[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๓ ม่าน (幕)
>> กลับไปตอนที่ ๒
คุณแม่กำลังทำท่าดีใจแปลกๆแล้วค่อยๆเดินเข้ามาหาผม ในมือถืออะไรบางอย่างที่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่ในมือ
“สุดยอดเลยนะ โลกนี้มันสุดยอดจริงๆ!”
“อะไรเหรอ แม่?”
จากนั้นคุณแม่ก็หยิบของรูปทรงสี่เหลี่ยมนั้นขึ้นมาให้ผมดูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข
“อะไรน่ะ? แค่เครื่องคิดเลขไม่ใช่เหรอ?”
“โห ถูกจัง”
“อะไรกัน ท่าทางแบบนั้น น่าจะทำท่าตกใจอย่างเต็มที่กว่านี้หน่อยนะ”
“เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ หิวแล้วล่ะ ข้าวยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”
“เป็นเด็กที่ไม่มีอารมณ์ร่วมเอาซะเลย แม่ล่ะเสียใจจริงๆ”
“ช่างเถอะ ขอข้าว”
“เห็นแบบนี้ ชักเป็นห่วงแล้วสิว่าจะเข้ากับคนอื่นเขาได้มั้ยนะ”
แม่พูดขณะที่กำลังเดินไปยังห้องครัว จากนั้นในตอนที่จุดเตาขึ้น ก็เกิดแปลวไฟขนาดใหญ่ตลบอบอวนขึ้นมา
“แม่!?”
เปลวไฟได้กลืนคุณแม่เข้าไป แม้ว่าผมจะพยายามยื่นมือเข้าไปเท่าไหร่ ก็ไม่อาจเอื้อมไปถึงได้
“แม่! แม่!!”
เปลวไฟได้แผ่ขยายออกไปราวกับจะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างให้วอดวาย จากนั้นก็เริ่มเข้ามาปกคลุมรอบตัวผม
“อ๊าก!?”
พอรู้สึกตัวอีกที ภาพที่เห็นก็เป็นห้องนอนในยามเช้าที่คุ้นเคย เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา ๗ โมงเช้า
“ฝั้นงั้นเหรอ”
พอพบว่าตัวเองอยู่บนที่นอนก็รู้สึกโล่งอก รู้สึกเหนื่อยหมดแรงไปเพราะภาพความฝันที่เห็นคุณแม่ถูกเผาไหม้ไปกับเปลวเพลิงแบบนี้อีกแล้ว ทุกคืนที่ผมจะต้องฝันเห็นคุณแม่ปรากฏตัวขึ้น แล้วก็หายไปกับเปลวเพลิง เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
“เอาล่ะ ได้เวลาต้องรีบตื่นแล้ว”
ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้อง
--------------------
“อรุณสวัสดิ์ ซายะซัง”
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ วันนี้เป็นไงบ้างคะ ยังคงฝันเหมือนเดิมอยู่อีกหรือเปล่า?”
“อื้อ เช่นเดียวกับที่ผ่านมา”
“งั้นหรือคะ”
ซายะซังดูมีสีหน้าที่ไม่สบายใจขึ้นมา พอเห็นแบบนี้แล้วผมก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ที่สำคัญ อาหารเช้ายังไม่เสร็จหรือครับ?”
“อ๋อ ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะจ้ะ รออีกแป๊บนึงนะ”
จากนั้นผมก็ไปล้างมือ พอกลับมาอีกทีก็เห็นซายะซังเตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ว่าแต่ มากินะล่ะ?”
“อ้าว? ยังอีกหรือนี่? ปกติเวลานี้ทุกทีน่าจะตื่นแล้วนี่นา ช่วยไม่ได้ เดี๋ยวฉันจะไปปลุกเอง”
“อ่อ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปเอง”
--------------------
“มากินะ ตื่นหรือยัง?”
“หือ... ท่านพี่”
พอเข้ามาก็เห็นสภาพมากินะกำลังนอนห่อตัวอยู่ ดูเหมือนกับจะยังนอนอยู่จนถึงป่านนี้ แต่ได้ยินเสียงแบบนี้แล้วแสดงว่าน่าจะตื่นแล้ว
“ท่านพี่ ขาของมากินะ ยังอยู่ดีหรือเปล่า?”
“อื้อ ยังอยู่ดีทั้งสองข้างเลยล่ะ”
“แล้วดูเป็นไงบ้าง? สมบูรณ์ดีมั้ย? น่าจะขยับได้หรือเปล่า?”
“เท่าที่ดูก็สมบูรณ์ดีนี่ ส่วนเรื่องขยับได้หรือเปล่านี่เจ้าตัวน่าจะดีที่สุดนะ”
“อื้อ นั่นสินะ”
จากนั้นมากินะก็ค่อยๆเริ่มขยับขาขึ้นอย่างกลัวๆ พอขยับอยู่สักพักจนแน่ใจแล้ว ในที่สุดก็ลุกขึ้นลงจากเตียง
“ดูเหมือนจะขยับได้สินะ”
“อื้อ ขยับได้แล้ว ดีจังเลย”
“เห็นถามอะไรแปลกๆแบบนี้เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ฝันร้ายหรือยังไง?”
“อื้อ เมื่อคืนตอนนอนน่ะ ขามันปวดแปล๊บๆจนแทบจะหมดความรู้สึกไปเลยล่ะ”
ผลจากการให้นั่งทำโทษเป็นเวลานานสินะ ความรู้สึกนี้เข้าใจดีเลยล่ะ
“เพราะงั้นแล้ว เลยกลัวว่าตอนเช้าถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเท้าขยับไม่ได้เลยจะทำยังไงดี”
“เท่าที่ดูก็ขยับได้คล่อง ไม่เห็นมีอาการชาอะไรนี่ ยังอยู่ดีพร้อมใช่มั้ยล่ะ”
“อื้อ ค่อยโล่งอกหน่อย”
“งั้นก็รีบทำใจให้สบายแล้วไปทานข้าวกันได้แล้ว”
“อื้อ ทานข้าว~!”
จากนั้นมากินะก็ดูร่าเริงขึ้นมา ผมเองก็เดินออกจากห้องกลับไปยังห้องรับแขก
--------------------
หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็เดินออกมากันสองคน
“ท่านพี่ วันนี้ก็มีงานพิเศษอีกแล้วสินะ”
“อื้อใช่”
“งั้นก็คงจะกลับช้าอีกแล้วเหรอ?”
“ก็ต้องเป็นงั้นแหละ แต่จะพยายามกลับให้เร็วที่สุดละกัน”
“มากินะจะรอท่านพี่อยู่ที่บ้านนะ”
“ห้ามออกมารับคนเดียวแบบเมื่อวานอีกนะ”
พอพูดคำนี้ขึ้น มากินะก็มีอาการตกใจสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็กลับมายิ้มอย่างรวดเร็ว
จากนั้นมากินะก็เดินเข้าไปใกล้แมวข้างถนน แต่เจ้าแมวตัวนั้นก็ตกใจและรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“อยู่ดีๆวิ่งเข้าไปแบบนั้น แมวมันก็ต้องหนีเป็นธรรมดาสิ”
“ท่านพี่ ท่านพี่! งั้นเรามาเลี้ยงแมวกัน ถ้าเลี้ยงไว้ที่บ้านละก็จะได้ไม่หนีไง”
“บอกกี่ทีแล้ว ว่าที่บ้านเลี้ยงสัตว์ไม่ได้”
เรื่องนี้มากินะเคยขอมาหลายครั้งแล้ว แต่น่าเสียดายที่บ้านเราเป็นห้องเช่า ดังนั้นจึงถูกห้ามไม่ให้เลี้ยงสัตว์
มากินะเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
“ไม่ว่าจะพูดกี่ทีก็ไม่ได้หรอก ที่สำคัญรีบไปเถอะ เดี๋ยวจะสายเอานะ
“อื้อ”
“แล้วก็อย่าไปหลับในห้องเรียนล่ะ”
“มากินะน่ะไม่ทำแบบนั้นหรอก~”
มากินะพูดพลางวิ่งไกลออกไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นมาโดกะก็เดินเข้ามาพอดี
“อรุณสวัสดิ์ ฟุชิมิคุง”
“ไง อรุณสวัสดิ์”
“ตะกี้นี้มากินะจังนี่นา ยังคงดูร่าเริงเหมือนอย่างเคยนะ”
จากนั้นเราก็เดินไปโรงเรียนด้วยกัน
--------------------
“ไง”
“อื้อ”
เมื่อมาถึงก็เห็นฮิซาชิมีท่าทีประหลาดไปจากทุกที
“อรุณสวัสดิ์ คาโมะคุง”
“อรุณสวัสดิ์ มาโดกะจัง”
ฮิซาชิทักมาโดกะตอบแล้วก็เงียบอยู่แค่นั้น แถมยังคงจ้องไปทางประตูด้วยสีหน้าจริงจัง
“เป็นอะไรไปน่ะ ทำหน้าดูจริงจังเชียว”
“ดูไม่สมกับเป็นคาโมะคุงอย่างทุกทีเลยนะ”
“นี่เป็นการดวล”
“ดวล? กับใครกันน่ะ?”
ก่อนที่จะได้ทันตอบคำถามนั้น ตาของฮิซาชิก็ลุกโตขึ้นมา
“มาแล้ว”
“หมายถึงใคร?”
ผมถามขึ้นอย่างสงสัย
“คู่ต่อสู้น่ะ”
สักพักประตูห้องก็ได้เปิดขึ้น และในจังหวะเดียวกันนั้นฮิซาชิก็เริ่มขยับตัวขึ้น โน้มตัวต่ำลงและวิ่งพุ่งตรงเข้าไปยังเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังเดินเข้าห้องมา
ฮิซาชิตะโกนขึ้น และใช้มือซ้ายแทงพุ่งไปราวกับจะแหวกอากาศออก แต่ว่าปลายนิ้วนั้นก็ไม่แม้แต่จะสำผัสโดนปลายกระโปรงของคู่ต่อสู้ โคโนะโค้งบิดตัวหลบฝ่ามืออสูรไปได้ จากนั้นก็ย่อตัวลงแล้วคว้าไหล่ของฮิซาชิเหวี่ยงลอยขึ้นเหนือศีรษะ
“หวา!”
จากนั้นก็ได้อาศัยจังหวะที่ฮิซาชิลองค้างอยู่นั้นอัดหมัดตรงเข้าไป จากนั้นก็เดินขึ้นหน้าไปอีกก้าวแล้วใช้หลังพุ่งชน
“อ๊อก!”
เป็นการโจมตีที่สั่นคลอนแม้แต่อากาศโดยรอบ ร่างของฮิซาชิก็ปลิวไปชนอัดกับกำแพงอย่างแรง เพิ่งเคยเห็นคอมโบกลางอากาศแบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นคนบินได้ซะด้วยสิ
ฮิซาชิพยายามฝืนยกมือขึ้นยื่นหันไปทางโคโนะ แต่แล้วมือข้างนั้นก็หมดกำลังและพรึบตกลงมา โคโนะไม่ได้สนใจอะไร แต่ค่อยๆเดินตรงเข้าไปที่นั่งของตัวเอง
“...ยังมีชีวิตอยู่สินะ”
ผมถามขึ้น
“...แพ้ซะแล้ว”
พอเห็นว่าไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว ผมก็เดินไปทางโคโนะ
“ไง อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”
“โทษทีนะ ที่ไม่สามารถหยุดหมอนั่นมันได้”
“ไม่เป็นไร สบายมาก”
เท่าที่เห็นก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆล่ะนะ
“วันนี้จังหวะดีกว่าเมื่อวาน”
“แล้วของวันนี้นี่คือ?”
“←P+↓↓P+PK คอมโบต่อเนื่องสามชั้น”
โคโนะพูดขึ้นพลางหยิบหนังสือให้ดูอีกครั้ง เมื่อวานบอกว่าไม่ได้สนใจเกมต่อสู้ไม่ใช่หรือไง แบบนี้ดูยังไงก็เหมือนสนใจชัดๆเลยไม่ใช่หรือนี่
“ท่าทลายเขาไท่ซานสุดตระการแปดวิถีวชิระแห่งสำนักนัทสึกิ”
“อะไรกันน่ะ ไอ้ชื่อเว่อๆนี่?”
“เพิ่งคิดได้เมื่อครู่ เป็นต้นตำรับ”
น้ำเสียงตอบแบบเฉยๆ แต่ให้ความรู้สึกเหมือนกับเจ้าตัวกำลังรู้สึกภูมิใจในตัวเองอยู่ยังไงยังงั้น
“นี่ ชอบเกมต่อสู้งั้นเหรอ?”
“......เปล่านี่”
ดูยังไงก็สนใจชัดๆเลย ยิ่งกว่าเมื่อวานอีก
“งั้นเราขอกลับที่ตัวเองก่อนนะ ยังไงก็อย่าอ่านในคาบเรียนล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง”
จากนั้นออดเข้าเรียนก็ดังขึ้น
--------------------
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว ทุกคนต่างเก็บอุปกรณ์การเรียนเข้ากระเป๋าและเตรียมตัวกลับบ้านกัน
จากนั้นผมก็มองไปยังโนมิยะซังซึ่งยังคงได้รับความนิยมเหมือนอย่างเช่นเคย
“โนมิยะซังเนี่ย หัวดีจังเลยนะ”
เสียงคายาบุกิซังพูดขึ้น
“งั้นจริงเหรอ? แต่เราเองก็ไม่เคยคิดแบบนั้นหรอกนะ”
“หรือว่าที่ที่เคยเรียนอยู่มาก่อนหน้านี้เนี่ยเขาเรียนไปไกลกว่างั้นเหรอ?”
“ที่จริงก็ ประมาณนั้นล่ะ”
โนมิยะซังยังคงคุยตอบด้วยเสียงที่ดูสดใสเช่นเคย พอเห็นแบบนี้แล้ว บางทีที่ผมเห็นเมื่อเช้าของเมื่อวานนี้อาจจะเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้นก็ได้ ทั้งเข้ากับคนอื่นได้ดี เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส โต้ตอบด้วยสายตาไมตรีแบบนี้ ดูยังไงก็ต่างจากภาพของเด็กสาวจอมหลงทางที่มีท่าทีก้าวร้าว สายตาแข็งกร้าว พูดจาด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่เห็นเมื่อวาน
แล้วยิ่งเธอตอนนี้รายล้อมไปด้วยเพื่อนร่วมชั้นตลอดเวลาแบบนี้ บางทีอาจจะยังไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผมเองก็เรียนอยู่ห้องนี้ด้วยเหมือนกัน แต่จะให้ไปถามเจ้าตัวตรงๆก็รู้สึกกลัวยังไงไม่รู้สิ ที่สำคัญอยากลองดูเหมือนกันว่าเมื่อไหร่เธอจะสังเกตเห็นผม ลองเฝ้าสังเกตไปเรื่อยๆแบบนี้จนกว่าจะรู้สึกตัวเองก็น่าสนุกดีเหมือนกัน
“ฟุชิมิคุง วันนี้ก็ต้องไปทำงานเหรอ?”
มาโดกะทักขึ้น
“อื้อ ว่าแต่จะกลับกันหรือยังล่ะ?”
“อ่อ งั้นรีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวฟุชิมิคุงจะไปทำงานสาย”
“อ้าว จะกลับกันแล้วเหรอ ถ้างั้นก็...”
ฮิซาชิพูดขัดขึ้น จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พูดตะโกนเสียงดังออกมา
“โนมิยะซัง กลับบ้านด้วยกันมั้ยครับ?”
สิ้นเสียง ทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ทุกคนต่างหันสายตาจับจ้องมาทางฮิซาชิ โนมิยะซังก็เช่นกัน พอหลังจากที่ตกใจหันมามองฮิซาชิแล้ว ก็หันมาสังเกตเห็นผมซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างๆ
“............”
พอเห็นหน้าผม โนมิยะซังก็มีท่าทีตกใจขึ้นมาทันที ว่าแล้วเชียว เพิ่งรู้สึกตัวหรือนี่
“ขอตัวแป๊บนึงนะ”
โนมิยะซังพูดกับเพื่อนที่กำลังคุยอยู่ข้างๆ จากนั้นก็เดินเข้ามาหาผม
“ขอเวลาแป๊บนึงได้มั้ย? มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยน่ะ”
“อะ อืม...”
“ช่วยมาทางนี้หน่อยนะ”
“โทษนะ เดี๋ยวมา”
ผมพูดกับมาโดกะและฮิซาชิ จากนั้นก็เดินตามโนมิยะซังออกไปทางระเบียง
--------------------
พอออกมาจากห้อง เธอก็มีท่าทีต่างออกไป กลับมาเป็นสายตาเย็นชาอย่างที่เคยเห็นเมื่อตอนนั้น ว่าแล้ว ยังไงก็คนเดียวกันจริงๆด้วย
“ทำไมน่ะเหรอ เมื่อวานก็พูดไปแล้วนี่ เราเองก็เรียนอยู่โรงเรียนโอริเบะนี่เหมือนกัน”
“แล้วทำไมต้องเป็นห้องนี้ด้วยล่ะ”
“เดี๋ยวสิ นี่มันก็ห้องเราด้วยเหมือนกันนะ”
“ตั้งแต่ทีแรกแล้วทำไมถึงจะต้องเป็นโรงเรียนนี้ด้วยนะ ถ้าย้ายมาโรงเรียนอื่นเสียแต่ทีแรกก็คงไม่มีปัญหาแล้วแท้ๆ”
ดูเหมือนเธอกำลังโทษอะไรไปเรื่อยเปื่อยเลยแฮะ
“แล้วทำไมจนป่านนี้ถึงไม่เห็นเคยเข้ามาคุยเลยล่ะ”
“ก็เพราะท่าทีที่เห็นนั้นมันต่างจากที่เจอกันตอนแรกเลยน่ะสิ พอเห็นแบบนั้นแล้วเลยคิดว่าอาจมีอะไรบางอย่าง เลยคิดว่ายังไม่รีบเข้าไปคุยด้วยจะดีกว่า”
“แค่นั้นเองน่ะเหรอ?”
“อีกอย่างคือ มองเฉยๆไปเรื่อยๆมันก็น่าสนุกดีออกน่ะ”
“หนวกหูน่ะ เธอเนี่ยนิสัยแย่กว่าที่คิดอีกนะ”
พอพูดความจริงออกไปแล้ว โนมิยะซังก็หน้าแดงขึ้นแล้วหันมาจ้องหน้าผม ไม่รู้ว่าเพราะว่าหน้าแดงอยู่หรือเปล่า ทั้งที่จ้องแบบนี้อยู่แต่กลับไม่รู้สึกน่ากลัวเลย
“งั้นเหรอ? แล้วก็นะ เราน่ะชื่อฟุชิมิ โทวยะ”
“...... หืม? ฟุชิมิ โทวยะ?”
“อื้อ นั่นคือชื่อของเรา ทำไมเหรอ?”
“ฟุชิมิ โทวยะ ฟุชิมิ โทวยะ... แต่ว่า... หรือว่า...”
“เป็นอะไรไปเหรอ อยู่ดีๆ?”
“นี่ เธอน่ะ”
“บอกแล้วไงว่าชื่อฟุชิมิ โทวยะ”
ทีตัวเองยังบอกว่าไม่ชอบให้คนอื่นเรียกแบบนั้นเลย อุตส่าห์บอกชื่อแล้วแท้ๆ *
“อื้อ เอาเถอะ งั้นเรียกว่าฟุชิมิคุงละกัน! ที่สำคัญคือตอนนั้นมีบอกว่ารู้สึกเหมือนเมื่อก่อนเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนงั้นสินะ”
“ก็จำไม่ค่อยได้หรอกนะว่าเคยเจอกันที่ไหนน่ะ”
“เรื่องนั้น... หรือว่า...”
“นี่...”
ขณะที่โนมิยะซังกำลังจะพูดอะไรขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงฮิซาชิดังขึ้น จากนั้นก็เห็นฮิซาชิกับมาโดกะกำลังเดินมาจากอีกด้านของทางเดิน
“อะไร? มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ฟุชิมิคุง ถ้าไม่รีบไปละก็เดี๋ยวจะไปทำงานสายเอานะ กระเป๋าเราถือมาให้แล้ว คงไม่ว่าอะไรนะ?”
“แย่แล้ว ลืมไปเลย!”
พอดูนาฬิกาแล้วก็รู้ว่าใกล้เวลาเต็มทีแล้ว ถ้ายังมัวคุยกับโนมิยะซังต่อไปอาจได้ไปสายแน่
“ขอบใจนะ มาโดกะ”
จากนั้นผมก็รับกระเป๋าจากมาโดกะ และก็หันไปบอกลาโนมิยะซัง
“โทษที เราต้องไปก่อนล่ะ”
“กำลังจะกลับกันแล้วเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเราขอกลับด้วยได้มั้ย”
“เอ๋!?”
พอกลับมาอยู่ต่อหน้าคนอื่น เธอก็เปลี่ยนโหมดน้ำเสียงและท่าทีกลับมาเป็นร่าเริงสดใสทันที
“หรือว่า ไม่อยากให้เรากลับด้วยหรือเปล่า?”
“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะครับ”
ฮิซาชิรีบพูดแทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทีอย่างนี้ล่ะไวเชียวนะ
“อื้อ กลับด้วยกันนะ”
มาโดกะพูดขึ้น จากนั้นพวกเราก็เดินกลับบ้านด้วยกันสี่ คน
====================
* คนญี่ปุ่นโดยปกติแล้วจะชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองด้วยชื่อ(หรือนามสกุล) ไม่ชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองด้วยสรรพนาม โดยเฉพาะคำว่าอานาตะ(あなた) ซึ่งเป็นคำที่มักเอาไว้เรียกคู่สนทนาที่เพิ่งรู้จัก มักให้ความรู้สึกห่างเหิน บางครั้งการใช้สรรพนามกับคนที่รู้ชื่อแล้วถือเป็นการเสียมารยาท
--------------------
รวมศัพท์ท้ายตอน
四角い しかくい สี่เหลี่ยม
巻き起こす まきおこす พัดจนฟุ้งตลบหรือปลิวว่อน,ทำให้ฮือฮาขึ้นมา,ก่อให้เกิด
脱力 だつりょく เหนื่อยอ่อน,หมดแรง
当初 とうしょ ตอนเริ่มแรก,ในระยะแรก
逃亡 とうぼう การหลบหนี,การหนีคดี
魔手 ましゅ เงื้อมมือของปีศาจ
仰々しい ぎょうぎょうしい พูดเกินความจริง
方向音痴 ほうこうおんち ผู้ที่มักสับสนในเรื่องทิศทาง
同一人物 どういつじんぶつ คน ๆ เดียวกัน
理不尽 りふじん ไม่มีเหตุผล,ไม่สมเหตุผล
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ