[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๕ เชื้อเชิญ (募る)
>> กลับไปตอนที่ ๔
หลังเลิกเรียน ผมเริ่มเก็บสัมภาระเข้ากระเป๋า
“ฟุชิมิคุง วันนี้ต้องรีบกลับสินะ”
มาโดกะทักขึ้น
“อื้อ เป็นห่วงมากินะนิดหน่อยน่ะ โทษทีนะ”
เมื่อเช้านี้ผมมีเล่าเรื่องมากินะให้ฟังไปแล้ว ดูเหมือนมาโดกะเองก็จะเป็นห่วงมากเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากนะ มากินะจังน่ะ”
“บางทีอาจจะแค่เป็นหวัด ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“ถ้าเราพอจะช่วยอะไรได้ก็บอกนะ”
“อื้อ ขอบใจนะ”
“งั้นไปก่อนนะ แล้วเจอกัน ฟุชิมิคุง”
“อื้อ แล้วเจอกัน”
หลังพูดจบ มาโดกะก็เดินออกจากห้องไป
จะว่าไปเพิ่งนึกได้ว่ายังมีเรื่องที่จะต้องถามโนมิยะซังอยู่ พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ถ้าไม่ถามก็คงต้องรอถึงสัปดาห์หน้า ยังไงก็ถามไว้ก่อนคงไม่เสียเวลามากหรอกมั้ง
เนื่องจากเป็นวันเสาร์ คนอื่นจึงกลับไปหมดแล้ว ในห้องเรียนตอนนั้นเหลือแค่ผมกับโนมิยะซังสองคนเท่านั้น
“อะไรเหรอ? ฟุชิมิคุงผู้ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลยาซากะ”
อะไรกันน่ะ บรรยากาศแบบนี้ พออยู่กันสองคนทีไร
“เอ่อ... มีเรื่องที่อยากจะถามสักหน่อย”
“อะไร?”
ดูเย็นชาจริงๆนั่นล่ะ สงสัยเราจะถูกเกลียดแล้วงั้นหรือนี่?
“เอ่อ... ว่าแต่ทำไมเวลาที่อยู่กับเราถึงได้มีท่าทีแบบว่า...”
“ก็ไม่มีอะไรมากนี่ แค่เพราะตอนนั้นเรามีเจอกันที่ป้ายหลุมศพมาก่อนไงล่ะ”
“แค่นั้น...? แค่เพราะเจอกันมาก่อนน่ะเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น... นี่ ไม่รู้ตัวจริงๆน่ะเหรอ?”
โนมิยะซังดูมีท่าทีเหนื่อยใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เราน่ะเป็นแบบนี้อยู่ปกตินั่นล่ะ”
“แบบนี้คือเป็นปกติ? แล้วกับเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น?”
“เพื่อไม่ให้ต้องมีเรื่องอะไรยุ่งยาก ทำแบบนั้นไว้น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นการที่เราพบกันตอนนั้นก็เลยทำให้...”
“กับคนที่รู้ความจริงอยู่แล้ว ถึงเล่นละครไปก็ไม่มีประโยชน์ใช่มั้ยล่ะ?”
“อ่า นั่นสินะ”
รู้แบบนี้แล้ว เราควรจะเสียใจหรือว่าดีใจดีนะเนี่ย
“เรื่องที่จะถามมีแค่นี้ใช่มั้ย? งั้นขอตัวก่อนนะ”
“เอ้ย เดี๋ยวสิ ยังมีเรื่องที่จะถามอยู่อีก โนมิยะซังเมื่อก่อนเคยอาศัยอยู่ที่นี่งั้นสินะ?”
“ใช่ แล้วทำไมเหรอ?”
“งั้นเด็กผู้หญิงคนที่เราเจอที่โรงพยาบาลยาซากะนั่นก็คือโนมิยะซังจริงๆด้วยสินะ”
“ใช่ งั้นแสดงว่าฟุชิมิคุงก็คือฟุชิมิ โทวยะ ในตอนนั้นจริงๆด้วยสินะ”
“ใช่จริงด้วย”
“จำได้แล้วเหรอ?”
“จะว่าจำได้ก็... น่าจะเรียกว่านึกออกมากกว่าน่ะ”
ถ้าไม่ได้คุยกับโนมิยะซังตอนนั้นก็คงจะนึกไม่ออกเหมือนกัน
“แล้วโนมิยะซังจำได้เหรอ ทั้งที่เวลาช่วงสั้นๆแค่นั้นเอง”
“ก็เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดเลยน่ะสิ”
“สนุกงั้นเหรอ?”
พอผมพูดจบ โนมิยะซังก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมา จากนั้นก็หันมาจ้องผมด้วยสายตาไม่พอใจ เหมือนผมจะพูดอะไรที่ไม่ถูกใจออกไปอย่างงั้นเลย ว่าแต่ยังไงก็เถอะ...
“งั้นเหรอ ยูจังในตอนนั้นนั่นเอง”
“ก็เมื่อตอนนั้นเราก็เรียกกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นมันตอนนั้นไม่ใช่เหรอ ถึงตอนนี้แล้วอย่ามาเรียกแบบนั้นนะ”
“อายเหรอ?”
พูดจบหมัดของโนมิยะซังก็บินเข้าใส่หน้าทันที ยังดีที่หลบได้
“อันตรายนะ!”
“น..หนวกหูน่ะ ยังไงก็เถอะ ป่านนี้ถ้ายังเรียกแบบนั้นอยู่ละก็ เดี๋ยวจับเผาทิ้งซะเลย”
...เผาเลยเหรอ... ฟังดูน่ากลัวนะนั่น...
“โทษทีนะที่ไม่ได้นึกออกในทันที”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้างั้นขอตัวก่อนนะ ต้องรีบกลับบ้านแล้ว”
“รอเดี๋ยว”
พอผมกำลังจะหยิบกระเป๋า โนมิยะซังก็กลับเรียกให้หยุด
“หืม? อะไรเหรอ?”
“คราวนี้เราขอเป็นฝ่ายถามบ้างล่ะ”
“ทำไมฟุชิมิคุงถึงได้ยังทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลยาซากะได้อยู่อีกล่ะ”
“หมายความว่าไงกัน?”
“ก็... ฟุชิมิคุงน่ะคงจะไม่มีทางลืมเรื่องในตอนนั้นไปแล้วหรอกนะ”
เรื่องในตอนนั้น... หมายถึงเรื่องที่คุณแม่ตายไปกับอุบัติเหตุงั้นน่ะเหรอ? ก็ไม่ใช่ว่าลืมหรอกแต่ว่า...
“ไม่ได้ลืมหรอก เรื่องอุบัติเหตุไฟไหม้ในครั้งนั้นน่ะ แต่...”
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เรื่องไฟไหม้นั่นก็ด้วยแต่ว่า... เรื่องโรงพยาบาลนั่นน่ะ”
“เรื่องโรงพยาบาล?”
“เราไม่มีวันลืมได้ลงหรอก อภัยให้ไม่ได้ ไม่มีวันอภัยให้ได้แน่นอน”
“ที่ว่าไม่ให้อภัยนี่ เรื่องอะไรกัน?”
“ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเรา ไม่มีทางอภัยให้แน่นอนไม่ใช่เหรอ”
“เดี๋ยวสิ พูดเรื่องอะไรน่ะ?”
“เรื่องอะไร... งั้นเหรอ?”
โนมิยะดูมีท่าทีตกใจ จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดสักพักแล้วก็มองไปรอบๆตัวผมด้วยความสงสัย พอถูกมองแบบนี้รู้สึกจักจี้ยังไงชอบกล
“นี่ ถามหน่อย ที่ร่างกายน่ะไม่มีโค้ดติดอยู่ตรงไหนเลยเหรอ?”
“โค้ด? หมายถึงอะไรกันน่ะ?”
“จะเรียกว่าเป็นรอยสักหรือปานหรือตราประทับดีล่ะ... คือ... ลักษณะเหมือนบาร์โค้ดน่ะ”
บาร์โค้ด? หมายถึงอะไรกันน่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด
“ช่วยหลับตาหน่อยสิ”
“หลับตา? ทำไมต้อง?”
“เอาเถอะ หลับตาซะ!”
จากนั้นผมก็หลับตาลงไปสักพัก
“ลืมตาได้แล้วล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าอย่าคิดอะไรแปลกๆล่ะ”
เมื่อลืมตาขึ้นมาก็เห็นโนมิยะซังที่ถกกระโปรงขึ้นจนมองเห็นต้นขา
“เฮ่ย! อะไรน่ะ! เดี๋ยวสิ!”
ผมตกใจและหน้าแดงขึ้นมาทันที
“นี่คือรอยสักที่มีลักษณะเหมือนกับบาร์โค้ด”
พอมองไปดีๆก็เห็นรอยเส้นแดงๆเป็นลักษณะขีดๆอยู่ภายใต้ผิวขาวนั้น อย่างกับเป็นรอยสักเลย เป็นเส้นขีดตรงๆที่ความหนาต่างๆเรียงกัน ดูยังไงก็เหมือนกับบาร์โค้ดไม่มีผิด
“เข้าใจยัง? เห็นยัง? จำได้ยัง?”
“เอ๋? หมายถึงบาร์โค้ดนี่สินะ”
ทันทีที่ผมพูดขึ้น โนมิยะซังก็รีบปิดกระโปรงกลับเข้าเหมือนเดิม
“เห็นแล้วใช่มั้ย? จำได้หรือยังล่ะ?”
“ไม่นะ จำได้ว่าไม่เคยมีนะ”
“งั้น ที่เข้าโรงพยาบาลตอนนั้น เพราะอะไรน่ะ?”
“เพราะอะไรยังไงเหรอ?”
“สาเหตุที่เราเข้าโรงพยาบาลน่ะก็ด้วยงานของพ่อ ฟุชิมิคุงน่ะไม่เหมือนกันเหรอ? ไม่ได้เข้าโรงพยาบาลเพราะเรื่องงานของคุณแม่เหรอ?”
“ที่เราเข้าโรงพยาบาลตอนนั้นน่ะ ก็ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์น่ะ”
“แต่ว่า ก็มีถูกส่งเข้าตรวจไม่ใช่เหรอ?”
“ก็มีอยู่หรอก แต่ว่าแค่ครั้งเดียว”
ผมพูดพลางนึกเรื่องในอดีตขึ้น จำได้ว่าตอนนั้นที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้น ถูกหมอที่ไม่รู้จักให้เข้าตรวจอะไรก็ไม่รู้ทีนึง จากนั้นก็ไม่มีอีกเลย
“เหรอ...”
น้ำเสียงของเธอฟังดูโศกเศร้ายังไงไม่รู้สิ
“...โนมิยะซัง?”
“............”
“โนมิยะซัง...?”
“เข้าใจล่ะ งั้นไม่เป็นไร”
“มันยังไงกัน? ไอ้เรื่องการตรวจ แล้วไหนจะรอยสักนั่นอีก”
“เรื่องนั้นลืมมันไปซะ ดูเหมือนเราจะเข้าใจผิดไปเอง”
“ให้ลืมงั้นเหรอ... ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...”
“ช่วยหลับตาอีกทีได้มั้ย”
“อีกแล้วเหรอ ทำไม?”
“เอาเถอะน่ะ”
“อืม...”
จากนั้นผมก็หลับตาลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้ยินเสียงโนมิยะซังเรียกสักที
“โนมิยะซัง?”
แปลกจัง ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับเลย
“งั้น... ขอลืมตาล่ะนะ”
พอลืมตาขึ้น ในห้องเรียนนั้นก็ไม่มีใครเหลืออยู่นอกจากผมเพียงคนเดียวแล้ว นี่มันอะไรกันน่ะ
......เอาเถอะ ยังไงมัวแต่ยืนอยู่ต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ก็คงไม่ได้อะไร ผมคิดดังนี้แล้วก็หยิบกระเป๋าเดินออกจากห้องไป
--------------------
ผมเดินออกมาจากโรงเรียน ระหว่างทางก็มีมองหาโนมิยะซัง แต่ก็ไม่พบเลย
“ไว้วันจันทร์ค่อยคุยกันอีกทีละกัน”
ผมคิดดังนั้นแล้วก็เริ่มก้าวเท้าเร็วขึ้นเพื่อจะรีบกลับบ้าน ในตอนนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“นี่ๆ เธอคนนั้นน่ะ”
“หืม? ผมเหรอ?”
“ใช่ เธอนั่นล่ะ”
อยู่ๆก็มีเด็กสาวที่รู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเจอที่ไหนมาก่อนเข้ามาทัก
“เห็นเด็กผ่านมาทางนี้บ้างมั้ย ความสูงประมาณนี้น่ะ แต่งตัวสวยๆด้วย”
เธอทำมือเทียบความสูงให้ดู ความสูงประมาณมากินะได้ล่ะมั้ง
“เด็กเหรอ?”
“ไม่รู้หนีออกไปไหนคนเดียวน่ะ แย่เลย”
“ไม่เห็นนะ”
“งั้นเหรอ ขอบใจนะ”
พูดจบเธอก็เดินจากไป จะว่าไปแล้วเหมือนเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ
“เอาเถอะ รีบกลับดีกว่า”
--------------------
“ไปอยู่ที่ไหนของเขากันนะ”
หลังจากโทวยะเดินจากไป เธอก็ยังคงตามหาเด็กคนที่ว่านั่นอยู่แถวนั้นต่อไป จนมาถึงบริเวณลานกว้าง
“อ๊ะ อยู่นี่เอง ไม่ได้นะ ออกมาเที่ยวเล่นตามใจแบบนี้”
“โธ่ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แค่อยากออกมาเดินข้างนอกดูบ้าง เพราะได้แต่หลับมาตลอดจนถึงตอนนี้นี่นา”
เด็กหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่มีทีท่าเกรงกลัว พอมองดูจากภายนอกแล้ว ดูเหมือนพี่น้องคุยกันเลย
“...คนนั้นเขา?”
เด็กสาวถามถึงชายใส่สูทคนหนึ่งซึ่งนอนหมดสติอยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะยังมีลมหายใจอยู่
“ให้ทำแต่กับคนไข้อย่างเดียวก็น่าเบื่อแย่ เลยอยากลองกับคนอื่นๆเยอะๆดูบ้างน่ะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”
เด็กหนุ่มตอบ เด็กสาวไม่มีทีท่าจะต่อว่าเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่กลับพูดขึ้น
“อื้อ ก็คงงั้นนะ ในทางสถิติแล้วได้ลองกับคนหลากหลายน่าจะดีกว่า”
“ใช่มั้ยล่ะ”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว งั้นก็รีบจัดการคุณลุงคนนี้เร็วๆเข้าสิ”
“แน่นอน อุตส่าห์ไล่จับมาเพื่อการนี้”
จากนั้นมือขวาของเด็กหนุ่มก็เริ่มส่องประกายแสงขึ้น
--------------------
พอผมกลับมาถึงมากินะก็ยังอาการไม่ดีขึ้น ซายะซังเองก็บอกว่ามีธุระต้องออกไปทำงาน ในที่สุดผมจึงต้องพามากินะไปโรงพยาบาล
ตั้งแต่เข้ามาถึงโรงพยาบาลเวลาก็ผ่านมาราวๆหนึ่งชั่วโมงได้แล้ว ผมยังคงนั่งรออยู่ต่อไป ในตอนนั้นก็มีผู้ชายสวมเสื้อกาวน์คนหนึ่งเดินออกมาจากห้องตรวจ
“ญาติของฟุชิมิ มากินะซัง อยู่มั้ยครับ?”
“ผมเองครับ มากินะเป็นไงบ้างครับ”
ขณะที่คุณหมอกำลังจะอธิบายอยู่นั้น ยาซากะซังก็ได้เดินเข้ามา
“อ้าว เธอเองเหรอ”
“ท่านผู้อำนวยการ... คนรู้จักหรือครับ”
“แค่รู้จักกันนิดหน่อยน่ะ ว่าแต่ทำไมเหรอ?”
“เปล่าครับ แค่มารายงานผลการตรวจ”
“หืม... คนรู้จักเป็นอะไรงั้นเหรอ?”
“น้องสาวน่ะครับ อาการไม่ค่อยดีก็เลยพามา”
“ไหนขอดูบันทึกของคนไข้หน่อยซิ”
“ครับ”
คุณหมอยื่นบันทึกคนไข้ที่อยู่ในมือให้ยาซากะซังดู
“...อืม หวัดงั้นเหรอ?”
“ดูเหมือนจะมีอาการอ่อนแรงด้วยครับ”
“อืม...”
ขณะที่ยาซากะซังกำลังดูบันทึกคนไข้ต่อไปนั้น ก็ได้มีเสียงเด็กคนหนึ่งดังขึ้น
“ที่นี่โรงพยาบาลนะ ช่วยเงียบๆหน่อยเถอะ”
“เด็กคนนี้คือ?”
“ลูกของฉันเองน่ะ ชื่อชิโอริ”
“เอ๋? ยาซากะซังมีลูกด้วยหรือครับ?”
เท่าที่รู้มา ยาซากะซังน่าจะยังเป็นโสดอยู่นี่นา
“ลูกบุญธรรมน่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
ชิโอริจังพูดขึ้น เพิ่งมีโอกาสได้รู้จักกับลูกสาวของยาซากะซังเป็นครั้งแรกแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกตกใจจนเผลอจ้องหน้ามองโดยไม่รู้ตัว
“เป็นอะไรไปเหรอ พี่ชาย?”
“เปล่า แค่ตกใจไม่คิดว่ายาซากะซังจะมีลูกสาวโตขนาดนี้แล้วน่ะ”
“เพิ่งจะถูกรับมาเลี้ยงไม่นานน่ะ ยังไม่มีสำมะโนครัวเลย อ้อ แล้วก็ขอบอกไว้อย่างนะ...”
“เอ๋? อะไรเหรอ?”
“ผมน่ะเป็นเด็กผู้ชายนะ ไม่ใช่เด็กผู้หญิง”
“หา จริงเหรอ?”
“จริง ชิโอริเป็นลูกชายของฉัน”
ยาซากะซังตอบขึ้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง
ผมจ้องไปที่ชิโอริจัง... ไม่สิ ชิโอริคุง เด็กคนนี้เป็นผู้ชายหรือนี่ โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ยังมีอะไรที่เราไม่เห็นอีกมากมายจริงๆ
“แล้วคนไข้ล่ะ ยังตรวจอยู่เหรอ?”
“ครับ ตอนนี้นอนหลับอยู่”
“ขอไปดูหน่อยนะ”
“ยาซากะซังจะไปดูให้เองเลยหรือครับ?”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เรื่องแม่ของเธอคราวนั้นมันก็เป็นความรับผิดชอบของพ่อฉันด้วยเหมือนกัน”
“...งั้นหรือครับ”
พูดจบยาซากะก็เดินเข้าไปในห้องตรวจ
จากนั้นชิโอริคุงก็เดินตามเข้าไป
สักพักยาซากะซังก็เดินออกมา
“ดูเหมือนจะต้องรีบฟื้นฟูพลังกายก่อนเป็นอย่างแรกนะ”
“ครับ ผมเองก็คิดแบบนั้น”
คุณหมอตอบขึ้น จากนั้นยาซากะซังก็หันมาทางผมแล้วถาม
“ถ้ายังไงคงต้องให้นอนโรงพยาบาลไว้ก่อน เพื่อความแน่ใจให้ตรวจดูอาการสักคืนน่าจะดีกว่า ว่าจะให้น้ำเกลือด้วย”
“อ่า... งั้นหรือครับ”
ตกใจเลยแฮะ นี่ถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาลเลยหรือนี่
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาละก็ อยู่ที่โรงพยาบาลน่าจะจัดการได้ง่ายกว่า แต่ก็ไม่ได้บังคับหรอกนะ แค่ในความเห็นของฉันแล้ว แนะนำให้นอนโรงพยาบาลจะดีกว่า”
“เข้าใจแล้วครับ งั้นก็รบกวนด้วยครับ”
จากนั้นยาซากะซังก็สั่งให้คุณหมอรีบไปดำเนินการ จากนั้นผมก็เดินตามคุณหมอมา
แต่ในตอนนั้นก็มีผู้ป่วยด่วนถูกหามเข้ามา
“คุณหมอ ว่างมั้ยคะ?”
“อ่อ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ รอเดี๋ยวนะ ”
คุณหมอตอบ แล้วก็หันมาทางผม
“เดี๋ยวเธอไปตรงโน้นแล้วอธิบายธุระทั้งหมดเองได้มั้ย?”
คุณหมอชี้ไปทางเคาน์เตอร์
“ได้ ครับ”
จากนั้นคุณหมอก็รีบวิ่งไปทางคนไข้ผู้ชายวัยกลางคนที่เพิ่งถูกหามส่งมา ดูท่าจะยุ่งพอควรเลย
จากนั้นผมก็เดินไปยังเคาน์เตอร์ตามที่คุณหมอสั่ง
--------------------
“อ๊ะคุณลุงคนตะกี้ถูกหามส่งมาเร็วกว่าที่คิดอีกนะ”
ชิโอริพูดขึ้นขณะกำลังมองดูคนป่วยที่ถูกหามส่งเข้ามาใหม่ จากนั้นนาโอยุกิก็พูดขึ้น
“แบบนี้โอเคแล้วใช่มั้ย? แล้วตกลงว่ามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องให้เด็กสาวคนนั้นเข้ามานอนโรงพยาบาลด้วยล่ะ อาการก็ดูแย่มากซะด้วยสิ จะไม่เป็นอะไรแน่สินะ”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็จะช่วยรักษาให้หายแล้วล่ะ”
“อธิบายอะไรมาให้ละเอียดกว่านี้หน่อยได้มั้ย?”
“แทนที่จะให้อธิบาย ให้เห็นจริงน่าจะง่ายกว่าใช่มั้ยล่ะ”
ชิโอริทำสีหน้าไร้เดียงสา แล้วก็เดินออกไป ส่วนนาโอยุกิก็เดินตามออกไปเงียบๆ
====================
รวมศัพท์ท้ายตอน
いざこざ ระหองระแหง,การทะเลาะกัน,การมีเรื่องกัน
背広 せびろ เสื้อสูท
消耗 しょうもう การเผาผลาญ (พลังงาน เชื้อเพลิง),การสึกกร่อน,การร่อยหรอ,การใช้(พลัง)จนอิดโรย
低下 ていか การลดลงของระดับหรืออุณหภูมิ
努める つとめる พยายาม,อดทน,เสียสละ,ทำเพื่อผู้อื่น,มานะบากบั่น
見解 けんかい ความคิดเห็น,ทัศนะ
会計 かいけい การทำบัญชี,การคิดเงิน