ตอนที่ ๕. ส่วนลึกของความรู้สึก (心の向こう)
.....................
ยูโกะไม่ได้อยู่ที่ห้องเรียน
สิ่งที่เห็นมีแต่ภาพของห้องเรียนที่สงบสุขตามปกติ แต่มองแค่จากภายนอกก็คงตัดสินไม่ได้ล่ะนะ
“ถ้าในห้องเรียนไม่อยู่....”
สถานที่ที่ยัยนั่นจะไปก็นึกออกอยู่แค่ที่เดียว
.........................
ดูเหมือนจะผิดคาด ประตูดาดฟ้ายังคงล็อกกุญแจอยู่
“....แปลกจัง”
ไปห้องน้ำหรือเปล่านะ หรือว่าอยู่ที่ห้องชมรมดาราศาสตร์ แต่ชมรมถูกยุบไปแล้วคงไม่น่าจะใช่ ตัวผมเองก็แทบจะไม่รู้เกี่ยวกับยูโกะเลยด้วย ไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่ายัยนั่นทำอะไรบ้าง
“ช่วยไม่ได้นะ...”
ที่ไม่รู้เพราะว่ามีไม่พอเลย ทั้งความคิด ทั้งเวลา ทั้งข้อมูล ไม่พอสักกะอย่าง
ถ้ายูโกะกำลังถูกแกล้งล่ะ เธอจะรับมือกับมันยังไงนะ ผมเองก็ไม่มีทางรู้ได้
“เฮ้อ.... หมดเวลาพักเที่ยงซะแล้วสิ”
.......................
จนถึงหลังเลิกเรียน ก็ยังไม่ได้เอารองเท้าไปคืนให้ยูโกะ
เอาเุถอะ ยัยนั่นน่าจะไปยืมรองเท้าแตะมาใส่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องรีบหรอก
“จะว่าไป ฮิมุระ”
“อะไร”
เสียงจากที่นั่งข้างๆ
“ทั้งที่ปกติก็ทำหน้าอย่างกับฆาตกรอยู่แล้ว วันนี้กลับดูหนักกว่าเก่าอีก”
“เดี๋ยวนี้นี่นายเริ่มสนใจแม้แต่หน้าของผู้ชายแ้ล้วเหรอ?”
“นายน่ะจริงจังกับเรื่องนั้นมากขนาดนี้เลยเหรอ?”
“หา? เรื่องนั้น?”
“คนที่บอกให้ไปคอยตรวจดูห้องนั้นก็คือนายเองไม่ใช่เหรอ”
คุเซะพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ
“อ้อ ลืมไปเลย ถ้าเรื่องนั้นละก็ ฉันได้เรื่องมาแล้วล่ะ”
ไอ้เรื่องเอารองเท้าไปซ่อนเนี่ย ดูเป็นการกระทำของเด็กๆจริงๆ แต่ปัญหาคือโรงเรียนนี้ไม่มีเด็กๆอยู่สักหน่อยนี่สิ
ต่อให้ยูโกะไปฟ้องก็คงจะได้คำตอบแค่ว่าเป็นการแกล้งกันเล่นๆไม่มีอะไร
“เดี๋ยวก่อน ถ้างั้นฉันล่ะ?”
“นายน่ะ่ ไม่เป็นไรหรอก”
“อะไรกันน่ะ ทั้งๆที่ฉันอุตส่าห์พยายามแทบตายแต่ทำไมถึง..”
“ความพยายามน่ะไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับการตอบแทนเสมอไปหรอกนะ การได้รู้จักถึงความเหงาของคนขึ้นมาบ้างมันก็ดีไม่ใช่เหรอ”
“นายเนี่ยน้า ไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ”
“ไม่อยากได้ยินแบบนี้จากปากคนอย่างนายเลยแฮะ”
ผมรีบตัดบทแล้วลุกขึ้นยืน
................................
ผมรู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วว่า ที่ชั้นของนักเรียนปี ๑ ถ้าเทียบกับชั้นของนักเรียนปี ๒ หรือ ๓ แล้ว ดูเหมือนจะครึกครื้นกว่ามาก
โอโตวะน่ะเป็นโรงเรียนชั้นนำในการศึกษาต่อ เพราะงั้นพวกที่จะมีเวลาเล่นสนุกได้อย่างสบายใจก็คงจะมีแต่นักเรียนปี ๑ เท่านั้นล่ะ
แต่ผมซึ่งต้องใช้ชีวิตอย่างเอาแต่เีรียนมาโดยตลอดน่ะไม่เคยได้มีช่วงเวลาที่เล่นสนุกแบบนั้นหรอก
“......................”
เกือบจะเดินผ่านห้อง 1-B ไปซะแล้ว
พอลองมาคิดดูแล้ว จะเข้าไปคืนรองเท้าให้ยูโกะยังไงดีล่ะ เข้าไปให้โดยตรงก็คงจะไม่ได้ หรือจะตะโกนให้ยูโกะออกมาก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย
ช่วยไม่ได้ คงต้องแอบดูอยู่อย่างนี้ไปจนกว่ายูโกะจะออกมาจากห้องล่ะนะ
...............................................
ผ่านไป ๒๐ นาที
ยูโกะยังไม่ออกมา
หรือว่าเผลอคลาดสายตาตอนเดินออกมาหรือเปล่านะ
ตะกี้ตอนที่เดินมาก็น่าจะเห็นยูโกะสักหน่อยสิน่า
“ช่วยไม่ได้นะ”
ผมพูดเช่นนั้นแล้วเดินไปยังห้อง 1-B
ในห้องตอนนี้ดูเงียบเหงา มีลมพัดจากหน้าต่างเข้ามาทำให้อากาศเย็นกว่าที่ระเบียง
ผมเริ่มก้าวเข้ามาในห้อง
“อ้าว?”
ยูโกะซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เพียงลำพังคนเดียวในห้องหันหน้ามามองผม
“รุ่นพี่ฮิมุระ เข้าผิดห้องหรือเปล่าคะ?”
“ยังจะพูดแบบนี้อีกเหรอ มาทำอะไรอยู่คนเดียวน่ะ”
“เด็กสาวที่อยู่ลำพังในห้องคนเดียวหลังเลิกเรียน ดูเข้าซีนดีใช่มั้ยล่ะคะ?”
ยูโกะยิ้มขึ้น
“ไอ้ซีนแบบนั้นน่ะไม่เห็นจะดูน่าสนใจตรงไหนเลย”
ผมพูดอย่างเย็นชา พลางเปิดถุงพลาสติกออกแล้วโยนรองเท้าลงบนพื้น
“อ๊ะ.......”
เธอจ้องไปที่รองเท้า จากนั้นก็หันมา
“ว่าแล้วเชียว รุ่นพี่ฮิมุระเป็นคนเอาไปจริงๆด้วยสินะคะ.....”
“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่! ยังจะมาพูดอีก!”
“ล้อเล่นน่ะค่ะ”
“จริงๆเลยนะ เธอเนี่ย”
ยูโกะหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าใส่เดินในอาคาร
“ว้าว ใส่ได้พอดีเลย แบบนี้ก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายแล้วสินะคะ”
“ดูเหมือนจะเรียกคนที่รอแต่จะให้ใครสักคนมาสร้างความสุขให้โดยไม่คิดทำอะไรด้วยตัวเองว่าซินเดอเรลล่าคอมเพลกซ์งั้นสินะ”
“เอ๋ รุ่นพี่ฮิมุระเนี่ย รอบรู้จังเลยนะคะ”
ผมเริ่มระอากับท่าทีกวนประสาทของยูโกะ
ทันใดนั้นผมก็เริ่มสังเกตว่ามีหนังสือเรียนวางกองอยู่ที่โต๊ะของยูโกะ
“อะไรน่ะ สัปหงกตอนเรียนเหรอ”
ผมเปิดหน้าหนังสืออย่างผ่านๆไม่ได้สนใจอะไร
“.............เฮ้ย”
“มีอะไรน่าสนใจหรือคะ?”
ยูโกะยังคงยิ้มอยู่ แต่ว่านี่มันไม่ใ่ช่เรื่องเล่นๆแล้ว
ตามหน้าหนังสือนั้นเต็มไปด้วยตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ที่เีขียนด้วยปากกาเมจิกสีแดงและดำอยู่เต็มไปหมด
“นี่มันบ้าอะไรกันน่ะ.......”
“พูดจาไม่ดีอีกแล้วนะคะ ไม่ค่อยต่างไปจากเมื่อก่อนเลย”
“ยังจะมามัวใจเย็นอะไรอยู่อีกล่ะ เธอน่ะ”
ทำไมผมถึงต้องทำท่าโกรธยูโกะด้วยนะ
“บ้าหรือเปล่านะ เธอน่ะ”
ผมปิดหนังสืออย่างแรง
ถ้ายังขืนดูมากกว่านี้ต่อไปละก็ ผมอาจรู้ึสึกอยากฉีกหน้งสือทิ้งขึ้นมาก็ได้
“แปลกนะคะ”
“หา?”
ผมเผลอขึ้นเสียงออกไปโดยไม่ตั้งใจซะแล้ว ยูโกะได้แต่ยิ้มรับ
“ทำไมรุ่นพี่ฮิมุระถึงต้องโกรธด้วยล่ะคะ? หรือว่าจะ...หลงรักฉันเข้าแล้วสินะคะ”
“ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาฟังคำล้อเล่นของเธอหรอกนะ”
“สำหรับฉันแล้วนี่ก็เป็นเรื่องปกติแหละค่ะ ก็แค่ล้อเล่นกันเท่านั้นเอง”
“เรื่องปกติงั้นเหรอ.........?”
ดูจะเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เลย
ผมเองก็คิดว่านี่ไม่น่าจะใช่ครั้งแรก มันเป็นอย่างงั้นจริงๆสินะ
“มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากขนาดนั้นหรอกค่ะ ถ้าจะว่าไปแล้ว เป็นแค่การแกล้งระดับปานกลางเท่านั้น”
ยูโกะยังคงทำท่าเหมือนไม่มีอะไร
“ขนาดแค่ระดับปานกลางยังขนาดนี้ี้เลยนี่นะ”
เหนื่อยใจจริงๆ
“เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ยูโกะหันหน้ามองออกไปทางอื่นแล้วเริ่มทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่
“ถ้าแบบนี้ละก็เมื่อเร็วๆนี้เองค่ะ แต่ก็ถูกเมินมาตั้งแต่เข้าโรงเรียนมาแล้ว”
“ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?”
“แค่พลาดโอกาสที่จะหาเพื่อนไปนิดหน่อย ก็เลยเป็นผลมาจนถึงตอนนี้น่ะค่ะ”
“ตอนที่เริ่มถูกแกล้งครั้งแรกก็หลังจากช่วงเปลี่ยนเสื้อผ้าตามฤดูน่ะค่ะ”
อาจเพราะแต่งตัวแบบนี้อยู่คนเดียว ก็เลยทำให้โดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษก็ได้
“ถูกคนพูดกันว่าน่ารำคาญหรือไม่ก็ดูเหมือนกับแม่มด ทีแรกก็ยังมีคนที่พอจะคุยด้วยอยู่บ้าง แต่ถึงตอนนี้กลับต้องรู้สึกว้าเหว่อยู่คนเดียวในห้อง”
“แต่ว่า ทำไมมันพัฒนามาจนถึงขั้นแกล้งกันเลยล่ะ”
ยูโกะทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
“ไม่รู้สิคะ บางทีพวกเขาอาจจะมีช่วงเวลาที่กลุ้มใจหรือท้อแท้ เลยอยากมาระบายความเครียดบ้าง
แล้วเด็กผู้หญิงที่ดูโดดเดี่ยวไม่มีใครอย่างฉัน ก็คงดูเหมือนว่าเหมาะจะเป็นกระสอบทรายมากที่สุดล่ะมั้งใช่มั้ยล่ะคะ”
พูดออกมาได้ราวกับว่าเป็นเรื่องของคนอื่นงั้นล่ะ
ทั้งที่ถึงจะบอกว่าเป็นการแกล้งแบบเด็กๆ แต่ก็ไม่ใช่ระดับที่จะปล่อยไว้ได้แท้ๆเลย
......................
ไร้สาระน่ะ ก็แค่เรื่องธรรมดา
แน่นอนว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยสักนิด
ต่อให้ยูโกะจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมควรจะเข้าไปยุ่งด้วยเลย
-“ฉันจะลบความทรงจำที่แสนเศร้าของคุณออกไปเอง”-
ผมไม่เชื่อคำคำนั้นหรอก
ที่ว่าไม่ให้ไปนึกถึงเด็กที่ตายไป
..ต่อให้มัวกลุ้มใจกับเรื่องที่ไม่อาจคืนมาได้ไปก็ไม่มีประโยชน์..
เรื่องแค่นั้นไม่ว่าใครก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
ทั้งที่รู้อย่างงั้นแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงมัน
คนที่พูดแบบนั้นออกมาได้ บางทีอาจจะไม่รู้ถึงความเศร้าของการที่ต้องเสียคนใกล้ตัวไป หรือไม่ก็คงจะต้องเืลือดเย็น
“รุ่นพี่ฮิมุระ ขอโทษที่ให้คอยค่ะ!”
แม้จะได้ยินเสียงของยูโกะ แต่ผมก็ไม่ได้หันไป
ถ้าอากาเนะยังอยู่ละก็ ป่านนี้จะเป็นเด็กแบบไหนกันนะ พอมองยูโกะที่อายุเท่ากับอากาเนะ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้จริงๆ
อย่าว่าแต่ยูโกะจะลบความทรงจำนั้นออกไปเลย ยังกลับทำให้มันชัดขึ้นกว่าเดิมซะอีก
“ฮะ? เป็นอะไรไปหรือคะ ทำหน้าน่ากลัวแบบนั้น”
“ฉันก็เป็นอย่างงี้อยู่แล้วล่ะน่ะ”
ผมพูดอย่างไม่สนใจ เดินผ่านหน้ายูโกะไป
ยังไงผมไม่ชอบตัวเองตอนที่ทำดีกับยูโกะเลย จึงไม่กล้าที่จะสบตา
“.......? มัวทำอะไรอยู่น่ะ กลับด้วยกันสิ...”
ยูโกะไม่มีทีท่าว่าจะตามมา ผมเลยต้องหันกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
“นั่นมันอะไรกันน่ะ”
“ดูท่าจะโกรธแค้นรองเท้าฉันมากเลยนะคะ”
ยูโกะถือรองเท้าที่มีสภาพขาดรุ่งริ่งไว้ในมือแล้วพูดออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่เท้ายังคงใส่รองเท้าสำหรับใส่ในอาคารอยู่
“เอามานี่”
ผมรีบดึงรองเท้าออกมาจากมือยูโกะโดยไม่รอคำตอบ
“ขาดรุ่งริ่งเลย ของมีคมสินะ”
“คงไ่ม่มีใครที่ทำให้ขาดแบบนั้นได้ด้วยมือเปล่าหรอกค่ะ ถ้ามีจริงๆละก็ อยากจะให้ลองทำให้ดูสักครั้งเหมือนกันนะคะ”
ยัยนี่ ยังจะหัวเราะอีก
“ไปกันเถอะ”
“คะ? ไปที่ไหนหรือคะ?”
“ตะกี้เธอพูดว่า พวกเขาคงจะเก็บความเครียดไว้ งั้นสินะ แสดงว่าคงพอจะรู้ตัวคนร้ายอยู่แล้วสินะ”
“แหะๆ เผลอหลุดคำต่อหน้ารุ่นพี่ไม่ได้เลยจริงๆสินะคะ”
ยูโกะยังคงหัวเราะต่อไป
“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละค่ะ”
“ไม่ได้หรอก มันชักจะเกินไปแล้ว"
“แต่ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่รุ่นพี่จะต้องมาโกรธนี่คะ ทำไมถึงต้องคิดมากขนาดนี้ด้วยล่ะคะ?”
ผมจ้องหน้ายูโกะ
“ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่ชั่วร้ายไงล่ะ”
ถ้ายอมปล่อยเรื่องชั่วร้ายแบบนี้ไปละก็ เราเองก็ไม่ต่างอะไรกับคนพวกนั้นหรอก
บางทีผมอาจจะกำลังคิดเช่นนั้นอยู่
“ฮะๆ ระดับแบบนี้มันก็ดูน่ารักดีนะคะ”
“พูดแบบนี้เธอใช้อะไรมาเป็นเกณฑ์น่ะ”
ผมพยายามห้ามใจไ่ม่ให้โกรธแล้วถามออกไป
ถ้าถึงขั้นอุตส่าห์ใช้ของมีคมแบบนี้ละก็ ต่อให้เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างผมก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา
หลังจากยูโกะหยุดคิดสักพักนึงก็เริ่มพูดออกมาอีก
“เพราะว่า... มนุษย์น่ะ ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่คะ?”
พอเธอได้รับรองเท้าที่ผมส่งคืนให้แล้ว เธอก็เริ่มเดินออกไปอย่างช้าๆ
ไม่ชอบให้ใครมาเห็นใจงั้นสินะ
หรือไม่ก็คงจะไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ
อ่านใจของยูโกะไม่ออกเลยจริงๆ
รู้สึกได้แค่ใจของตัวเองเท่านั้นเอง
แค่รู้สึกโกรธคนที่มุ่งร้ายต่อยูโกะ
“อ๊ะ จริงสิ”
จู่ๆเธอหยุดยืนแล้วหันมา
ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับกำลังมีแผนอะไรสักอย่างอยู่ในใจ
“รุ่นพี่คะ มีเรื่องจะรบกวนนิดหน่อยน่ะค่ะ”
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ