φυβλαςのβλογ
phyblasのブログ



บันทึกการไปเที่ยวกว่างโจวและเซินเจิ้นประเทศจีนช่วงวันชาติจีนปี 2009
เขียนเมื่อ 2009/10/21 22:14
แก้ไขล่าสุด 2024/10/29 05:14
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา 1-3 ตุลาคม 2009 มีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองกว่างโจวและเซินเจิ้นประเทศจีนมาก็เลยมีเรื่องมาเล่านิดหน่อย

เนื้อหาอาจจะยาวนิดหน่อย ดังนั้นขอแบ่งเป็นหัวข้อ เพื่อให้อ่านกันได้ง่ายขึ้น

 

๑. แนะนำสถานที่คร่าวๆ
กว่างโจวและเซินเจิ้นเป็นเมืองที่อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง หรือมณฑลกว่างตง (广东省)ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน ละติจูดประมาณ 20-25 องศาเหนือ ดังนั้นจึงเป็นเขตร้อน ภูมิอากาศแบบร้อนชื้น เช่นเดียวกับไทย


เมืองกว่างโจว (广州市) เป็นเมืองหลวงของมณฑลกวางตุ้ง บางครั้งคนไทยก็เรียกว่ากวางเจา เป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดทางตอนใต้ของจีน

เมืองเซินเจิ้น (深圳市) อยู่ไม่ไกลจากกว่างโจวมากนัก เป็นเมืองที่อยู่ติดกับเขตการปกครองพิเศษฮ่องกง เป็นเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่าที่สำคัญ ผู้คนหนาแน่น


ตำแหน่งสีแดงในภาพคือมณฑลกวางตุ้ง


จากแผนที่หมายเลข 9 คือเขตกว่างโจว ส่วนหมายเลข 21 คือเขตเซินเจิ้น ส่วนสีเขียวที่อยู่ติดกับเซินเจิ้นนั้นก็คือเขตการปกครองพิเศษฮ่องกง

 

๒. จากสนามบินไปยังตัวเมือง
พอไปถึงที่นั่น ที่แรกที่ต้องเจอก็คือสนามบิน (แหงล่ะ) สนามบินที่นี่มีชื่อว่าสนามบินนานาชาติกว่างโจวไป๋ยฺหวิน (广州白云) ตั้งอยู่ในเขตของกว่างโจว ห่างออกจากตัวเมืองไปทางเหนือพอสมควร


ไม่แน่ใจเรื่องระยะทางว่าไกลแค่ไหน แต่นั่งรถแท็กซีจากที่นั่นมาจนถึงโรงแรมที่กลางเมืองก็จ่ายถึง 160 หยวน แค่ค่ารถแท็กซีก็ยังแพงเอาการ

ขากลับจึงตัดสินใจนั่งรถบัสแทน มันเป็นรถที่ทำหน้าที่ส่งคนไปมาระหว่างตัวเมืองกับสนามบิน โดยในตัวเมืองจะมีอยู่หลายจุดที่สามารถขึ้นได้ นับว่าเป็นตัวอำนวยความสะดวกที่สำคัญมาก หากกรุงเทพฯมีแบบนี้บ้างก็คงจะสะดวกดี


ในตัวสนามบินของตอนขากลับ มีของที่ระลึกขายเป็นแพนด้าด้วย สมเป็นของที่ระลึกของจีน แต่แพงมากแถมยังไม่ประณีต เลยไม่ได้ซื้อมา

 

๓. การคมนาคมภายในเมืองกว่างโจว
ระหว่างที่อยู่ที่นั่น ก็เที่ยวชมเมืองไปเรื่อยๆ บ้างก็ใช้รถแท็กซี บ้างก็ใช้รถเมล์ บ้างก็ใช้รถไฟฟ้า


สิ่งแรกที่ทำให้ประหลาดใจมากที่สุดของที่นั่นก็คือ พวงมาลัยเขาอยู่ซ้าย เล่นเอางงเลยทีเดียว นึกว่ามีแต่ทางอเมริกากับยุโรปเสียอีก ที่พวงมาลัยอยู่ซ้าย

รถแท็กซีที่นั่นแปลกมากเลย มีลูกกรงเหล็กกั้นระหว่างที่นั่งข้างหน้าของคนขับ กับข้างหลังของผู้โดยสารด้วย สงสัยกลัวคนขับโดนจี้ได้ง่าย

ส่วนรถเมล์ที่นั่นก็เรียกได้ว่าสะดวกมากทีเดียว ตามป้ายรถเมล์จะมีบอกละเอียดเลยว่าขึ้นสายไหนไปที่ไหนได้บ้าง ทำให้ไม่ต้องรอถามคนใกล้ๆว่าจะขึ้นสายไหนดี ทำไมในกรุงเทพฯถึงไม่มีแบบนี้บ้างนะ
รถเมล์ของเขาก็ติดแอร์ทุกคัน แถมสภาพดูดีมากเลย ไม่ดูเก่าโทรมเหมือนถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการบำรุง


การจราจรที่นั่นก็ไม่ค่อยติดขัดเท่าไหร่ ทั้งที่เป็นเมืองใหญ่ เหมือนเขาจะวางระบบไว้เป็นอย่างดี ทั้งที่ประชากรที่นั่น 7 ล้านกว่าคน น้อยกว่ากรุงเทพฯไม่มาก

ส่วนรถไฟฟ้าก็เป็นระบบเดียวกับกรุงเทพฯเลย ที่นั่นเขาเรียกรถไฟฟ้าว่าเมโทร ไม่ต่างจากของกรุงเทพฯมาก แต่ที่ต่างคือเส้นทางเยอะกว่า โยงไปทั่วเมือง แถมยังมีโครงการขยายเพิ่มเติมอีกยาวไกล (จะให้เป็นแบบโตเกียว) และเท่าที่ดูกำหนดการสร้างเสร็จ เหมือนมันจะไปอย่างรวดเร็วมาก

 

๔. สิ่งมหัศจรรย์ในเมืองกว่างโจว
ที่เมืองกว่างโจวนี้ มีสถานที่สำคัญที่เป็นจุดสนใจอยู่มากเลยทีเดียว


อย่างแรกก็คือหอคอยกว่างโจว (广州塔) ถือเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก และเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงเป็นอันดับสองของโลก(รองจากตึกบูร์จดูไบของสหรัฐอาหรับเอมิเรต) ด้วยความสูง 610 เมตร อย่างไรก็ตาม มันเป็นความสูงของเสาบนยอด ส่วนตัวตึกจริงๆสูง 454 เมตร ซึ่งก็ถือว่าสูงมากอยู่ดี

ตึกที่สูงรองลงมาก็คือตึกศูนย์การเงินนานาชาติกว่างโจว (广州国际金融中心) สูง 440 เมตร มี ๑๐๓ ชั้น นับเป็นตึกที่สูงเป็นอันดับ ๙ ของโลก และอันดับ ๔ ของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยตึกที่สูงสุดอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งสูงเป็นอันดับ ๓ ของโลก

และยังมีตึกซิติกพลาซา (中信广场) ซึ่งสูง 391 เมตร เป็นตึกที่สูงรองลงมา

นอกจากนี้ก็มีตึกสูงๆอีกมากมาย ที่ย่านใจกลางเมืองกว่างโจวนั้น เต็มไปด้วยตึกสูงเรียงรายเต็มไปหมดเลย สมกับที่เป็นเมืองใหญ่ศูนย์กลางแห่งภาคใต้ของจีน

สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเจริญของจีนได้เป็นอย่างดี



รูปซ้าย ทางซ้ายเป็นตึกเวสต์ทาวเวอร์ ส่วนทางขวาคือหอโทรทัศน์จุดชมวิว

 

๕. ริมฝั่งแม่น้ำจูเจียง
แม่น้ำจูเจียง (珠江) หรือแม่น้ำไข่มุกเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านกลางเมืองกว่างโจว คำว่าจูแปลว่าไข่มุก เจียงแปลว่าแม่น้ำ เป็นแม่น้ำสายยาว 2200 เมตร ไหลมาไกลจากมณฑลยฺหวินหนาน(ยูนนาน) และไหลลงทะเลจีนใต้ที่บริเวณกว่างโจว


มีคืนหนึ่งได้มีโอกาสไปล่องเรือชมริมฝั่งแม่น้ำ เป็นเรือรับจ้างที่เป็นร้านอาหารไปด้วยที่คล้ายๆกับเรือล่องแม้น้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพฯ
บรรยากาศริมฝั่งยามค่ำคืนนั้นงดงามสุดยอดเลย ความสวยงามที่คิดว่าเหนือกว่าที่ได้เห็นในกรุงเทพฯ


ริมฝั่งน้ำของที่นั่น เหมือนถูกจัดโซนไว้เป็นอย่างดี ตึกสูงๆที่เห็นตามริมน้ำนั้น ต่างเปิดไฟส่องแสงสีสวยงาม บางตึกถูกทำเป็นจอโทรทัศน์ขนาดยักษ์ด้วย และยังเห็นตึกรูปทรงแปลกๆมากมาย

นอกจากนี้บริเวณริมฝั่งแม่น้ำของที่นั่น ยังไม่มีสิ่งก่อสร้างอยู่เลย ซึ่งเป็นเรื่องดี เพราะการมีสิ่งก่อสร้างอยู่ริมฝั่งจะทำให้แม่น้ำเกิดมลพิษได้ง่าย ไม่เป็นผลดี สิ่งก่อสร้างที่เห็นนั้นจะอยู่ห่างจากริมแม่น้ำออกไป น่าเสียดายที่ในกรุงเทพฯไม่เป็นแบบนั้น เดาว่าคงเพราะวัฒนธรรมคนไทยชอบสร้างบ้านติดริมแม่น้ำ


เรือที่พาล่องแม่น้ำ


ทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำยามเย็น



ทิวทัศน์ริมฝั่งน้ำยามค่ำคืน

 

๖. สถานที่สำคัญที่ได้ไปมาในกว่างโจว
ที่ไปมาครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากดูเฉยๆ เนื่องจากไปแบบประหยัด เป็นทัศนศึกษาจริงๆ ดูด้วยตาอย่างเดียว โดยมากจะนั่งรถเมล์หรือแท็กซีเพื่อชมเมือง


และสถานที่ที่ไปมาก็มี มหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็น (中山大学) ซึ่งมีรูปปั้นที่ระลึกของ ดร.ซุนยัดเซ็น (ซุนจงซาน) บุคคลผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของชาติ มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย ดร.ซุนยัดเซ็นเอง

ดร.ซุนยัดเซ็นเป็นคนกวางตุ้ง ถิ่นเกิดของเขาอยู่ที่เขตที่อยู่ติดกับกว่างโจว คือเมืองจงซาน ซึ่งตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
ตอนที่ไปก็ได้เข้าไปเดินชมและถ่ายรูปมานิดหน่อย


จากแผนที่ด้านบน เมืองจงซานคือหมายเลข  19

อีกที่ที่ได้ไปมาก็คือวัดลิ่วหรงซื่อ (六榕寺) หรือวัดหกไทร(ลิ่ว=หก, หรง=ต้นไทร, ซื่อ=วัด) เป็นวัดทางพุทธศาสนาซึ่งมีจุดเด่นที่อาคารแปดชั้น สวยงามมาก ซึ่งตัวอาคารนั้นเขาห้ามคนขึ้น

ก็เข้าไปถ่ายรูปตัวอาคารมา แต่ไม่ได้จุดธูปไหว้อะไร เนื่องจากคนเยอะมาก และตัวเองก็ไม่ใช่ชาวพุทธด้วยสิ



มหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็น


อาคารแปดชั้นของวัดหกไทร

 

๗. ถนนสายประวัติศาสตร์
ระหว่างที่เดินเที่ยวอยู่ตามย่านในเมืองกว่างโจวนั้น ก็ได้ไปเจอสิ่งที่น่าสนใจเข้า นั่นก็คือตรงบริเวณทางเดินที่เป็นลานนั้น จะเห็นบริเวณที่พื้นเป็นกระจกอยู่เป็นหย่อมๆ

เมื่อมองทะลุกระจกลงไปก็จะพบกับถนนสมัยโบราณ ซึ่งเขาบอกว่าถนนที่เห็นนี้ถูกสร้างเมื่อสมัยราชวงศ์ซ่ง (ปี ค.ศ. 960-1279)


ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครั้งที่สร้างเมืองนี้ให้เป็นเมืองสมัยใหม่ เขาจะยังคงอนุรักษ์ของเก่าไว้เป็นที่ระลึกด้วย แม้จะไม่ได้ใช้แล้ว แต่ก็กลายเป็นเหมือนอนุสรณ์โบราณให้อยู่ชื่นชมกันได้ตลอดไป

ที่นั่นเขารู้จักการอนุรักษ์ของเก่าเป็นอย่างดีจริงๆ เพราะจีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จึงมีสิ่งโบราณที่น่าอนุรักษ์อยู่เยอะ

 

๘. ทางรถไฟสายกว่างโจวเซินเจิ้น
นอกจากการคมนาคมภายในเมืองแล้ว การคมนาคมระหว่างเมืองของที่นั่นก็ดีเช่นกัน


รถไฟสายกว่างโจวเซินเจิ้นนี้เชื่อมเมืองสำคัญทั้งสองเมืองนี้เขาด้วยกัน ด้วยรถไฟความเร็วสูงถึงประมาณ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยระยะทางจากต้นไปยังปลายสายคือ 147 กิโลเมตร ทำให้สามารถเดินทางข้ามเมืองได้ภายในไม่ถึงชั่วโมง นับว่าสะดวกมาก


วิวข้างทางขณะนั่งรถไฟระหว่างเมืองกว่างโจวกับเซินเจิ้น

 

๙. เซินเจิ้นกับฮ่องกง
เมืองเซินเจิ้นนั้นเหมือนจะถูกสร้างมาโดยมีฮ่องกงเป็นแบบอย่าง เท่าที่เห็นเป็นเมืองที่เจริญมาก แออัดกว่ากว่างโจวเยอะ เพราะพื้นที่ไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ยังถือว่ามากกว่าฮ่องกง และแออัดน้อยกว่า


ในเมืองมีแต่ตึกสูงเต็มไปหมด แม้จะไม่สูงระฟ้าแบบที่กว่างโจว แต่โดยเฉลี่ยแล้วน่าจะสูงกว่า ดูเหมือนว่าประชากรเกือบทั้งหมดจะอาศัยอยู่บนตึกสูง หาบ้านเดี่ยวได้ยาก

และเนื่องจากอยู่ติดกับฮ่องกง ค่าครองชีพก็ดูจะสูงตามด้วย แพงกว่ากว่างโจวอย่างเห็นได้ชัด

บริเวณเมืองของเซินเจิ้นนั้นอยู่ติดกับแม่น้ำที่จะข้ามฝั่งไปฮ่องกง ถ้าข้ามแม่น้ำนี้ไปก็จะเป็นเขตของฮ่องกง ซึ่งมีแต่ภูเขาและธรรมชาติ เนื่องจากบริเวณนี้คงไม่เหมาะกับการสร้างเมืองนัก ตัวเมืองฮ่องกงจะต้องเลยเข้าไปอีก

นั่นทำให้เมื่อมองจากดาวเทียม จะเห็นจุดตัดระหว่างเซินเจิ้นกับฮ่องกงอย่างชัดเจน


ภาพถ่ายจากดาวเทียม (โดย google earth) จะเห็นบริเวณที่เป็นแม่น้ำและมีสีขาวกับเขียวตัดกันชัดเจน ตรงนั้นคือพรมแดน


ภาพตัวเมืองเซินเจิ้นจากห้องพัก ที่ได้ถ่ายมาเพราะมีโอกาสพักอยู่บนตึกสูงชั้น ๓๒

 

๑๐. สถานที่สำคัญที่ได้ไปมาในเซินเจิ้น
เซินเจิ้นนั้นเป็นเมืองเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังไม่ใหญ่มาก ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวมีน้อยกว่ากว่างโจว


ที่ไปมาที่หนึ่งคือ ซื่อเจี้ยจือชวาง (世界之窗) หรือ หน้าต่างแห่งโลก เป็นสถานที่ที่คล้ายๆกับเป็นเมืองจำลอง ที่นั่นมีสถานที่สำคัญของโลกในขนาดย่อส่วนอยู่หลายแห่ง แต่ไม่ได้ย่อเล็กแบบเมืองจำลองที่พัทยา
สิ่งที่เห็นเด่นจากภายนอกก็คือหอไอเฟล ซึ่งน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ เพราะเห็นได้ชัดที่สุด


เนื่องจากเที่ยวนี้ไปตอนกลางคืนแล้ว และไม่ได้ต้องการไปดูการแสดงที่จัดข้างใน ก็เลยไม่ได้เข้าไปข้างใน จึงเห็นแค่สิ่งก่อสร้างใหญ่ๆจากภายนอกเท่านั้น น่าเสียดายเหมือนกัน

อีกที่ก็คือ จิ่นชิ่วจงหัว (锦绣中华) แปลว่า จีนวิจิตร ซึ่งคล้ายๆกับซื่อเจี้ยจือชวาง คือเป็นเมืองจำลอง แต่เป็นสถานที่สำคัญของจีน เช่นกำแพงเมืองจีน


น่าเสียดายว่าไม่ได้เข้าไปข้างในอีกเช่นกัน เพราะตอนไปถึงก็ดึกแล้ว
แต่มีโอกาสได้ไปนั่งกระเช้า ซึ่งเป็นกระเช้าสำหรับนักท่องเที่ยวสำหรับชมเมืองจำลองข้างในโดยไม่ต้องเข้าไป นอกจากนี้ยังทำให้เห็นทิวทัศน์ของบริเวณเมืองรอบๆด้วย


กระเช้านี้มันไปไกลจนถึงซื่อเจี้ยจือชวางเลย จะเรียกว่าเป็นทางคมนาคมทางนึงที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองจำลองทั้งสองแห่งนี้ก็ได้ เพราะสองที่นี้อยู่ใกล้กันมาก ห่างกันแค่สองป้ายของรถไฟฟ้าใต้ดินเอง อย่างไรก็ตาม ราคามันไม่คุ้มหากจะใช้แทนรถไฟฟ้าใต้ดิน


ซื่อเจี้ยจือชวางหน้าต่างแห่งโลก จะเห็นหอไอเฟลขนาดย่อดูเด่นจากด้านนอก

 

๑๑. การคมนาคมภายในเมืองเซินเจิ้น
รถไฟฟ้าของที่นี่เหมือนกับที่กว่างโจวทุกประการ แต่ต่างตรงที่เส้นทางน้อยกว่า เพราะเมืองไม่ใหญ่เท่า


ส่วนรถแท็กซีนั้นจะต่างออกไป เพราะแท็กซีที่นี่ไม่มีลูกกรงกั้นแบบที่กว่างโจว แถมแท็กซีที่นี่สีเหมือนกันหมดทุกคันเลย ถ้าเป็นที่กว่างโจวจะมีสีหลากหลายมาก

รถเมล์ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเหมือนกัน

 

๑๒. กว่างโจวกับเซินเจิ้น
สองเมืองนี้แม้จะอยู่ใกล้กัน แต่ก็มีข้อแตกต่างกันมากเหมือนกัน แม้ว่าดูเผินๆแล้วอาจมีอะไรหลายๆอย่างคล้ายกัน
กว่างโจวนั้นมีขนาดใหญ่กว่า แต่มีประชากรน้อยกว่า โดยรวมแล้วความหนาแน่นต่ำกว่ามาก มีพื้นที่เป็นธรรมชาติเยอะกว่า มีสิ่งสวยงามอยู่เยอะกว่า สถานให้เที่ยวเยอะกว่า และค่าครองชีพต่ำกว่า ดังนั้นน่าจะถือว่าน่าอยู่กว่ามาก
เพราะเซินเจิ้นนั้นเป็นเพียงเมืองเศรษฐกิจ ดังนั้นอาจไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าน่าอยู่สักเท่าไหร่


กว่างโจวดูจะคล้ายกรุงเทพฯ ส่วนเซินเจิ้นดูจะคล้ายฮ่องกง

 

๑๓. ภาษาที่ใช้ที่นั่น
พูดถึงมณฑลกวางตุ้ง ตอนแรกก็เข้าใจว่าไปที่นั่นคงต้องเจอแต่คนใช้ภาษากวางตุ้งกันเต็มไปหมด แต่ผิดคาด เพราะส่วนใหญ่ก็พูดกันแต่จีนกลาง


คงเป็นเพราะว่าที่นั่นเป็นเมืองใหญ่ นักท่องเที่ยวต่างถิ่นก็เยอะ และสถานที่ที่ไปก็ค่อนข้างเป็นแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้นจะเจอแต่คนใช้ภาษากลางเป็นหลักก็ไม่แปลก

รัฐบาลที่นั่นก็สนับสนุนให้คนทั้งประเทศเรียนจีนกลางกันทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้นคิดว่าคนทั้งเมืองน่าจะพูดจีนกลางกันได้หมด แม้ว่าสำเนียงอาจไม่ใช่ของเจ้าของภาษาก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ไปที่นั่นแทบจะไม่ได้ยินภาษาอังกฤษ เพราะคนที่นั่นก็คงแทบจะพูดกันไม่เป็น ตอนไปเดินตามห้างก็มีคนขายพยายามมาใช้ภาษาอังกฤษคุยด้วย แต่สำเนียงและสำนวนดูฟังยากจริงๆ

ดังนั้นพอไปอยู่ที่นั่นก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย ปล่อยเป็นหน้าที่ของคนที่พูดจีนกลางเป็นคอยเป็นปากให้ทุกอย่าง ภาษาอังกฤษเราใช้ได้แค่ที่สนามบิน

ส่วนภาษาญี่ปุ่นที่นั่นแทบจะไม่เจอเลยเช่นกัน ถึงอย่างนั้นพอเจอพวกป้ายต่างๆเป็นตัวคันจิก็เผลออ่านแบบญี่ปุ่นทุกที เพราะมันเขียนเหมือนกัน ทั้งที่ความจริงมันเป็นภาษาจีน

ตามป้ายบอกชื่อสถานที่ต่างๆจะมีภาษาอังกฤษแปะไว้แทบทั้งนั้น ก็ถือว่าสะดวกดี แสดงให้เห็นว่าเขาเปิดประเทศ และรองรับนักท่องเที่ยวเต็มที่

 

๑๔. ภาพรวมของตัวเมือง
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าที่นั่นมีการจัดเมืองที่ดีมาก วางผังเมืองอย่างเป็นระบบ การคมนาคมก็สะดวกดี มีสิ่งก่อสร้างสวยๆมากมาย


สิ่งก่อสร้างหลายอย่างถูกสร้างขึ้นเป็นหน้าตาเหมือนกัน มองเห็นตึกแฝดเป็นจำนวนมาก

การที่วางเมืองได้เป็นระบบขนาดนี้เข้าใจว่าอาจเป็นเพราะการปกครองที่เป็นแบบสังคมนิยม (ผสมกับเสรีนิยม) ทำให้รัฐสามารถจัดการทุกอย่างได้เต็มที่ สิ่งก่อสร้างก็เลยไม่ขึ้นอย่างสะเปะสะปะ รวมทั้งเรื่องที่ห้ามสร้างตึกริมแม่น้ำด้วย


ตึกแฝด รูปซ้ายถ่ายระหว่างอยู่บนรถไฟ อีกรูปถ่ายที่ริมฝั่งน้ำจูเจียงในกว่างโจว

 

๑๕. วันชาติจีน
อันนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับเมืองที่ไปเท่าไหร่ แต่พอดีว่าช่วงที่ไปมันเป็นวันชาติของที่นั่น ก็เลยพูดถึงสักหน่อย


เนื่องจากว่าวันที่ ๑ ตุลาคมของปีนี้นั้นถือเป็นวันครบรอบการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (ก่อตั้งเมื่อ 1949) ซึ่งเป็นวันที่จีนเริ่มปกครองแบบสังคมนิยมโดยมีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำ

ปีนี้มีการจัดงานฉลองครั้งใหญ่โตมาก ตอนอยู่ที่ห้องพักที่โรงแรมก็ได้ดูทั้งถ่ายทอดสดและบันทึกผ่านทางโทรทัศน์ เขาฉายกันทั้งวัน ดูเหมือนที่ปักกิ่งจะมีการจัดงานใหญ่โต มีทั้งการแสดงต่างๆ และการเดินขบวน

พอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าสุดยอดจริงๆ จีนทำอะไรก็อลังการงานสร้างไปหมด และต้องใช้คนจำนวนมหาศาล ตั้งแต่ที่เห็นงานโอลิมปิกเมื่อปีที่แล้วแล้ว คงเพราะคนเขาเยอะ

แต่ไม่ใช่แค่นั้น ดูเหมือนว่าประชาชนที่นั่นจะมีความรักและภูมิใจในชาติสูงมาก ซึ่งพอเห็นแบบนี้แล้วก็คิดว่าดีจังเลยนะ หากไทยเป็นแบบนี้บ้างก็คงจะดี

ว่าแต่ เพราะดันไปในช่วงที่เป็นวันหยุดยาว การเที่ยวแต่ละที่คนเลยแน่นมาก ลำบากเหมือนกัน

 

๑๖. เมืองใกล้ๆที่น่าสนใจ
ใกล้ๆกับเขตกว่างโจวนั้น ห่างออกไปทางตะวันออกไม่ไกลมาก มีสถานที่ที่อยากไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากไม่ได้สะดวกที่จะไปจึงไม่ได้ไป


เป็นเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งที่ชื่อว่าซ่านโถว (汕头市) อยู่ทางตะวันออกสุดของมณฑลกวางตุ้ง คนไทยมักเรียกว่าซัวเถาตามสำเนียงแต้จิ๋ว

ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของคนจีนที่อยู่ในประเทศไทยส่วนใหญ่ ซึ่งพูดภาษาแต้จิ๋วกัน ดังนั้นจึงมีความสำคัญสำหรับคนไทยมากทีเดียว

แต่เทียบในระดับประเทศเองแล้ว ไม่ใช่เมืองที่มีความสำคัญสักเท่าไหร่ สถานที่ท่องเที่ยวก็อาจไม่เด่นมากเท่ากว่างโจว หากไปที่นั่นจริงๆคงมีเป้าหมายแค่การเยี่ยมบ้านเกิดของบรรพบุรุษ ซึ่งห่างจากเขตเมืองออกไป

จากแผนที่ด้านบน หมายเลข 14 ก็คือซ่านโถว

 

๑๗. สรุปที่ไปมา
เป็นการเที่ยวที่คิดว่าคุ้มมาก เพราะได้ไปเห็นอะไรหลายๆอย่างที่ดีๆ

จากที่ได้ไปสัมผัสมากับตัว จีนเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก นี่เป็นการไปครั้งแรก และก็ได้รับความประทับใจอย่างมาก
ได้ยินว่าถ้าหากถามคนที่เคยไปจีนเมื่อสักหลายสิบปีก่อน เขาจะตอบไปในทางตรงกันข้ามเลย เพราะสมัยนั้นดูเหมือนว่าจะไม่น่าอยู่เท่าตอนนี้


ไม่เคยรู้เหมือนกัน ว่าในอดีตประเทศนี้เป็นยังไงบ้าง เพราะว่าเกิดไม่ทันเห็น แต่ภาพที่ได้เห็นนั้นผิดกับที่พวกผู้ใหญ่หลายๆคนเคยพูดลิบลับเลย

เมื่อก่อนอาจเคยเป็นประเทศที่ไม่มีอะไร แต่ดูเหมือนตอนนี้จะกลายเป็นสถานที่ที่น่าไปเที่ยวมากไปแล้ว
ครั้งหน้ามีโอกาสก็อยากลองไปเที่ยวเมืองอื่นดูบ้าง เนื่องจากเป็นประเทศขนาดใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวก็เยอะมากด้วย


 

 

--------------


แหล่งข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม http://www.wikipedia.org


บรรยายจบลงไปแล้ว ตอนแรกที่เขียนไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้ ใช้เวลาเขียนไปกี่ชั่วโมงไม่แน่ใจ แต่นานพอสมควร คิดว่ายาวพอๆกับแปลนิยายตอนนึงเลย

เป็นการเขียนที่ละเอียดกว่าเมื่อคราวไปเที่ยวสิงคโปร์พอควร เพราะไปนานกว่า และเจออะไรน่าสนใจเยอะกว่า



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> กวางตุ้ง
-- ท่องเที่ยว >> เรือ

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目次

日本による名言集
モジュール
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
機械学習
-- ニューラル
     ネットワーク
javascript
モンゴル語
言語学
maya
確率論
日本での日記
中国での日記
-- 北京での日記
-- 香港での日記
-- 澳門での日記
台灣での日記
北欧での日記
他の国での日記
qiita
その他の記事

記事の類別



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  記事を検索

  おすすめの記事

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文