คำเตือน : ข้อความต่อไปนี้เป็นการกล่าวถึง ef - a tale of melodies ตอนที่ ๑๐ ซึ่งเป็นตอนเกือบท้ายสุด ถ้าไม่อยากถูกสปอย ไม่ควรอ่านต่อโดยเด็ดขาด
ตอนที่ ๑๐ นี้ เป็นเนื้อเรื่องในช่วงสุดท้ายในส่วนของยูกับยูโกะ ช่วงเวลาที่มีความสุขกันหลังจากได้เจอเรื่องร้ายๆทั้งหลายกันมา
เนื่องจากเพิ่งทำซับไทยตอนนี้เสร็จ เลยจะมาขอพูดถึงมันสักหน่อย
ที่จะพูดถึงต่อไปนี้คือ ความรู้สึกผิดหวังที่มีต่อตอนนี้ ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ
สิ่งแรกที่เห็นตอนเปิดขึ้นมาดูก็คือ ภาพแบบโมโนโทน ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรเขาถึงทำให้เป็นแบบนี้ แต่รู้สึกว่าไม่ชอบ เพราะมันดูไม่สวย และมองนานๆแล้วมึนด้วย ปกติภาพแบบนี้จะเอาไว้ใช้เป็นบางฉากในตอน แต่ในตอนนี้เป็นแบบนี้ทั้งตอน ยังไงก็ตาม สาเหตุนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมาก
ต่อมาคือเรื่องความยาวของตอน ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เนื้อเรื่องส่วนของยูกับยูโกะทั้งหมดในตอนที่ ๑ ถึง ๙ นั้น เป็นส่วนของเนื้อเรื่อง ๑ บทของเกม(the latter tale) คือบท summer in the distant past ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดในฤดูร้อน ซึ่งได้มีแปลเอาไว้
ตามอ่านได้ที่ https://phyblas.hinaboshi.com/20090624
ส่วนเนื้อเรื่องของตอนที่ ๑๐ ทั้งตอน นั่นก็คือ ๑ บท คือบท winter in the distant past ซึ่งเป็นเรื่องราวหลังจากนั้นซึ่งเกิดในฤดูหนาวของปีเดียวกัน
ซึ่งเนื้อเรื่องของบทนี้น่าจะสั้นกว่า บท summer in the distant past พอสมควร แต่ก็ไม่น่าต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง(จากที่กะคร่าวๆ) แต่ในอนิเมะกลับถูกอัดเหลืออยู่แค่เต็มตอนเดียว ซึ่งจะเห็นว่าเนื้อเรื่องถูกบีบอัดย่อ และตัดส่วนสำคัญทิ้งไปเยอะ ซึ่งก็น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
ความจริงแล้ว ยูกับยูโกะยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคอะไรอีกมากในบทนี้ แต่ในอนิเมะนั้นกลับแสดงแต่ชีวิตด้านที่ราบรื่นไปเรื่อยๆตลอดจนจบตอน ซึ่งก็อาจดีในแง่ที่ว่าเป็นตอนที่ให้คนดูได้พักผ่อนดูอย่างสบายใจหลังจากที่หดหู่มาตลอด ๙ ตอน แต่อย่างไรก็ตาม ยิ่งมีอุปสรรคก็ยิ่งมีฉากซึ้งออกมา ยังไงก็ไม่อยากให้ตัดรายละเอียดไปมากขนาดนั้นอยู่ดี
อีกเรื่องหนึ่งที่อาจไม่สำคัญมากก็คือ การที่คุเซะกลับมาตอนคริสต์มาส และได้เจอกับมิซึกิ ซึ่งในเกมไม่มี ตรงส่วนนี้อาจเป็นส่วนที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ถึงแม้ว่าจะมีก็ไม่เสียหายอะไร แต่ยังไงก็เสียดายเวลาที่น่าจะเอาไปเพิ่มฉากอื่นได้อีก
สำหรับเรื่องราวที่หายไป ก็คือเกี่ยวกับอดีตของมิซึกิ ซึ่งความจริงมีรายละเอียดมากกว่านั้น แต่ในอนิเมะกลับถูกเล่าเพียงคร่าวๆ และไม่ได้ให้ความสำคัญแต่อย่างใด
มีเรื่องที่สงสัยมาตั้งแต่ตอน ๘ แล้ว ก็คือ ในเกมไม่ได้บอกว่ายูโกะเป็นคริสเตียนสักหน่อย แต่ในอนิเมะดูจะค่อนข้างชัดขึ้นมา
อีกอย่างที่อาจทำให้คนที่ชื่นชอบท้องฟ้าบางคนต้องผิดหวังก็คือ บันไดนางฟ้า(crepuscular ray) ซึ่งปรากฏตอนท้าย สำหรับในเกมก็มีปรากฏ และเราก็มีหวังไว้ตั้งแต่ตอนเล่นแล้วว่า หวังว่าในอนิเมะจะมีฉายฉากนี้ด้วย และแล้วก็มีฉากนี้จริงๆ แต่ภาพโมโนโทนแบบนี้ ก็ทำให้ผิดหวังจริงๆ นอกจากนี้ การเล่นสี ให้มีสีสันขึ้นมากับแสงของบันไดนางฟ้าแบบนี้ ก็ยิ่งกลับทำให้ดูผิดธรรมชาติ ซึ่งของจริงควรเป็นลำแสงทองสวยงาม
สำหรับฉากนี้ในเกมนั้น เป็นภาพลำแสงที่สวยงามมาก
ภาพบันไดนางฟ้า(天使の梯子)
เกิดจากการที่แสงลอดผ่านช่องระหว่างเมฆเป็นลำ ดูสวยงาม ถ้าเป็นในเกม นางิจะพูดถึงรายละเอียดมันเอาไว้
มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉากตอนท้ายสุดของตอน นั่นคือตอนที่ยูโกะุถูกรถชน ซึ่งสำหรับในเกมนั้น ยูโกะจะถูกรถชนเพราะช่วยชีวิตมิซึกิเอาไว้ และหลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกับมิซึกิอีกสักพัก(นานทีเดียว) กว่าจะสิ้นลมไป
แต่ในอนิเมะ ยูโกะถูกรถชนเพราะเดินไปเก็บลูกบอลที่ตก ไม่ได้ตายเพราะช่วยใครทั้งนั้น และมิซึกิก็ไม่ได้อยู่ในฉากด้วย จึงไม่ได้พูดคุยอะไรเลย ไม่ได้สั่งเสีย ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีคนคอยโทรเรียกรถพยาบาล ไม่มีฉากซึ้งๆ มีแต่ฉากร้องเพลง ซึ่งดูจะไม่อาจเทียบกันได้
สำหรับตอนท้ายที่ยูมาพบยูโกะเข้าแล้วมีเพลง ebulient future นั้น ถือว่าไม่เข้ากับบรรยากาศอย่างแรง บอกไม่ค่อยถูกเหมือนกันว่าไม่เข้ายังไง แต่ความรู้สึกมันบอกว่าอารมณ์มันขัดกัน อีกอย่างคือมันเป็นเพลงเปิดที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วเพราะได้ยินมา ๙ ตอน แต่คราวนี้กลับมาโผล่ตอนท้าย นอกจากนี้ความหมายของเพลงก็ไม่ได้เข้ากับฉากแต่อย่างใด
ไม่เข้าใจว่าทำไมฉากถูกรถชนนี้ถึุงถูกเปลี่ยน เพราะมันมีผลต่อความรู้สึกมากพอสมควร การที่อยู่ดีๆเจออุบัติเหตุตายไป กับการตายเพราะช่วยใครสักคนนั้น มันมีความหมายต่างกันมากนัก ซึ่งก็น่าเสียดายว่าอนิเมะได้ทำให้ตรงส่วนนี้สูญเสียไปซะแล้ว
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ