[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๔ หวนหา (慕う)
>> กลับไปตอนที่ ๓
จากนั้นผมก็เดินแยกจากฮิซาชิและมาโดกะกลางทาง
“โนมิยะซังยังไม่กลับอีกเหรอ?”
“ก็ยังคุยกันไม่จบนี่ ยังมีเรื่องอยากถามอยู่”
เรื่องที่จะคุย? กับเรางั้นเหรอ เรื่องอะไรกันนะ
“งั้นขอเดินไปคุยไปได้มั้ย เดี๋ยวจะไม่ทันเวลาทำงาน”
“ยังไงก็ได้ ขอแค่ตอบคำถามเรามาก็พอ”
พอผมเริ่มเดินออกไปโนมิยะซังก็มาเดินอยู่ข้างๆแล้วหันมาจ้องหน้าผม
“ทำอะไรน่ะ”
“นี่ เธอเคยมีทำศัลยกรรมมาหรือเปล่า?”
“ศัลยกรรม? หมายถึงผ่าตัดเปลี่ยนหน้าตาน่ะเหรอ? ไม่เคยนะ”
“ถ้างั้น ถ้าเทียบกับตอนเด็กๆแล้ว หน้ามีอะไรที่ต่างไปบ้างมั้ย?”
“ไม่รู้เหมือนกันสินะ”
“รู้สึกจำอะไรไม่ค่อยได้เลย ความรู้สึกประมาณนี้หรือเปล่ากันนะ?”
ทำไมอยู่ดีๆถึง... ถามอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด
“งั้น แล้วเรื่องของคุณแม่ล่ะ”
“แม่เราเหรอ? เสียไปแล้วล่ะ ทำไมเหรอ?”
“หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุไฟไหม้เมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั่น?”
“ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ?”
“แล้วแม่ของฟุชิมิคุงทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลยาซากะหรือเปล่า?”
“ใช่ ว่าแต่ทำไมถึงได้...”
“แล้วฟุชิมิคุงก็เคยเข้าโรงพยาบาลยาซากะอยู่ระยะนึงด้วยใช่มั้ย?”
“อืม ตามที่พูดเลย”
ตอนที่ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นั่นเอง ว่าแต่ทำไมโนมิยะซังถึงรู้ได้...? ขนาดมาโดกะกับฮิซาชิยังไม่เคยรู้เรื่องงานของคุณแม่เลย
“ตอนอยู่โรงพยาบาล ฟุชิมิคุงชอบเดินป้วนเปี้ยนในโรงพยาบาล เที่ยวเข้าห้องคนอื่นไปทั่ว”
“เอ จำไม่ได้เหมือนกันนะ”
จำไม่ค่อยได้ด้วยสิ แต่ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่มาก ก็อาจจะทำเรื่องแบบนี้ก็เป็นได้
“แล้ว...”
“เดี๋ยวสิ แล้วทำไมโนมิยะซังถึงได้รู้เรื่องพวกนั้น...”
“ก็เพราะเราคือโนมิยะ ยู ไงล่ะ”
“หมายความว่าไง?”
“เราจำได้นะ เรื่องในตอนนั้นน่ะ ถึงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆก็ตาม”
“ตอนนั้น?”
แย่ละสิ ดูท่าเรื่องที่คุยจะต้องกินเวลานานเป็นแน่ แต่ว่ามีงานต้องทำซะด้วยสิ
“ยังไงก็เถอะ โทษทีนะ ต้องรีบแล้วล่ะ”
พูดจบผมก็รีบวิ่งออกไปทางโรงพยาบาล
“เดี๋ยวสิ ยังคุยกันไม่เสร็จ...”
--------------------
ในที่สุดผมก็มาถึงทันเวลาทำงาน เพียงแต่ข้างหลังนั้น มีโนมิยะซังตามมาด้วยอย่างไม่ตั้งใจ
“ยังมีธุระอะไรอีกเหรอ? พอดีเราต้องรีบแล้วล่ะ”
“ทำไมฟุชิมิคุงถึงมาที่นี่...ที่โรงพยาบาลยาซากะนี่ล่ะ”
“ก็นี่คือที่ที่เราทำงานอยู่น่ะสิ”
“ที่นี่เนี่ยนะ ทำไมกัน?”
โนมิยะซังดูมีท่าทีแปลกใจ ทำงานที่โรงพยาบาลนี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจขนาดนั้นเลยหรือนี่?
“แล้วมันทำไมเหรอ?”
“ก็... โรงพยาบาลยาซากะน่ะ...”
ในจังหวะที่เธอกำลังพูดอยู่นั้น ประตูอัตโนมัติของโรงพยาบาลก็ได้เปิดออก และมีผู้ชายคนนึงเดินออกมา
“ยาซากะซัง”
“ยาซากะ นาโอยุกิ?”
อย่างที่โนมิยะซังพูดนั่นล่ะ ชายคนนี้ผู้อำนวยการของโรงพยาบาล ยาซากะ นาโอยุกิ
จากนั้นยาซากะซังก็หันมาตอบ
“เธอเองเหรอ? วันนี้มาทำงาน หรือว่ามาตรวจร่างกายล่ะ?”
“อ่อ มาทำงานครับ”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นก็รบกวนเช่นเคยนะ”
พูดจบยาซากะซังก็เดินจากไปทางที่จอดรถ
“ทำงานอยู่ที่นี่จริงๆด้วยสินะ”
“พอดีเราไปเจอเขาโดยบังเอิญตอนกำลังหางานพิเศษทำอยู่น่ะ ก็เลยได้รับการชวนให้มาทำงานที่นี่ เห็นแบบนี้แต่เป็นคนใจดีมากเลยนะ”
“งั้นเหรอ”
“โทษทีนะ เรามีงานต้องทำ ถ้าจะคุยขอเป็นพรุ่งนี้ละกัน”
“เข้าใจแล้ว งั้นขอให้โชคดีกับการทำงานนะ”
จากนั้นโนมิยะซังก็เดินจากไป ว่าแต่ตะกี้รู้สึกเหมือนจู่ๆเธอมีท่าทีเปลี่ยนไปยังไงไม่รู้สิ เหมือนจะดูเย็นชาขึ้นมา
--------------------
“...โนมิยะ ยู...”
ทำไมกันนะ ทำไมเธอถึงรู้ทั้งเรื่องที่คุณแม่ทำงานอยู่ที่นี่ รู้แม้แต่เรื่องที่เราเคยอยู่โรงพยาบาล ทั้งๆที่เพิ่งจะแค่ย้ายมาแท้ๆเลย
“เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนจริงๆด้วยสินะ”
แล้วมันที่ไหนกันล่ะ ผมคิดขณะที่กำลังถูพื้นไปเรื่อยๆ
“โนมิยะ ยู... โนมิยะ ยู... หรือว่า...”
ผมเริ่มนึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนที่อยู่โรงพยาบาลนี้ มีโอกาสได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้าโรงพยาบาลมาเหมือนกัน จำได้ว่าตอนนันผมรู้สึกว่างๆก็เลยเดินตามหาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันที่พอจะเป็นเพื่อนคุย ใช่แล้ว ตอนนั้น
--------------------
“เธอเข้าโรงพยาบาลมาเป็นอะไรเหรอ?”
“อ่อ คุณแม่เราก็ทำงานอยู่ที่นี่เหมือนกัน”
“แต่คงจะเป็นคนละที่กับพ่อเราล่ะมั้ง คุณพ่อน่ะทำงานในที่ที่ค่อนข้างจะพิเศษน่ะ”
“คุณแม่เองก็ทำงานอยู่ในที่ที่แปลกไปจากปกติเหมือนกัน”
“เราล่ะเบื่อพวกคุณหมอเหลือเกิน แต่คุณพ่อก็สั่งว่าให้อยู่ที่นี่”
“เราเองก็เหมือนกัน คุณแม่ก็สั่งว่าให้ทำตัวให้เรียบร้อย นี่ๆ ถ้าว่างๆเรามาเล่นไพ่กันมั้ย”
“ถ้าเป็นไพ่ธรรมดาละก็พอจะเล่นได้อยู่”
“ว่าแต่เธอชื่ออะไรนะ เราชื่อโทวยะ ฟุชิมิ โทวยะ”
“เราชื่อโนมิยะ ยู”
--------------------
ดูเหมือนจะใช่เด็กในตอนนั้นจริงๆด้วยสินะ ถึงแม้จะดูต่างออกไปหน่อย เมื่อก่อนเธอออกจะเป็นเด็กเรียบร้อยกว่านี้มากเลย
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่ ก็เห็นเงาคนกำลังเดินออกมาจากตรงทางเดิน
“อ้าว เธอเองเหรอ ป่านนี้แล้วคงเหนื่อยแย่สินะ”
“ยาซากะซัง? มาทำอะไรในเวลาแบบนี้หรือครับ หรือว่างาน?”
“พอดีคนรู้จักเขาเข้าโรงพยาบาลมาน่ะ เลยมาเยี่ยมไข้สักหน่อย”
“งั้นหรือครับ”
“ถ้ายังไงก็อย่าบอกใครล่ะ งั้นขอตัวก่อนล่ะ”
พูดจบ ยาซากะซังก็เดินขึ้นไปยังชั้นบน
--------------------
หลังแยกจากโทวยะ นาโอยุกิก็เดินเข้ามายังห้องผู้ป่วยห้องหนึ่งซึ่งดูไม่ได้ต่างจากห้องผู้ป่วยทั่วไปนัก
เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนโยน ผิดกับตอนที่พูดกับโทวยะและยู บรรยากาศในห้องนั้นเงียบ มีแต่เพียงเสียงไฟฟ้าปิ๊บๆดังก้องไปมา
“คืนนี้พระจันทร์สวยมากเลยนะ ฤดูร้อนก็ผ่านไปแล้ว จะว่าไปแล้วเห็นว่าหน้าหนาวปีนี้จะร้อนกว่าปกติด้วยล่ะ เธอเองก็ไม่ชอบอากาศหนาวอยู่แล้วสินะ”
นาโอยุกิลูบมือของหญิงสาวที่อยู่บนเตียงไปมาเหมือนต้องการสัมผัสถึงความอบอุ่น แต่ร่างที่อยู่ตรงหน้านั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม จากนั้นเวลาก็ไหลผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่
“โทษทีนะ ฉันมีงานต้องไปทำ คงจะต้องไปแล้วล่ะ ไว้จะมาใหม่นะ”
เขาส่งสายตาจ้องมองหญิงสาวอันเป็นที่รักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวออกจากห้อง
จากนั้นเขาก็เข้าไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ
--------------------
ห้องนี้ก็ไม่ได้มีอะไรต่างออกไปจากปกติ บนเตียงนั้นมีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ อายุก็น่าจะราวๆใกล้เคียงกับมากินะ บนตัวของเด็กคนนั้นแทบจะไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์อะไรติดอยู่เลย เพียงแค่นอนหลับเงียบๆอยู่บนเตียงเท่านั้น
“ยังไงก็ไม่ตื่นเหรอนี่”
น้ำเสียงฟังดูแตกต่างจากที่พูดกับหญิงสาวเมื่อครู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนมากกว่าตอนที่คุยกับโทวยะ เขายื่นมือลูบไปยังแก้มเด็กที่อยู่ตรงหน้านั้นเบาๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ปลุกได้สิ”
“ใครกันน่ะ?”
อยู่ดีๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องที่ไม่น่าจะมีใคร พอนาโอยุกิตกใจหันกลับไปก็พบเด็กสาวคนหนึ่ง
“สวัสดี”
เด็กสาวส่งเสียงใสทักทายนาโอยุกิ
“พระจันทร์คืนนี้สวยนะว่ามั้ย?”
“ฉันถามว่าใครไง”
“ฉันนะ ชื่อฮิมุไก โมมิจิ จากนี้ไปขอฝากตัวด้วย”
“มีธุระอะไรกับฉันงั้นเหรอ?”
“ทำให้ตื่นได้ หมายความว่าไงกัน?”
“ความหมายอย่างที่พูดนั่นล่ะ”
เธอยิ้มให้กับคำพูดของนาโอยุกิ จากนั้นก็เริ่มมีก้อนแสงสว่างเกิดขึ้นที่มือและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนพอดีมือ
“นั่นมันอะไรกันน่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ดูอยู่เงียบๆก็พอ”
จากนั้นเธอก็ควบคุมให้บอลแสงนั้นลอยเข้าไปตกยังร่างของเด็กคนนั้น แสงนั้นได้กลืนหายเข้าไปในร่างนั้น
“เสร็จแล้ว”
“ไอ้มายากลนี่มันอะไรกันน่ะ”
“ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก แค่นี้ก็เสร็จแล้ว อีกอย่างคือนี่ไม่ใช่มายากลหรอกนะ เขาเรียกว่าไสยเวทต่างหากล่ะ รออีกสักพักนึงก็จะได้เห็นผลแล้วล่ะ”
นาโอยุกิทำท่าเหมือนไม่สนใจและกำลังจะเดินออกประตูไป
“ฉันไม่มีเวลาว่างมาดูมายากลอะไรของเธอหรอกนะ รีบๆออกไปจากที่นี่ได้แล้...”
พูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“อือ...”
นั่นเป็นเสียงของเด็กคนนั้น ทำให้นาโอยุกิตกใจหันไปมอง พอเห็นเด็กที่หลับมาตลอดคนนี้กำลังเริ่มขยับขึ้นมาได้ดังนั้นแล้ว แม้แต่นาโอยุกิเองก็ไม่สามารถปกปิดอาการตกใจได้
“นี่มัน...”
“ไงล่ะ เริ่มสนใจหรือยัง”
“............”
“อยากจะให้ฉันช่วยอะไรมั้ยล่ะ? มีความปรารถนาอะไรหรือเปล่าล่ะ?”
“ความปรารถนางั้นเหรอ...?”
“ใช่ ความปรารถนาของคุณ ฉันสามารถทำให้เป็นจริงได้นะ”
“...จริงเหรอ? จะสามารถทำให้เป็นจริงได้จริงๆงั้นเหรอ”
“แต่บอกไว้ก่อน ว่าฉันน่ะไม่ใช่จอมเวทย์ที่ดีเท่าไหร่นักหรอก”
“เรื่องนั้นฉันไม่สนหรอก หากจะทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริงได้ละก็ ต่อให้เธอเป็นแม่มดหรือว่าปีศาจที่ไหนฉันก็ไม่สน”
“ไม่ใช่แม่มดสักหน่อย นักไสยเวทต่างหาก”
“ฉันยอมทำทุกอย่างถ้ามันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ อยากได้อะไรฉันก็จะทำให้ ขอเพียงทำให้เธอตื่นขึ้นมาได้ก็พอ”
“ฮึๆๆๆ อย่าได้ลืมถ้อยคำนั้นไปเสียล่ะ”
--------------------
“หวา!?”
ผมตื่นขึ้นมาบนเตียงในห้องของตัวเองตามปกติ ครั้งนี้ฝันเห็นคุณแม่กำลังแยกชิ้นส่วนรีโมตเล่น จากนั้นไฟก็ลุกท่วมขึ้นมาเหมือนอย่างเคย เฮ้อ... ฝันแบบนี้ทุกวันๆ ว่าแต่วันนี้เป็นวันเสาร์ มีเรียนแค่ครึ่งวัน แถมยังไม่มีงานพิเศษต้องทำด้วย ค่อยเป็นวันที่สบายหน่อย *
“ตื่นดีกว่า”
--------------------
จากนั้นพอเดินออกจากห้องไปก็ยังไม่เห็นมากินะ ผมจึงเดินเข้าไปหาที่ห้อง
“มากินะ วันนี้เป็นอะไรเหรอ?”
พอเข้าไปถึงก็พบมากินะกำลังนอนอยู่ด้วยท่าทีที่ดูแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก
“เป็นอะไรไปน่ะ ไม่สบายงั้นเหรอ?”
“อื้อ รู้สึกไม่มีแรงเลย”
ผมลองเอามือแตะหน้าผากมากินะดู ก็ไม่รู้สึกว่ามีไข้แต่อย่างใด
“ดูเหมือนจะไม่มีไข้นะ หรือว่าจะเป็นหวัดหน้าร้อนหรือเปล่านะ ว่าแต่ไปโรงพยาบาลมั้ย? เดี๋ยวพาไปเอง”
“ไม่ไปหรอก มากินะไม่ชอบโรงพยาบาล”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชอบไม่ชอบสักหน่อย ยังไงก็ทานอะไรก่อนดีมั้ย เดี๋ยวให้ซายะซังทำข้าวต้มให้ อยากได้อะไรเพิ่มอีกมั้ย”
“สัตว์เลี้ยง”
“ไม่ได้”
“ท่านพี่ขี้เหนียว”
“ยังไงก็ช่วยเป็นเด็กดีเชื่อฟังหน่อยเถอะ”
“อื้อ”
ผมมองสีหน้าดูอาการของมากินะอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนเดินออกจากห้อง จากนั้นก็คุยกับซายะซังเรื่องอาการของมากินะ เสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปเรียน ตั้งใจไว้ว่าถ้ากลับมายังอาการไม่ดีขึ้นก็จะพาไปโรงพยาบาล
--------------------
ภายในห้องคนป่วยที่เงียบสงบนั้น มีคนแก่คนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง ข้างๆนั้นมีนาโอยุกิกับโมมิจิและเด็กคนที่เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นเมื่อวานยืนอยู่
“แน่ใจนะว่า ไม่ต้องการให้เขาตื่นขึ้นมาอีกแล้วน่ะ”
“ยังได้สติอยู่แต่ว่าเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้วน่ะ แค่รอวันตายเท่านั้น”
“ไม่รู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่ทำบ้างเหรอ?”
“จะเป็นงั้นได้ไงล่ะ ก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดแน่นอนอยู่แล้ว”
“หืม... ว่าแล้วเชียว ที่เขาว่ากันว่าหมอปฏิบัติกับคนไข้อย่างเท่าเทียมน่ะ ก็เป็นแค่คำพูดจอมปลอมงั้นสินะ”
“คนเราน่ะ ไม่ว่าจะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องแบกรับทั้งฐานะ ทรัพย์สมบัติ ความหวัง ความรัก อะไรต่างๆอีกมากมายอยู่เสมอ ไม่มีทางเท่าเทียมกันหรอก ถึงอยากจะให้เป็นแบบนั้นแค่ไหนก็ตาม”
“ฮึๆๆ เยี่ยมไปเลยนะ ความคิดวิปริตแบบนี้ฉันล่ะชอบมากเลย”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอย่างจริงจังอยู่นั้น เด็กน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆก็ได้พูดแทรกขึ้นมา
“นี่ๆ ใช้คนคนนี้ได้เลยสินะ?”
“ดูเหมือนจะโอเคนะ”
เด็กน้อยยกมือขวาขึ้นวางบนร่างของคนแก่คนนั้น จากนั้นก็เริ่มมีประกายแสงสว่างปรากฏขึ้น ค่อยๆสว่างขึ้น จนปกคลุมทั่วทั้งมือ ในจังหวะนั้นมือของเด็กคนนั้นก็ได้จมเข้าไปในร่างของชายแก่โดยไม่มีแม้แต่เลือด หรือไม่รู้สึกเหมือนกับว่าออกแรงอะไรเลย
“ทำอะไรกันน่ะ”
นาโอยุกิมองแล้วมีท่าทีตกใจ
“นั่นเป็นการดึงวิญญาณออกจากร่างไงล่ะ”
“หมายความว่าไงกัน?”
“เดี๋ยวไว้จะอธิบายให้ละกัน ไม่ต้องเป็นห่วง มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณปรารถนานั่นล่ะ”
“ทำให้เธอตื่นขึ้นมาเหมือนเด็กคนนั้นไม่ได้หรือยังไงกัน?”
“อืม... ก็เหตุผลที่หลับน่ะมันต่างกันไปคนละเรื่องเลยนะ เด็กคนนั้นน่ะแค่ถูกทำให้หลับไปเท่านั้น ส่วนคนสำคัญของคุณน่ะไม่ใช่อย่างนั้นสินะ?”
“ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ สรุปว่าทำยังไงถึงจะทำให้เธอฟื้นขึ้นมาได้ล่ะ”
นาโอยุกิมีท่าทีเหมือนไม่ยอมรับอะไร ทำให้โมมิจิเริ่มปรากฏท่าทีเหนื่อยใจขึ้นมาเล็กน้อย
“นั่นสินะ... นี่ รู้อะไรเกี่ยวกับดีเอ็นเอบ้างล่ะ?”
“ย่อมาจากกรดดีอ็อกซีไรโบนิวคลีอิก มีหน้าที่ในการกำหนดข้อมูลพันธุกรรมตามการจัดเรียงของหมู่เบส” *
“สมกับเป็นคุณหมอ ถ้างั้นคำถามต่อไป วิญญาณของคนน่ะมันเป็นยังไง?”
“คิดว่ายังไงล่ะ? ในมุมมองของคุณหมอน่ะ”
“ถ้าในมุมมองของหมอละก็ มันก็แค่ภาพรวมของคนคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ”
“แล้วโดยความเห็นโดยส่วนตัวล่ะ”
“ก็ไม่เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าของแบบนั้นมันมีอยู่จริงหรือเปล่า”
“สิ่งเหล่านั้นของพวกเขาต้องไม่ได้มาจากสมอง แต่ย่อมมาจากสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณสินะ?”
“สรุปแล้วอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
โมมิจิถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูสนุก ในขณะที่นาโอยุกิเริ่มมีสีหน้าตึงเครียด
“เสร็จแล้ว”
ในจังหวะที่นาโอยุกิกำลังตึงกับคำถามของโมมิจิอยู่นั้น เด็กน้อยก็ได้เอามือออกจากคนแก่คนนั้นเรียบร้อย และแสงขาวนั้นก็ได้หายไปแล้ว
“เสร็จแล้ว... งั้นเหรอ?”
“นี่ เห็นให้ทำแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เช้าแล้ว มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เด็กน้อยถามขึ้น
“จำเป็นสิ จำเป็นสุดๆเลยล่ะ”
“นี่จะทำให้ความปรารถนาของฉันเป็นจริงได้งั้นสินะ?”
นาโอยุกิถามขึ้นอย่างแคลงใจ
“แน่นอน ว่าแต่จะไม่ตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นหน่อยเหรอ แบบนี้มันเรียกลำบากนะ”
“ชื่อเหรอ...”
นาโอยุกิทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหลุดชื่อหนึ่งออกมา
“ชิโอริ...”
“ชื่อนี้มีความหมายยังไงกันเหรอ?”
โมมิจิถาม
“ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก เพียงแต่เป็นชื่อที่เมื่อก่อนเราสองคนเคยคิดกันเอาไว้เท่านั้นล่ะ”
นาโอยุกิพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้า
====================
*โรงเรียนที่ญี่ปุ่นบางแห่ง จะมีการเรียนในวันเสาร์ด้วย แต่เป็นแค่ครึ่งวัน แต่ในปัจจุบันโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีการเรียนวันเสาร์แล้ว
*DNA ย่อมาจาก Deoxyribonucleic acid เป็นกรดนิวคลีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสำคัญในการกำหนดพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต โดยใช้หมู่เบสที่ต่างกันเป็นรหัส (รายละเอียดเรียนในชีววิทยา ม.ปลาย)
http://th.wikipedia.org/wiki/ดีเอ็นเอ
--------------------
รวมศัพท์ท้ายตอน
末期症状 まっきしょうじょう อาการป่วยระยะสุดท้าย
概念 がいねん ความคิดหรือความหมายทั่วไป,แนวความคิด,เนื้อหาหลักของความคิด
観点 かんてん มุมมอง
遺伝子 いでんし ยีน,หน่วยถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
塩基 えんき สารที่เป็นด่าง
核酸 かくさん กรดนิวคลีอิก