วันอังคารถึงวันพฤหัสที่ผ่านมามีไปเที่ยวสิงคโปร์มา มีเรื่องจะเล่ามากมายเลยทีเดียว
เพื่อความเป็นระเบียบ ขอเรียงเป็นเรื่องๆ (แต่อาจไม่เรียงตามเวลา)
๑. ภาษาญี่ปุ่นในสิงคโปร์
โดยปกติแล้วในสิงคโปร์จะใช้อยู่ ๒ ภาษาหลักก็คือจีนกับอังกฤษ แต่ในบางจุด เช่นป้ายต่างๆบางครั้งก็อาจเห็นเพิ่มอีก ๒ ภาษา นั่นก็คือภาษามาเลเซีย กับภาษาญี่ปุ่น!
สำหรับภาษามาเลเซียนั้นไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะคนที่นี่ที่เป็นชาวมาเลเซียมีอยู่พอสมควร แต่ภาษาญี่ปุ่นล่ะ? สำหรับคนที่ไม่รู้มาก่อนก็อาจจะแปลกใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นมามาก สังเกตได้จากว่าในช่วงที่อยู่สิงคโปร์ ๓ วันนั้น เจอชาวญี่ปุ่นบ่อยมากจริงๆ ดูเหมือนคนที่ทำงานที่นั่นก็มีคนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
รู้สึกดีใจที่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่น เพราะมันเป็นภาษาที่สากลไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อย่างไรก็ตามตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นก็ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเลยอยู่ดี เพราะยังไงเราก็ไม่ใช่คนญี่ปุ่นแถมยังพูดได้ไม่คล่อง แม้จะคล่องกว่าอังกฤษก็ตาม แต่ถ้าให้ใช้ก็คงแปลกอยู่
๒. ภาษาอินเดียก็มีด้วย
นอกจากภาษาญี่ปุ่นกับภาษามาเลเซียที่เพิ่มเข้ามาแล้ว บางแห่งก็ยังเจอภาษาอินเดียทมิฬอีกด้วย ซึ่งเมื่อถามดูก็ได้ความว่าที่นี่มีชาวอินเดียอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เนื่องจากสมัยก่อนสิงคโปร์เป็นของอังกฤษ โดยอังกฤษตั้งใจสร้างสิงคโปร์ให้กลายเป็นศูนย์กลางการค้ากับประเทศแถบนี้ ในตอนนั้นอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอยู่แล้ว ดังนั้นชาวอินเดียดราวิเดียนจึงถูกพามาที่เกาะนี้เป็นจำนวนมากเพื่อมาใช้งาน และปัจจุบันก็ยังคงหลงเหลืออยู่ไม่น้อย
ทีแรกเห็นก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นภาษาอินเดีย อักษรประหลาดดีจริงๆ แม้จะใช้คำว่าภาษาอินเดีย แต่ภาษาของชาวอินเดียเองนั้นก็มีอยู่หลายภาษา สำหรับภาษาอินเดียในสิงคโปร์นั้นเป็นภาษาทมิฬซึ่งถูกใช้โดยชาวดราวิเดียนที่อยู่ทางตอนใต้ของอินเดียกับศรีลังกานั่นเอง
แต่สำหรับที่กดน้ำดื่มที่สนามบินน่ะมีหลายภาษามากเลย
๓. ภาษาอังกฤษของคนที่นั่น
อย่างที่รู้ว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการของสิงคโปร์ ดังนั้นคนที่นั่นจึงพูดภาษาอังกฤษกันได้หมด แต่มันก็มีปัญหาอยู่อย่างนึง นั่นก็คือภาษาอังกฤษของที่นั่นมันไม่ใช่ภาษาอังกฤษธรรมดา แต่เป็น Singlish!
Singlish คืออะไร? อ่านได้ในนี้เลย http://www.exteen.com/tag/singlish
ส่วนใหญ่พวกไกด์หรือคนในโรงแรม เวลาเจอนักท่องเที่ยวเหมือนเขาจะพยายามใช้ภาษาอังกฤษธรรมดานะ แต่ก็ไม่วายหลุด Singlish ออกมาบ้างอยู่ดี ฟังแรกๆก็งงๆหรอก แต่ก็พอรู้อยู่แล้วว่ามันมีแบบนี้อยู่ เลยพยายามเข้าใจ ไว้พยายามเลียนไปใช้บ้างก็ไม่เลวนะ
๔. ความหลากหลายของภาษาจีน
ภาษาที่เรียกว่าภาษาจีนนั้น จริงๆแล้วก็ยังแบ่งออกเป็นอีกหลายภาษา หลักๆที่พบในสิงคโปร์ก็คือ จีนกลาง, ฮกเกี้ยน, แต้จิ๋ว, กวางตุ้ง แล้วแต่ถิ่นที่คนจีนกลุ่มนั้นอพยพมา
โดยภาษาที่ใช้เป็นภาษากลางก็คือจีนกลาง ส่วนอย่างอื่นจะใช้เป็นแค่ตามแต่ละกลุ่มเท่านั้น
สิงคโปร์เป็นอีกแหล่งที่มีคนจีนย้ายถิ่นฐานมาอาศัย อยู่เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับไทย, เวียดนาม, หรือที่อื่นๆบนโลก แต่อาจต่างกันมากตรงที่คนจีนที่นี่กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่จนแทบกลืนทั้งเกาะ ในสิงคโปร์มีชาวจีนราวๆ ๗๖% ดังนั้นคนจีนที่นี่จึงพูดจีนกลางเช่นเดียวกับจีนแผ่นดินใหญ่
ซึ่งต่างจากคนจีนที่อยู่ในไทยที่ปัจจุบันพูดจีนกันแทบไม่ได้แล้ว ยกเว้นเรียนเพิ่มเติมกันเอง
๕. เป็นคนจีนแต่พูดภาษาจีนไม่ได้ มันแปลกมั้ยนะ
อย่างที่บอกไปว่าคนจีนในไทยรุ่นหลังๆพูดภาษาจีนไม่ ได้เลย เพราะพ่อแม่คนจีนก็ไม่ได้พูดด้วย ปกติก็ใช้ภาษาไทย เพราะถือเป็นภาษาถิ่น เป็นการให้เกียรติแผ่นดินที่ตัวเองอาศัยอยู่
ปัญหาเกิดเมื่อไปสิงคโปร์ ทำไมกันนะ พอคนที่นั่นเห็นหน้าเรา เขาก็พูดภาษาจีนใส่ก่อนเลย เราฟังไม่ออกหรอก จีนกลางรู้แค่ศัพท์คำง่ายๆกับไวยากรณ์นิดหน่อยเท่านั้นเอง พอเราทำท่าไม่รู้เรื่องเขาถึงค่อยพูดภาษาอังกฤษด้วย
มีคุยกับคนที่นั่น เขาถามเราว่าเป็นคนจีนหรือเปล่า เราก็บอกว่าใช่หรอก แต่พูดจีนไม่ได้ เพราะมาจากไทย คนที่นั่นเขาก็เหมือนจะรู้ล่ะนะว่าคนจีนที่อาศัยอยู่ประเทศอื่นโดยมากจะไม่ได้พูดภาษาจีน
แต่เราแปลกกว่าคนอื่นหน่อยคือนอกจากไม่รู้จีนแล้ว ยังรู้ญี่ปุ่นแทนอีก อย่างเรา ไว้เก่งญี่ปุ่นพอแล้วไปเนียนเป็นคนญี่ปุ่น หน้าจะให้พอมั้ยนะ แต่ก็ทำให้อยากเรียนภาษาจีนมากขึ้นนะ แต่ว่าแรงบันดาลใจนี้มาผิดเวลาไปหน่อย เพราะตอนนี้คงไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นนอกจากเรื่องสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
๖. ประชากรหนาแน่นมาก
จากสถิติ สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ ๒ ของโลก รองจากโมนาโก ความจริงแล้วฮ่องกงกับมาเก๊าหนาแน่นกว่า เพียงแต่ไม่ใช่ประเทศจึงไม่นับ เกาะสิงคโปร์เล็กกว่าครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ (ใหญ่กว่าภูเก็ตเล็กน้อย) แต่ประชากรมีน้อยกว่ากรุงเทพฯไม่มาก
ไปถึงก็รู้สึกว่าคนดูหนาตาจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ต่างจากที่เห็นในกรุงเทพฯมากนัก เพียงแต่บ้านเมืองเขาดูน่าอยู่กว่ามาก ประชากรส่วนใหญ่มีคุณภาพ ไม่ค่อยมีแหล่งเสื่อมโทรม (หรือมีแต่ไม่เห็นก็ไม่รู้) ขอทานตามท้องถนนก็ไม่มีเลย มีแต่วนิพกเล่นดนตรีแสดงกายกรรมหาตัง
๗. อากาศที่นั่นร้อนมาก
โชคดีว่าตอนไปวันแรกนั้นฝนกำลังตกอยู่ ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่พอฝนหยุดตกนี่สิ ทั้งร้อนแล้วก็ชื้นมาก ทรมานจริงๆ ไปเดินห้างต้องพยายามเดินอยู่ในอาคารตลอด พอออกมาสักพักก็จะเริ่มร้อนจนอยากกลับเข้าไปใหม่
เพราะอากาศไม่ใช่แค่อุณหภูมิสูงอย่างเดียว แต่ความชื้นก็สูงด้วย จึงแย่กว่าที่กรุงเทพฯ
ที่แย่กว่านั้นคือที่นั่นเป็นอากาศลักษณะเดียวกับภาคใต้ นั่นก็คือไม่มีฤดูที่อากาศเย็น ถ้าอย่างกรุงเทพฯยังมีเดือนธันวาคมกับมกราคมให้ได้พักหายใจกัน(แม้จะไม่ได้ เย็นอะไรมาก) แต่ที่นี่ไม่มี เพราะอยู่ที่ศูนย์สูตรและยังติดทะเล ทำให้ไม่ว่าลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หรือตะวันตกเฉียงใต้ก็พัดพาความชื้นเข้ามาตลอด
จึงเป็นที่ที่ไม่น่าอยู่ด้วยประการฉะนี้
๘. ไม่มีทั้งสะพานลอย และทางม้าลาย
ไม่มีทั้งสองอย่างแล้วข้ามถนนกันยังไงล่ะ? คือที่นั่นเขามีทางข้ามโดยเฉพาะซึ่งก็คล้ายๆกับทางม้าลายนั่นล่ะ แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เป็นลายขาวๆเหมือนม้าลาย ที่นี่เขาทำสัญญาณไฟคนเดินทุกจุดที่ให้เป็นจุดข้ามถนน ก็เหมือนกับรถยนต์ ต้องให้ไฟคนเดินเป็นสีเขียวถึงจะข้ามได้ ซึ่งจะเขียวสลับกับรถยนต์(แหงล่ะ) จริงๆที่ไทยเองก็มีแบบนี้อยู่เหมือนกันแต่น้อย
๙. รถไฟฟ้าใต้ดิน
ที่สิงคโปร์ไม่มีบีทีเอส แต่มีรถไฟใต้ดินเยอะกว่าไทย เยอะกว่าแค่ไหน? เท่าที่เห็น รถไฟฟ้าใต้ดินที่นั่นตอนนี้มี MRT อยู่ ๔ สาย... ไม่เยอะสักเท่าไหร่ อีกไม่นานกรุงเทพฯก็คงแซงแล้ว คาดว่าคงไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับที่นั่นมากนักก็เลยมีไม่มาก
รถไฟใต้ดินที่นั่นมี ๒ กลุ่มคือ MRT กับ LRT สำหรับ MRT ก็เหมือนทีกรุงเทพฯ ส่วน LRT ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยไปนั่งหรือแม้แต่เห็นทางขึ้น แต่มีแค่ระยะสั้นๆบางจุดเท่านั้น
เวลาจะขึ้นรถไฟใต้ดินที่นั่นจะต้องจ่ายค่ามัดจำด้วย สำหรับคนที่ไม่มีบัตรหรือไม่ได้ขึ้นประจำ แล้วพอถึงสถานีปลายทางก็จะมีการคืนค่ามัดจำให้ ก็ยุ่งยากดีเหมือนกัน
นอกจากนี้ที่นั่นยังมีรถเมล์ ๒ ชั้นเหมือนที่อังกฤษอีกด้วย และแท็กซี่ที่นั่นจะจอดรับผู้โดยสารได้ตามจุดที่กำหนดไว้เท่านั้น
๑๐. การเข้าห้องน้ำ
เพิ่งรู้ว่าดูเหมือนคนที่นั่นส่วนใหญ่จะไม่นิยมการทำความสะอาดหลังปฏิบัติภารกิจด้วยการล้างน้ำกันสักเท่าไหร่ ทั้งในโรงแรม หรือในห้าง ห้องน้ำเป็นแบบใช้กระดาษหมดเลย ทำให้ลำบากไม่ใช่น้อยเลยเหมือนกัน
หลายคนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็คงติดการทำความสะอาดด้วยน้ำกันมากกว่า แต่สำหรับบางประเทศหรือบางเมืองเขาก็ยังคงนิยมใช้กระดาษกันมากกว่า
โดยส่วนตัวไม่ชอบการเช็ดเลย ชอบการล้างเสียมากกว่า แต่คงต้องฝึกไว้เพราะที่ญี่ปุ่นเองก็คงไม่ต่างจากนี้มากนัก พอคิดถึงอนาคตถ้าต้องอยู่เมืองที่ใช้แต่กระดาษก็คงต้องปรับตัวล่ะนะ
๑๑. ประเทศเล็ก ที่เที่ยวน้อย จุดสนใจน้อย
เนื่องจากสิงคโปร์ เป็นประเทศเกาะพื้นที่เล็กมาก เล็กกว่าครึ่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ทำให้เดินทางไปที่ไหนๆได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ก็ไม่ค่อยมีที่เที่ยวที่น่าสนใจด้วย นอกจากแหล่งซื้อของซึ่งมีห้างร้านเรียงรายอยู่เต็มถนน มีตั้งแต่ห้างคล้ายๆพารากอน ห้างคล้ายๆมาบุญครอง หรือห้างคล้ายๆโลตัส
นอกจากนั้นแต่ละอย่างมันคล้ายกับไทยมากจริงๆ แต่ราคาส่วนใหญ่จะแพงกว่า ด้วยค่าครองชีพที่สูงกว่า หลายอย่างเลยคิดว่าเที่ยวในไทยน่าจะดีกว่า ถูกกว่า และใกล้กว่า เช่นศูนย์วิทยาศาสตร์ของที่นั่น ที่ตั้งขึ้นเพื่อกระตุ้นให้คนสนใจวิทยาศาสตร์ อันนี้ก็คล้ายกับที่กรุงเทพฯมาก
นอกจากนี้ได้ยินว่าสถานที่หลายแห่งของสิงคโปร์ได้มา จากการรื้อสุสานเก่าทิ้งแล้วสร้างตึกทับ เนื่องจากพื้นที่จำกัด ดังนั้นเขาจึงจะเอาสุสานไปรวมกันอยู่ที่จุดเดียวทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง
๑๒. ศูนย์วิทยาศาสตร์
อย่างที่บอกไปว่ามันคล้ายกับที่กรุงเทพฯมาก ดังนั้นจุดสนใจก็ไม่ต่างกันมาก เรามีโอกาสเดินดูไม่มากเท่าไหร่ จึงไปได้ไม่ทั่ว
ของจัดแสดงแต่ละอย่างที่นี่มีคำบรรยาย ๔ ภาษาโดยตลอด คือภาษาอังกฤษ, จีน, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย เช่นเดียวกับพวกป้ายบอกทาง
จุดที่แปลกของที่นี่ก็คือ เหมือนเขาจะสนับสนุนให้คนที่มีอายุมากมาเข้าชมกันเยอะๆ เพราะราคาเข้าชมสำหรับผู้ที่อายุมากกว่า ๕๕ ปี เขาจะลดให้ ๔๐% ! งานนี้ใครอยากไปก็ทำตัวให้หน้าแก่เข้าไว้ เพราะเขาไม่ได้เช็คบัตรประชาชนหรอก
ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ... ห้องน้ำที่นี่มีสายฉีดน้ำ !
๑๓. ถนนสายช็อปปิ้ง
ที่นี่มีย่านหนึ่งซึ่งเป็นถนนที่เต็มไปด้วยห้างสรรพ สินค้าใหญ่ๆเรียงรายกันกว่าสิบแห่งตลอดสายถนน ชื่อว่าถนน Orchard และพอดีโรงแรมที่เราไปอยู่ก็พักอยู่ใกล้ตรงนั้นซะด้วย แต่เนื่องจากไม่ใช่คนที่ชอบเดินช็อปปิ้งไปเรื่อย จึงไม่รู้สึกสนุกเท่าไหร่
ส่วนใหญ่จะเน้นหาของที่ราคาถูกกว่าไทย ซึ่งมีอยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่มีแต่จะแพงกว่า หรือไม่ก็หาของที่ไม่น่าจะหาในไทยได้ เพราะถ้าซื้อของที่หาในไทยได้แล้วแพงกว่าก็ไม่รู้จะซื้อทำไม
อาหารส่วนใหญ่ราคาแพงกว่าที่กรุงเทพฯ ๒ เท่า ทำให้ต้องเลือกร้านถูกๆเข้าไว้ ร้านอาหารบางแห่งใช้จานกับช้อนส้อมเป็นพลาสติก เพื่อประหยัดค่าจ้างในการล้าง เพราะได้ยินว่าค่าจ้างที่นั่นแพง (แต่ใช้พลาสติกแบบนี้มันทำลายสิ่งแวดล้อมนะ)
๑๔. สัญลักษณ์ของสิงคโปร์
สัญลักษณ์ของสิงคโปร์นั้นมีลักษณะหัวเป็นรูปสิงโต ตัวเป็นปลา เรียกว่าเมอร์ไลออน
ได้ยินว่าในสมัยก่อนมีผู้เดินทางมาเห็นสิงโตบนเกาะนี้ ทำให้เกาะนี้มีชื่อว่าสิงคโปร์ ซึ่งมาจากคำว่า สิงห์ (สิงโต) + ปุระ (เมือง)
เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้เห็นเมอร์ไลออนแปลว่ายังมาไม่ถึงสิงคโปร์
พอดีได้มีโอกาสได้ล่องเรือไปดูรูปปั้นของเมอร์ไลออนขนาดใหญ่นั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำสายหลักนั่นเอง
๑๕. เขตเวลาของสิงคโปร์
น่าแปลกที่ทั้งสิงคโปร์และมาเลเซียใช้เขตเวลาที่ต่างออกไปจากของไทย ทั้งที่อยู่ตำแหน่งเดียวกับไทยเลย เวลาที่นั่นเดินเร็วกว่าไทย ๑ ชั่วโมง นั่นทำให้ที่นั่น ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุดราวๆบ่ายโมง (เที่ยงของไทย) ฟ้าสว่างราวๆ ๗ โมง อาทิตย์ตก ๗ โมง
ประเทศในโลกส่วนใหญ่จะชินกับการที่ดวงอาทิตย์อยู่สูงสุดตอนเที่ยงมากกว่า ดังนั้นเมื่อเจอแบบนี้จึงไม่ชิน น่าแปลกว่าบางประเทศตั้งเขตเวลาให้เร็วกว่าที่ควรจะเป็นจริงๆ ตัวอย่างประเทศที่ตั้งเวลาแบบนี้อีกก็เช่นสเปน สาเหตุสำหรับการปรับเวลาแบบนี้ น่าจะเพื่อรณรงค์ให้คนนอนกันเร็วขึ้น
ตอนที่อยู่สิงคโปร์ เราจะดูเวลาของไทยตลอด นาฬิกาข้อมือก็ไม่ได้ปรับ เพราะชินแบบนี้มากกว่า ยกเว้นเวลาคุยกับคนที่นั่น ก็ต้องบวกเวลาไปอีกชั่วโมง
ᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳ
ก็เอาเป็นว่าจบการเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิงคโปร์แต่เพียงเท่านี้ ยาวใช่เล่นเหมือนกัน
สำหรับใครที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องสิงคโปร์เพิ่มเติมละก็ ขอแนะนำบล็อกนี้
http://moonatic.exteen.com/20090313/how-to-ride-a-merlion