φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



[python] วิเคราะห์การถดถอยพหุนาม
เขียนเมื่อ 2016/12/19 10:43
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42
ก่อนหน้านี้ได้เขียนถึงการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นในหนึ่งมิติไป https://phyblas.hinaboshi.com/20161210

แต่ว่าการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นนั้นสามารถแก้ได้แต่ปัญหาที่เป็นเชิงเส้น นั่นคืออยู่ในรูป z = w*x + b

ปัญหาโดยทั่วไปอาจไม่ได้เรียบง่ายอยู่ในรูปแบบเชิงเส้นให้เราแก้ได้ง่ายๆ เช่นลองยกตัวอย่างข้อมูลในลักษณะนี้


แบบนี้ย่อมไม่ควรจะใช้การถดถอยเชิงเส้นได้

หากต้องการปัญหาที่ผลเฉลยไม่น่าจะเป็นเชิงเส้น ก็ต้องปรับวิธีใหม่ซึ่งซับซ้อนขึ้น

รูปแบบคำตอบที่ง่ายรองลงมาจากเชิงเส้นธรรมดาก็คืออยู่ในรูปพหุนาม นั่นคือเป็นลักษณะแบบนี้
z = w0 + w1*x + w2*x**2 + w3*x**3 + ...

รูปแบบสมการลักษณะนี้ดูแล้วก็จะคล้ายกับสมการเชิงเส้นหลายมิติ ซึ่งเขียนถึงไปใน https://phyblas.hinaboshi.com/20161212

เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจาก x1 เป็น x**1 ส่วน x2 เป็น x**2 และ xn เป็น x**n

นั่นหมายความว่าถ้าใช้แนวคิดเดียวกันเราก็สามารถแก้ปัญหาพหุนามได้ โดยให้ถือว่า x, x**2 และ x**3 ล้วนเป็นตัวแปรต้นคนละตัว โดย x1 เป็น x และ x2 เป็น x**2 แบบนี้

เราจะลองมาสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์การถดถอยพหุนามเพื่อแก้ปัญหาข้อนี้กันดู

ก่อนอื่นเริ่มจากเฉลยว่าข้อมูลที่วาดในรูปข้างต้นมาจากโค้ดนี้
import numpy as np
import matplotlib.pyplot as plt
x = np.linspace(0,1,101)
z = 1+3*x-7*x**2+5*x**3+0.1*np.random.randn(101)
plt.scatter(x,z)
plt.show()

ซึ่งดูจากตรงนี้จะเห็นว่าคำตอบที่ควรจะเป็นก็คือ w0=5, w1=21, w2=31 และ w3=1

เช่นเคย คราวนี้เราก็จะมาดูว่าวิธีการที่เราใช้จะสามารถหาคำตอบได้ตามนี้หรือเปล่า

ก่อนอื่นที่น่าพูดถึงคือวิธีการสร้างข้อมูลตัวแปรต้น โดยเดิมทีเรามีแค่ x ตัวเดียว แต่ว่าต้องสร้างค่า x ที่ยกกำลังต่างๆตั้งแต่ 0 ไปจนถึงดีกรีที่ต้องการ

อาจใช้วิธีการดังนี้
deg = 3 # ดีกรีที่ต้องการ
X = np.stack([x**i for i in range(deg+1)],1)
print(X[::20])

ได้
[[ 1.     0.     0.     0.   ]
 [ 1.     0.2    0.04   0.008]
 [ 1.     0.4    0.16   0.064]
 [ 1.     0.6    0.36   0.216]
 [ 1.     0.8    0.64   0.512]
 [ 1.     1.     1.     1.   ]]

หลักแรกคือพจน์ x0 ซึ่งจะไปคูณกับ w0 จะเป็น 1 ทั้งหมด ปกติแล้ว w0 คือไบแอสซึ่งไม่ต้องการนำไปคูณกับค่า x ตัวใดๆ แต่ในที่นี้เราสร้างแถว x0 ออกมาด้วย แทนที่จะแยกค่าไบแอสออกมา

ใช้วิธีการนี้เราสามารถเขียนคลาสสำหรับการวิเคราะห์การถดถอยพหุนามแบบตัวแปรเดียวได้ดังนี้
class ThotthoiPhahunam1D:
    def __init__(self,eta,deg=2):
        self.eta = eta
        self.deg = deg

    def rianru(self,x,z,d_yut=1e-7,n_thamsam=100000):
        X = np.stack([x**i for i in range(self.deg+1)],1) # ทำให้เป็นพหุนาม
        self.w = np.zeros(X.shape[1])
        dw = np.zeros(X.shape[1])
        h = np.dot(X,self.w)
        self.sse = [self.ha_sse(h,z)]
        for i in range(n_thamsam):
            eee = 2*(z-h)*self.eta
            dw = np.dot(eee,X)
            self.w += dw
            h = np.dot(X,self.w)
            self.sse += [self.ha_sse(h,z)]
            if(np.all(np.abs(dw)<d_yut)):
                break

    def thamnai(self,x):
        X = np.stack([x**i for i in range(self.deg+1)],1)
        return np.dot(X,self.w)

    def ha_sse(self,h,z):
        return ((h-z)**2).sum()

โดยในนี้เราให้กำหนดค่าดีกรีในพารามิเตอร์ deg ตอนที่สร้างออบเจ็กต์พร้อมกับค่าอัตราการเรียนรู้

เวลาป้อนค่าตัวแปรต้นก็ใส่ค่า x ซึ่งเป็นอาเรย์มิติเดียวไป แล้วก็จะถูกแปลงเป็นพหุนามเพื่อทำการเรียนรู้ต่อไป

ลองนำมาใช้กับค่า x และ z ของโจทย์ข้อนี้ที่เราเตรียมเอาไว้ โดยสร้างออบเจ็กต์จากนั้นใช้เมธอด rianru
eta = 0.005
deg = 3
tp = ThotthoiPhahunam1D(eta,deg)
tp.rianru(x,z)

จากนั้นลองดูค่าน้ำหนักที่ได้
print(tp.w)

ก็จะได้ค่าน้ำหนักใกล้เคียงกับที่เราใส่ตอนสร้างข้อมูลขึ้น
[ 1.06250237  2.51213577 -5.8278461   4.21149162]

ทีนี้ลองวาดกราฟดูเทียบกับจุดข้อมูลที่ใช้เรียนรู้ โดยใช้เมธอด thamnai เพื่อหาค่าที่ทำนายโดยใช้ค่าน้ำหนักที่ได้
plt.scatter(x,z)
x = np.linspace(0,1,101)
h = tp.thamnai(x)
plt.plot(x,h,'b')
plt.show()



เส้นที่ทำนายขึ้นลากผ่านกลางจุดข้อมูลอย่างสวยงาม แสดงให้เห็นว่าการคำนวณถูกต้อง



ต่อมาลองคิดกรณีที่ปัญหาประกอบด้วย ๒ ตัวแปรต้นขึ้นไป ซึ่งจะซับซ้อนไปอีก

เช่นลองกรณีของสองมิติดังตัวอย่างนี้
x = np.random.uniform(0,4,500)
y = np.random.uniform(0,4,500)
z = 22 + 4*x + 7*y + x*x - 6*x*y + y*y + np.random.randn(500)

ซึ่งประกอบด้วย ๖ พจน์ คือ 1,x,y,xx,xy,yy ตามลำดับ

กรณีแบบนี้เรียกว่าเป็นพหุนามดีกรี ๒ คือผลรวมเลขชี้กำลังสูงสุดไม่เกิน ๒ ถ้ามี x*x*x หรือ x*y*y อยู่ด้วยก็จะเป็นดีกรี ๓ เป็นต้น

ลองนำมาวาดภาพการกระจายในสามมิติดู
from mpl_toolkits.mplot3d import Axes3D
plt.figure(figsize=[8,8])
ax = plt.axes([0,0,1,1],projection='3d',xlim=[0,4],ylim=[0,4],zlim=[z.min(),z.max()])
for i in range(len(z)):
    ax.plot([x[i],x[i]],[y[i],y[i]],[z[i],0],c=plt.get_cmap('jet')((z[i]-z.min())/(z.max()-z.min())),alpha=0.2)
ax.scatter(x,y,z,c=z,edgecolor='k')
plt.show()



วิธีการสร้างตัวแปรต้นสำหรับมาใช้วิเคราะห์ถดถอยพหุนามนั้น สำหรับกรณีสองตัวแปรเราอาจเขียนแจกแจงพหุนามได้ดังนี้
deg = 2
xy_ = np.stack([x**(k-i)*y**i for k in range(deg+1) for i in range(k+1)],1)
print(xy_)

***ใครงงกับรูปแบบการเขียนโค้ดตรงนี้อาจลองอ่านทวนเนื้อหา ไพธอนเบื้องต้น บทที่ ๙: การทำซ้ำด้วย for ตรงส่วนของการใช้ for ซ้อน for

ได้
[[  1.00000000e+00   2.99032562e+00   1.22752793e+00   8.94204731e+00
    3.67070821e+00   1.50682481e+00]
 [  1.00000000e+00   1.51777983e+00   2.29233098e+00   2.30365561e+00
    3.47925373e+00   5.25478133e+00]
 [  1.00000000e+00   9.15271919e-01   1.12181126e-01   8.37722686e-01
    1.02676235e-01   1.25846051e-02]
 ...,
 [  1.00000000e+00   1.39509132e+00   2.08564151e+00   1.94627979e+00
    2.90966036e+00   4.34990050e+00]
 [  1.00000000e+00   3.75774494e+00   2.03009611e+00   1.41206470e+01
    7.62858336e+00   4.12129020e+00]
 [  1.00000000e+00   1.40287884e-02   7.70100843e-01   1.96806904e-04
    1.08035818e-02   5.93055309e-01]]

โดยกรณีนี้เป็นดีกรี ๒ ค่าที่ได้แต่ละหลักจะเป็นพจน์ของ 1,x,y,xx,xy,yy ตามลำดับ

และถ้าหากเป็นดีกรี ๓ ก็จะมีพจน์ xxx,xxy,xyy,yyy เพิ่มเข้ามาอีก รวมเป็น ๑๐ หลัก เป็นต้น

การเขียนแบบนี้ดูแล้วยุ่งยากพอสมควร อีกทั้งถ้ามี ๓ ตัวแปรการเขียนก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก

พอเป็นแบบนั้นแล้วลองหาตัวช่วยเพิ่มเติมอาจจะดีกว่า เช่น หากใช้ sklearn เข้าช่วยก็อาจสามารถทำได้ง่ายขึ้น

ในมอดูลย่อย preprocessing ของ sklearn มีคลาสที่ชื่อ PolynomialFeatures อยู่ มีไว้สำหรับทำในสิ่งเดียวกับที่เราเพิ่งทำไป

ขออธิบายด้วยการยกตัวอย่างการใช้งานจริงก่อน

การใช้ลองเขียนตามนี้
from sklearn.preprocessing import PolynomialFeatures as Pf
xy = np.stack([x,y],1)
xy_ = Pf(deg).fit_transform(xy)

ก็จะได้ xy_ แบบเดียวกับที่ใช้วิธีอย่างในตอนแรก

การใช้ PolynomialFeatures จะคล้ายกับ StandardScaler ที่กล่าวถึงไปในเรื่องของการทำข้อมูลให้เป็นมาตรฐาน https://phyblas.hinaboshi.com/20161124

คือจะใช้เมธอด fit_transform ในลักษณะเดียวกัน นั่นคือเป็นการย่อขั้นตอนการใช้ เพื่อให้ไม่ต้องใช้ fit แล้วต่อด้วย transform อีกที หากเขียนแบบเต็มๆน่าจะเป็นแบบนี้
pf = Pf(deg)
pf.fit(xy)
xy_ = pf.transform(xy)

เมื่อใช้ PolynomialFeatures แบบนี้แล้วจะใช้กับปัญหาที่มีตัวแปรต้นกี่ตัวก็ได้ เช่นถ้าลองใช้กับ ๓​ ตัวแปรดู แจกแจงถึงดีกรี ๒
x1 = np.linspace(0,2,3)
x2 = np.linspace(0,3,3)
x3 = np.linspace(0,5,3)
print(Pf(2).fit_transform(np.stack([x1,x2,x3],1)))

ได้
[[  1.     0.     0.     0.     0.     0.     0.     0.     0.     0.  ]
 [  1.     1.     1.5    2.5    1.     1.5    2.5    2.25   3.75   6.25]
 [  1.     2.     3.     5.     4.     6.    10.     9.    15.    25.  ]]

ผลที่ได้มี ๑๐ พจน์ ตามนี้ 1, x1, x2, x3, x1x1, x1x2, x1x3, x2x2, x2x3, x3x3

เมื่อเข้าใจวิธีการแปลงตัวแปรต้นให้เป็นพหุนามแล้ว ก็ลองสร้างแบบจำลองขึ้นดู เขียนได้ดังนี้
import numpy as np
from sklearn.preprocessing import PolynomialFeatures as Pf

class ThotthoiPhahunam:
    def __init__(self,eta,deg=2):
        self.eta = eta
        self.deg = deg

    def rianru(self,X,z,d_yut=1e-7,n_thamsam=100000):
        X = Pf(self.deg).fit_transform(X)
        self.w = np.zeros(X.shape[1])
        dw = np.zeros(X.shape[1])
        h = np.dot(X,self.w)
        self.sse = [self.ha_sse(h,z)]
        for i in range(n_thamsam):
            eee = 2*(z-h)*self.eta
            dw = np.dot(eee,X)
            self.w += dw
            h = np.dot(X,self.w)
            self.sse += [self.ha_sse(h,z)]
            if(np.all(np.abs(dw)<d_yut)):
                break

    def thamnai(self,X):
        X = Pf().fit_transform(X)
        return np.dot(X,self.w)

    def ha_sse(self,h,z):
        return ((h-z)**2).sum()

ลักษณะคล้ายกับกรณีตัวแปรเดียวแต่ว่าค่า X ที่ต้องใส่ตอนที่เรียนรู้คราวนี้เป็นอาเรย์สองมิติ และใช้ PolynomialFeatures ในการทำให้เป็นพหุนาม โดยค่า deg จะกำหนดดีกรีที่ต้องการแปลง

นำมาใช้กับ x,y,z ที่เพิ่งเตรียมไว้จากตัวอย่างที่แล้ว แล้วลองวาดผลที่ได้ดู
X = np.stack([x,y],1)
eta = 0.00001
deg = 2
tp = ThotthoiPhahunam(eta,deg)
tp.rianru(X,z)

plt.figure(figsize=[8,8])
ax = plt.axes([0,0,1,1],projection='3d',xlim=[0,4],ylim=[0,4],zlim=[z.min(),z.max()])
mx,my = np.meshgrid(np.linspace(0,4,11),np.linspace(0,4,11))
mX = np.stack([mx.ravel(),my.ravel()],1)
mz = tp.thamnai(mX).reshape(11,11)
ax.plot_surface(mx,my,mz,rstride=1,cstride=1,alpha=0.2,color='b',edgecolor='k')
h = tp.thamnai(X)
for i in range(len(z)):
    ax.plot([x[i],x[i]],[y[i],y[i]],[h[i],z[i]],'k')
ax.scatter(x,y,z,c=np.abs(z-h),edgecolor='k',cmap='jet')
plt.show()



พื้นผิวค่าที่ได้ลากผ่านกลางระหว่างจุดแสดงว่าแทนคำตอบได้ดี

ลองดูค่าน้ำหนักที่ได้
print(tp.w)

ได้ค่าออกมาใกล้เคียงกับ [22,4,7,1,-6,1] ซึ่งเป็นคำตอบที่ควรเป็นจริงๆ
[ 21.89569089   4.39975668   6.65906795   0.91058478  -6.01294355
   1.08767486]



อ้างอิง


-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- คอมพิวเตอร์ >> ปัญญาประดิษฐ์
-- คอมพิวเตอร์ >> เขียนโปรแกรม >> python >> matplotlib
-- คอมพิวเตอร์ >> เขียนโปรแกรม >> python >> numpy

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ