่ให้ประชาชนต้องทำสงครามโดยไม่จำเป็น
อีกทั้งแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีพื้นเพมาจากคนอังกฤษเป็นหลัก แต่ก็มีผู้อพยพที่เป็นชาวเยอรมันอยู่เป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะประกาศสงครามกับฝ่ายไหนก็คงมีประชาชนที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้
แต่หลังจากที่รัสเซียถอนตัวออกจากฝ่ายสัมพันธมิตรไปกลางคันในปี 1917 ทำให้เหลือแค่อังกฤษกับฝรั่งเศสเป็นหลัก
และทั้งคู่ต่างก็เป็นประชาธิปไตย ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นประเทศจักรวรรดิที่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์
วิลสันมองว่าถ้าสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมด้วยนี่ก็จะกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศประชาธิปไตยกับประเทศจักรวรรดิโลกเก่า
จึงใช้เป็นเหตุผลในการเกลี้ยกล่อมให้ประชาชนยอมรับที่จะเข้าร่วมสงคราม ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี
ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ได้เข้าร่วมสงครามในช่วงท้าย แล้วฝ่ายสัมพันธมิตรก็ชนะสงครามได้สำเร็จ
จักรวรรดิต่างๆก็ล่มสลาย
วิลสันเองก็เป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัดด้วย
และธรรมชาติของชาวคริสต์คือชอบเผยแพร่แนวคิดของตัวเองโดยมองว่าเป็นหน้าที่ที่พระเจ้ามอบให้
เมื่อเห็นว่านโยบายสนับสนุนประชาธิปไตยนั้นได้ผลดี
จึงทำให้แนวทางของสหรัฐอเมริกาหลังจากนั้นกลายเป็นความพยายามที่จะเข้าแทรกแทรงเพื่อเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตย
นโยบายนี้เป็นเหตุให้สหรัฐอเมริกาต้องเข้าร่วมสงครามอีกหลายครั้ง
อย่างเช่นการตัดสินใจทำสงครามกับอิรักและอัฟกานิสถานในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช
ก็มีเรื่องการเผยแพร่ประชาธิปไตยเป็นข้ออ้าง
เนื่องจากการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน ทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบที่ใช้ทั่วไป
แล้วตอนนี้ความคิดที่ว่าต้องระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นจึงจะดีก็ครอบงำความคิดของคนจำนวนมาก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศเยอรมนี ซึ่งในอดีตมีบาดแผลจากการปกครองโดยนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่สองมาก่อน
รัฐธรรมนูญของเยอรมนีได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามแสดงความเห็นที่เป็นการทำลายประชาธิปไตย
และกำหนดไว้ว่าเยอรมนีจะต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยต่อไปตลาดกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้
ฉะนั้นแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยจึงถูกมองได้ว่าเป็นศาสนาแบบหนึ่ง ทั้งสามารถสร้างข้อผูกมัด สร้างศรัทธาอันแรงกล้า
ทั้งสามารถเข้าไปอยู่ในสามัญสำนึกของผู้คน
อย่างไรก็ตาม ศาสนาและความเชื่อเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
คงไม่อาจบอกได้ว่าระบอบประชาธิปไตยจะเป็นกระแสหลักไปตลอด
สังคมมนุษย์เดินมาถูกทางแล้วหรือเปล่า คงยากที่จะตอบได้ ได้แต่ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย