φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



[ef] ตอนที่ ๒. สิ่งที่เห็นท่ามกลางความมืด (闇の中で見たもの)
เขียนเมื่อ 2009/05/25 09:51
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42

ตอนที่ ๒. สิ่งที่เห็นท่ามกลางความมืด (闇の中で見たもの)

>> กลับไปตอนที่ ๑
>> อ่านต่อตอนที่ ๓
>> กลับไปหน้าสารบัญ 

ᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳ


พอเปิดประตูห้องเรียนเข้ามา ภาพที่เห็นคือตลาดสด
“...........”

“เอาล่ะ เชิญเข้ามาเลือกซื้อเลือกชมกันได้”
มีไอ้บ้าอยู่ ๑ ตัว กำลังวางเสื้อผ้าและเครื่องใช้ไว้บนโต๊ะเปิดกิจการเอาเองตามใจชอบ

“แม้ว่าจะยังไม่ถึงฤดู แต่เสื้อตัวนี้ไม่เหมือนพวกของถูกๆหรอกนะ”
“ไม่เหมือนตรงไหนฟะ”
“อ้าว ฮิมุระนั่นเอง อรุณสวัสดิ์ นายนี่ยังชอบทำหน้าบูดบึ้งอยู่เหมือนเดิมเลยนะ”
“นายเองก็ยังใส่วิกผมทรงบ้าๆนั่นเหมือนเดิมเลยนะ คุเซะ”
ผมเริ่มเดินเบียดพวกเพื่อนรวมชั้นที่ยืนล้อมอยู่รอบโต๊ะของคุเซะแล้วเข้ามานั่งที่โต๊ะของตัวเอง
ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรทำให้ตอนนี้ผมต้องมานั่งที่นั่งข้างๆเจ้านี่ด้วยนะ เอาเหอะ พอคิดว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกไม่เกิน ๒ เดือนก็คงทำใจให้พอทนได้ล่ะ

“ว่าแต่ ฮิมุระ”
“มีอะไร”
“สนใจซื้อเสื้อตัวนี้ดูมั้ย?”
“ก่อนอื่นถามหน่อยได้มั้ย เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงมาเปิดแผงลอยขายของแบบนี้ล่ะ”
คุเซะทุบโตีะเบาๆ

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่จัดการกับข้าวของในห้องที่ไม่ใช้แล้วเท่านั้นเองน่ะ ของดีๆก็มีอยู่เยอะจะให้ทิ้งไปก็น่าเสียดาย”
“เอาของมาวางขายเพราะจะทิ้งนี่นะ เป็นบุคคลที่น่ากลัวจริงๆเลย นายนี่”
บางตัวไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนด้วยซ้ำ

“ต่อให้ไม่ชมกันแบบนั้นฉันก็ตั้งใจจะให้นายตัวนึงอยู่แล้วล่ะ เพราะเราเป็นเพื่อนกันนี่นะ”
“อ่านะ แบบนี้เรียกว่ายื่นเกลือให้ศัตรูสินะ”
“ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกันแท้ๆ นี่เรากลายเป็นศัตรูกันตั้งแต่เมื่อไรกัน ฮือ..”
มันพูดไปพร้อมกับทำท่าบีบน้ำตาไป
ไอ้หมอนี่มันก็พูดเล่นแบบนี้เป็นประจำได้ไม่เบื่อเลย


คุเซะ ชูอิจิ
ผมรู้จักกับหมอนี่ทันทีที่เข้ามาโรงเรียนโอโตวะนี่ใหม่ๆ จำไม่ได้เลยว่าเรารู้จักกันได้ยังไง ที่แน่ๆฝ่ายที่ทักมาก่อนคือคุเซะนั่นล่ะ
สาเหตุที่คนที่ดูเด่นไปซะทุกเรื่องอย่างหมอนี่มาสนิทกับผม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ

“แล้ว อยากได้อะไรล่ะ? หยิบของที่ชอบไปได้เลยนะ”
“บอกแล้วไง ฉันไม่อยากได้ของที่มาจากนายหรอก”
“ยังเย็นชาเหมือนเดิมเลยนะ นายเนี่ย”
ไม่ว่าจะถูกเย็นชาใส่แค่ไหน คุเซะก็ไม่เคยรู้สึกอะไรเลย ไม่รู้ว่าโง่หรือบ้ากันแน่นะไอ้หมอนี่

“ว่าแต่ ทำไมนายถึงยังอยู่นี่ล่ะ?”
“หมายความว่าไงเหรอ”
“นายน่ะ ไม่จำเป็นต้องมาโรงเรียนแล้วก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“อ่อ มันก็จริงอยู่หรอก แต่เมื่อไรจะได้กลับมาอีกก็ไ่ม่รู้น่ะ ที่โรงเรียนก็มีอะไรที่ต้องจัดการตั้งมากมายเลย”
“เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงสินะ”
“นั่นน่ะเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเลยล่ะ”
เท่าที่ผมรู้ ไอ้นี่มันเปลี่ยนผู้หญิงไปมาเป็นสิบๆคนแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เ้ข้าโรงเรียนโอโตวะมามันคบผู้หญิงไปกี่คนกันนะ

“นายคงกลัวจะถูกตามติดไปจนถึงตอนไปเรียนต่อล่ะสินะ”
“สมกับเป็นฮิมุระ เดาเก่งดีนี่ ฉันคิดไว้แล้วว่านายน่ะเป็นเพื่อนที่วิเศษจริงๆ ไม่ลองตามฉันไปเรียนต่อด้วยกันเหรอ”
“รีบออกเดินทางไปเร็วๆเลยไป ไม่ต้องเหลืออะไรไว้นะ แล้วอย่าลืมเอากระดูกไปฝังไว้ที่โน่นด้วย”
พอจบเทอมนี้ คุเซะ ชูอิจิ ก็จะลาออกจากโรงเรียนโอโตวะแห่งนี้แล้วไปเรียนต่อด้านดนตรีที่เยอรมนี
แม้ว่าจะเห็นอย่างนี้ แต่จริงๆแล้วหมอนี่เป็นยอดฝีมือในเรื่องไวโอลิน ได้ยินว่าตอนปี ๑ ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดมาด้วย

มันยังเคยพูดไว้ว่า -“ของง่ายๆน่ะ จีบสาวน่ะยังยากกว่าเยอะเลย”-
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยังไม่เคยได้ฟังดนตรีที่คุเซะเล่นเลยสักครั้ง น่าแปลกจริงๆที่มันไม่เคยชวนผมไปงานประกวดของตัวเอง เหมือนมันไม่อยากให้ผมได้ฟังดนตรีที่มันเล่นอย่างงั้นล่ะ

“อืม....”
“ทำไมเหรอ”
“จะยอมฝังกระดูกไว้ก็ได้นะ แต่กลัวพวกนักสะสมกระดูกจะมาเอาไปน่ะสิ”
“นี่นายตั้งใจจะไปเรียนต่อในที่แบบไหนกันแน่เนี่ย”
สำหรับคนอย่างเจ้าบ้านี่คงจะไม่รู้จักคำว่าอายล่ะนะ
บางทีอาจเพราะท่าทีที่ไหลไปตามน้ำเรื่อยๆของมันทำให้ผมไม่อยากซักไซ้ต่อ
ไอ้เราเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาซาบซึงในดนตรีสักเท่าไรด้วยสิ

“จะยังไงก็เถอะ ช่วยเก็บไอ้ของพวกนี้ออกไปก่อนที่จะเริ่มคาบเรียนด้วย”
“โธ่โธ่ ไม่เห็นต้องไปจริงจังกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เลย”
“นายเองก็หัดจริงจังให้มากกว่านี้สักหน่อยก็ดีนะ”
เป็นคนที่คบไม่ได้จริงๆเลยหมอนี่ แต่ก็อีกไม่นานแล้วสินะ.... อีกแค่ไม่นานเท่านั้น...

พอถึงพักกลางวัน ผมก็เดินออกจากห้องเรียน คุเซะเปิดขายของอีกครั้งโดยไม่ยอมไปกินข้าว หรือว่ามันจะขายของพวกนี้เพื่อเอาเงินไปเป็นค่าเครื่องบินไปเยอรมนีกันนะ คงไม่ใช่หรอก พอลองดูของที่มันนำมาขายแ้ล้วก็ถือว่าดีทีเดียว แต่มันกลับเอามาขายด้วยราคาที่แทบจะดูเหมือนให้ฟรีเลยด้วยซ้ำ ต่อให้ขายหมดก็คงจะพอแค่เป็นค่าเดินทางเท่านั้นล่ะ คิดอะไรอยู่กันแน่นะ หมอนั่น

แต่เอาเถอะ เรื่องคุเซะจะยังไงก็ช่าง สำหรับตอนนี้ จะใช้เวลาว่างที่ไหนดีนะ


“เอ่อ..”
จะเดินเล่นไปมาในสวนโรงเรียนก็ดี แต่ก็ร้อน จะกลับไปที่ห้องเรียนก็ใช่ที่
“คือว่า..”
ไปที่ที่สงบอย่างห้องสมุดน่าจะดีล่ะมั้ง
“นี่ รุ่นพี่ฮิมุระ”
“ชิ”
ผมจำต้องหยุดเท้าลงอย่างไม่มีทางเลือก
จริงๆก็เห็นยูโกะที่กำลังเดินมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ตั้งใจว่าจะเดินผ่านไปโดยไม่สนแท้ๆเลย

“ทำำไมถึงชอบทำหน้าบึ้งอย่างงั้นล่ะคะ”
“มันติดเป็นนิสัยน่ะ อย่าคิดมากสิ”
“ไม่ใช่ว่าจงใจทำหรือคะ”
“งั้นจะให้ทำไงล่ะ”
“อยู่ดีๆโมโหง่ายจังเลยนะคะ”

“แต่ก็เหมาะดีนะคะ”
ยูโกะเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วแล้วก็ยิ้มให้

“เหมาะอะไรกันล่ะ ที่สำคัญ เธอมาทำอะไรที่นี่กันน่ะ”
ที่ชั้นนี้ปกติจะมีแค่นักเรียนชั้นปี ๒ เท่านั้นนี่นา

“ได้ยินว่ามีเปิดแผงลอยขายของที่ห้อง 2-D น่ะค่ะ ว่าแต่ รุ่นพี่อยู่ห้องไหนหรือคะ”
“D”
“ถ้างั้นก็คงรู้สินะคะ ได้ยินมาว่ามีของดีราคาถูกขาย เลยว่าจะไปเดินดูสักหน่อยน่ะค่ะ่ แต่จะให้เข้าไปที่ห้องเรียนของนักเรียนปี ๒ คนเดียวก็คงจะไม่กล้าน่ะค่ะ เลยอยากให้รุ่นพี่ช่วยพาไ.....”
“หยุดเลย ของน่ะดีก็จริงหรอกแต่คนขายน่ะนิสัยแย่สุดๆเลยล่ะ ที่แบบนั้นน่ะอย่าเข้าไปใกล้เลยจะดีกว่านะ”
“นิัสัย? แย่กว่ารุ่นพี่ฮิมุระอีกหรือคะ?”
“................”
“งั้นก็คงจะแย่มากเลยสินะคะ หรือบางทีอาจจะไม่ใช่มนุษย์”
“ไปก่อนนะ”
“รอด้วยสิ”
อยู่ดีๆเธอก็พุ่งเข้าเกาะผมไม่ให้ไปไหน พลันกลิ่นหอมหวานได้ล่องลอยเข้ามา

“ปล่อย มันร้อน”
“ใจร้ายที่สุดเลย”
ยูโกะซึ่งถูกผลักให้ถอยออกไป บ่นขึ้นอย่างไม่พอใจ

“ถ้าไม่อยากจะต้องพบกับเรื่องร้ายๆละก็ อย่ามาเข้าใกล้ฉันให้มากจะดีกว่านะ”
“นั่นก็เป็นคำพูดที่ฉันเคยพูดเหมือนกันนะคะ”
ชักเริ่มกลัวนิสัยของคนที่สามารถพูดเรื่องพวกนี้โดยยังยิ้มอยู่ได้ขึ้นมานิดๆ
จะว่าไป ก็เห็นยูโกะเคยพูดไว้เหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นถ้าเข้าไปอยู่ใกล้ตัวเอง

“ไม่เหมือนกันสักหน่อย”
“เอ๋?”
“ฉันกับเธอน่ะต่างกัน”
“ต่างกันยังไงหรือคะ?”
“ฉันเป็นพวกชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยตั้งใจน่ะ นั่นล่ะที่ต่าง”
“รุ่นพี่ ทานมื้อเที่ยงไปหรือยังคะ?”
“เธอนี่ เปลี่ยนเรื่องได้เร็วจังเลยนะ”
ถึงจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่นยังไงก็ยังแย่อยู่ดี

“แล้วทำไมหรือคะ”
“เปล่า ฉันน่ะไม่ได้กินข้าวเที่ยงอยู่แล้วล่ะ”
“เข้าใจล่ะ งั้นช่วยไปด้วยกันหน่อยได้มั้ยคะ?”
“ถ้าจะไปดูของละก็ เชิญไปตามสบายเลย แค่ซื้อของคงไปคนเดียวได้สินะ”
“ไม่ใช่หรอก ซื้อของอะไรนั่นไม่ไปแล้วก็ได้”
ยูโกะพูดขึ้นอย่างดีใจจากนั้นก็คว้าแขนผมแล้วพาวิ่งออกไป
ทั้งๆที่จะขัดขืนก็ได้ แต่ทำไมผมถึงได้ยอมตามไปโดยง่ายแบบนี้นะ

......................
สถานที่ที่พามาเป็นไปตามคาด
บนดาดฟ้าไม่มีลมพัด แถมยังไม่มีอะไรบังแดด ทำให้สภาพนั้นร้อนราวกับขุมนรก


“ชิ...”
“ก็เป็นฤดูร้อนนี่นา ถ้าอากาศหนาวละก็สงสัยโลกคงจะถึงกาลอวสานนะคะ”
ยูโกะที่ใส่ชุดฤดูหนาวอยู่ดูจะไม่มีเหงื่ออกสักเม็ดแถมยังมีสีหน้าเฉยๆอีกต่างหาก
เธอคนนี้ดูจะน่ากลัวยิ่งกว่าดินฟ้าอากาศแปรปรวนซะอีก

“ยังไงก็นั่งลงก่อนเถอะค่ะ”
“จะให้นั่งไปทำไมกันล่ะ”
“ก็คุยกันไงคะ”
“ทำไมฉันจะต้องมาคุยกับเธอด้วยล่ะ”
“ฉันจะคุยกับรุ่นพี่ฮิมุระทั้งที จะต้องมีเหตุผลอะไรด้วยหรือคะ?”
“..............”
มันก็ควรจะมีเหตุผลไม่ใช่หรือไงกัน
ถ้ายูโกะมีความคิดแปลกๆแบบนั้นละก็ ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลยไปก่อนล่ะนะ

“แต่ถ้าออดเข้าห้องดังเมื่อไรละก็ จะรีบกลับไปโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น เข้าใจนะ”
ผมพูดออกไปด้วยเสียงที่ไม่พอใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงนั่งลงไป

“แน่นอนค่ะ”
ยูโกะนั่งลงที่ข้างๆผม

“เฮ้ย”
“หา?”
“ใกล้เกินไปแล้ว ห่างไปอีกหน่อยได้มั้ย”
คิดอะไรอยู่กันนะ ถึงได้เข้ามาใกล้จนแขนเกือบจะชนกันแบบนี้

“แหม อายสินะคะ? รุ่นพี่นี่ ยังคงแพ้ผู้หญิงอยู่เหมือนกับเมื่อก่อนเลยนะคะ”
“ไม่ใช่อย่างงั้น”
ไม่ใช่ว่าแพ้ผู้หญิงสักหน่อย

“ล้อเล่นน่ะค่ะ”
ยูโกะหัวเราะขึ้น
ที่แพ้น่ะไม่ใ่ช่กับผู้หญิงธรรมดาหรอก กับยัยนี่คนเดียวเท่านั้นล่ะ

“ยูโกะ เธอบอกว่าอยู่ชมรมดาราศาสตร์สินะ”
ผมพูดพร้อมกับเลื่อนตำแหน่งที่นั่งให้ห่างออกไป

“ค่ะ ตอนนี้ก็เลิกชมรมไปอย่างเป็นทางการแล้วด้วย เศร้าจังเลยค่ะ ชีวิตมนุษย์เนี่ย..”
“ถ้าอย่างงั้นทำไมถึงยังมีกุญแจของที่นี่อยู่ล่ะ? ไม่ได้คืนเขาไปหรือไงกัน?”
“แหะๆๆ ชมรมดาราศาสตร์น่ะเงียบเหงาแต่มีประวัติศาสตร์อยู่นิดหน่อยน่ะค่ะ เมื่อก่อนดูเหมือนจะมีรุ่นพี่นิสัยไม่ดีคนนึง...”
ยูโกะทำท่ายิ้มอย่างมีความสุข ยกกุญแจขึ้นมาให้ดู

“อย่างนี้นี่เอง ทำกุญแจขึ้นมาเองสินะ”
“นี่น่ะเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาในชมรมหลายชั่วคนแล้วล่ะค่ะ พอชมรมถูกยุบไป สุดท้ายก็เลยถูกมอบให้ฉันซึ่งเป็นสมาชิกคนสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่... แจ่มเลย”
มา แจ่มเลย อะไรกันล่ะ

“ประเพณีนี้ต้องสิ้นสุดลงก็น่าเสียดายอยู่หรอกนะคะ แต่แบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่ต้องส่งมอบต่อให้กับใครแล้ว”
“เธอน่ะ ระวังตัวไว้ด้วยล่ะ ถ้าพวกครูมาเจอเข้าละก็ คงจะไม่ถึงกับถูกไล่ออกหรือพักการเรียนหรอก แต่คงจะถูกยึดไปแน่ๆ”
“ชีวิตในโรงเรียนน่ะ เจอปัญหาอะไรบ้างนิดหน่อยก็น่าสนุกออก จริงมั้ยคะ?”
“แย่หน่อยนะ แต่ฉันอยากใช้ชีวิตในโรงเรียนอย่างสงบซะมากกว่านะ”
“แหม เป็นผู้ใหญ่จังเลยนะคะ”
“คงงั้นล่ะ”
ผมรีบตอบไปอย่างทันที
เรื่องอะไรจะต้องมาเสียเวลาเข้าไปยุ่งกับปัญหาอะไรด้วยล่ะ

“แล้วถ้าฉันเป็นคนสร้างปัญหาล่ะคะ”
“ไม่ได้เด็ดขาด”
“เอ๊... ฉันอุตส่าห์ตั้งใจตอบคำถามอย่างดี ทำไมถึงตอบอย่างใจร้ายอย่างงี้ล่ะคะ”
เธอทำท่าเหมือนจะบีบน้ำตา
ยัยนี่ช่างเหมือนกับคุเซะซะจริงๆ ดูท่าจะด้านทนพอกัน

“โอนิ... อากุมะ... ฮิมุระ...” **(โอนิ=ยักษ์,อากุมะ=ปีศาจ)
“..................”

“แล้วทำไมต้องเอาชื่อฉันไปเกี่ยวกับพวกนั้นด้วยล่ะ”
“เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้น”
เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว

“อยากจะให้เล่าเรื่องราวหลังจากที่ฉันออกไปจากสถานรับเลี้ยงหน่อยน่ะค่ะ รุ่นพี่ฮิมุระจนถึงตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ คงจริงจังกับมันมากอยู่สินะคะ”
คำถามอย่างที่คิดไว้แต่แรกเลย พอได้พบกันใหม่หลังจากที่ห่างหายไปนานหายปี สิ่งที่ยูโกะอยากถามก็คงต้องเป็นเรื่องประมาณนั้นล่ะนะ

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันก็อยู่ที่นั่นมาโดยตลอดล่ะนะ จนถึงเมื่อประมาณ ๑ ปีก่อนได้สอบติดโรงเรียนโอโตวะก็เลยได้เป็นอิสระ เรื่องมันก็มีเท่านั้นล่ะ”
“ตลอด.... เลยหรือคะ”
“ตลอดนั่นล่ะ คงไม่มีคนบ้าที่ไหนรับคนอย่างฉันเข้ามาอยู่ด้วยหรอก”
ผมไม่ได้คิดมากเรื่องนี้หรอก ถึงแ้ม้ว่าประเทศนี้จะเรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์แค่ไหน แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วแค่เลี้ยงดูตัวเองกับครอบครัวก็เต็มที่แล้ว

“แต่ว่า... ที่โอโตวะนี่...”
“อ่อ เรื่องค่าเล่าเรียนสินะ”
ผมรีบตอบตามที่คิดทันที
โรงเรียนเอกชนอย่างโอโตวะน่ะ ค่าเล่าเรียนก็แพงมาก ยังไงก็คงไม่ีมีใครคิดว่าเด็กที่ไม่มีอะไรเลยอย่างผมจะมีปัญญาจ่ายล่ะนะ

“นักเรียนทุนน่ะ”
“นักเรียนทุน?”
“พวกนักเรียนธรรมดาคงจะไม่รู้จักสินะ นักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนน่ะ”
ที่ได้เป็นนักเรียนทุนก็เพราะว่าผมคะแนนสอบเข้าได้คะแนนดีเยี่ยมแทบจะทุกวิชา
แน่นอนว่าแม้หลังจากเข้ามาได้แล้วถ้าผลการเรียนตกลงไปก็จะเสียสิทธิ์ทันที จึงจำเป็นต้องรักษาระดับท้อปเอาไว้ให้ได้ตลอด ดังนั้นจะเข้าไปพัวพันกับปัญหาจนทำให้เสียเวลาในการเรียนไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“เพื่อที่จะออกไปสู่โลกกว้าง ฉันจึงได้พยายามมาถึงขนาดนี้ไงล่ะ”
ผมพูดเช่นนั้นแล้วก็ยืนขึ้น ทำให้เห็นภาพบ้านเมืองที่ถูกตกแต่งไปด้วยสีแดงแผ่กว้างขึ้นมาจากฟากโน้นของดาดฟ้า
เมืองโอโตวะที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของต่างแดนลอยไปมา ช่างสวยงามตระการตา
แต่ว่าผมเองก็รู้ ว่าภายใต้ความสวยงามนี้ได้ปิดซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้

“นี่ ยูโกะ”
“คะ”
“มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วนะ”
“.............”
ยูโกะลุกขึ้นแล้วเข้ามายืนข้างๆผม


“สภาพแบบสมัยที่ทั้งฉันและเธอใช้ชีวิตอยู่ในสถานรับเลี้ยงน่ะ ไม่มีอีกแล้ว”
“อยากจะพูดอะไรกันแน่คะ”
“ฟังให้ดีนะ....”
ผมพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา

“อย่าเข้ามาสนิทกับฉันให้มากนักเลย”
“เอ๋”
ช่วงเวลาส้นๆที่ผมกับยูโกะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เป็นเวลาไม่ถึงครึ่งปี พวกเราแค่เคยใช้ชีวิตกันอยู่ที่สถานรับเลี้ยงภายในโบสถ์ของเมือง ที่นั่นมีเด็กมากมายที่สูญเสียพ่อแม่มาอยู่รวมกัน ทั้งผมและยูโกะเองต่างก็เป็นผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวในครอบครัวเหมือนกัน หลังจากนั้น ยูโกะก็ถูกพาตัวออกไปยังที่อื่น ส่วนผมก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด เรื่องราวสมัยอดีตของผมกับยูโกะก็มีอยู่แค่นั้น เกี่ยวพันกันอยู่แค่นั้นจริงๆ

“แย่หน่อยนะ แต่ก็อย่างที่พูดนั่นล่ะ”
“รุ่นพี่คะ... คือว่า..”
“ไปก่อนนะ”
ผมพูดจบแล้วก็เดินหันหลังแล้วจากไป

แบบนี้แหละดีแล้ว ตอนนี้น่ะมันต่างจากเมื่อก่อนแล้ว ถ้ายูโกะยังอยู่ก็รังแต่จะทำให้นึกถึงเรื่องในอดีตมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น...พอแค่นี้แหละ

....................
จะว่าไป ตอนนี้ที่ห้องเรียนเจ้านั่นคงยังกำลังขายของอยู่แน่เลย
พอก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ........ บ่ายโมงยี่สิบแล้วเหรอ ใกล้หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว รีบกลับไปก่อนดีกว่าแฮะ

“อ้าว ออกมาจากสถานที่ที่แปลกจังเลยนะ”
“.............!”
เกือบเผลอตกลงมาจากบันไดซะแล้ว อยู่ดีๆมีเสียงคนดังขึ้นมาจากไหนกันนะ ผมรีบรักษาท่าทีแล้วหันไปทางต้นเสียงนั้น


“ข้างบนนั้นมันดาดฟ้าไม่ใช่เหรอ ไปทำอะไรมาน่ะ?”
อามะมิยะ อากิระ ครูสอนศิลปะ
ดันมาเจอกับคนแบบนี้

“ก็ว่าจะลองขึ้นไปดูบนดาดฟ้านิดหน่อยน่ะครับ แต่มันเป็นสถานที่ห้ามเข้าสินะครับ ก็กำลังจะเดินกลับไปพอดีเลยครับ”
“เอ๋ ดาดฟ้าเป็นสถานที่ห้ามเข้างั้นเหรอ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ”
“หา?”
ที่เข้ามาคุยด้วยไม่ใช่เพราะเรื่องที่เดินออกมาจากสถานที่ห้ามเข้าหรอกเหรอ

“แค่ไม่คิดว่าคนอย่างฮิมุระคุงจะหนีเรียนมาเล่นที่ดาดฟ้าน่ะ เลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเท่านั้นล่ะ”
ดูเหมือนว่าสำหรับคนอย่างอามะมิยะแล้ว คงจะไม่สนใจกับเรื่องทำผิดกฎโรงเรียนเลยสักนิด คิดมากไปเองสินะ

“บางทีผมอาจจะไม่ใช่คนแบบที่ครูคิดก็ได้ครับ”
“ก็คงเป็นอย่างงั้นล่ะนะ เป็นธรรมดา เพราะว่าไม่เข้าใจนี่ล่ะ มนุษย์ถึงได้น่าสนใจไง โดยเฉพาะเธอล่ะนะ”
“คงงั้นครับ”
“ยังไงก็เถอะ การได้มาพบกันที่นี่ก็คงเป็นโชคชะตาล่ะนะ อยากจะถามมานานแล้ว ยังไงก็ไม่คิดที่จะเข้าชมรมศิลปะสินะ”
“ไม่ครับ”
ผมตอบแทบจะทันทีเหมือนทุกครั้งที่เคยโดนถามมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ประมาณ ๑ ปีก่อน ตอนนั้นผมได้วาดภาพวิวทิวทัศน์เพื่อส่งในชั่วโมงเรียนแล้วดันไปเข้าตาอามะมิยะเข้า เลยถูกนำไปแสดงในงานประกวดโดยไม่บอกกันก่อนแล้วดันได้รับคัดเลือกอีก แต่เพราะไม่มีเงินรางวัล ผมก็เลยไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย

“น่าเสียดายจริงๆเลยนะ ความสามารถระดับนี้ถ้าได้รับการขัดเกลาสักหน่อยก็จะเป็นสุดยอดแท้ๆแต่กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย”
เพราะอามะมิยะซึ่งเป็นที่ปรึกษาชมรมศิลปะพยายามตื๊อให้เข้าชมรมมาโดยตลอด สร้างความลำบากใจเป็นอย่างมาก
“บอกแล้วไง ผมน่ะไม่สนใจเรื่องวาดภาพหรอก ไม่ว่ายังไ...”

“พี่”


คนที่ส่งเสียงและเดินลงมาจากบันไดคือยูโกะนั่นเอง
เธอทำหน้าเหมือนกับกำลังตกใจอะไรสักอย่างอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น...

“พี่ งั้นเหรอ?”

“คราวนี้เป็นยูโกะเหรอ”
“เอ๋.........?”
อามะมิยะเรียกชื่อยูโกะลอยๆอย่างนั้นเลย แถมยังเรียกด้วยน้ำเีสียงที่ต่างไปจากตอนเรียกผมหรือนักเรียนคนอื่นๆ
หรือว่าที่เรียกว่าพี่ชาย....

“ยูโกะ จะว่าไปแล้ว เธอนามสกุลอะไรเหรอ?”
“เอ๋ อ้อ ฉันยังไม่ได้บอกสินะคะ... อามะมิยะค่ะ อามะมิยะ ยูโกะ”
“อะไรนะ....?”
“อ่อ ไม่ใช่นามสกุลเดิมหรอกค่ะ เป็นนามสกุลของญาติที่เก็บฉันไปเลี้ยงน่ะค่ะ”

“นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ ทำไมยูโกะถึงต้องมาอธิบายให้ฮิมุระคุงฟังด้วยล่ะ”
ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว
ได้ยินมาเหมือนกันว่ายูโกะถูกเก็บไปเลี้ยงโดยคู่สามีภรรยาที่เป็นญาติห่างๆ
และลูกที่แท้จริงของสามีภรรยาคู่นั้นก็คือ อามะมิยะ อากิระ คนนี้นี่เอง
ซึ่งนั่นก็คือ ยูโกะตอนนี้เป็นน้องสาวในทางกฎหมายของอามะมิยะนั่นเอง

“เป็นคู่พี่น้องที่เลวร้ายที่สุดในความคิดผมเลย”
“เห็นฮิมุระคุงชอบทำหน้าสิ้นหวังแบบนี้ก็เลยบ่นออกไปน่ะ แล้วยูโกะคิดว่าไงล่ะ”
“เขาน่ะชอบทำหน้าแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วล่ะค่ะ”
เลวร้่ายจริงๆนั่นล่ะ

ทันใดนั้น เสียงออดได้ดังขึ้น
“ได้เวลาแล้วสิ เรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาระหว่างยูโกะกับฮิมุระคุงนี่ก็น่าสนใจอยู่หรอกนะ แต่ไว้เจอกันครั้งหน้าล่ะกัน”
“ไม่มีความสัมพันธ์แบบนั้นสักหน่อย แล้วก็หวังว่าคงจะไม่ต้องคุยกันอีกนะครับ”
นี่มันอะไรกันเนี่ย

“อ๊ะ ฉันเองก็คงต้องรีบไปแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น พวกเธอรีบไปเข้าเรียนให้ทันเวลาเถอะ”
“...............”

เป็นแบบนี้แล้ว คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับทั้งยูโกะและอามะมิยะอีกแน่เลย ถ้ารู้อย่างงี้ละก็ ยอมอยู่กับคุเซะที่กำลังขายของอยู่ยังจะดีซะกว่า

.....................
“สวัสดีครับ”


ผมส่งเสียงต้อนรับแขกขณะที่ขนของที่สั่งไปพลาง
ทั้งๆที่คืนนี้ไม่น่าจะมีอะไร แต่ทำไมแขกถึงเข้ามาไม่ขาดสายอย่างนี้ล่ะนี่
หลังจากจัดจานอาหารบนโต๊ะแล้ว ผมก็กลับไปที่เคาน์เตอร์
ผมเริ่มทำงานพิเศษที่นี่มาตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนโอโตวะแล้ว เพราะงั้นก็เป็นเวลา ๑ ปีแล้ว

“เชิญสั่งอาหารได้เลยครับ”
แขกจะมากหรือจะน้อยก็ไม่เกี่ยวอะไรกับค่าจ้างเลย เพราะงั้นถ้าแขกน้อยลงกว่านี้ได้ก็คงจะดีมาก แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเลย แถมยังมากขึ้นเรื่อยๆ

“ครับ มีทซอสกับชาเย็น จะรับอะไรเพิ่มอีกมั้ยครับ”
พอคิดว่าจะต้องเจอกับยูโกะอีกในเร็วๆนี้ แล้วไหนจะเรื่องที่อยู่กับครอบครัวอามะมิยะอีก
แม้ว่าที่ผ่านมาจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากที่คุเซะชอบก่อขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังใช้ชีวิตอย่างสงบมาได้ตลอดแท้ๆ
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนมีเมฆดำปกคลุมอยู่ในหัวเลย

................
“เฮ้อ...”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างเต็มที่


พอเลิกเรียนที่โรงเรียนเสร็จแล้วก็มาทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟ พอกลับถึงบ้านก็ทานอาหารง่ายๆ จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือจนดึก ทุกๆวันวนเวียนไปเรื่อยๆแบบนี้ แต่ละวันไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย
การใช้ชีวิตผ่านไปโดยไม่คิดอะไรนอกจากเรื่องเรียนคือสิ่งเดียวที่จะทำได้
ไม่สิ ผมพยายามที่จะไม่คิดอะไรมากกว่า
เพื่อที่จะไม่คิดอะไร เพื่อที่จะไม่หันหลังกลับไปหาอดีตอีก

“.................”
ผมหยุดเดินแล้วมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ประดับไปด้วยดาวอยู่อย่างเต็มฟ้า

“เธอบอกว่าอยู่ชมรมดาราศาสตร์สินะ”
ตอนสมัยที่อยู่ที่นั่น เธอชอบดูดาวหรือเปล่านะ?
.......เรื่องละเอียดปลีกย่อยแบบนั้น ยังไงก็คงจำไม่ได้แน่นอนล่ะนะ
แม้แต่นามสกุลเดิมของเธอก็ยังลืมไปแล้วเลย

“ยูโกะ”
เหล่าเด็กมากมายที่สูญเสียครอบครัวไปในภัยพิบัติครั้งนั้นและถูกนำมาเลี้ยงดูที๋โบสถ์
เด็กที่อายุน้อยกว่าผมก็มีอยู่มากมาย แต่ที่เรียกผมว่า “พี่ชาย” ก็มีแต่ยูโกะเท่านั้น
เธอมักจะตามมาอ้อนผมตลอด ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เธอก็จะเกาะติดผมตลอด
แต่ว่า ผมกลับเพิกเฉยต่อยูโกะมาโดยตลอดโดยไม่เคยยกโทษให้
ยูโกะน่ะให้ความรู้สึกคล้ายกับ....

ในคืนนั้น..... ไม่ว่าดาวหรืออะไรก็มองไม่เห็น
เปลวไฟสีแดง กับควันสีขาว....
ภาพที่เห็นมีแต่แดงกับขาว ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่ความมืดมน


-“พี่ชาย...!”-
คนที่จะต้องปกป้องแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตตัวเองก็ตาม
อามะมิยะ ยูโกะ ทำให้ผมนึกเรื่องความสูญเสียในครั้งนั้นขึ้นมาอีก
เพราะฉะนั้น ผมถึงพยายามไม่เข้าใกล้ยูโกะ
ยูโกะที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันนานนั้น แม้จะดูน่ารำคาญแต่ก็โตขึ้นมาสวยดี
ถ้าหากไม่ได้พบกับอุบัติเหตุในครั้งนั้น ตอนนี้เด็กคนนั้นก็คงจะสวยเหมือนยูโกะ

“ฮึ่ม..”
คิดอะไรอยู่น่ะ ฮิมุระ ยู
ทั้งๆที่ตั้งใจจะลืมเรื่องในอดีตเหล่านั้นไปแท้ๆ
เรื่องที่ทุกอย่างถูกเผาทำลายไปในคืนนั้น เก็บมันไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ
จากนี้ต่อไป ไม่ว่ายูโกะจะยื่นมือเข้ามาอีกสักกี่ครั้ง ผมก็จะปัดมันออกไป



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- บันเทิง >> เกม >> vn

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ