#เสาร์ 24 ก.ย. 2011
มาอยู่ปักกิ่งได้สักเดือนแล้ว ก็มีทยอยไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวมาหลายที่ (ไอ้เราก็เป็นประเภทบ้าเที่ยวอยู่แล้วด้วย)
ล่าสุด พอดีทางมหาวิทยาลัยเราได้พานักศึกษาชาวต่างชาติไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน ฉางเฉิง (长城)
กำแพงเมืองจีนที่ปักกิ่งมีให้เที่ยวได้หลายแห่ง ที่ที่คนนิยมสูงสุดเรียกว่าด่านปาต๋าหลิ่ง (八达岭)
แต่ที่เขาพาเราไปมานี้เป็นที่ที่คนไปน้อยกว่าพอสมควร เนื่องจากอยู่ไกลกว่า เรียกว่าด่านมู่เถียนยวี่ (慕田峪) อยู่ในเขตหวยโหรว (怀柔)
แม้จะไม่ใช่จุดที่นิยมมากสุด แต่ขึ้นชื่อว่าสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก คนก็เข้ามาเยอะมากเป็นธรรมดา แถมยังเป็นวันเสาร์ด้วยก็ไม่แปลกที่คนจะแน่นสักหน่อย
รถจอดให้พวกเราลงตรงระหว่างทางขึ้นเขา ต้องเดินต่อไปเอง ระหว่างทางก็มีร้านค้าตั้งอยู่เรียงรายเต็มไปหมด ทั้งหมดนี้ล้วนแพงกว่าราคาปกติมากทั้งสิ้น ไม่จำเป็นจริงๆไม่ซื้อเด็ดขาด
ตรงใกล้ๆกับทางเข้าสู่ทางขึ้นกำแพงเมืองจีนมีพิพิธภัณฑ์หิน พวกเราไม่ได้เข้าไปเพราะต้องเสียตังเพิ่ม แล้วก็ไม่คิดว่าจะสำคัญเท่าไรนัก
(คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่รู้จักนะ เขาแค่ดันมานั่งอยู่ตรงนี้เลยจำต้องถ่ายติดมาด้วย)
เลยผ่านบริเวณที่เก็บค่าเข้าแล้ว ตรงนี้เป็นทางเดินสำหรับขึ้นไปบริเวณกำแพง
มันก็ต้องปีนไปอีกไกลพอดูกว่าจะถึงกำแพง ระหว่างทางก็มีศาลาให้แวะพัก
มีแผนที่ให้ดูก่อนขึ้น
ขึ้นมาแล้ว เส้นทางสวยมาก
ทิวทัศน์ที่มองลอดกำแพงออกไป
เจอคู่แต่งงานใหม่ด้วย มาถ่ายรูปกันถึงกำแพงเมืองจีนเลยทีเดียว
เมื่อเดินต่อไปก็เห็นทิวทัศน์อะไรมากขึ้น มุมนี้สวยมาก
คุณลุงคนนี้ขายน้ำอยู่บริเวณป้อมของกำแพง ราคาแพงสุดๆ คือแค่น้ำเปล่าก็ขวดละ ๑๐ หยวน (๕๐ บาท) ทั้งที่ปกติน้ำที่นี่เขาขายแค่ขวดละ ๑.๕ หยวนเท่านั้นเอง ต่อให้หิวน้ำแค่ไหนก็ซื้อไม่ลง
จากนั้นเราก็ปีนขึ้นมาด้านบนของป้อม (แต่รูปนี้ถ่ายตอนลง)
ทิวทัศน์ด้านบนป้อม
แล้วเราก็เดินต่อไป
หันกลับไปถ่ายเพื่อนที่มาด้วยกัน ทิวทัศน์สวยก็ต้องคู่กับสาวสวย
แต่มุมนี้สวยกว่านิดนึง
เดินต่อไปแล้วหันกลับไปถ่าย
เส้นทางที่กำลังจะมุ่งหน้าต่อไป ตอนนี้กำลังลง แต่เดี๋ยวจะต้องขึ้นอีกที
ป้อมต่อไปอยู่ข้างหน้าแล้ว
ถึงป้อมถัดมาแล้ว หันมองขึ้นกลับไปดูทางที่เราเดินผ่ามาพร้อมนึกในใจว่าขากลับเหนื่อยแน่
ป้อมถัดมามีลักษณะเหมือนบ้าน คล้ายว่าจะมีใครพักอยู่เลย
การมาถึงมันไม่เหนื่อยมากเพราะเป็นขาลง แต่จะเหนื่อยเอาตอนกลับ
ปืนใหญ่
แล้วก็มาถึงป้อมต่อไป
ถึงตรงนี้ เพื่อนสองคนนี้ขอถอนตัวกลับก่อนซะแล้ว ส่วนเราก็เดินต่อไป
ไปต่อ
หันกลับไปดูป้อมที่จากมา มุมนี้ก็สวยมากจริงๆ
หันไปมองเส้นทางที่ผ่านมา มันช่างแสนชัน
ป้อมต่อไปและต่อไป
ตรงนี้มันช่างชัน
และแล้วก็ถึงป้อมสุดท้าย
พอทะลุป้อมสุดท้ายออกมาก็ไม่มีอะไร นอกจากป้ายที่บอกว่าห้ามไปต่อแล้ว เป็นอันจบการเดินทางแค่นี้
รูปนี้เพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ไปด้วยกัน เขาให้ถ่ายให้เขา
แต่ยังไม่จบแค่นี้ เพราะเมื่อเดินมาแล้ว ก็ต้องเดินกลับ
ระหว่างทางที่เดินมามีจุดที่ให้ขึ้นกระเช้าได้ด้วย ซึ่งพวกเราก็กะว่าจะนั่งกระเช้าลงไป แต่ก็คนแน่นมากอย่างที่เห็น และก็ต้องรอนานก็เลยไม่ดีกว่า
สุดท้ายก็เดินกลับ แต่ก็ไม่เหนื่อยเท่าตอนขึ้นเพราะเป็นขาลง ก็สบายหน่อย
แผนที่เพื่อให้เห็นภาพชัดถึงเส้นทางที่เดินทางมา
เราเดินบันไดขึ้นมาถึงกำแพงเมืองจีนบริเวณป้อมเลข 8 แล้วเราก็เลี้ยวขวาแล้วเดินไปจนถึงป้อมเลข 1 เป็นอันสุดทาง จากนั้นก็เดินกลับมาจนถึงป้อมเลข 6 แล้วเดินลง ส่วนเส้นประนั่นคือตำแหน่งขึ้นกระเช้า
คิดถูกที่ไม่เลือกเดินทางซ้าย ซึ่งมันจะไปสุดที่ป้อมเลข 23 ซึ่งไกลมากๆ อาจจอดก่อนไปถึง แค่นี้ก็เหนื่อยแย่แล้ว ถ้าอยากพิชิตป้อมที่ 23 ไว้คราวหน้านั่งกระเช้าทางซ้ายมาลงป้อมที่ 14 ดีกว่า
เมื่อลงมาก็บ่ายโมงกว่าๆแล้ว หิวแทบแย่จนจำต้องยอมกินของที่นี่รองท้องไป เข้าไปในร้านอาหารปุ๊บก็พบกว่าฮ็อตด็อกราคา ๒๘ หยวน (๑๔๐ บาท) แถมดูไม่น่าอร่อยเลย ก็เลยไม่กิน ไปซื้อแค่คุกกี้ ซึ่งราคาชิ้นละ ๕ หยวน (๒๕ บาท) แค่นี้ก็กระอักแล้วเหมือนกัน
เป็นอันจบการเดินทางที่แสนเหนื่อยเพียงเท่านี้ ส่วนที่เที่ยวอื่นๆหากมีเวลาก็อยากทยอยนำมาเล่า และยังคงตระเวณเที่ยวไปเรื่อยๆ
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ