[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๖ ซ่อน (隠す)
>> กลับไปตอนที่ ๕
ผมกำลังเดินอยู่คนเดียวบนถนนทางกลับบ้านจากโรงพยาบาล ตอนนี้ตะวันได้ตกลับขอบฟ้าไปนานจนท้องฟ้ามืดลงกว่าที่คิดไปพอควรเลย ว่าแต่ไม่คิดเลยว่าจะถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล แถมสาเหตุก็ยังไม่ทราบแน่ชัดเสียด้วยสิ ตอนที่บอกเรื่องที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลให้มากินะฟัง ทั้งที่ดูจะไม่เต็มใจออกขนาดนั้นแต่ก็กลับยอมโดยง่าย หรือว่าจะเป็นเพราะอาการหนักจนไม่มีแรงแม้แต่จะฝืนแล้วกันนะ
ผมคิดอะไรต่างๆนานาไปในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น
“...อ้าว”
“อ้าว สวัสดี”
ทำไมโคโนะถึงยังใส่ชุดนักเรียนอยู่กันนะ หรือว่าจะยังไม่ได้กลับไปบ้านเลย?
“อื้อ สวัสดี”
เธอทักทายกลับด้วยท่าทีเช่นเดียวกับเมื่อตอนเช้าเลย
“มาทำอะไรน่ะ”
“อ่อ เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลน่ะ”
“งั้นเหรอ”
“โคโนะนั่นแหละ มาทำอะไรน่ะ”
“เดินเล่น”
“เวลาแบบนี้นี่นะ? แล้วเดี๋ยวก็ยังจะเดินเล่นต่ออยู่อีกเหรอ?”
“อื้อ”
“ป่านนี้แล้วนะ น่าจะรีบกลับบ้านไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหา”
บางทีอาจจะจริงก็ได้ จากที่ได้เห็นการโจมตีของเธอใส่ฮิซาชิมานั้น บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าผมอีกก็เป็นได้
“เธอนั่นแหละ รีบกลับบ้านดีกว่านะ ท้องถนนเวลากลางคืนมันอันตราย”
“เธอเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“เราไม่เป็นไร”
“ไม่ได้หรอก ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงด้วย เดี๋ยวเราพาไปส่งละกัน”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”
“แต่ว่าจะเป็นการรบกวน...”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าปล่อยให้โคโนะเดินกลับไปคนเดียวแบบนี้สิเรากลับจะยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ”
“............”
“เพราะฉะนั้น... ขอไปส่งนะ”
โคโนะจ้องผมด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์เหมือนอย่างเคย แต่จากนั้นหน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
“ว่าแต่ บ้านของโคโนะเนี่ยอยู่ทางไหนเหรอ”
“ทางนี้”
จากนั้นเราก็เดินกันไปตามทางที่โคโนะบอก
--------------------
“ว่าแต่ว่า มีคิดท่าใหม่ได้บ้างอีกหรือเปล่า”
พอเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศเงียบๆ ผมจึงเริ่มเปิดประเด็นคุยขึ้น
“ท่าในตอนนั้นชื่ออะไรนะ เอ่... เขาไท่ซานสุดตระการแปดวิถีอะไรนั่น”
“มีคิดใหม่อีกท่านึง”
ไม่ใช่จำได้ แต่คิดใหม่เลยงั้นหรือนี่...
“แล้วมีชื่อใหม่หรือยังล่ะ”
“ท่าสลายพลังกัมมันต์ปราณพยัคฆ์แห่งสำนักนัทสึกิ”
“......มันเป็นยังไงกันน่ะ?”
“เป็นท่าไม้ตายน่ะ เอาไว้ใช้ในระยะใกล้ ถ้าพยายามอาจใช้ในระยะปานกลางได้ ระยะไกลยังไม่ไหว ตอนนี้กำลังฝึก”
“ง..งั้นเหรอ ท่าไม้ตายสินะ...”
ถ้ายังเล่นไม่เลิกอีกคราวนี้นายอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไปก็ได้นะ ฮิซาชิเอ๋ย
“ว่าแต่ ชอบเกมแวเรียนต์ไฟต์จริงๆสินะ”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยเล่น”
“งั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าได้เห็นมาแล้วเหรอ”
“แค่อ่านมา”
ไม่น่าเชื่อ แค่อ่านเท่านั้นจริงๆเหรอนี่ เหตุผลแค่เพราะมีอยู่ในห้องสมุดถึงได้อ่านเท่านั้นเองจริงๆน่ะเหรอ
“งั้นเราให้ยืนเล่นเอามั้ย”
“จะดีเหรอ?”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยววันจันทร์จะเอามาให้”
“อื้อ ขอบใจ”
“ว่าแต่บ้านของโคโนะเนี่ยอยู่ตรงไหนนะ? จะไปส่งให้ถึงที่เลย”
“อืม......”
โคโนะทำท่าลังเลมองซ้ายมองขวาไปมา
“บ้านของเธอล่ะ?”
“บ้านเราเหรอ? อยู่ทางนี้น่ะ ทำไมเหรอ?”
“งั้น ทางนี้”
......ใช้คำว่า “งั้น” หมายความว่าไงกัน
“พูดจริงเหรอ?”
“ไม่ผิดแน่ บ้านของเราน่าจะอยู่ทางนี้”
พูดจบเธอก็รีบเดินจ้ำออกไป ผมเองแม้จะยังสงสัยอยู่แต่ก็ต้องรีบเดินตามไป
--------------------
“นี่ รอเดี๋ยวสิ”
“......หืม?”
พอได้ยินเสียงผม โคโนะก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา
“บ้านเราอยู่ตรงนี้”
“เหรอ ขอต้อนรับกลับบ้าน”
“อื้อ กลับมาแล้วครับ... เอ้ยไม่ใช่... แล้วบ้านของโคโนะล่ะ? ยังอีกไกลเหรอ?”
“ไม่ไกลหรอก อีกนิดเดียว”
“งั้นเดี๋ยวเราไปส่ง”
“ไม่เป็นไร อีกนิดเดียวเอง ไปคนเดียวก็ได้”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีปัญหา ไปล่ะนะ”
พูดจบโคโนะก็วิ่งจากไปด้วยความเร็วที่เร็วมากจนผมไม่อาจตามทัน
“เร็วจังเลยนะ ยัยนั่น”
ผมตัดใจจากความคิดที่จะไล่ตามไป จากนั้นจึงเดินเข้าบ้าน
--------------------
ณ ห้องแห่งหนึ่งซึ่งมีเตียงสีขาววางเรียงรายอยู่ กับเหล่าผู้คนที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนนั้น บุคคลเหล่านั้นซึ่งต่างก็ได้หลับไม่ตื่นมาเป็นเวลา ๑๐ ปี เบื้องหน้านั้น มากินะกำลังยืนอยู่
“คิดจะทำอะไรกับคนเหล่านี้กันน่ะ”
นาโอยุกิพูดขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ปลุกขึ้นมาไงล่ะ”
โมมิจิตอบ จากนั้นก็ดีดนิ้วดังเปาะ มากินะเริ่มขยับขึ้นเหมือนกับตอบรับต่อเสียงนั้น และยื่นมือเข้าไปยังผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้น
“ทำอะไรกับเด็กคนนี้น่ะ เห็นดูนิ่งเงียบสงบเชียว”
“แค่ทำให้ขยับตามที่ฉันสั่งน่ะ”
“ใช้เวทมนตร์หรือว่าสะกดจิตน่ะเหรอ?”
“ไสยเวทต่างหากล่ะ”
มากินะเอามือวางบนหน้าอกของชายคนนั้น จากนั้นก็เริ่มมีแสงสว่างสีขาวเกิดขึ้น
“ใช่ แบบนั้นล่ะ ค่อยๆ”
โมมิจิพูดสั่งขึ้น จากนั้นมือของมากินะก็ได้จมเข้าไปในร่างกายของชายคนนั้น พลันแสงสว่างได้ดับหายลง
นาโอยุกิเห็นดังนั้นก็มีท่าทีตกใจและพูดขึ้น
“นี่มันเหมือนกับตอนชิโอริ...”
“เปล่าหรอก กลับกันน่ะ”
“กลับกันงั้นเหรอ?”
“ของชิโอรินน่ะคือถอดวิญญาณออกจากร่างใช่มั้ยล่ะ เพราะฉะนั้นคิดว่ากระบวนการที่ตรงกันข้ามกันคืออะไรล่ะ?”
“ฝังวิญญาณ?”
“อื้อ ถูกต้อง เด็กคนนี้ทำการปลูกถ่ายวิญญาณที่ชิโอรินถอดออกมาไงล่ะ เข้าใจหรือยังล่ะ? นี่เป็นการเอาวิญญาณของคนอื่นมาใส่ให้กับผู้คนเหล่านั้นไงล่ะ”
“ยังมีเด็กที่มีความสามารถแบบชิโอริกับเด็กคนนี้อีกมากมายเลยงั้นเหรอ?”
“เปล่าหรอก เด็กที่ทำหน้าที่ถอดวิญญาณมีหนึ่งคน เด็กที่ทำหน้าที่ฝังวิญญาณก็มีหนึ่งคน และเด็กที่ทำหน้าที่เก็บรักษาวิญญาณก็มีหนึ่งคน”
“เก็บรักษาวิญญาณ?”
“เอาเถอะ ยังไงมันก็ยังไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำตอนนี้ล่ะนะ”
“๓ คนเหรอ... ถ้างั้นนอกจากเด็กคนนี้กับชิโอริแล้ว อีกคนนึงคือใครกันล่ะ รู้หรือเปล่า?”
“ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องนั้นผู้อำนวยการคนก่อนเขาเป็นคนเลือกเองน่ะ อย่าว่าแต่ชื่อเลย เพศอะไรฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นที่เจอเด็กคนนี้เข้าก็เป็นเรื่องบังเอิญเลยล่ะ”
“แล้วถ้าไม่ได้บังเอิญมาเจอเด็กคนนี้เข้าจะเป็นยังไงล่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงค่อยมาคิดกันอีกทีล่ะ มีหนทางตั้งมากมายอยู่แล้ว”
ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากเตียง
“อ๊ะ ตื่นแล้ว สำเร็จแล้วล่ะ สำเร็จ ทีนี้ก็ต่อเลยนะ”
โมมิจิพูด จากนั้นมากินะก็หันไปยังคนที่นอนอยู่ข้างๆต่อไป
สักพักชิโอริก็เดินเข้ามาพร้อมกับแมวตัวหนึ่ง
“นั่นมันอะไรน่ะ ไปเอามาจากไหนกัน”
“อ่อ เนี่ยเหรอ? เก็บได้น่ะ”
นาโอยุกิมองแมวที่ชิโอริกอดอยู่ด้วยท่าทีเคลือบแคลงสงสัย
“คิดจะทำอะไรอีกล่ะ?”
“อื้อ แค่มีเรื่องที่อยากลองทำดูนิดหน่อยน่ะ”
--------------------
ผมกำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่กับซายะซังสองคน
“ซายะซัง วันนี้จะเอายังไงดี?”
“ที่จริงวันนี้ฉันอยากจะไปรับมากินะด้วย แต่พอดีเมื่อวานมีอุบัติเหตุนิดหน่อย วันนี้ก็เลย...”
“งั้นหรือครับ”
“อ่อ แต่ว่าคืนนี้กลับมาทันมื้อเย็นแน่นอน”
“ซายะซัง ผมมีเรื่องจะขอร้องสักหน่อย”
“อะไรเหรอจ๊ะ?”
“วันนี้วันเกิดของมากินะ เพราะฉะนั้นช่วยทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงให้หน่อยได้มั้ยครับ เอาแบบหรูๆไปเลย”
“แน่นอนค่ะ เข้าใจแล้ว จะทำสุดความสามารถเลย”
“รบกวนด้วยนะครับ”
“จ้ะ ไว้ใจได้เลย จะทำของที่มากินะจังชอบเอาไว้ให้เยอะๆเลยล่ะ”
ซายะซังดูฮึกเหิมขึ้นมาทันทีเลย ท่าทีแบบนี้อาหารคืนนี้คงต้องอร่อยมากแน่นอน
--------------------
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จซายะซังก็ออกไปทำงาน ส่วนผมก็นั่งเรื่อยเปื่อยไปสักพักจึงออกจากบ้านมา เวลานี้น่าจะได้เวลาเยี่ยมไข้แล้วล่ะมั้งนะ
“ไง!”
ขณะที่ผมกำลังเดินมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“อ้าว ฮิซาชิเองเหรอ”
“มากินะจังอาการเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“นอนโรงพยาบาลน่ะ”
พอผมพูดออกไปฮิซาชิก็มีท่าทีตกใจขึ้นมา
“อาการไม่ดีงั้นเหรอ?”
“ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน แต่เห็นบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่นอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการเผื่อไว้เพื่อความแน่ใจน่ะ”
“ขอไปเยี่ยมได้มั้ยนี่”
“ก็ได้อยู่หรอก แต่เดี๋ยววันนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ และที่สำคัญ วันนี้นายมีเรียนเสริมไม่ใช่เหรอ?”
“เอ๋! รู้ได้ไงอะ!?”
“ก็เห็นสวมชุดนักเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“โธ่เว้ย ไม่ใช่ว่าเราอยากจะไปเรียนเสริมสักหน่อย”
“เอาเถอะ แค่อุตส่าห์เป็นห่วงก็ขอบใจมากแล้วล่ะ”
“งั้นอย่างน้อยขอซื้อของเยี่ยมไข้ไปให้ละกัน”
“แค่นี้ถึงขั้นซื้อของเยี่ยมให้มันก็ออกจะเกินไปหน่อยมั้ง”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก ที่สำคัญวันนี้เป็นวันเกิดของมากินะจังไม่ใช่เหรอ?”
อืม จะว่าไปก็นั่นสินะ ว่าแต่... เอ๋?
“แล้วทำไมนายถึงรู้วันเกิดของมากินะได้ล่ะ?”
“ฮะๆๆ ถามโง่ๆน่ะ ก็ไปสำรวจมาน่ะสิ”
“ทำยังไงกันล่ะนี่?”
“เรื่องนั้นขอปิดเป็นความลับทางธุรกิจ”
“............”
“ยังไงก็เถอะ ไปซื้อกันดีกว่า”
“เราก็ต้องไปด้วยเหรอ?”
“แน่นอนสิ ถ้านายไม่ไปแล้วใครจะเป็นคนเอาไปให้ล่ะ”
“อ่า นั่นสินะ”
จากนั้นผมก็จึงเดินตามฮิซาชิออกไป
--------------------
“เอาล่ะ งั้นนายรออยู่ตรงนี้นะ เราจะออกไปซื้อ”
“ไม่ให้ไปด้วยกันเหรอ?”
“ไม่ล่ะ ให้นายไม่รู้ของข้างในด้วยแบบนี้น่าจะสนุกกว่า”
“...งั้นเหรอ ยังไงก็รีบกลับมาเร็วๆล่ะ”
จากนั้นฮิซาชิก็เดินหายเข้าไปท่ามกลางฝูงชน ว่าแต่หมอนั่นตั้งใจจะซื้อของขวัญแบบไหนมากันนะ
--------------------
“นี่ หนุ่มน้อยตรงนั้นน่ะ”
ระหว่างที่ผมกำลังแหงนมองท้องฟ้าไประหว่างที่รอฮิซาชิอยู่นั้น ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น พอหันไปก็พบหญิงสาวคนหนึ่ง
“หืม?”
“เห็นผู้ชายหนวดเครารุงรังวัยกลางคนผ่านมาทางนี้บ้างมั้ย?”
“เอ่...”
พอมองไปรอบๆ แถวนี้ก็มีผู้ชายวัยกลางคนที่หนวดเครารุงรังอย่างที่ว่ามาอยู่เต็มไปหมด
“จะว่าไปก็ ตรงโน้น ตรงนี้ อ้อ ตรงโน้นด้วย”
“......นั่นสินะ โทษทีที่ถามอะไรแปลกๆ”
“ให้ผมช่วยตามหาด้วยมั้ยล่ะครับ”
“เอ๋? ไม่เป็นไรหรอก โทษที ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนด้วยสิ ยังไงก็จะลองตามหาดูคนเดียวละกัน ขอบใจมากนะ ไปก่อนล่ะหนุ่มน้อย”
จากนั้นเธอก็เดินจากไป ในจังหวะนั้นฮิซาชิก็วิ่งกลับมา
“ขอโทษที่ให้รอ เอ้านี่ ฝากด้วยนะ”
จากนั้นฮิซาชิก็ยื่นกล่องที่ถูกห่อของขวัญขนาดพอประมาณให้
“อื้อเข้าใจแล้ว”
“แล้วเจอกัน”
--------------------
“ท่านพี่!”
“อ๊อก!”
พอผมก้าวเข้ามาในห้องผู้ป่วย มากินะก็พุ่งเข้าใส่ทันที ดูท่าทางจะแข็งแรงดีนะ
จากนั้นเราก็คุยกันอยู่สักพัก เท่าที่ดูก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ดูแข็งแรงหายดี กลับมาเป็นมากินะที่ดูร่าเริงตามปกติ
“ท่านพี่ นั่นอะไรน่ะ”
มากินะเริ่มสังเกตเห็นของที่ผมถือมาจึงถามขึ้น
“อ่อ ของขวัญที่ฮิซาชิฝากมาน่ะ”
“ของขวัญจากฮี้ตันเหรอ?”
“ก็วันนี้เป็นวันเกิดของมากินะนี่นา”
“ขอบคุณมาก ท่านพี่ ขอเปิดดูได้มั้ย?”
“เชิญตามสบายเถอะ พี่จะขอไปคุยกับคุณหมอเขาหน่อย มากินะรออยู่ที่นี่ก่อนนะ”
--------------------
“พอตอนเช้าก็ดูแข็งแรงขึ้นมากเลยล่ะ เกรงว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
ได้ยินคุณหมอพูดเองแบบนี้ก็ค่อยโล่งใจหน่อย คงไม่เป็นอะไรแล้วสินะ
“ถ้างั้นวันนี้ก็ให้กลับบ้านได้เลยใช่มั้ยครับ?”
“เรื่องนั้นคงต้องถามท่านผอ.ดูน่ะ เพราะท่านเป็นคนดูแลอยู่ เดี๋ยวจะเรียกให้นะ เธอไปรออยู่ที่ล็อบบีได้เลย”
คุณหมอพูดจบก็เดินออกไป จากนั้นผมเองก็ไปรออยู่ที่ล็อบบีตามที่คุณหมอบอก
--------------------
“ยังไม่สามารถให้ออกจากโรงพยาบาลได้”
“เอ๋?”
หลังจากที่รอที่ล็อบบีได้สักพักยาซากะซังก็เดินเข้ามาหา
หมายความว่าไง? ทั้งที่ดูแข็งแรงออกแบบนี้แท้ๆ
“ถ้าจะให้ตรวจดูเพื่อความแน่ใจอีกทีจะว่ายังไง? คราวนี้จะเป็นการพักตรวจร่างกายจริงๆแล้ว”
“แต่ว่า ก็ดูแข็งแรงดีแล้วนี่ครับ”
“ก็อยากจะตรวจดูให้แน่ใจว่าแข็งแรงดีจริงๆหรือเปล่านี่สิ”
ที่ยาซากะซังพูดก็ฟังดูมีเหตุผล แต่มากินะคงร้องโวยไม่ยอมแน่ แถมเมื่อครู่คุณหมอก็บอกว่าดูจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ที่สำคัญคือวันนี้เป็นวันเกิดของมากินะด้วยสิ ไม่อยากให้มานอนอยู่โรงพยาบาลคนเดียวในวันแบบนี้เลย
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรสินะครับ”
“อื้อ สำหรับตอนนี้นะ”
“ถ้างั้น ขอพาออกจากโรงพยาบาลวันนี้นะครับ”
“งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว จะให้ฝืนอยู่ต่อไปก็คงไม่ได้ล่ะนะ นี่เป็นนามบัตรของฉัน ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรเรียกได้ทันทีเลย”
“ขอบคุณมากครับ”
พูดจบยาซากะซังก็เดินจากไป จากนั้นผมก็คุยกับคุณหมอต่ออีกสักพักก็มีผู้ป่วยหมดสติถูกหามส่งเข้ามาในลักษณะเช่นเดียวกับเมื่อวาน
“อีกแล้วเหรอ”
คุณหมอพูดขึ้น
“อีกแล้ว?”
“อ่อ ช่วงนี้มีผู้ป่วยหมดสติอย่างไม่ทราบสาเหตุน่ะ อาการแบบนี้เหมือนกันทุกรายเลย”
“อะไรกัน...”
หรือว่ามากินะเองก็...?
“อ้อ น้องสาวของเธอน่ะไม่ใช่หรอก ไม่มีอาการแบบที่ว่ามานั่นสักหน่อย ทุกรายน่ะเท่าที่รู้คือยังหมดสติอยู่เลย”
“งั้นหรือครับ เป็นโรคที่แปลกประหลาดจังเลยนะครับ”
“นั่นสินะ โทษทีนะ ฉันต้องไปแล้ว มีคนไข้ที่ถูกส่งมาให้ต้องดูแลอีก”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
คุณหมอพูดจบแล้วก็เดินจากไป
--------------------
เมื่อนาโอยุกิเดินกลับมาที่ห้อง ก็มีสาวน้อยคนหนึ่งรออยู่ก่อนแล้ว
“วันนี้อยู่ด้วย แปลกจังเลยนะ ทุกทีเห็นต้องออกไปเล่นปาจิงโกะนี่นา”
“วันนี้เป็นม้าแข่งน่ะ ที่เหลือก็แค่รอผล”
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ว่าแต่เด็กคนนั้นน่ะ ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว เพราะทางบ้านเขาขอมาน่ะ”
“งั้นเหรอ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ว่าเด็กคนนั้นอาจจะจำเป็นอีกก็ได้นะ”
“ถ้าให้คนที่แข็งแรงดีแล้วอยู่โรงพยาบาลต่อไป จะยิ่งเป็นที่น่าสงสัยน่ะสิ”
“เอาเถอะ ถ้าจำเป็นเมื่อไหร่ละก็ คงจะมาอีกนั่นล่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
“จะว่าไปแล้ว ทำไมเมื่อวานเด็กคนนั้นถึงได้อาการไม่ดีขึ้นมาล่ะ”
“คือว่านะ เมื่อวานมีบอกไปว่าเด็กคนนั้นก็คือ “ประตูออก” แล้วชิโอรินก็คือ “ประตูเข้า” จำได้ใช่มั้ย?”
“อื้อ บางทีนะ”
“เพราะชิโอรินที่เป็นประตูเข้านั้นได้ทำการถอดวิญญาณเข้ามาเรื่อยๆ แต่เด็กคนนั้นซึ่งเป็นประตูออกกลับไม่ได้ปล่อยวิญญาณออกมาข้างนอกเลย พอเป็นแบบนั้นแล้ว วิญญาณที่สูญเสียที่ไปก็เลยเข้าไปดันกันอยู่ที่ประตูทางออกไงล่ะ”
“เพราะถูกดันโดยการมีอยู่ของวิญญาณนั้นเข้า เด็กคนนั้นก็เลยเกิดอาการทรมานขึ้นมางั้นเหรอ?”
“ถ้าพูดง่ายๆก็ประมาณนั้นล่ะ”
“แล้วชิโอริไม่เป็นอะไรเลยเหรอ?”
“ไม่รู้สิ เท่าที่เห็นจนถึงตอนนี้ก็ไม่นะ”
“งั้นเหรอ”
“โล่งอกล่ะสินะ หรือว่า รู้สึกเป็นห่วงเด็กคนนั้นสินะ”
“เปล่านี่ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วมันมีปัญหาอะไรเหรอ?”
“คุณก็รู้ตัวตนของเด็กคนนั้นดีแล้วนี่นา ถึงอย่างนั้นแล้วยังจะรักเด็กคนนั้นได้ลงอีกเหรอ?”
“เด็กคนนั้นคือชิโอริลูกชายของฉัน สำหรับฉันแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีความหมายอะไรมากไปกว่านั้น”
โมมิจิยิ้มอย่างดูสนุกสนานต่อคำพูดของนาโอยุกิ
“ที่สำคัญช่วยบอกทีได้มั้ย ว่าคิดจะทำให้เธอตื่นขึ้นมาได้ยังไง”
โมมิจิดูมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยต่อคำถามของนาโอยุกิ แต่นั่นดูเป็นสีหน้าเหมือนพ่อแม่ที่ไม่รู้จะตอบคำถามของเด็กที่เอาแต่ขี้สงสัยยังไง มากกว่าที่จะดูเหมือนจนต่อคำถาม
“อย่างที่บอก นั่นน่ะเป็นการปลูกถ่ายวิญญาณ ถ้าให้เธอตื่นขึ้นมาด้วยวิญญาณของคนอื่นก็คงจะไม่มีความหมายสินะ”
“ถ้างั้นแล้ว ตั้งใจจะทำยังไงกันล่ะ”
“คือว่านะ วิญญาณน่ะคืออะไรกันล่ะ”
“...อย่างที่เธอพูดนั่นล่ะ คือสิ่งที่จารึกข้อมูลของคนเอาไว้ สำคัญยิ่งกว่าดีเอ็นเอ”
“ใช่แล้ว ดังนั้นถ้าหากว่าทำการวิเคราะห์วิญญาณละก็ จะทำให้รู้นิสัย ความคิด สภาพอารมณ์ แล้วก็ข้อมูลหลายอย่างในปัจจุบันได้ไงล่ะ สรุปก็คือ ถ้าสามารถเขียนแก้ทับข้อมูลได้ละก็ จะสามารถแก้ไขอะไรต่างๆได้ใช่มั้ยล่ะ เช่นว่าลบสาเหตุที่ทำให้เธอนอนหลับมาตลอดนั้นให้หายไปได้”
“ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้อยู่พอควรงั้นสินะ”
พอคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ อาจจะสามารถช่วยเธอได้ขึ้นมา นาโอยุกิก็รู้สึกเลือดในกายเดือดพล่านขึ้นมาทันที
“ว่าแต่ จะวิเคราะห์วิญญาณได้ยังไงกัน กับของที่มองไม่เห็นด้วยตานี่นะ”
“เพราะอย่างนั้นถึงได้ทำการทดลองเมื่อวานไงล่ะ”
“เมื่อวานเหรอ? หมายถึงที่ปลูกถ่ายวิญญาณสินะ?”
“คือว่านะ การที่สามารถถอดและฝังวิญญาณได้สำเร็จเนี่ย มันมีหมายความว่ายังไงรู้มั้ย?”
“เวทมนตร์อะไรนั่นประสบความสำเร็จ... งั้นเหรอ?”
“น่าเสียดาย คำตอบผิดไปนิดหน่อย ไม่ใช่เวทมนตร์แต่เป็นไสยเวทต่างหากล่ะ คือว่าการที่ปลูกถ่ายวิญญาณได้สำเร็จน่ะ ก็แสดงให้เห็นว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ไงล่ะ”
“อะไรบางอย่างที่ว่านั่นก็คือวิญญาณสินะ”
“ใช่ เพราะฉะนั้น ถ้าหากรู้ได้แม้กระทั่งว่าอะไรเคลื่อนไหวเป็นยังไงละก็ ก็จะสามารถจำกัดความตัวตนของวิญญาณ และจัดการกับมันได้ใช่มั้ยล่ะ”
“สรุปก็คือ ถ้าหากสามารถทำให้วิญญาณอยู่ในรูปของสิ่งที่มองเห็นด้วยตาได้ แล้วทำการวิเคราะห์งั้นสินะ?”
“ใช่แล้วล่ะ วิธีนั้นไง คือแค่เขียนใหม่ในรูปของศูนย์กับหนึ่ง ที่เขาเรียกกันว่าแปลงเป็นดิจิทัลสินะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
ถ้อยคำเพียงคำเดียวของนาโอยุกิ แต่ก็ทำให้สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจจนไม่อาจจะบรรยายได้ออกมาได้จากคำพูดนั้น
“หมดคำถามแล้วใช่มั้ย”
“ขอถามคำถามสุดท้ายอีกอย่าง ทำไมเธอถึงได้รู้เรื่องพวกนี้ได้?”
“เรื่องพวกนี้?”
“ทั้งเรื่องไสยเวทก็ด้วย แล้วก็ยังรู้เรื่องของฉันอีก”
“อ้าว ยังไม่ได้บอกอีกเหรอ? ฉันน่ะ เมื่อ ๑๐ ปีก่อนนี้ก็ได้เข้าร่วมวิจัยด้วยไงล่ะ คนที่ทำให้พ่อของเธอ หรือก็คือผู้อำนวยการคนก่อนนั้นสนใจเริ่มทำงานวิจัยนี้ก็คือฉัน” *
“เธอน่ะเหรอ?”
นาโอยุกิมองโมมิจิด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะจนถึงตอนนี้เขาได้รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ธรรมดา
“ฉันน่ะ แรกเริ่มเดิมทีถูกพ่อแม่พามาเพราะว่าเป็นเด็กที่ดูแปลกประหลาดอย่างน่ากลัว เห็นอย่างนี้ฉันน่ะเมื่อก่อนเป็นเด็กที่มักจะโดนแกล้งล่ะ เพราะว่ามีความรู้อะไรมากมายติดตัวมาตั้งแต่เกิด จึงถูกมองด้วยสายตาที่หวาดกลัว ว่าเป็นเด็กที่ฉลาดเกินจนผิดปกติ จากนั้นฉันก็เลยถูกพามาที่นี่ทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเลย แล้วก็ได้มาเจอกับพ่อของเธอ”
“กับชายคนนั้น...?”
“ฉันเองก็รู้เรื่องไสยเวทนั้นมาแต่แรกแล้ว เพราะติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นจึงได้บอกถึงเรื่องไสยเวทซึ่งน่าจะดึงดูดความสนใจเขาได้นั้นให้ฟัง”
“เพื่ออะไร?”
“เพื่อตัวฉันเองด้วยล่ะ เพราะมันเกี่ยวกับเป้าหมายของฉันอยู่ด้วย”
“เป้าหมายนั้นคืออะไรกัน?”
“นั่นเป็นความลับ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอหรอก ที่สำคัญ สิ่งที่เธอควรจะสนใจน่ะไม่ใช่ฉันหรอก ตอนนี้มีสิ่งที่ควรจะให้ความสำคัญกว่าอยู่ไม่ใช่เหรอ”
พูดจบเธอก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งนาโอยุกิให้เหลืออยู่ในห้องเพียงคนเดียว
====================
* ในตอนนี้โมมิจิเริ่มเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกนาโอยุกิมาเป็น คิมิ(きみ) (ในที่นี้แปลว่า เธอ แต่ก่อนหน้านี้เรียกว่า อานาตะ(あなた) แปลว่า คุณ) ซึ่งคำนี้ปกติไว้ใช้เรียกเพื่อนหรือคนที่อายุต่ำกว่า ไม่ควรนำมาใช้กับคนที่อายุมากกว่า การที่โมมิจิเรียกนาโอยุกิเช่นนั้น อาจแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนเล่น หรือความรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าก็เป็นได้
--------------------
รวมศัพท์ท้ายตอน
合点 がってん รับรู้,รับทราบ,พยักหน้า,ยินยอม,เข้าใจ
キョロキョロ การมองหาไปทั่ว
スタスタ (เดิน)อย่างรีบเร่ง,อย่างว่องไว,(ก้าว)ฉับไวโดยไม่เหลียวชำเลืองใคร
定着 ていちゃく การติดแน่น,(ความคิด เรื่องใหม่)เป็นที่ยอมรับ,เป็นที่แพร่หลาย
保管 ほかん เก็บรักษา
怪訝 けげん อัศจรรย์,ไม่น่าเชื่อ,ประหลาดใจ
髭面 ひげづら หนวดเครารุงรัง
崇高 すうこう ความยิ่งใหญ่,ความสูงสง่า,ความสูงส่ง,ความเป็นเลิศ,ความเป็นที่สุด
圧迫 あっぱく การกดอย่างแรง,กดดัน,ปราบปราม
吹き込む ふきこむ ปลูกฝังความเชื่อ,ดลใจ