[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๒ ค่ำลง (暮)
>> กลับไปตอนที่ ๑
ผมซัดเปรี้ยงเข้าใส่หน้าของฮิซาชิ
“โอ๊ย! ทำอะไรของนายน่ะ!”
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก นายน่ะเล่นแรงไปแล้ว”
“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยล่ะ ก็แค่ทักทายกันธรรมดาไม่ใช่หรือไง”
“ทักทายกันบ้านนายสิ”
“แค่นี้น่ะมันยังน้อย เราน่ะยังมีเทคนิคลับสุดยอดที่ยิ่งกว่านี้อยู่อีกนะ อยากจะดูมั้ยล่ะ?”
จริงสิ! เอ้ย ไม่ได้ๆ ถ้าแสดงท่าทีสนใจแบบนี้ก็เป็นไปตามแผนของฮิซาชิน่ะสิ ผมเองยังอยากอยู่บนโลกนี้อย่างสงบต่อไป
“เอาเถอะ ไว้มาโดกะกลับมาแล้วก็อย่าลืมไปขอโทษเธอซะด้วยล่ะ ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แค่ขอโทษแล้วหายก็เถอะ”
“ปิดไปก็เปล่าประโยชน์น่ะ ตอนนี้นายน่ะอยากจะดูเทคนิคลับสุดยอดของเราใจจะขาดแล้วใช่มั้ยล่ะ”
......ถูกของมัน ที่จริงก็ไม่อาจปฏิเสธได้หรอกว่าไม่อยากดู แต่ถ้าให้คิดตามหลักศีลธรรมแล้วละก็
“คนที่ไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาอย่างโทวยะคุงเนี่ย เดี๋ยวเราจะแสดงเทคนิคนี้ให้ดูเป็นขวัญตาเอง”
“เฮ่ย! เดี๋ยวสิ!”
พูดจบฮิซาชิก็วิ่งตรงเข้าใส่เด็กผู้หญิงที่กำลังเดินเข้าห้องมา
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตรงหน้านี้เป็นสาวน้อยรูปร่างบอบบางผมสีทองยาวปิดหน้าผูกปมสองข้าง
“ย้าก!”
ฮิซาชิโจมตีเข้าใส่ แต่เด็กสาวคนนั้นก็หลบได้ทันที ทำให้ฮิซาชิเสียการทรงตัว จากนั้นเธอก็ใช้ฝ่ามือเสยเข้าใส่คางของฮิซาชิอย่างจัง จากนั้นก็พุ่งกระแทกเข้าใส่ฮิซาชิซึ่งตอนนี้ไร้ซึ่งการป้องกันจนมันล้มลงและกลิ้งไปไกลถึงหน้าต่าง
“อ๊อก”
จากนั้นเธอก็เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าที่ที่ดูเป็นปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เข้ามาทักทาย
“อ่า... อรุณสวัสดิ์”
ชื่อของเธอคือ โคโนะ นัทสึกิ เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมเช่นเดียวกับฮิซาชิและมาโดกะแต่ก็ไม่ได้สนิทอะไร เธอมักจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงที่นั่งของเธออยู่คนเดียว โดยแทบไม่เคยเห็นเธอสุงสิงกับใครเป็นพิเศษเลย
“ไง”
ผมเข้าไปทักโคโนะซึ่งกำลังอ่านหนังสืออยู่ตรงที่นั่งเหมือนอย่างเคย
“อรุณสวัสดิ์”
“ตะกี้ต้องขอโทษแทนด้วยนะ”
“เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษแทน ที่สำคัญแค่นี้สบายมาก จัดการสบายๆ ไม่ต้องห่วง”
เห็นท่าจะจริงอย่างที่พูดแฮะ
“งั้นหรอกเหรอ โคโนะเนี่ยแข็งแกร่งจังเลยนะ”
“ปกติ”
“ไอ้แบบตะกี้เนี่ยนะ?”
“แผ่นหลังภูผาเหล็ก” *
“แผ่นหลังภูผาเหล็ก?”
“เป็นหนึ่งกระบวนท่าแห่งหมัดแปดปรมัตถ์... แต่ที่ใช้เมื่อครู่นี้เรามีดัดแปลงใหม่นิดหน่อย” *
พอพูดประโยคหลัง เธอก็มีท่าทีเหมือนกับภูมิใจในตัวเองนิดหน่อยขึ้นมา คิดไปเองหรือเปล่านะเรา
“โคโนะเนี่ย กำลังเรียนศิลปะการต่อสู้อยู่เหรอ? เอาไว้ใช้ป้องกันตัวเหรอ?”
“เปล่า มันมีเขียนไว้ในหนังสือนี่”
จากนั้นเธอก็ยื่นหนังสือให้ดู เป็นหนังสือรวมท่าของเกม “แวเลียนต์ไฟต์” นี่มันบทสรุปเกมไม่ใช่หรือนั่น นึกว่าจะเป็นคู่มือสอนศิลปะการต่อสู้จีนซะอีก
“ชอบเล่นเกมต่อสู้เหรอ?”
“ไม่ได้สนใจ”
“งั้นทำไมถึงได้อ่านหนังสือแบบนี้ล่ะ”
“มีอยู่ในห้องสมุด”
จากนั้นออดเข้าห้องเรียนก็ดังขึ้น
“งั้นเราขอตัวก่อนนะ ยังไงก็อย่าเอามาอ่านในชั่วโมงเรียนล่ะ”
“อื้อ ทราบแล้ว”
โคโนะพยักหน้าจากนั้นก็เก็บหนังสือใส่เข้ากระเป๋าไป จากนั้นผมเองก็เดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง
ในตอนนั้นฮิซาชิก็เดินโซเซกลับออกมาจากทางเดินหน้าห้อง ตามมาด้วยมาโดกะที่รีบวิ่งกลับมาเข้าห้องเรียน
ฮิซาชิบ่นขึ้น
“กรรมตามสนองไงล่ะ”
“ใช่ๆ”
ผมตอกกลับไป และมาโดกะก็ช่วยเสริม
สักพักประตูห้องเรียนก็เปิดขึ้น จากนั้นคุณครูก็เดินเข้ามา และตามหลังมาด้วย...
“ทุกคน กลับไปนั่งที่ได้แล้ว จะขอแนะนำนักเรียนใหม่หน่อยนะ เอ้า เชิญแนะนำตัวได้”
“ค่ะ”
พูดเสร็จเธอก็ก้าวเท้าเข้ามาแล้วกล่าวแนะนำตัวเองด้วยเสียงอันสดใส
“โนมิยะ ยูค่ะ จากวันนี้ไปจะย้ายมาเรียนอยู่ที่นี่”
“โนมิยะซังมีสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรง อย่าให้เขาทำอะไรฝืนมากนักล่ะ”
“ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ทุกคน”
“ถ้างั้นก็ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นนะ”
จากนั้นโนมิยะซังก็เดินไปยังที่นั่งของตัวเอง
“อย่างนี้นี่เอง นักเรียนแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ ก็ย่อมต้องไม่มีอยู่ในลิสต์ของเราอยู่แล้วล่ะนะ”
ฮิซาชิพูดขึ้น ...ลิสต์อะไรของมันกันน่ะ
“เพราะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ฟุชิมิคุงก็เลยต้องช่วยแนะนำงั้นสินะ?”
“ใช่แล้ว ทีนี้ก็คงเข้าใจแล้วสินะ”
แต่ว่านั่นน่ะ คือโนมิยะ ยู ที่ผมพามาเมื่อครูนี้จริงๆแน่เหรอ? ดูจากหน้ากับชื่อก็ใช่อยู่หรอก แต่ลักษณะท่าทีนี่สิที่กลับรู้สึกว่าไม่เหมือนกันเลย
จากนั้นคุณครูก็บอกให้ทุกคนเงียบๆ แล้วก็เริ่มเรียนกันตามปกติ
--------------------
ตลอดชั่วโมงเรียนทั้ง ๘ คาบ ผมได้เฝ้าสังเกตโนมิยะซังอยู่โดยที่เธออาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมเองก็เรียนอยู่ในห้องนี้ด้วย
คนคนนี้ต้องเป็นคนละคนกันแน่ ดูยังไงก็ไม่เหมือนกัน ทั้งยิ้มแย้มอยู่เสมอ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน แถมยังได้รับความนิยมทั้งในหมู่ผู้ชายและผู้หญิงด้วย
“คิดไปเองสินะ”
“คิดไปเองเรื่องอะไรเหรอ”
จู่ๆมาโดกะก็ถามขึ้น
“อ่อ เปล่า ไม่มีอะไร”
“งั้นเหรอ อ่อ วันนี้กลับบ้านด้วยกันมั้ย?”
“อ๋อ โทษที วันนี้เราต้องไปทำงานน่ะ”
“อะไรกัน วันนี้มีงานเหรอ?”
ฮิซาชิพูดแทรกขึ้น
“อื้อ”
“ถ้างั้นก็เดินไปด้วยกันแค่จนถึงตีนเขาก็ได้ มาโดกะจัง ไปด้วยกันมั้ย?”
“อะ อื้อ”
พอฮิซาชิปรากฏตัวเขยิบเข้ามาใกล้ มาโดกะก็ค่อยๆเดินถอยห่างออก คงยังติดใจกับเหตุการณ์เมื่อเช้าอยู่สินะ
แต่ดูเหมือนฮิซาชิจะไม่รู้สึกตัวเลย ไอ้บ้านี่ รู้สึกตัวหน่อยสิ
“งั้นชวนยูจังไปด้วยมั้ย?”
“เอ๋? คาโมคุง ไปสนิทกับโนมิยะซังเขาตั้งแต่ตอนไหนน่ะ?”
“มันก็... เปล่าหรอก ไม่เลยสักนิด แค่คิดว่าเรียกสนิทๆแบบนี้ไว้มันน่าจะทำให้สนิทกันได้เร็วกว่าน่ะ”
“งั้นเหรอ แต่เรากลับคิดว่าถ้าอยู่ดีๆมีใครมาทำตัวตีสนิทเกินแบบนี้ก็คงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกัน”
“ฮะ!? จริงเหรอ สงสัยคงต้องเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ซะแล้วสิแบบนี้ รุกเข้าหาก็ดีอยู่หรอก แต่เวลาจริงๆคงจะไม่ได้สินะ”
ฮิซาชิดูมีสีหน้าเครียดขึ้นมา
พอผมหันไปดูทางด้านโนมิยะซัง ก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูคุยกันอย่างสนุกสนานดังขึ้น โนมิยะซังกำลังคุยกับคายาบุกิซังกับคุซานางิซังอยู่
“นี่ๆ โนมิยะซัง บ้านอยู่ที่ไหนเหรอ?”
คายาบุกิซังถามขึ้น
คราวนี้เป็นคุซานางิซังพูดขึ้น
“โทษทีนะ เพิ่งจะย้ายเข้ามาเลยยังรกๆอยู่เลยน่ะ”
ดูยังไงก็ราวกับเป็นคนละคนกันอยู่ดี
“ตกลงว่าไงล่ะ จะชวนดูมั้ย?”
มาโดกะถามขึ้น
“แต่ว่าฮิซาชิเองก็ยังไม่รู้จักเธอเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เพราะงั้นคราวนี้ถึงต้องให้นายเป็นคนออกโรงไงล่ะ”
“ขอปฏิเสธ เราไม่อยากไปขัดจังหวะพวกเขาคุยกันหรอก ขืนทำอย่างนั้นจะถูกพวกผู้หญิงมองด้วยสายตาแปลกๆเอาน่ะสิ”
“นั่นน่ะสิ พวกเขากำลังคุยกันออกจะสนุก”
“โธ่...”
พูดจบฮิซาชิก็มีท่าทีเหมือนไม่พอใจ แต่ก็เดินตามผมกับมาโดกะออกจากห้องไป
--------------------
จากนั้นผมก็แยกจากฮิซาชิและมาโดกะมากลางทาง และเดินมาจนถึงโรงพยาบาลทั่วไปยาซากะซึ่งเป็นที่ทำงาน
สถานที่แห่งนี้คือที่ที่เกิดเหตุไฟไหม้เมื่อ ๑๐ ปีก่อน แต่ภายหลังก็ได้รับการซ่อมแซมและกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เห็นแบบนี้แล้วดูเหมือนกับไม่เหลือร่องรอยของเหตุการณ์เมื่อ ๑๐ ปีก่อนอยู่เลย ตั้งแต่เด็กผมเคยแวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่เจออุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนนั้นก็ถูกนำมาส่งที่นี่
“รู้สึกโชคดีจริงๆที่รอดมาได้”
ตอนนั้นผมแค่เดินเล่นอยู่เฉยๆ อยู่ดีๆก็มีรถบรรทุกเมาแล้วขับวิ่งเข้ามาชน เกือบได้ไปเยี่ยมยมบาลซะแล้วสิ
“แถมคุณแม่เองก็ตายด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่นี่ในตอนนั้นด้วยสิ”
ตอนนั้นผมถึงขนาดคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลกไปเลยก็ว่าได้
“เอาเถอะ มันก็แค่เรื่องของอดีตล่ะนะ ที่สำคัญได้เวลาทำงานล่ะ ตอนนี้”
--------------------
หลังจากที่เสร็จงาน ผมก็เปลี่ยนชุดแล้วก็เดินออกมา วันนี้ออกจะช้าไปนิดหน่อยด้วยสิ รีบกลับดีกว่า ซายะซังเองก็คงจะรออยู่
ขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปนั้น ก็เห็นเด็กผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งกำลังเดินมา
“สวัสดี”
เธอทักขึ้นมา ดูแล้วก็เป็นเด็กสาวที่ดูมีอัธยาศัยดี ให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกันกับโนมิยะซังเลย ว่าแต่มาที่โรงพยาบาลในเวลาแบบนี้ หรือว่าจะเป็นคนที่ทำงานที่นี่? แต่ว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย
“ที่นี่เนี่ยคือโรงพยาบาลทั่วไปยาซากะสินะ”
“อื้อ ตามที่เห็นนั่นล่ะ มีเขียนไว้ตรงนั้น”
“ที่ว่าเมื่อ ๑๐ ปีก่อนเกิดอุบัติเหตุหรือว่าไฟไหม้อะไรขึ้นงั้นสินะ”
“อื้อ ก็ใช่ล่ะ”
ถ้าเป็นคนที่อยู่เมืองนี้ละก็ อย่างน้อยก็น่าจะรู้ถึงเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างดี นั่นก็แสดงว่าเธอมาจากที่อื่นสินะ
“เพราะได้รับการซ่อมแซมใหม่หลังจากไฟไหม้น่ะ”
“ที่ว่าซ่อมแซมใหม่นี่ ก็หมายความว่าไม่ได้ไหม้ไปทั้งหมดสินะ?”
“คิดว่านะ รู้สึกที่ไหม้ไปจะเป็นแค่ฝั่งตะวันตกเท่านั้น”
“มีอะไรอีกมั้ย? ยังไงก็ขอตัวก่อนนะ”
“อื้อ ขอบใจนะ”
เธอตอบขณะที่กำลังจ้องมองโรงพยาบาลอย่างตื่นตาตื่นใจ พอผมจะเดินออกไป เธอก็หันกลับมายิ้มให้และโบกมือ
“บ๊ายบาย”
“............”
อะไรของเขากันนะ
--------------------
หลังจากโทวยะเดินออกไป เด็กสาวยังคงกำลังจ้องมองไปที่โรงพยาบาลด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย
“งั้นเอง นึกว่าไหม้ไปหมดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะอยู่มาได้ถึงตอนนี้ แถมยังอยู่สมบูรณ์ซะด้วยสิ พอลองกลับมาดูเล่นๆก็ได้เจออะไรน่าสนใจเลยแฮะ”
จากนั้นเธอก็เริ่มมีท่าทีเหมือนกับนึกอะไรสนุกๆขึ้นมา
“ว่าแต่ว่า ตาลุงคนนั้นจะยังอยู่มั้ยนะ? ถ้ายังอยู่ก็คงจะสนุก แต่ถ้าตายแล้วละก็... อืม... เอาเถอะ เดี๋ยวก็เจอคนอื่นเองแหละ”
จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในโรงพยาบาลที่ไม่เคยได้แวะเวียนมาเลยมานานถึง ๑๐ ปี ท่าทีเหมือนเด็กที่ได้พบกับของเล่นที่ไม่ได้เล่นมาเป็นเวลานาน ราวกับเกมสนุกๆบางอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างนั้นเลย
--------------------
ผมกำลังอยู่ระหว่างทางกลับบ้านหลังจากเลิกงานเสร็จ อีกไม่นานก็จะถึงบ้านแล้ว
“ท่านพี่”
ในตอนนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลังผม จากนั้นก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามากระแทก พอผมมองลงไปก็... ที่จริงๆไม่ต้องมองก็รู้อยู่แล้วล่ะ
“มากินะ มาทำอะไรในที่แบบนี้เวลาดึกดื่นป่านนี้หา?”
“มารับท่านพี่”
เด็กที่เข้ามาเกาะผมอยู่ตอนนี้คือมากินะ น้องสาวของผมเอง เป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริง แต่ก็ติดพี่ชายมากเลยจริงๆ
“เรื่องนั้นน่ะเข้าใจอยู่หรอก แต่ว่าออกมาเดินเล่นคนเดียวเวลาแบบนี้น่ะมันอันตรายนะ”
“เพราะอย่างนั้นมากินะถึงต้องออกมารับท่านพี่ไง”
“............”
“ท่านพี่ไม่ชอบให้มากินะมารับเหรอ?”
ขี้โกงนี่นา ยิ่งมองด้วยสายตาน่ารักไร้เดียงสาแบบนี้แล้ว...
“เปล่า ดีใจมากเลยล่ะ”
“จริงเหรอ? ดีใจจังเลย”
มุกนี้ใช้ได้ตลอดจริงๆ เข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเด็กแบบตามใจเป็นอย่างดีเลย
“แต่ว่ายังไงก็ไม่ควรออกมาเดินคนเดียวในเวลาแบบนี้นะ”
“ไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ เดี๋ยวก็โดนซายะซังจับเข้าคอร์สอบรมหรอก”
“อึ๋ย... อบรมนานอย่างงั้นไม่ไหวอะ โดนทำโทษให้นั่งยืดหลังตรงจนปวดแสบขาไปหมดแบบนั้น”
“งั้นก็อย่าทำให้ซายะซังต้องเป็นห่วงสิ”
“...ขอโทษนะ ท่านพี่”
“แล้วอย่าลืมไปขอโทษซายะซังด้วยล่ะ”
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
“ถ้างั้น รีบกลับกันเถอะ”
จากนั้นผมก็จับมือมากินะเดินกลับบ้านด้วยกัน
--------------------
“กลับมาแล้วครับ”
“กลับมาแล้ว”
พอพวกเรากลับมาถึงบ้าน ก็พบซายะซังกำลังรออยู่คอยต้อนรับ
“ไง กลับมาแล้วหรือจ๊ะ ทั้งสองคน”
รอยยิ้มแบบนี้สงสัยท่าไม่ค่อยดี
“ไปไหนมางั้นหรือจ๊ะ มากินะจัง ทำให้เป็นห่วงรู้มั้ย”
“ขอโทษนะ มากินะไปรับท่านพี่มาน่ะ”
“ไม่ได้นะ ออกไปเดินตอนกลางคืนแบบนี้ ห้ามเด็ดขาดนะ”
พอมากินะขอโทษ ซายะซังก็กลับมายิ้มแย้มอย่างปกติตามเดิม ซายะซังเนี่ยใจดีอย่างที่คิดเลยนะ
“เอาล่ะ ทั้งสองคน รีบไปล้างมือบ้วนปากแล้วมาทานข้าวกันเถอะ ...อ้อ ส่วนมากินะจังน่ะหลังทานข้าวเสร็จเดี๋ยวมีอบรมหน่อยนะจ๊ะ”
“มากินะจังน่ะหลังทานข้าวเสร็จเดี๋ยวมีอบรมหน่อยนะจ๊ะ♪”
“ไม่ต้องอุตส่าห์พูดซ้ำก็ได้...!”
====================
* แผ่นหลังภูผาเหล็ก หรือเท็ตสึซังโคว(鉄山靠) เป็นท่าที่ใช้ไหล่หรือหลังกระแทกคู่ต่อสู้ เป็นหนึ่งในท่าของหมัดแปดปรมัตถ์
* หมัดแปดปรมัตถ์ หรือปาจี๋เฉฺวียน(八極拳) เป็นศิลปะการต่อสู้ของจีนอย่างหนึ่ง สืบทอดมาโดยยอดกังฟูชาวมุสลิม
--------------------
รวมศัพท์ท้ายตอน
格ゲー かくげー เกมต่อสู้ (มาจาก 対戦型格闘ゲーム)
よろよろ โซเซ
一致 いっち การตรงกัน,การพ้องกัน,การเป็นเอกฉันท์,การสมานฉันท์
ほんわか ร่าเริง,นุ่มนวล,สบายๆ
改修 かいしゅう การปรับปรุงซ่อมแซม
甘やかす あまやかす (เลี้ยงดูแบบ)ตามใจ
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ