φυβλαςのβλογ
phyblasのブログ



[ef] ตอนที่ ๖. ชั่วพริบตาของเธอ (彼女の刹那)
เขียนเมื่อ 2009/06/26 10:01
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42

ตอนที่ ๖. ชั่วพริบตาของเธอ (彼女の刹那)

>> กลับไปตอนที่ ๕
>> อ่านต่อตอนที่ ๗

>> กลับไปหน้าสารบัญ

ᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳ

 
วันอาทิตย์ในยามใกล้เที่ยง
ผมยืนเฉยๆอยู่คนเดียวภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา อุณหภูมิยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด ลมอุ่นๆก็พัดเข้าใส่อย่างไม่ปราณี

“ช้าจัง...”
ผมมองไปที่นาฬิกาข้อมือ เลยเวลานัดมา ๑๕ นาทีแล้ว
ถ้าเป็นคุเซะละก็ ผมอาจจะกลับไปโดยไม่สนใจแล้วก็ได้

“รุ่นพี่ฮิมุระ... ขอโทษที่ให้คอยค่ะ...”
“ช้าจังนะ”
ผมมองยูโกะที่กำลังค่อยๆวิ่งมา
ดูเหมือนว่าแม้แต่ชุดไปรเวทย์ก็ยังต้องใส่แขนยาวสินะ

“ขอโทษนะคะ ถนนมันคนแน่นมากเลย....”
“มันก็เรื่องของเธอสิ”
“ยิ้มยากจัง...”
ไม่ฟังเลยหรือไงนะ ยัยนี่


“ขอโทษนะคะ ที่จริงคือตื่นสายน่ะค่ะ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะหลับก็เกือบเช้าน่ะค่ะ”
“กะไว้แล้วเชียว”
“คงกำลังเกร็งอยู่สินะ น่ารักกว่าที่คิดสินะคะ?”
“หลงตัวเองมากไปหรือเปล่า เธอน่ะ”
“เพื่อเป็นการขอโทษ จะให้จับนิดจับหน่อยตรงไหนก็ได้นะคะ...”
“เธอนี่นะ...”
ดูท่าจะไม่รู้สึกสำนึกเลยจริงๆสินะยัยนี่
รบกวนเวลาอันมีค่าของคนอื่นแบบนี้

“อืม... ยังไงก็เุถอะ...”
“บ่นพึมพำอะไรของเธอน่ะ”
“รู้สึกประทับใจนิดหน่อยน่ะค่ะ ได้มาเจอรุ่นพี่กันสองต่อสองแบบนี้ รุ้สึกเหมือนโกหกเลยนะคะ”
“.................”
ไม่เห็นจะรู้สึกประทับใจตรงไหนเลย แล้วก็ไ่ม่ใช่เรื่องโกหกด้วย
ในหัวของยัยนี่คงจะมีแต่เรื่องพวกนี้งั้นสินะ

“เรื่องล้อเล่นน่ะเอาไว้ก่อนเุถอะ ไม่อยากเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์ รีบไปกันได้แล้ว”
“ก่อนอื่นก็ต้องข้าวเที่ยงสินะคะ”
“....อะไรนะ?”
ผมหยุดเท้าที่กำลังเริ่มเดินลงทันที

“วันนี้เรามาเพื่อจะซื้อรองเท้าไ่ม่ใช่หรือไงกัน”
“ไม่งั้นคิดว่าจะนัดมาเวลาแบบนี้ทำไมล่ะคะ”
ยูโกะยังคงมีสีหน้าใจเย็น
ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะนี่
เมื่อ ๒ วันก่อน วันที่ยูโกะโดนกรีดรองเท้า ที่เธอบอกว่า “มีเรื่องจะรบกวน” ก็คืออยากให้ช่วยมาเป็นเพื่อนซื้อรองเท้าใหม่ให้หน่อย
ทั้งที่ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาด้วยเลย ไม่มีเลยจริงๆแต่....


-“ที นางิซังยังไปด้วยได้เลย จะมากับฉันบ้างไม่ได้หรือคะ อย่างที่คิดเลย มีความสัมพันธ์กันเป็นพิเศษจริงๆด้วยสินะคะ ยูคุงน่ะ เป็นผู้ใหญ่แล้ว...”-
พอเธอพูดแบบนี้แล้ว ทำให้ผมรีบตอบตกลงทันที

“ฉันไม่ได้พูดว่าจะมาเป็นเพื่อนทานข้าวด้วยสักหน่อย.... เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่กินข้าวเที่ยง”
“แต่ฉันจะทานนี่คะ”
ยูโกะยิ้มใส่ผม
ทำไมผมต้องยอมตามเธออยู่เรื่อยเลยนะ

...............

ที่นี่งั้นเหรอ
ที่ที่ยูโกะเลือกก็คือร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่นั่นเอง

“ฉันเคยเข้ามาทีนึงแล้วล่ะค่ะ เป็นร้านที่ให้ความรู้สึกดีนะคะ”
“เอ่อ.. คงงั้นล่ะนะ”
ดูเหมือนเ้จ้าของร้านจะมีท่าทียิ้มให้นิดหน่อยนะ
วันนี้ตั้งแต่ช่วงเย็นก็ต้องกลับมาเป็นพนักงานแล้ว จะทำหน้ายังไงดีนะ

“รุ่นพี่ก็ควรจะทานอะไรสักหน่อยนะคะ”
“....นั่นสินะ”
ตอนนี้จะยังไงก็ได้แล้วล่ะ
ถ้า เป็นปกติละก็ ทุกวันอาทิตย์หลังเที่ยงเมื่อซักเสื้อผ้าและเก็บกวาดห้องเสร็จแล้ว ก็จะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนกว่าจะถึงเวลาทำงานพิเศษตอนเย็น
แต่ว่าผมกลับทิ้งเวลาอันมีค่าเหล่านั้นไปแล้วมาอยู่ที่นี่
ยังไงก็ทำเรื่องบ้าๆไปแล้ว เพราะงั้นวันนี้ก็ทำมันให้ถึงที่สุดซะเลยก็แล้วกัน
ผมสั่งแกงกับสลัด ยูโกะสั่งแซนด์วิชกับกาแฟเย็น

“ว่าแต่ อยากจะถามมานานแล้วล่ะค่ะ”
“หืม?”
ผมตอบทั้งที่กำลังดื่มน้ำอยู่


“ที่รุ่นพี่บอกว่าไม่ทานข้าวเที่ยงนั้น หรือว่าจะเป็นเพราะ....”
“ไม่มีเงินไงล่ะ”
ผมบอกไปตามตรงอย่างไม่มีอะไรต้องปิดบัง

“ค่าอาหารน่ะเป็นสิ่งที่ตัดได้ง่ายที่สุด ยังไงแค่ทานอาหารมากพอที่จะไม่ตายก็พอแล้วนี่นา”
“แต่ว่า..”
ยูโกะดูมีสีหน้ากังวล

“มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินหรอกนะ เพียงแต่ว่าต้องเก็บเงินสำหรับเป็นค่าเล่าเรียนน่ะ”
“รุ่นพี่ฮิมุระจะเรียนต่อหรือคะ”
“อื้อ”
ผมพยักหน้า
ไม่ว่าจะคิดหาทางยังไง เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการใช้ชีวิตต่อไป

“.....อยากจะขึ้นไปอยู่ข้างบนน่ะ”
“ข้างบน... หรือคะ”
“เพราะทุกอย่างถูกเผาทำลายสิ้นไม่มีอะไรเหลือ ทำให้ต้ิองมาอยู่ล่างสุด ฉันจึงต้องการจะขึ้นไปอยู่ข้างบน”
“....นั่นสินะคะ”
ยูโกะพยักหน้ารับ

“รุ่น พี่ฮิมุระเนี่ย สุดยอดอย่างที่คิดไว้เลยนะคะ ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากสักแค่ไหนก็ไม่เคยท้อแท้ เวลาที่รู้สึกเจ็บปวดหรือขื่นขมนี่แหละ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคนเราถึงจะปรากฏให้เห็น”
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกน่ะ”
เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องปกป้องต่างหาก...
แค่โดนโจมตีนิดหน่อยก็ล้มลงแล้ว...
เพราะตอนที่ตกลงไปนั้น ไม่มีใครสักคนจะมาเหลียวแลเลย ดังนั้นผมจึงต้องตั้งใจที่จะขึ้นไปข้างบนเท่านั้น
เพราะเข้าใจถึงความสิ้นหวังเป็นอย่างดี

“ว่าแต่ว่า...”
ยูโกะทำท่าเหมือนลังเลที่จะพูดอะไรสักอย่าง

“อะไรเหรอ”
“เลิกวาดภาพแล้วหรือคะ?”
“อะไรกัน แม้แ่ต่เธอก็เป็นพวกอามะมิยะ... ครูอามะมิยะด้วยสินะ”
“ไม่ใช่นะคะ”
“ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ฉันก็ไม่คิดจะวาดภาพหรอกนะ”
“บอกแล้วไงคะว่าไม่ใช่.... ใจร้ายจังเลย”
ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นจริงๆ ยูโกะเริ่มมีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย
ยังไงอามะมิยะก็ดูไม่น่าใช่จะคนประเภทที่จะใช้วิธีแบบนี้ล่ะนะ

“ฉัน แค่ชอบภาพที่รุ่นพี่ฮิมุระวาดเท่านั้นเองค่ะ... ภาพวาดของรุ่นพี่น่ะสุดยอดมากเลยนะคะ เก่งที่สุดในบรรดาเด็กที่อยู่ที่นั่น แถมยังเก่งยิ่งกว่าพวกผู้ใหญ่ซะอีก”
“มันก็เป็นแค่การเล่นสมัยเด็กเท่านั้น ของแบบนั้นน่ะมันกินไม่ได้หรอก”
จากนั้นผมได้พยายามเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทนที่จะบอกตรงๆว่าให้เลิกพูดเรื่องนี้ได้แ้ล้ว
ไม่นานก็เห็นเจ้าของร้านกำลังถือของที่สั่งมาทางนี้
........................


พอทานข้าวกันเสร็จเดินออกจากร้าน ก็ต้องมาเจออากาศร้อนเผาต่ออีกครั้ง
ถึงอย่างงั้น ยูโกะที่เดินอยู่ข้างๆก็ยังคงดูมีท่าทีเป็นปกติไม่มีเหงื่อไหลสักนิด
ความสามารถเฉพาะตัวหรือไงกันนะ

“ให้เลี้ยงข้าวแบบนี้จะดีหรือคะ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่ะ”
ผมเองก็มีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างงั้น ก็ต้องพูดว่า ขอบคุณที่เลี้ยง สินะคะ”
“อื้อ”
คงต้องอดข้าวไปอีก ๒ วันเลย แบบนี้

“งั้น ไปซื้อรองเท้ากันเถอะค่ะ”
“อื้อ รีบๆทำให้เสร็จไปซะ”
“ยังไงฉันก็เป็นเด็กผู้หญิง เพราะงั้นคงจะซื้อของนานหน่อยนะคะ”
“..............”

..........................

“ฮะๆ ของใหม่นี่ดีจริงๆเลยนะคะ”
“คงยังใส่ไม่ชินสินะ”
“เป็นเงาวาววับดีนะคะ”
“เป็นเด็กหรือไงกัน เธอน่ะ”
ยูโกะกำลังเดินจ้ำไปมาโดยสวมรองเท้าใหม่
ว่า ไปแล้วเพิ่งรู้ว่า เธอสวมรองเท้าคู่เก่าที่ขนาดต่างกันนิดหน่อยเดินมาจนถึงเมื่อกี้ ทำไมถึงได้ใช้รองเท้าแบบนี้มาตลอดก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ว่าแต่ เดินแทบตายสุดท้ายก็ได้แค่นี้เองนะเหรอ”
ยูโกะซื้อรองเท้าใหม่เหมือนกับของเก่าที่โดนทำขาดไปเลย

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันชอบแบบนี้นี่คะ”
“แถมยังซื้อของถูกอีกต่างหาก”
“ก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าจะไม่เจอแบบนี้อีกน่ะค่ะ ก็เลยไม่กล้าที่จะซื้อของแพง”
ทำไมยูโกะถึงยังทำหน้าเย็นใจอยู่ได้นะ

“จะดีเหรอที่ไม่จัดการกับเจ้าคนร้ายมันน่ะ”
“ถ้าโดนรุ่นพี่ฮิมุัระขู่เข้าละก็ คงจะกลัวไปทั้งชีวิตเลยล่ะค่ะ แบบนั้นน่ะน่าสงสารออกนะคะ”
“ก่อนอื่น ฉันชักอยากจัดการกับเธอก่อนซะแล้วสิ”
“หวา.. ในที่สุดแม้แต่รุ่นพี่ก็จะรังแกฉันอีกคนแล้วหรือคะนี่”
ผมไม่เข้าใจจริงๆนั่นล่ะ โดนทำซะขนาดนี้ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบโต้กลับเลย

“ยู โกะ นั่นเป็นวิถีชีวิตของเธองั้นเหรอ? แม้ว่าจะเจอเรื่องที่ไม่ชอบ ก็จะแสร้งหัวเราะ หลอกตัวเองแล้วทำเป็นว่าไม่ได้รู้สึกอะไร ทำแบบนี้น่ะดีแล้วเหรอ?”
“มันก็ไม่ได้ดีหรือไม่ดีหรอกค่ะ”
ยูโกะพูดออกมาตรงๆทั้งที่ยังยิ้มอยู่

“ซินเดเรล่าที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายแล้วมีความสุขน่ะ ได้กลับไปแก้แค้นแม่เลี้ยงหรือเปล่าล่ะคะ?”
“จะไปรู้ได้ไง ฉันไม่ไ้ด้สนใจพวกนิทานแบบนั้นสักหน่อย”
“ดีจังเลยนะคะ ที่ฉันได้มาเดทกับรุ่นพี่ที่ชื่นชอบในวันอาทิตย์แบบนี้ ตอนนี้ฉันรู้สึกสนุกมากเลยล่ะค่ะ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
“มันก็แค่แปปเดียวล่ะนะ....... เอ๋?”
ยัยนี่ ตะกี้พูดอะไรแปลกๆออกมาน่ะ

“เดี๋ยวสิ นี่มันใช่การเดทซะที่ไหนกันล่ะ!”
“ช้าไปแล้วล่ะค่ะ ฉันคิดว่ามันเป็นการเดทไปแล้วล่ะค่ะ”
“เธอนี่นะ... ทำอะไรตามใจชอบจริงๆ...”
“จะว่าไปแล้ว รุ่นพี่ฮิมุระ”
“เธอน่ะเงียบไปเลยไป”
“หรือว่า รุ่นพี่เองก็เพิ่งเคยเดทเป็นครั้งแรกสินะคะ?”
“ทำไมฉันจะต้องบอกเรื่องแบบนั้นกับเธอด้วยล่ะ”
“ครั้งแรกสินะคะ...”
“ฉันยังไม่ไ้ด้พูดอะไรสักหน่อย”
“ค่อยยังชั่ว ดีใจจังเลย ฉันเองก็ครั้งแรกเหมือนกัน ถือเป็นวันที่สำคัญนะคะ”
“.......เชิญพูดไปตามสบายเลย”
นี่มันไม่ใช่การเดทสักหน่อย ก็แค่การมาด้วยเพราะความเอาแต่ใจของเด็กๆเท่านั้นล่ะ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่านั้นหรอก

“ความจริงแล้ว มีีที่ที่อยากไปด้วยกันอยู่น่ะค่ะ”
“เธอนี่นะ จริงๆมีเป้าหมายอะไรกันแน่เนี่ย?”
“เป้าหมาย? ของแบบนั้นน่ะไม่มีหรอกค่ะ จิตใจของหญิงสาวมันซับซ้อนน่ะค่ะ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่่ค่อยจะเข้าใจเลย”
สงสัยจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอีกแน่เลย
ภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดก็คงจะเป็นการที่ผมถูกพาให้มาด้วยนี่ล่ะนะ

ตั้งแต่ เข้ามาอยู่ที่สถานรับเลี้ยง สิ่งที่ได้ยินทุกวันก็คือเสียงระฆังของโบสถ์กับเสียงร้องไห้ของพวกเด็กๆ ทั้งที่ร้องไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาแท้ๆ
ผมมักจะหงุดหงิดเพราะไม่เข้าใจเรื่องแบบนั้นอยู่ตลอด
แ่ต่ว่า

.....................

“ว้าว ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ ที่นี่”
ในตอนนั้น ผมกำลังโกรธใครอยู่กันแน่นะ

“อ่อ แต่ตึกดูเล็กลงนิดหน่อยนะคะ เพราะฉันตัวใหญ่ขึ้นสินะคะ”
ความจริงแล้วผมแค่โกรธตัวเองที่ไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้ แล้วก็โกรธตัวเองที่รอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว

“ว้า นี่ฉันพูดอะไรที่ทำให้ไม่พอใจออกไปหรือคะ?”
“ต้องมาที่นี่เอาป่านนี้ ก็เลยทำให้รู้สึกไม่ชอบใจนิดหน่อยน่ะ”
“อย่าพูดอย่างงั้นสิคะ ฉันน่ะ อยากจะมาที่นี่มาโดยตลอดเลย”
“จะมาก็ได้ไม่ใช่เหรอ โบสถ์น่ะไม่ได้ห้ามเข้าสักหน่อย”
“ถึงฉันจะอยากมาก็ไม่สามารถมาได้หรอกน่ะค่ะ”
ยัยนี่ ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ก็ดูท่าจะเป็นห่วงพวกผมที่ยังอยู่ที่สถานรับเลี้ยงอยู่เหมือนกัน

“จะลองเข้าไปเยี่ยมสถานรับเลี้ยงดูหน่อยมั้ยล่ะ?”
“ไม่ดีกว่าค่ะ รุ่นพี่เองก็คงไม่อยากเข้าไปเหมือนกันสินะคะ?”
“แน่นอนล่ะ”
สำหรับผมแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าที่สถานรับเลี้ยงนี้เป็นบ้านเพียงแห่งเดียวที่ยังเหลืออยู่
แต่ว่า ยังไงก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะกลับไปได้
เพราะ ต้องการจะขึ้นไปอยู่ข้างบน ผมจึงได้ออกมาจากสถานรับเลี้ยง ดังนั้นตราบไดที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ คงจะไม่มีหน้ากลับไปหาพวกเพื่อนๆและคุณครูได้

“ฉันว่าเราเข้าไปที่ห้องโถงดีกว่ามั้ยคะ”
“อื้อ ถ้าเป็นที่นั่นก็คงไม่เป็นไร”

“........หืม?”
พอเริ่มเดินไปที่ประตูโบสถ์ เท้าผมก็สัมผัสถูกอะไรบ้างอย่างเข้า ผมย่อตัวลงไปเก็บมันขึ้นมา


“อ้าว นั่นลูกบอลสินะคะ”
“ของเด็กที่นี่สินะ ทั้งที่น่าจะถูกห้ามไม่ให้เอามาเ่ล่นที่ทางเดินนี่นา”
“เด็กที่ไม่ฟังคุณครูน่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังมีอยู่สินะคะ”
ยูโกะกำลังทำท่าเหมือนกลั้นหัวเราะ

“ตั้งใจจะพูดอะไร?”
“ตอนที่ฉันยังอยู่ที่สถานรับเลี้ยงน่ะ ก็มีเด็กที่ชอบจะหนีออกไปอยู่บ่อยๆนะคะ”
ยูโกะพูดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะ
ใช่ ตอนนั้น....
ผม ทนไม่ได้กับบรรยากาศที่หดหู่ของสถานรับเลี้ยงในช่วงหลังจากเกิดแผ่นดินไหว เพราะงั้น ผมจึงออกไปเดินเล่นในเมืองที่กำลังฟื้นฟู แล้วสเก็ตช์ภาพบ้านเมืองเหล่านั้น
ภาพที่วาดก็ไม่ได้ดีอะไร แต่พอเอาภาพไปให้ดู ก็จะมีเด็กผู้หญิงแปลกๆคนนึงที่ดูเหมือนจะชอบมัน

“แต่ว่า บอลลูกนั้นดูคุ้นๆนะคะ”
ผมลองหมุนลูกบอลดูรอบๆ

“มีชื่อเขียนอยู่นะ แต่มันดูขาดๆก็เลยอ่านไม่ออกเลย”
“อ๊า ใช่จริงด้วย มีชื่อ ยูโกะ เขียนอยู่ด้วย”
“เขียนชื่อตัวเองลงไปในของของสถานรับเลี้ยงแบบนี้น่ะ กล้าดีนะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ไม่ได้กำลังชมอยู่สักหน่อย

“อย่างฉันก็เหมาะกับของน่ารักน่ะค่ะ ดูอย่างชินจิคุงน่ะ ยังเขียนหวัดๆลงเต็มผนังจนโดนด่าเลย”
“ชินจิงั้นเหรอ นั่นสินะ หมอนั่นน่ะชอบทำแต่เรื่องบ้าๆอยู่เรื่อยเลยนะ”
“อ๊ะ จะว่าไปแล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้วนะ เขาได้ออกไปจากสถานรับเลี้ยงหลังจากนั้นหรือเปล่า?”
“ได้ออกไปแต่ว่า... ดูเหมือนจะตายไปแล้ว”
“.......เอ๊ะ?”
หน้าของยูโกะเริ่มนิ่งทั้งที่ยังยิ้มอยู่


“ไม่ใช่แค่ชินจิหรอก อีกหลายคนที่เธอไม่รู้จักก็ตายไปแล้วเหมือนกัน”
“ที่ว่าตายน่ะ.... ทำไมกันคะ?”
“ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ”
ทั้งพวกเด็กที่มีคนรับไปเลี้ยงดู กับพวกเด็กที่ยังคงอยู่สถานรับเลี้ยงต่อไป ถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าจากโลกนี้ไปทั้งหมดกี่คนแล้ว
ส่วนพวกคุณครูนั้นกลับไม่มีใครตายเลยสักคน
แต่ผมกลัวว่าบางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ตายด้วยโรคหรืออุบัติเหตุก็ได้

“หรือว่า พวกเขา...”
“บอกแล้วไงว่าไม่รู้”
ก็ได้แค่เดาล่ะนะ
ทั้งผมและพวกเขา ต่างก็มีสิ่งสำคัญที่ถูกช่วงชิงไป
แผลในใจนั้น ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่จางหาย เลือดที่มองไม่เห็นยังคงหลั่งรินต่อไปเรื่อยๆ

“บางทีพวกเขาที่ตายไป อาจจะคิดว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องเศร้าก็เป็นได้นะ”

..........................
เท่าที่จำได้ ผมเคยเข้ามาที่ห้องโถงนี่นับครั้งได้ เพราะถูกห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้เข้ามา

“หืม? มีใครอยู่ด้วย.......”
ที่หน้าแท่นบูชา มีผู้ชายคนนึงยืนอยู่
บางทีอาจกำลังขอพรอยู่ ไม่รบกวนจะดีกว่า


“......อ้าว”
“พี่...?”
ยูโกะซึ่งอยู่ข้างหลังผม ส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ

“อะไรกัน อามะมิยะ... ครูอามะมิยะเองหรอกเหรอ”
ผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าอามะมิยะเองก็เป็นพวกคลั่งศาสนากับเขาด้วยเหมือนกัน

“เห็นยูโกะบอกไว้ว่าจะออกมาข้างนอกวันอาทิตย์ นึกว่าเรื่องอะไรซะอีก..... อย่างงี้นี่เอง.. อย่างงี้นี่เอง”
อามะมิยะดูท่าทางกำลังยิ้มอยู่อย่างมีเลศนัย

“ครูอามะมิยะ เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ”
“อื้อๆ ฉันจะทำเป็นไม่เห็นก็แ้ล้วกัน”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ”
“แหมๆ ไม่เห็นจะต้องอารมณ์เสียเลย วัยรุ่นนี่ดีจังเลยนะ”
จะบ้าไปใหญ่แล้ว

“ครูอามะมิยะนั่นแหละ ทำอะไรอยู่ครับ ไม่รู้มาก่อนเลยนะครับว่าเป็นคริสเตียน”
“เอ๋? อ้อ”
อามะมิยะทีหน้าตกใจเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้า

“ไม่ใช่ฉันหรอก น้องสาวน่ะ.....”
“น้องสาว.....?”
ผมหันไปทางยูโกะที่กำลังทำสีหน้าไม่สู้ดียืนอยู่ข้างๆผม ยิ่งเป็นยัยนี่ยิ่งไม่อยากเชื่อเข้าไปใหญ่

“เอาเถอะ จะเดทกันที่นี่มันก็ดูยังไงอยู่หรอกแต่ว่า จะทำเป็นไ่ม่เห็นก็แล้วกัน”
“บอกแล้วไงครับว่าไม่ใช่.....”
อามะมิยะซึ่งยังคงยิ้มอยู่ เดินเข้ามาตบไหล่ผม

“ฮิมุระคุง เอาหูมานี่หน่อย”
“?”
แม้จะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ผมก็เอาหูเข้าไปใกล้อามะมิยะตามที่บอก

“หรือว่า มีอะไรกันกับยูโกะแล้วสินะ?”
“ค..คุณนี่มัน...”
ผมจ้องใส่อามะมิยะในขณะที่กำลังทำอะไรไม่ถูก

“อะฮะๆๆๆ”
“คือ... กำลังคุยอะไรกันอยู่..?” ยูโกะแทรกขึ้น
“เธอน่ะหลบไปก่อนเลยไป”
“ใช่ๆ เป็นเรื่องความลับระหว่างผู้ชายน่ะ”
อามะมิยะหันหน้ากลับมาอีกครั้ง

“จะห้ามอะไรก็คงยากสินะ แต่ขอเตือนไว้อย่างนึงนะ”
“บอกแล้วไงว่าผมน่ะ...”
ทั้งยูโกะและผู้ชายคนนี้เลย พูดอะไรไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาหรือไงกันนะ
อามะมิยะถึงจะเป็นครูก็เถอะ แต่ในโรงเรียนโอโตวะเองก็มีบุคลากรที่ไม่ได้เรื่องอยู่เหมือนกัน


“ถ้าอยากได้ยูโกะมาครอบครองละก็”
ถึงตอนนี้ตาของอามะมิยะก็เริ่มมีท่าทีจริงจังขึ้นมา อะไรกันน่ะ ตาคู่นี้....
แววตาแหลมคมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยที่โรงเรียน

“ไม่ว่ายังไงสิ่งสำคัญก็คือ...... การเตรียมใจ”
“เตรียมใจ.......?”
“ถ้าแตะต้องยูโกะโดยที่ไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนละก็ เธอจะต้องเสียใจแน่นอน”
“.........ผมก็ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นสักหน่อย”
“ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ เธอก็ดูเหมือนกำลังจะก้าวออกไปแล้วอยู่ดีนั่นล่ะ”
อามะมิยะทุบไหล่ผมอีกครั้ง สีหน้าจริงจังได้หายไปแล้ว กลับมาเป็นครูศิลปะที่ขึ้เล่นเหมือนเดิม

“อ่อ ใช่”
“มีอะไรอีกล่ะครับ”
“ไม่ใช่แค่เธอนะ ยูโกะเองก็มีปัญหาเหมือนกัน”
ยูโกะที่ฟังอยู่ห่างๆได้เดินเข้ามา
อามะมิยะกำลังยิ้ม

“อย่าลืมคุมกำเนิดล่ะ”
“พี่..!”
“..........”
รู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมาทันที

“งั้นก็ แค่นี้ล่ะ ฉันมีนัดคงต้องขอตัวก่อนนะ ไม่อยากมาขัดจังหวะความรักของคนอื่นด้วยสิ”
“รีบๆไปเลยครับ”
อามะมิยะ ยิ้มให้เล็กน้อยจากนั้นก็เดินออกจากโบสถ์ไป

“คิดอะไรอยู่กันนะ ชายคนนั้น”
ผมกำลังทบทวนความถูกต้องในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่
ดีจริงๆที่ไม่ได้เข้าชมรมศิลปะ นอกจากนางิแล้ว หากต้องมีที่ปรึกษาแบบนั้นแล้วละก็ ถ้าเป็นผมคงจะประสาทกินแน่เลย


“รุ่นพี่ฮิมุระ ขอโทษนะคะ”
“เธอจะมาขอโทษทำไมน่ะ”
ชักเริ่มเข้าใจความรู้ึสึกของยูโกะที่ต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกับอามะมิยะขึ้นมา

“ว่าแต่ เธอเองก็เชื่อเรื่องศาสนาด้วยเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่ค่ะ”
“เอ๋? อ้าว แต่ตะกี้อามะมิยะ...”
ที่ว่าน้องสาวเป็นคนนับถือศาสนา..... เดี๋ยวก่อนนะ พอลองมาคิดดูแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นอามะมิยะจะมาที่โบสถ์นี้ทำไมกันล่ะ

“พี่เองก็เหมือนกับรุ่นพี่ฮิมุระนั่นล่ะค่ะ”
“เหมือน?”
ผมกับผู้ชายคนนั้น ตรงไหนกัน...
ยูโกะยิ้มขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ดูซึมๆ

“พี่เองก็เสียน้องสาวไปตอนแผ่นดินไหวครั้งนั้น”
“................”
ที่เมืองโอโตวะนี้มีคนที่สูญเสียคนใกล้ตัวไปในแผ่นดินไหวครั้งนั้นอยู่ไม่น้อย แต่ว่าอามะมิยะเองก็ด้วยเหรอ

“ดูเหมือนว่าน้องสาวที่แท้จริงของพี่น่ะจะเป็นคริสเตียนที่เคร่งมากเลยล่ะค่ะ คงจะย่างเท้าเข้ามาที่โบสถ์บ่อยมากเลยล่ะค่ะ”
“อามะมิยะนี่......”
“ถึงตอนนี้เขาก็ดูจะยังไม่อาจลืมเรื่องน้องสาวตัวเองได้เลย”
ชายผู้ยึดติดอยู่กับอดีตอยู่ตลอด เหมือนกับผมเลยสินะ....
 
...................
แย่เลย วันนี้ก็ยุ่งใช่เล่น ที่ร้านกาแฟที่ทำงานก็ปิลาฟกับพาสตาท่าจะกำลังเป็นที่นิยม แขกที่มาเยี่ยมร้านตอนมื้อเย็นก็เลยมีมาก

“เฮ้อ แฮก...”
การทำงานหลังจากที่ตอนกลางวันได้เดินเล่นไปทั่วเนี่ยเหนื่อยกว่าที่คิด ไม่สิ อาจจะไม่ใช่เหนื่อยทางกาย

“อย่าทำหน้าเบื่อโลกแบบนั้นสิ”
อยู่ดีๆก็มีเสียงคนดังขึ้นมาจากความมืด พอมองไปก็พบเด็กสาวในชุดนักเรียน


“นางิ อะไรกัน เธอน่ะดักซุ่มอยู่งั้นเหรอ?”
“ดักซุ่มเหรอ ใช้คำได้ไม่ดีเลยนะ เราแค่จะมาหาเธอเท่านั้นเอง”
“ไปทำอะไรมาเหรอ”
ยัง ไงซะเด็กผู้หญิงอย่างนางิมาเดินเตร็ดเตร่ในเวลาแบบนี้ก็เป็นเรื่องแปลก ถึงแม้ว่าจะเป็นนางิที่มีแต่เรื่องแปลกๆเต็มไปหมดอยู่แล้วก็ตาม

“จะให้ยืนคุยกันก็ยังไงอยู่นะ บ้านเธออยู่ใกล้แถวนี้สินะ?”
“ก็รู้ดีอยู่แล้วนี่นา”
“ปีที่แล้วมีเขียนการ์ดอวยพรปีใหม่ไปนี่นะ ยูน่ะไม่ยอมตอบกลับมาเลย”
“ถึงจะแค่ไปรณียบัตรแต่ก็ต้องใช้เงินนี่นา”
ผมตอบไปอย่างไม่สนใจแล้วก็เดินไปทางบ้านตัวเอง แน่นอนว่านางิก็ตามมาด้วย

“คิดจะเข้าบ้านจริงๆนะเหรอ”
“คิดว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นระหว่างเราหรือไง? หรือว่ากำลังหวังให้เป็นแบบนั้นอยู่?”
“ที่จะผิดพลาดน่ะก็มีแต่ในหัวเธอเท่านั้นแหละ”

........................
นางินั่งอยู่ตรงหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เชื่อใจผมงั้นเหรอ ยัยนี่ยิ่งไม่ค่อยจะระมัดระวังตัวเท่าคนอื่นเขาด้วย
ยังไงก็เถอะ คงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ


“ว่าแต่ ไม่มีน้ำชาเหรอ?”
“แย่หน่อยนะ บ้านฉันน่ะไม่มีเครื่องดื่มอะไรนอกจากน้ำเปล่าหรอก”
“........ที่จริงก็ไม่ได้คิดว่าจะแ่ย่ถึงขนาดนี้เลยสินะ?”
“รู้ตัวอยู่แล้วน่ะ”
เรื่องที่จะคุยยังไงก็ได้แบบนี้น่ะตอนนี้ก็สบายใจได้
เทียบกับผมแล้ว คุเซะกับนางิดูจะคบง่ายกว่าตั้งเยอะ

“แต่ว่าเป็นห้องที่อึมครึมจริงๆเลยนะ อย่างกับในเรือนจำเลย”
“เคยไปอยู่ในเรือนจำมาสินะ”
“เราน่ะ่ไม่เหมือนกับเธอหรอกนะ เพราะว่าสั่งสมคุณงามความดีมาโดยตลอด”
คงไม่ใช่ว่านางิเชื่อว่าตะกี้ผมถามจริงๆหรอกนะ

“หืม? ทำไมเธอถึงอยู่ในชุดนักเีรียนล่ะ?”
“เราน่ะถึงวันหยุดก็ใส่ชุดนักเรียนอยู่แล้ว จะว่าไปก็ไม่เคยใส่ชุดไปรเวทเลย”
“กลับบ้านก็ไม่เปลี่ยนชุดเหรอ”
“มันยุ่งยาก”
เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ง่ายดี

“แล้วทำยังไงล่ะ...”
“หืม”
“อาบน้ำเสร็จทำไงต่อล่ะ?”
“ก็ไม่ได้ใส่อะไร หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ตากผมให้แห้งแล้วก็ไปนอนเลยน่ะ”
งั้นเองน่ะเหรอ พ่อกับน้องขายของนางิก็คงจะรู้สึกอึดอัดสินะ

“หรือว่า อยากจะมาค้างที่บ้านล่ะ?”
“ไม่ได้พูดอย่างนั้นเลยสักคำ!”
“งั้นเหรอ แต่ถ้าคิดจะไปเมื่อไรก็ได้นะ เพราะว่ามีห้องเหลืออยู่ จะไปอาศัยอยู่ยังได้เลยนะ”
“แบบนั้นน่ะเกรงใจสุดๆเลยล่ะ...”
ถึงจะต้องอดตายก็ไม่ยอมรบกวนใครหรอก

“ความจริงแล้ว... ยู”
“อะไรเหรอ มีเรื่องจะคุยจริงๆด้วยสินะ”
“ครูอามะมิยะมาที่บ้านเราน่ะ”
“อามะมิยะเหรอ?”
“อื้อ จริงๆก็แค่มาหาพ่อเราน่ะ”
“พ่อของนางินี่รู้จักกับอามะมิยะด้วยเหรอ?”
“ท่านพ่อน่ะ เมื่อก่อนเคยเปิดสอนวาดรูปอยู่ที่บ้านน่ะ แย่จริงๆเลย นิสัยชอบสอนคนอื่นเนี่ย”
“เอ๋”
“เขาเป็นนักเรียนของชั้นเรียนที่ว่านี้น่ะ ครูอามะมิยะ”
“เพราะงั้น จนถึงตอนนี้เขาก็เลยยังคงแวะเวียนไปที่บ้านของเธออยู่เป็นครั้งคราวสินะ”
“ก็ มาเรื่อยๆล่ะนะ คนที่ช่วยให้ครูอามะมิยะได้เป็นอาจารย์สอนศิลปะที่โอโตวะก็คือท่านพ่อนี่ล่ะ ท่านพ่อเองก็รู้จักกับผู้อำนวยการของโอโตวะอยู่”
“พ่อของเธอคงจะชื่นชอบอามะมิยะมากเลยสินะ”
“ยิ่งกว่านั้นอีก บางทีอาจจะซื้อความสามารถของครูอามะมิยะอยู่ก็ได้”
“เอ๋? หมอนั่นน่ะมีความสามารถขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เอ๋?”
นางิทำตาโต
อะไรกัน อย่างกับว่าผมพูดเรื่องอะไรแปลกๆออกไปงั้นล่ะ

“งั้นเหรอ ยูเนี่ยไม่สนใจเรื่องทางนี้เลยงั้นสินะ คงจะไม่รู้จริงๆ”
“คงงั้น ฉันไม่รู้นี่นา”
“ครู อามะมิยะน่ะไม่ธรรมดานะ ตอนสมัยเรียนน่ะดูเหมือน่ว่าจะได้รับรางวัลวาดภาพหรือการออกแบบมาไม่น้อยเลย เพราะงั้นคงไม่แปลกที่ชื่อของเขาจะดังยิ่งกว่าท่านพ่อ”
“เก่งมากขนาดนั้นเลยเหรอนี่ หมอนั่่น”
“แต่ว่า หลังจากแผ่นดินไหวในครั้งนั้นก็ไม่ได้วาดภาพอีกเลยแม้แต่ใบเดียว”
ไม่ได้วาดภาพแล้ว หรือว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่อามะมิยะพูดขึ้นมาที่ห้องศิลปะ
ความฝันที่เป็นจริงไปแล้ว.... ไม่สิ ทั้งๆที่น่าจะเป็นจริงไปแล้วแต่ก็กลับละทิ้งมัน

-“พี่เองก็เสียน้องสาวไปกับแผ่นดินไหวครั้งนั้น”-
เพราะเรื่องนั้นเองสินะ

“.....อามะมิยะเองก็เป็นพวกบ้าอย่างรุนแรงเหมือนกันนะนี่”
“พูดอะไรเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”

“จะว่าไป.. รู้สึกเหมือนเรากำลังจะพูดอะไรสักอย่างหรือเปล่านะ”
“ฉันจะไปรู้เหรอ”

เรื่องที่อามะมิยะมาที่บ้านของนางิกับเรื่องที่นางิอุตส่าห์มาหาผมที่บ้านนี่มันมีความเกี่ยวข้องกันยังไงนะ

“เอาเถอะ ยังไงก็พูดจนเหนื่อยแล้วล่ะนะ จะกลับล่ะ”
ถอดใจซะแล้ว เอาเถอะ สำหรับผมแล้ว ยิ่งกลับไปเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี

“...........”
ทั้งที่พูดว่าจะกลับ แต่นางิก็ยังคงไม่ลุกไปไหน

“เฮ้ย นางิ”
“ครูอามะมิยะน่ะ...”
“อามะมิยะเหรอ?”


“ที่ บอกว่าเธอกับยุโกะจังไปเดทกันมาน่ะเป็นเรื่องจริงเหรอ ไม่สิ ไม่ต้องตอบเราก็ได้ ไม่้ต้องคิดมากหรอก ถึงยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกันนะ”
“คือว่านะ... ค่อยๆพูดอีกทีช้าๆได้มั้ย”
ต่อให้ผมหัวไวแค่ไหนก็คงรับความเร็วขนาดนี้ไม่ไหวหรอก

“อ้า..โทษที....”
คราวนี้ยอมง่ายจัง

“ไม่ใช่เดทสักหน่อย ซื้อของน่ะ ไม่ต่างจากที่เธอพาฉันไปบ่อยๆหรอก พอเจออามะมิยะเสร็จฉันก็แยกกับยูโกะทันที”
“อะไรกัน แบบนี้เองนะเหรอ เห็นครูอามะมิยะทำหน้าเหมือนมีอะไรสักอย่างน่ะ....”
ไอ้บ้านั่น ทั้งที่บอกเองว่าจะทำเป็นไม่เห็นแต่กลับเอาเรื่องมาบอกนางิได้อย่างหน้าตาเฉยนี่นะ

“ว่าแต่ ทำไมนางิถึงต้องมาเป็นห่วงเรื่องนี้ล่ะ ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลยนี่นา”
“เราชักจะเริ่มเบื่อเธอขึ้นมาแล้ว”
“หา?”
ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด
หลังจากจ้องใส่ผมซึ่งกำลังทำอะไรไม่ถูกแล้ว นางิก็ยืนขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

อะไรกันเนี่ย
นางิในคืนนี้แปลกกว่าปกติเป็น ๓ เท่าจริงๆนั่นล่ะ
เอาเถอะ พรุ่งนี้ก็คงจะกลับไปเป็นนางิตามปกติล่ะนะ

....................
“เฮ้อ....”
ผมนอนเล่นอยู่บนเตียง
เรื่องของนางิน่ะปล่อยไปเถอะ ส่วนเรื่องของอามะมิยะก็ห้ามไปนึกถึง....
ชายที่มีพรสวรรค์ทางด้านวาดภาพ แต่หลังจากแผ่นดินไหวก็ไม่มีผลงานออกมาเลย กลายเป็นครูศิลปะผู้ขาดความทะเยอทะยานที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ

“หมอนั่นเองก็มีน้องสาว.....”
บางทีเรื่องที่สูญเสียน้องสาวไปกับเรื่องที่เลิกวาดภาพอาจจะไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้
อุบัติเหตุ คราวนั้นทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป อย่างที่คิดเลย ความตายของคนใกล้ตัวนั้นได้แย่งชิงบางอย่างไปจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไปจริงๆ จะสามารถอุดช่องว่างที่เกิดขึ้นในจิตใจได้หรือเปล่านะ และจำเป็นที่จะต้องอุดมันหรือเปล่านะ

“ยูโกะ......”
นี่ผมกำลังคิดถึงยูโกะอยู่งั้นเหรอ... ทำไมอยู่ดีๆก็... มันอะไรกันนะ...

 



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- บันเทิง >> เกม >> vn

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目次

日本による名言集
モジュール
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
機械学習
-- ニューラル
     ネットワーク
javascript
モンゴル語
言語学
maya
確率論
日本での日記
中国での日記
-- 北京での日記
-- 香港での日記
-- 澳門での日記
台灣での日記
北欧での日記
他の国での日記
qiita
その他の記事

記事の類別



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  記事を検索

  おすすめの記事

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文