# จันทร์ 2 มี.ค. 2020วันนี้เป็นวันเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยในไต้หวัน เทอมนี้เปิดช้ากว่าที่ผ่านมาทุกปีเนื่องจากสถานการณ์โลกระบาด
ช่วงนี้เนื่องจากเชื้อไวรัส COVID-19 หรือที่ในภาษาจีนนิยมเรียกว่า
武漢肺炎 "ปอดบวมอู่ฮั่น" กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก
เป็นเหตุให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆในไต้หวันต่างเลื่อนกำหนดเปิดเทอมกันไปถึง ๒ สัปดาห์ โรงเรียนกำหนดเปิด 25 ก.พ. มหาวิทยาลัยเปิด 2 มี.ค. จากที่เดิมทีควรเปิดตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. แล้ว
ในที่สุดก็ถึงวันเปิดเทอม 2 มี.ค. สถานการณ์ตอนนี้ล่าสุดมีผู้ป่วยในไต้หวัน ๔๑ คนแล้ว เสียชีวิต ๑ คน ในขณะที่ไทยติดเชื้อ ๔๓ คน และเสียชีวิต ๑ คนเช่นกัน
ในสภาวะที่โรคระบาดยังคงสถานการณ์ไม่ดีอยู่แบบนี้ การเปิดเรียนก็มีความเสี่ยง แต่ไต้หวันยังไม่เจอการระบาดในวงกว้างชนิดควบคุมไม่ได้ จึงยังสามารถเปิดเรียนได้
เพียงแต่ทุกคนต้องคอยระวังดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด
และถ้าใครเดินทางกลับมาจากประเทศเสี่ยงก็จะต้องกักตัวเอง พยายามไม่ไปไหน ๑๔ วัน ห้ามกินอาหารในโรงอาหาร ต้องซื้อกลับเท่านั้น ออกไปข้างนอกต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอด นี่เป็นข้อปฏิบัติที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด
และเนื่องจากประเทศไทยเองก็อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงเช่นกัน คนที่เพิ่งกลับจากไทยก็ถูกขอความร่วมมือให้ช่วยกักตัวเอง ๑๔ วันเช่นกัน
ทำให้ช่วงนี้เราเองก็ต้องเก็บตัวอยู่ในหอตลอด ไม่ให้ไปนั่งที่ห้องทดลอง ไม่ให้ไปเข้าห้องเรียน ซึ่งจะเต็มไปด้วยนักศึกษาคนอื่นมากมาย
จะออกไปข้างนอกก็แค่เพื่อซื้ออาหารหรือของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ในมหาวิทยาลัยก็มีโรงอาหารอยู่แล้ว อยู่ไม่ไกลจากหอพัก ไม่ต้องออกไปข้างนอก ไม่ต้องเดินไกล
ปกติก็จะออกไปตอนเที่ยงกับตอนเย็นวันละ ๒ ครั้ง และไม่นั่งกินในโรงอาหาร แต่ต้องซื้อกลับมากินที่ห้อง
นอกจากนี้ยังต้องวัดไข้ทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีไข้ด้วย หากมีไข้ต้องไปหาหมอทันที
ยังดีที่แม้จะเก็บตัวอยู่ในห้องก็ยังทำงานได้ และไม่ได้ถูกกักขังให้ออกไปไหนเลยโดยสมบูรณ์ สามารถออกไปซื้ออาหารได้ เท่านี้ก็ไม่รู้สึกว่าลำบากอะไรในการใช้ชีวิต
วันนี้ตอนเที่ยงก็ออกจากหอ เดินไปที่โรงอาหารเพื่อซื้อมื้อเที่ยงกลับมากินที่ห้องเหมือนที่ผ่านมา ชีวิตประจำวันในวันนี้ก็ไม่ได้ต่างจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงวนเวียนไปแบบนี้
แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือ วันนี้เปิดเทอมแล้ว บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยจึงดูคึกคักมากทีเดียว
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่แตกต่างจากภาคเรียนที่ผ่านมาก็คือ ทุกคนล้วนสวมหน้ากากอนามัย และพยายามไม่คุยกันมาก
ในโรงอาหารเองก็มีกฎห้ามคุยกันระหว่างกินอาหาร โดยมีป้ายเขียนเตือนไว้ โต๊ะบางส่วนถูกนำเก้าอี้ออก ไม่ให้คนนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกัน
ต่อให้ไม่ใช่คนที่อยู่ในช่วงกักตัวก็ตาม แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่ควรกินข้าวในโรงอาหารอยู่ดี เพราะยังไงก็มีความเสี่ยง ฉะนั้นคนในโรงอาหารก็ไม่ได้แออัดเหมือนอย่างวันเปิดเรียนของภาคการศึกษาที่ผ่านมา หลายคนมาซื้อข้าวเสร็จก็กลับไปกินที่ห้อง
แม้แต่ไต้หวันซึ่งไม่ใช่ที่ที่เจอไวรัสระบาดหนัก แต่วิถีชีวิตของผู้คนก็ได้รับผลกระทบ เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ไม่อาจใช้ชีวิตสบายๆอยู่อย่างไม่ต้องกังวลอะไรเหมือนอย่างยามปกติ
ระหว่างเดินจากย่านหอพักของมหาวิทยาลัยชิงหัวซึ่งตั้งอยู่บนเขา ลงไปยังย่านโรงอาหารซึ่งอยู่ด้านล่าง
มาที่โรงอาหารสุ่ยมู่ชานทิง (
水木餐廳)
บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยผู้คน แต่น้อยคนที่จะหันหน้าเข้าหากัน
ตามโต๊ะจะเต็มไปด้วยป้ายที่เขียนว่าห้ามพูดคุยกันระหว่างกินข้าว
ส่วนป้ายตรงนี้ก็เขียนว่าถ้าไม่สวมหน้ากากอนามัยห้ามคุยกัน แล้วก็บอกแนะนำวิธีป้องกันการติดเชื้อ
ในโรงอาหารนี้มี famili mart ขนาดเล็กๆอยู่ แต่ในเวลาที่คนเยอะแบบนี้ก็จะแน่นจนแทบไม่มีที่เดิน
โรงอาหารนี้มีอีกประตูเชื่อมกับส่วนร้านค้าภายในอาคาร แต่ว่าในเวลานี้โดนปิดตาย ให้เข้าได้แค่ประตูใหญ่ด้านหน้า
เดินมายังโรงอาหารอีกแห่ง เสี่ยวชือปู้ (
小吃部) อยู่ข้างๆกัน
โรงอาหารนี้เล็กกว่า คนแน่นกว่า
ที่สำคัญคือข้างในมี 7-11 ซึ่งใหญ่กว่า family mart เล็กๆในโรงอาหารใหญ่
ใน 7-11 มีซาลาเปา เหมาะที่จะซื้อถือกลับไปกิน
ต่อแถวยาวเพราะคนเยอะ
จากนั้นก็เดินกลับ ระหว่างทางเห็นบางจุดมีคนคอยตรวจวัดไข้ สามารถมาวัดไข้ตรงนี้ได้ เขาแนะนำให้ทุกคนมาวัดไข้เผื่อเอาไว้
เดินขึ้นเขากลับหอพักบนเขา ไปกินมื้อเที่ยงในห้องตัวเอง
สำหรับบรรยากาศตอนเที่ยงก็จบลงเท่านี้
จากนั้นตอนช่วงเย็นก็ต้องเดินลงมาหาซื้ออะไรกินอีก ก็ถือโอกาสเดินมาตากอากาศตรงทะเลสาบซึ่งอยู่หน้าอาคารโรงอาหาร บรรยากาศกำลังดี อากาศเย็นสบาย
แล้วแวะมาที่อาคารเฟิงหยวินโหลว (
風雲樓)
อาคารนีี้ก็มีโรงอาหารอีกเหมือนกัน แต่ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อแวะมาซื้อขนมปัง ร้านนี้เป็นขนมปังแบบไม่มีคนขาย วางของไว้แล้วให้วางเงินไว้เอง สะดวกดี ราคาถูกด้วย วิธีการขายแบบนี้คงจะใช้ได้เฉพาะในประเทศที่ผู้คนไว้ใจซึ่งกันและกัน
แล้วก็แวะมาดูที่โรงอาหารสุ่ยมู่ชานทิงอีกที
ซื้อน้ำแล้วก็ขนม แล้วก็แวะมาร้านนี้ซื้อเกี๊ยวทอดกลับไปกินที่ห้อง
ชีวิตช่วงนี้ก็ประมาณนี้ และก็คงเป็นอย่างนี้ไปสักพัก ต่อให้พ้นช่วงเวลากักตัวแล้วก็คิดว่าคงไม่ออกไปไหนโดยไม่จำเป็น รอให้สถานการณ์เรื่องโรคระบาดดีขึ้นกว่านี้ก่อน
สถานการณ์ในจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มจะคุมได้ และกำลังเข้าสู่ขาลงแล้ว ในขณะที่เกาหลี อิหร่าน อิตาลี และประเทศอื่นๆในยุโรปสถานการณ์กลับเริ่มแย่ลง
สำหรับไต้หวัน รัฐบาลทำงานตั้งใจควบคุมโรคได้ดี สนับสนุนให้คนใส่หน้ากากอนามัยเวลาที่จำเป็น มีควบคุมการซื้อขาย และเพิ่มจำนวนผลิตเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้
ถ้ายังควบคุมได้ดีต่อไป สถานการณ์ก็อาจจะเริ่มไปสู่ขาลงได้ โดยไม่ไปสู่ขั้นที่เลวร้ายเหมือนอย่างในจีนแผ่นดินใหญ่
ก็ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี