พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมทิเบต
เขียนเมื่อ 2015/06/08 21:06
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42
#เสาร์ 6 มิ.ย.
ก่อนหน้านี้ได้แนะนำสวนชนเผ่าแห่งจีน (中华民族园) ซึ่งเป็นสถานที่จัดแสดงเกี่ยวกับชนเผ่าต่างๆในจีนไปแล้ว โดยตอนที่เล่าถึงสวนฝั่งเหนือเราได้แนะนำชนเผ่าหนึ่งที่มีความสำคัญและประวัติศาสตร์น่าสนใจไป นั่นคือชาวทิเบต https://phyblas.hinaboshi.com/20150606
ในปักกิ่งยังมีสถานที่อีกแห่งที่จัดแสดงเรื่องราวของทิเบต อยู่ไม่ไกลกันมาก นั่นคือพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมทิเบต (西藏文化博物馆)
พิพิธภัณฑ์นี้เปิดทำการตั้งแต่เมื่อปี 2010 เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์วิจัยทิเบตศึกษาจีน (中国藏学研究中心)
วันเปิดให้เข้าชมของที่นี่ค่อนข้างแปลกสักหน่อยคือเปิดเฉพาะวันอังคาร, พฤหัส และเสาร์ ทำให้ถ้าใครอยากจะมาชมละก็ต้องดูวันเวลาให้ดี
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโดยใช้ ๓ ภาษาเป็นหลัก คือภาษาจีน, ทิเบต และอังกฤษ แต่ก็มีบางส่วนที่เขียนเป็นภาษาจีนอย่างเดียว
เมื่อมีโอกาสได้ศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทิเบตในครั้งนี้เราเลยถือโอกาสเรียนรู้วิธีการอ่านอักษรทิเบตไปด้วย
อักษรทิเบตเป็นอักษรที่สวยมาก เป็นอักษรแทนเสียงที่ดัดแปลงมาจากอักษรทางฝั่งอินเดียเช่นเดียวกับอักษรไทยจึงมีส่วนคล้าย สามารถเทียบเคียงกันได้ แต่มีระบบที่ไม่ได้ซับซ้อนมากเท่าอักษรไทย มีการแยกพยางค์ชัดเจนทำให้อ่านง่าย แต่อักษรไม่มีเครื่องหมายแสดงวรรณยุกต์ชัดเจนเสียงวรรณยุกต์จึงขึ้นอยู่กับพยัญชนะและสระ
ทิเบตเป็นชนชาติที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบต (西藏自治区) และยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่อาศัยอยู่ในมณฑลกานซู่, เสฉวน และยูนนาน เป็นหนึ่งใน ๕๖ ชนชาติในจีนที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีน ประชากรทั้งหมดรวมแล้วก็ประมาณ ๕ ล้านกว่าคน
แม้ว่าทิเบตจะเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ว่าบริเวณที่คนทิเบตอาศัยอยู่นั้นมีคนจีนอาศัยอยู่น้อยมาก ในเขตปกครองตนเองทิเบตนั้นมีชาวทิเบตอยู่มากกว่า ๙๐% ในขณะที่มีคนจีนฮั่นไม่ถึง ๑๐% ซึ่งผิดกับเขตการปกครองของชนกลุ่มน้อยเขตอื่นในจีนที่ตามเมืองใหญ่เต็มไปด้วยคนจีนฮั่นหมดแล้ว
ชาวทิเบตมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองที่ค่อนข้างโดดเด่น พวกเขานับถือพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ซึ่งบางทีก็ถูกเรียกว่าเป็นศาสนาพุทธแบบทิเบต วัฒนธรรมตรงนี้มีอิทธิพลต่อจีนอยู่ไม่มากก็น้อย
ในช่วงยุคหลังๆมานี้ภายใต้การปกครองของรัฐบาลจีนยุคใหม่ทำให้ชาวจีนเข้ามามีบทบาทในทิเบตมากขึ้น วัฒนธรรมของทิเบตก็ค่อยๆถูกกลืนหายลงไปมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความพยายามที่จะอนุรักษ์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์วัฒนธรรมทิเบต
ประวัติศาสตร์ของทิเบตนั้นแม้ว่าจะไม่เก่าแก่เท่าจีน แต่ก็มีความน่าสนใจเหมือนกัน ในฐานะส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์จีนแล้วก็ถือว่าน่าเรียนรู้เช่นกัน ภายในพิพิธภัณฑ์นี้เล่าประวัติศาสตร์ของทิเบตไว้คร่าวๆ ซึ่งเดี๋ยวจะกล่าวถึงโดยย่อไปพร้อมกับที่เล่าถึงส่วนจัดแสดง
การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์นั้นสามารถขึ้นรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีฮุ่ยซินซีเจียเป๋ย์โข่ว (惠新西街北口站) ซึ่งอยู่สาย 5
เมื่อออกประตูมาแล้วจะมาโผล่ที่ฝั่งตรงข้าม ต้องข้ามสะพานลอยไป
นี่คืออาคารศูนย์วิจัยทิเบตศึกษาจีน อาคารทำเป็นแบบทิเบตดูแล้วเด่น ส่วนอาคารพิพิธภัณฑ์อยู่ถัดออกไปอีก
ถึงแล้ว อาคารนี้เอง
ชั้นล่างของอาคารมีภาพแกะสลักอยู่ดูสวยดี
ทางเข้าอยู่ชั้น ๒ พอเข้าไปแล้วก็ต้องยื่นพาสปอร์ตเพื่อรับบัตรเข้าชมฟรี ถ้ามีสัมภาระมาต้องฝากไว้ด้วย
ส่วนจัดแสดงมีอยู่ ๒ ชั้น คือชั้น ๒ กับ ๓ โดยชั้น ๒ เป็นส่วนจัดแสดงหลัก ส่วนชั้น ๓ เป็นส่วนจัดแสดงชั่วคราว
เริ่มจากชั้น ๒ ห้องแรกจัดแสดงประวัติศาสตร์ของทิเบต
บริเวณที่เป็นทิเบตนั้นเริ่มมีร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่ช่วงยุคหินเก่าแล้ว สามารถขุดเจอซากอารยธรรมได้
ในปี 629 เริ่มมีปรากฎอาณาจักรของชาวทิเบตขึ้นมาเป็นครั้งแรก มีชื่อราชวงศ์ว่าเผ่อเชนโป (བོད་ཆེན་པོ།, Pöqênbo) ในภาษาทิเบต และเรียกว่าถู่ปัว (吐蕃*) ในภาษาจีน มีการติดต่อกับราชวงศ์ถัง (唐朝, ปี 618 - 907) ของจีนด้วย ในช่วงนี้ได้เริ่มมีการประดิษฐ์อักษรทิเบตขึ้นมา
*อักษร 蕃 ปกติจะอ่านว่า "ฟาน" แต่เฉพาะในคำนี้จะอ่านว่า "ปัว"
ทางซ้ายคือรูปของซงแจนกั่มโป (སྲོང་བཙན་སྒམ་པོ་, Songzän Gambo) หรือซงจ้านกานปู้ (松赞干布) ในภาษาจีน กษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ถู่ปัว
ทางขวาคือเจ้าหญิงเหวินเฉิง (文成公主) หลานสาวของจักรพรรดิถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถังซึ่งถูกส่งให้ไปแต่งงานกับซงแจนกัมโปเพื่อกระชับไมตรีระหว่างราชวงศ์ถังกับราชวงศ์ถู่ปัว
อนุสาวรีย์ที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีของราชวงศ์ถังและถู่ปัว
พอถึงช่วงปลาย ศตวรรษที่ 9 อาณาจักรถู่ปัวก็ได้ล่มสลายลง ชาวทิเบตได้กระจัดกระจายแตกเป็นก๊กเหล่าเป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปี จนเวลาได้ล่วงเลยมาสู่ศตวรรษที่ 13 เข้าสู่ยุคที่จักรวรรดิมองโกลเริ่มเรืองอำนาจ
จักรวรรดิมองโกลได้เข้าครอบครองทิเบต ภายใต้การสนับสนุนของจักรวรรดิมองโกลทำให้กลุ่มทางศาสนาของทิเบตนิกายสักยะขึ้นมาเป็นผู้นำในทิเบต
ผู้นำนิกายสักยะขณะนั้นคือซ่าเจียปานจื้อต๋า (萨迦·班智达) หรือภาษาจีน หรือชื่อในภาษาสันสกฤตว่าสักยะบัณฑิต
ทางมองโกลได้เชิญเขาไปเข้าเฝ้า ในปี 1244 ซาสกยาบันดิตาพร้อมกับหลาน ๒ คนได้ไปเข้าพบลูกชายของวอเคอไตข่าน ผู้นำมองโกลขณะนั้น นั่นเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าทางทิเบตอยู่ภายใต้อำนาจของทางมองโกลแล้ว
หนึ่งในหลานของซาสกยาบันดีตาที่ไปเข้าเฝ้าด้วยนั้นชื่อพักปา (འཕགས་པ་) หรือในภาษาจีนเรียกว่าปาซือปา (八思巴) เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองทิเบตในปี 1260 หลังจากที่กุบไลข่านได้ขึ้นเป็นข่านแห่งมองโกล
ในปี 1270 พักปาได้ประดิษฐ์อักษรขึ้นมาสำหรับเขียนภาษามองโกล อักษรนั้นถูกเรียกว่าอักษรพักปา สร้างขึ้นโดยเลียนแบบจากอักษรทิเบตแต่เขียนแนวตั้ง อักษรนี้ถูกใช้แค่ไม่นานก็เลิกใช้ไป
นี่คือจดหมายราชการของมองโกลที่เขียนโดยอักษรพักปา
ความสัมพันธ์ระหว่างมองโกลกับทิเบตตั้งแต่ช่วงนั้นก็เรียกได้ว่าทางมองโกลจะคอยเป็นผู้ปกครองและคุ้มครองทิเบตให้ ส่วนทิเบตก็มีหน้าที่คอยช่วยเผยแพร่ศาสนาพุทธภายในอาณาจักรให้
ความสัมพันธ์นี้ก็เป็นอยู่ต่อมาจนจักรวรรดิมองโกลตั้งราชวงศ์หยวน (元朝, ปี 1271 - 1368) ขึ้นมาปกครองแผ่นดินจีน แล้วต่อมาพอราชวงศ์หยวนถูกล้ม ราชวงศ์หมิง (明朝, ปี 1368 - 1644) ขึ้นมาปกครองจีนต่อก็ได้สืบทอดอำนาจปกครองทิเบต
นี่เป็นเอกสารที่จักรพรรดิเฉิงฮว่า (成化, ปี 1464 - 1487) ส่งให้ผู้นำทางศาสนาในทิเบต มีเป็นภาษาจีนและภาษาทิเบต
หลังจากนั้นราชวงศ์หมิงก็เสื่อมอำนาจลง ราชวงศ์ชิง (清朝, ปี 1644 - 1912) ของชาวแมนจูเริ่มขึ้นมามีอำนาจ
ในปี 1642 ซึ่งเป็นช่วงไล่เลี่ยกับที่ราชวงศ์ชิงเริ่มมามีอำนาจ ทิเบตภายใต้การสนับสนุนของทางมองโกลได้เริ่มระบบการปกครองโดยดาไลลามะขึ้น
ดาไลลามะ ในภาษาทิเบตเรียกว่าตาแลลามา (ཏཱ་ལའི་བླ་མ་, Dalä Lama) โดยคำว่าตาแล (ཏཱ་ལའི་) นั้นมาจากภาษามองโกล แปลว่ามหาสมุทร ส่วนคำว่าลามา (བླ་མ་) เป็นภาษาทิเบตหมายถึงพระครู ส่วนในภาษาจีนเรียกว่าต๋าไล่ล่าหมะ (达赖喇嘛)
ดาไลละมะนั้นคือผู้ที่ถูกเชื่อว่าเป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ แรกเริ่มเดิมทีดาไลลามะเป็นเพียงผู้นำทางศาสนาพุทธแบบทิเบตนิกายเกลุก แต่ตั้งแต่สมัยของดาไลละมะองค์ที่ ๕ จึงได้กลายมาเป็นผู้นำสูงสุดของดินแดนทิเบตไป
ตำแหน่งดาไลลามะตั้งแตกต่างจากระบบกษัตริย์เพราะไม่ได้สืบทอดทางสายเลือด แต่สืบทอดโดยการแต่งตั้ง โดยเมื่อดาไลละมะองค์เดิมตายจะมีการไปหาเด็กที่ดูแล้วน่าเป็นดาไลลามะองค์ก่อนที่กลับชาติมาเกิด ดาไลลามะจึงเริ่มรับตำแหน่งตั้งแต่เด็กและในทางปฏิบัติอำนาจจะอยู่กับผู้สำเร็จราชการไปจนกว่าดาไลลามะจะโต
เมื่อราชวงศ์ชิงล้มราชวงศ์หมิงและได้ปกครองแผ่นดินจีนทั้งหมดแทน ไม่นานนักก็ได้สืบทอดอำนาจเหนือแผ่นดินทิเบตต่อไปด้วย
ในปี 1652 ดาไลลามะได้เดินทางไปปักกิ่งตามคำขอของจักรพรรดิซุ่นจื้อ (顺治, ปี 1643 - 1661) เพื่อเข้าเฝ้า จักรพรรดิซุ่นจื้อได้ทำการแต่งตั้งดาไลลามะอย่างเป็นทางการ การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ชิงและทิเบตมีต่อไปเรื่อยๆ
เขตแดนของจีนสมัยราชวงศ์ชิง จะเห็นว่าผนวกรวมทิเบตอยู่ในนี้แล้ว รวมทั้งซินเจียงและมองโกเลียด้วย
หนังสือที่ออกโดยจักรพรรดิคางซี (康熙, ปี 1661 - 1722) คำสั่งมอบตำแหน่งแปนเชนลามา (པན་ཆེན་བླ་མ་, Bänqên Lama) หรือในภาษาจีนเรียกว่าปานฉานล่าหมะ (班禅喇嘛) ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำทางศาสนารองจากดาไลลามะ
แผ่นป้ายที่จักรพรรดิถงจื้อ (同治, ปี 1862 - 1874) เขียนส่งให้วัดจาซีฮลวินโป (བཀྲ་ཤིས་ལྷུན་པོ, Zhaxilhünbo) หรือในภาษาจีนเรียกว่าวัดจาสือหลุนปู้ (扎什伦布寺) จะเห็นว่ามี ๔ ภาษาคือภาษาแมนจู, มองโกล, จีน และทิเบต
ช่วงศตวรรษที่ 19 ราชวงศ์ชิงเริ่มเสื่อมอำนาจ อังกฤษแข่งกับรัสเซียเข้ามามีอำนาจในเอเชียกลาง ทิเบตเลยกลายเป็นรัฐกันชน ปี 1903 อังกฤษเริ่มบุกทิเบต ในขณะนั้นการเมืองภายในจีนวุ่นวาย ทางราชวงศ์ชิงไม่สามารถมาช่วยเหลือแทรกแซงทางนี้ได้ทิเบตจึงต้องป้องกันตัวเอง ผู้นำทิเบตซึ่งขณะนั้นเป็นดาไลละมะที่ ๑๓ ได้หลบหนีไปมองโกเลีย
แบบจำลองซากป้อมบนเขาในอำเภอกยั่งเจ (རྒྱལ་རྩེ, Gyangzê) หรือเจียงจือ (江孜) ในภาษาจีน ซึ่งมีการสู้เพื่อป้องกันตนเองจากกองทัพอังกฤษในปี 1904 ทิเบตไม่มีทางต่อต้านทัพอังกฤษได้เลย ได้แต่ต้องยอมจำนน ผลคือทิเบตต้องยอมทำสัญญาอนุญาตให้อังกฤษเข้ามาทำการค้าขายในทิเบตอีกทั้งต้องชดใช้ค่าเสียหายจากสงคราม อย่างไรก็ตามทิเบตในตอนนั้นวุ่นวายและไม่อาจทำตามที่สัญญาเอาไว้ได้
ต่อมาปี 1906 ทางราชวงศ์ชิงได้เข้าไปเจรจากับอังกฤษเพื่อขอทำสัญญาแบบที่ทิเบตเคยทำและรับภาระค่าเสียหายแทน โดยที่อังกฤษยังต้องยอมรับอำนาจของราชวงศ์ชิงเหนือทิเบตอยู่
พอถึงปี 1912 ราชวงศ์ชิงล่มสลายลง เข้าสู่ยุคที่จีนปกครองโดยรัฐบาลสาธารณรัฐจีน ทิเบตได้เกิดความวุ่นวายมีการต่อต้านขึ้นอีก ดาไลลามะองค์ที่ ๑๓ ซึ่งลี้ภัยอยู่ได้กลับมาทิเบตและได้ประกาศอิสรภาพตั้งทิเบตเป็นรัฐอิสระขึ้นมา อย่างไรก็ตามจีนไม่ยอมรับความเป็นอิสระของทิเบตและยังมีอิทธิพลต่อทิเบตอยู่เรื่อยมา
เจียงไคเชกกับภรรยาถ่ายรูปคู่กับคณะตัวแทนจากทิเบตที่หนานจิงปี 1946
จดหมายที่เจียงไคเชกติดต่อกับดาไลลามะ
ส่วนจัดแสดงห้องแรกจบลงเพียงเท่านี้ ห้องถัดไปจะจัดแสดงเกี่ยวกับทิเบตตั้งแต่เริ่มยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนจนถึงปัจจุบัน
ปี 1949 จีนเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน จีนได้ประกาศอำนาจปกครองเหนือทิเบตและส่งกำลังเข้าปราบผู้ต่อต้าน ในปี 1951 มีการทำสัญญาลงนามข้อตกลงสันติภาพกันที่ปักกิ่ง โดยถือว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีน นี่คือหุ่นจำลองแสดงการลงนามในครั้งนั้น
ตั้งแต่นั้นมาแม้จะยังคงมีการต่อต้านอยู่เรื่อยมาแต่ทิเบตก็อยู่ภายใต้การปกครองของจีนมาโดยตลอดจนปัจจุบัน
ปี 1959 เกิดการลุกฮือขึ้นในทิเบต ผลลงเอยด้วยการที่ดาไลละมะองค์ที่ ๑๔ หลบหนีลี้ภัยไปยังอินเดีย หลังจากนั้นการปฏิรูปภายในทิเบตจึงเริ่มขึ้น ทำการล้มเลิกระบบศักดินา ยึดที่ดินและทรัพย์สินจากพวกชนชั้นเจ้านายมาแจกจ่ายให้ประชาชน
ภายใต้การปกครองของจีน ทิเบตเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ แผนภาพนี้แสดงถึงรายได้เฉลี่ยต่อหัวและอายุขัยเฉลี่ยของทิเบตซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1951
และพัฒนาการด้านอื่นๆอีกหลายอย่าง
งานฝีมือของทิเบต
ยาทิเบต
หนังสือภาษาทิเบต
ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตในทิเบต
ชั้นหนังสือนี้เก็บพระสูตรภาษาทิเบต
ลองเปิดมาดู ภาษาทิเบตหมดเลย
นี่คือแบบจำลองภูมิประเทศและทางรถไฟในทิเบต
หน้าจอแนะนำเส้นทางรถไฟในทิเบต
ชั้น ๒ ส่วนจัดแสดงมีอยู่เท่านี้ ที่เหลือก็คือชั้น ๓
จากชั้น ๓ มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นตึกซีจ้างต้าซ่า (西藏大厦) เป็นตึกที่สร้างแบบทิเบต ดูแล้วสวยดี
ชั้น ๓ ห้องแรกจัดแสดงเกี่ยวกับพุทธศาสนาแบบทิเบต
แผนที่แสดงศาสนสถานของนิกายต่างๆในทิเบต ที่เห็นเยอะสุดสีเหลืองนี้คือนิกายเกลุก
ในนี้มีจัดแสดงพวกพระพุทธรูปและของที่เกี่ยวข้อง
หนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแบบทิเบตและดาไลลามะ
จากนั้นห้องถัดมาจัดแสดงเกี่ยวกับดาไลลามะ
ห้องสุดท้ายจัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวทิเบต มีจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของชาวทิเบต
ชุดเสื้อผ้าของชาวทิเบต
จำลองภายในบ้าน
วิถีชีวิตของชาวทิเบตที่อยู่แบบเร่ร่อน
เรือที่ทำจากหนังวัว
ส่วนจัดแสดงในนี้ก็หมดแค่นี้ โดยรวมแล้วมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็พอที่จะทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับทิเบตขึ้นมาได้ไม่มากก็น้อย
-----------------------------------------
囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧
ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ