φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



เมืองโบราณผิงเหยา วันที่ ๑ เดินเรื่อยเปื่อยในเมือง
เขียนเมื่อ 2012/04/21 15:32
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42
คำเตือน : หน้านี้โหลดโหดเป็นพิเศษ เนื่องจากมีรูปภาพอยู่ถึง ๑๑๓ รูป

#ศุกร์ 13 เม.ษ. 2012


เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไปเที่ยวค้างคืนกับเพื่อนในห้องมา ไปเป็นกลุ่มใหญ่ถึง ๑๔ คน เป็นอะไรที่ประสบการณ์แปลกใหม่มากเพราะเป็นครั้งแรกที่ไปกับเพื่อนที่มีแต่ต่างชาติ

สถานที่เที่ยวที่เราไปกันก็คือเมืองโบราณผิงเหยา (平遥古城) เป็นเมืองโบราณแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากในมณฑลซานซี (山西省) อยู่ไม่ไกลจากปักกิ่ง นั่งรถไฟอย่างช้าๆใช้เวลา ๑๒ ชั่วโมงจึงจะถึง

พวกเราไปกันแบบ ๓ คืน ๒ วัน คือวันที่ 12 เมษายนตอนเย็นออกเดินทางและค้างบนรถไฟ คืนวันที่ 13 ค้างที่โรงแรมในเมืองผิงเหยา และวันที่ 14 ก็กลับโดยตอนกลางคืนค้างบนรถไฟอีก เช้าวันที่ 15 ก็กลับถึงปักกิ่งโดยสวัสดิภาพ



รู้จักกับผิงเหยา

ก่อนที่จะพาไปชมบันทึกการท่องเที่ยว ขอพูดถึงข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เที่ยว ผิงเหยามีความสำคัญยังไง ทำไมถึงน่าไปเที่ยว และที่นั่นมีอะไรให้เที่ยวบ้าง

ผิงเหยาเป็นเมืองโบราณอายุเก่าแก่กว่าสองพันปี มีโบราณสถานอยู่มากมาย ที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดก็คือกำแพงล้อมรอบเมืองซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตกนานมากแล้ว แต่ซ่อมแซมปรับปรุงขยายในปี 1370 ซึ่งเป็นยุคราชวงศ์หมิงตอนต้น หลังจากนั้นก็รักษาอยู่อย่างนั้นมาโดยตลอดสมบูรณ์แบบจนถึงปัจจุบัน

ตัวกำแพงเมืองนั้นกั้นระหว่างตัวเมืองโบราณกับภายนอก ภายในมีขนาด ๒.๓ ตารางกิโลเมตร ลักษณะของกำแพงดูแล้วคล้ายเต่าเพราะมีประตูเหนือและใต้อย่างละ ๑ คล้ายหัวกับหาง และตะวันตกกับตะวันออกอย่างละ ๒ คล้ายเป็นขาทั้ง ๔

ตัวกำแพงนี้เราสามารถขึ้นไปเดินเล่นได้ด้วย สามารถเดินไปเรื่อยๆรอบเมืองแล้วกลับมาที่เดิม ใช้เวลาเกินกว่าชั่วโมงในการเดิน

นอกจากนี้เมื่อยุคสองร้อยปีก่อน ผิงเหยาได้กลายเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของจีนจนถูกเรียกว่าเป็นวอลล์สตรีตแห่งเอเซีย มีร้านค้าที่ทำธุรกรรมการเงินที่สำคัญเรียกว่าเพี่ยวเฮ่า (票号)

ไม่เพียงในตัวเมือง บริเวณใกล้ๆก็มีสถานที่เที่ยวที่น่าไป เช่น วัดซวางหลิน (双林寺) และ วัดเจิ้นกั๋ว (镇国寺) ทั้งคู่เป็นวัดโบราณซึ่งอยู่ในเขตอำเภอผิงเหยา

นอกจากนี้บริเวณไกลออกไปหน่อยก็มีคฤหาสน์ตระกูลเฉียว (乔家大院) และคฤหาสน์ตระกูลหวาง (王家大院) ซึ่งต่างก็เป็นบ้านของตระกูลผู้ร่ำรวยในอดีต ปัจจุบันไม่มีใครอาศัยอยู่ แต่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไป


สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองผิงเหยานั้นโดยปกติจะต้องซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ซึ่งราคา ๑๕๐ หยวน แต่เราเป็นนักเรียนก็เลยลดครึ่งราคาเหลือ ๗๕ หยวน

บัตรนี้สามารถใช้เข้าชมสถานที่ในเมืองได้แทบทุกแห่ง ยกเว้นที่เดียวคือหอคอยกลางเมือง ซื่อโหลว (市楼) ซึ่งต้องจ่ายต่างหาก นอกจากนี้วัดซวางหลินกับวัดเจิ้นกั๋วซึ่งอยู่นอกตัวเมืองเองก็ไม่นับ

แต่ถ้าจะแค่เข้ามาพักโรงแรมแล้วชมบรรยากาศในตัวเมืองเฉยๆโดยไม่เข้าไปยังสถานที่สำคัญต่างๆเลยก็สามารถไม่จ่ายค่าบัตรนี้ หากเสียดายเงินจริงๆแค่เดินเล่นตามถนนในเมืองโดยไม่ต้องเข้าชมสถานที่สำคัญต่างๆก็ได้ แบบนี้ก็ประหยัดเงินไปได้เยอะ แต่ที่นี่มีสถานที่น่าสนใจเข้าชมอยู่มากมายอย่างน้อยมาแล้วคิดว่าควรเข้าชมให้คุ้ม



ออกเดินทาง

คืนแรกทุกคนนั่งรถไฟตู้นอนกัน ตอนแรกเกือบมาไม่ทันขึ้นรถไฟกันซะแล้ว แต่พอมาขึ้นทันเวลาทุกคนก็โล่งใจ



พวกเรานั่งคุยเล่นทำอะไรกันไปเรื่อยจนถึงเวลาปิดไฟคือประมาณ ๔ ทุ่มครึ่ง



บรรยากาศบนรถไฟก่อนเวลาปิดไฟไม่กี่นาที



หลังจากปิดไฟพวกเราก็ยังนอนคุยกันต่อไม่จบ จนมีผู้โดยสารคนหนึ่งมาเตือนบอกให้เงียบเพราะเขานอนไม่หลับ พวกเราจึงเงียบกัน แล้วก็นอนหลับไป

แล้วเช้าวันต่อมาเราก็มาถึงผิงเหยา



หน้าสถานีรถไฟ



บรรยากาศยามเช้าในตัวเมืองผิงเหยาระหว่างที่เรากำลังเดินเพื่อไปเข้าโรงแรม คนดูจะยังโหรงเหรงร้านค้าก็ยังเปิดน้อยเพราะยังเช้าอยู่





ร้านค้าต่างๆ





หอคอยกลางเมือง ตั้งอยู่เด่นสวย ด้านล่างคร่อมถนนทางเดินอยู่สามารถเดินผ่านได้



พวกเราแวะกินมื้อเช้ากันที่ร้านนี้ก่อนเข้าโรงแรม



พวกนี้เป็นรายการอาหารท้องถิ่นของผิงเหยาทั้งนั้นเลย พวกเราสั่งหลายๆอย่างมาแบ่งกันกินดู



โหยวเมี่ยนเขาเหล่าเหล่า (莜面烤栳栳) ๑๐ หยวน



หวั่นทู (碗秃) ๘ หยวน



สุ่ยเจียนเปา (水煎包) ๑๒ หยวน



โหยวเกา (油糕) ๑๔ หยวน



เตาเซียวเมี่ยน (刀削面) เป็นบะหมี่แบบที่มีชื่อเสียงในมณฑลซานซี เส้นบะหมี่ของเตาเซียวเมี่ยนนั้นได้มาจากการเอามีดเฉือนแป้งที่เป็นก้อนๆออกมา แทนที่จะนวดให้เป็นเส้นยาวๆเหมือนเส้นบะหมี่ทั่วไปที่เรารู้จักกัน



ทานจบไปแล้ว ถ้าถามว่ารสชาติเป็นยังไงละก็ บอกได้เลยว่าทำใจ กลับไปกินที่ปักกิ่งอร่อยกว่าเยอะ

เสร็จแล้วเราก็ตรงมาที่โรงแรม นี่เป็นโรงแรมที่เราพัก บรรยากาศเป็นแบบโบราณด้านในมีสวนด้วย ลักษณะแบบนี้เรียกว่าเป็นซื่อเหอย่วน (四合院)




ห้องที่เราพัก เป็นห้องพักที่นอนได้ ๑๒ คน แบ่งห้องย่อยทีละ ๔ คน พวกเราเหมาห้องนี้กันเลย



แล้วพวกเราก็จัดการเก็บของเข้่าห้องและเตรียมการอะไรให้เรียบร้อย สุดท้ายก็ออกเดินทางไปเดินในเมืองด้วยกันตอนเที่ยง



วัดเฉิงหวง

จุดแรกที่เราไปกันก็คือวัดเฉิงหวง (城隍庙) วัดของเทพประจำเมือง เป้นสถานที่หนึ่งที่ต้องใช้บัตรถึงจะเข้าได้



ด้านในตัววัด








รูปปั้นต่างๆในตัวอาคาร





ขึ้นไปบนตัวอาคารที่มีชั้นสอง



มองลงไปก็เห็นหลังคาตัวเมืองรอบๆ



ภาพบรรยากาสในนรก ที่มียมบาลใช้วิธีต่างๆลงโทษ น่ากลัวมาก บางภาพโหดร้ายมากไม่กล้าเอาภาพมาลง





เดินเสร็จก็กินมื้อเที่ยงกัน แวะร้านใกล้ๆแถวนั้น



อาหารส่วนใหญ่ดูจะยังไม่ค่อยถูกปากอีกเช่นเคย






มีอันนี้ที่พอจะเรียกว่าอร่อย เขาเรียกว่าผิงเหยาหวาง (平遥王) แปลตรงๆว่าราชาแห่งผิงเหยา เป็นของหวานอร่อยดี





วัดขงจื๊อ

เป้าหมายต่อไปคือวัดขงจื๊อ (文庙) วัดขงจื๊อของเมืองผิงหยานี้ขนาดใหญ่และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน



บรรยากาศภายใน








ในสวนเห็นดอกบ๊วยกำลังบานสวยอยู่



ภายในตัวอาคารต่างๆในวัด





มีระฆังให้ตี แต่ต้องเสียค่าตีครั้งละ ๑ หยวน พวกเราก็เข้าไปแค่ทำท่าตีเฉยๆ เท่านี้ก็ไม่เสียตัง



อีกส่วนหนึ่งของตัววัดที่ตอนแรกเราเดินเลี้ยวแล้วเกือบพลาดไปไม่ได้มาเข้าชม






เสร็จแล้วเราก็เดินออกมานอกวัด ข้างๆตัววัดนั้นมีกำแพงเก้ามังกร (九龙壁) ตั้งอยู่สวยงาม น่าเสียดายหามุมถ่ายรูปสวยๆยากมาก



เดินต่อไปทางตะวันออกอีกหน่อยก็พบโบสต์คริสต์ตั้งอยู่ด้วย ก็เลยแวะเข้าไปดูนิดหน่อย





เดินมาต่อก็จะสุดทางที่ประตูตะวันออกเฉียงใต้



พวกเราอยากหาทางไปประตูเหนือเพื่อจะได้ขึ้นไปปีนกำแพงกันเล่น เลยเดินเลียบกำแพงไป แต่ก็พบทางตัน ก็เลยเปลี่ยน ไปทางใต้เพื่อไปประตูใต้แทน แต่ก็เจอทางตันอีก ช่างโชคไม่ดี วันนี้ทุกคนจึงยกเลิกความคิดที่จะปีนกำแพง




ระหว่างนั้นก็ไปเจอคนกำลังวาดภาพกำแพงเมือง เราก็แอบไปถ่ายเขา





เที่ยวพิพิธภัณฑ์ในเมือง

ตอนเย็นๆเราไปเดินเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆตามถนนในเมือง

อันนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เปียวจวี๋จีน (中国镖局博物馆)



เปียวจวี๋คือคล้ายๆกับเป็นสำนักไปรษณีย์ในสมัยก่อน แต่จะมีผู้คอยคุ้มกันซึ่งฝึกการต่อสู้มาอย่างดีเพื่อความปลอดภัย



ภายใน





อักษร อู่ (武) หรือที่คนไทยเรียกว่า บู๊ นั่นเอง หมายถึงอะไรที่เกี่ยวกับการต่อสู้



ภาพวาดนักบู๊สมัยนั้น ฝึกกันโหดน่าดู





ต่อไปเป็นพิพิธภัณฑ์เพี่ยวเฮ่าจีน (中国票号博物馆) เพี่ยวเฮ่านั้นเป็นธุรกิจทางการเงินชนิดหนึ่งในสมัยก่อน



ภายใน








เงินตราสมัยต่างๆ รวมทั้งของต่างประเทศจำนวนมากมายตั้งแสดงอยู่





ต่อไปก็เจอกับพิพิธภัณฑ์หมอน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่พิพิธภัณฑ์จริงๆหรอก เป็นแค่ร้านขายหมอนธรรมดา เขาคงตั้งชื่อเพื่อให้พ้องกับบริเวณรอบๆซึ่งมีแต่พิพิธภัณฑ์เต็มไปหมด







สุดท้ายที่เข้าไปชมคือพิพิธภัณฑ์เทียนจี๋เสียง (天吉祥博物馆) ซึ่งจัดแสดงเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ



ภายใน








เขากำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ?



ป้ายนี่น่าสงสัยดี ภาษาจีนเขียนว่า 小心滑落 แปลว่า ระวังลื่นตก แต่ภาษาอังกฤษเขียนว่า No Admittance แปลว่าห้ามเข้า แบบนี้อ่านภาษาจีนไม่ออกแล้วอ่านแต่ภาษาอังกฤษคงจะงงและไม่ได้เข้าไปแน่เลย ที่จริงเขาแค่จะบอกให้ระวังพื้นลื้นเท่านั้นเอง



ไม่ใช่แค่ป้ายนี้หรอกเพื่อนชาวอังกฤษที่ไปด้วยเขาบอกว่าพวกป้ายที่ให้ข้อมูลต่างๆของที่นี่ล้วนแปลเป็นอังกฤษได้แย่มาก เขาอ่านไปหัวเราะไป

แล้วตรงนี้ก็มีเก็บของมีค่าต่างๆมากมาย






ยามค่ำคืนในผิงเหยา

จากนั้นก็แวะทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวนั้น



มื้อนี้ดูจะอร่อยกว่ามื้อก่อนๆ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เรียกว่าพอใช้ได้เท่านั้นนะ









เสร็จแล้วก็ได้เวลาเที่ยวกลางคืน เดินชมบรรยากาศในเมืองยามค่ำคืน



บรรยากาศตอนกลางคืนครึกครื้นดีมาก










หอคอยกลางเมืองตอนกลางคืนประดับไฟสวยมาก





เดินสักพักทุกคนก็กลับไปที่ห้องแล้วเริ่มดื่มเหล้ากัน แต่เราไม่ดื่มด้วยก็เลยออกมาเดินเล่นกลางคืนต่อคนเดียว



เราเดินไปทางใต้เรื่อยๆจนเจอกับประตูใต้ ป้อมประตูเมืองทิศใต้ก็ประดับไฟสวยงามเหมือนกัน ที่ตรงนั้นเราได้เจอกับคนขับรถรับจ้างที่คุยเก่ง เขาชวนเราคุยเราก็คุยกับเขา ก็สนุกดี



พอเดินไปเรื่อยๆเริ่มดึกเขา ถนนก็เริ่มเงียบเหงา ร้านค้าก็ทยอยปิด เราก็เดินกลับโรงแรม



ตอนที่กลับไปถึงงานเลี้ยงยังคงดำเนินอยู่ไม่หยุด และก็ดำเนินไปจนถึงตีหนึ่งกว่าๆ เราไม่ได้ดื่มด้วยแต่ก็นั่งคุยไปเรื่อยๆจนถึงเวลานอน






จบแล้วสำหรับวันแรก ที่จริงอยากจะเขียนถึงสองวันในหน้าเดียวเลย แต่ท่าทางจะยาวไป ดังนั้นเลยต้องแบ่งเป็นสองหน้า

ติดตามการเที่ยวผิงเหยาในวันที่สองกันต่อได้
https://phyblas.hinaboshi.com/20120423




-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> ซานซี
-- ประวัติศาสตร์ >> ประวัติศาสตร์จีน
-- ท่องเที่ยว >> มรดกโลก

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ