φυβλαςのβλογ
phyblasのブログ



[ef] ตอนที่ ๓. นาฬิกาข้อมือสีแดง (赤い腕時計)
เขียนเมื่อ 2009/06/06 09:53
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42

ตอนที่ ๓. นาฬิกาข้อมือสีแดง (赤い腕時計)

>> กลับไปตอนที่ ๒
>> อ่านต่อตอนที่ ๔

>> กลับไปหน้าสารบัญ

ᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳᅳ


วันนี้ก็เข้าห้องเรียนตามปกติเหมือนทุกวัน พอเปิดประตูห้องเข้ามาที่ห้องก็ไม่มีแผงลอยขายแล้ว บรรยากาศเป็นเหมือนปกติ
แต่ว่าไปแล้ว เจ้าบ้าที่เปิดขายของเมื่อวานนี้มันหายไปไหนกันนะ

“หมอนั่นก็คงมาสายอีกตามเคยล่ะนะ”
ผมบ่นนิดหน่อยแล้วเดินไปยังที่นั่งตัวเอง
ดูเหมือนจะได้อยู่อย่างสงบสักพักก่อนจะเ้ข้าคาบโฮมรูมล่ะ

“....หืม?”
ในขณะที่วางกระเป๋าบนโต๊ะก็พบอะไรแปลกๆบางอย่างอยู่

นี่มันอะไรกันน่ะ
ที่ขอบโตีะมีเขียนด้วยปากกาสีแดงเขียนว่า “หลังเลิกเรียน ห้องศิลปะ”

“..............”
ไม่จำเป็นจะต้องตรวจลายมือก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร
ไอ้คนที่ใช้โต๊ะคนอื่นแทนกระดาษโน้ตแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ
ตัวคนเขียนก็หายไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ด้วยสิ เอาเหอะ ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก ไว้ค่อยไปทีหลังก็ได้

...............
ในที่สุดคาบเรียนก็สิ้นสุดลง เป็นเวลาหลังเลิกเรียน

“ฮิมุระ วันนี้ก็ไปทำงานพิเศษสินะ”
“ตามเคยนั่นล่ะ”
ก็ใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังโดยไม่มีใครคอยช่วยเหลือนี่นะ ค่าเล่าเรียนน่ะฟรี แต่ค่าดำรงชีวิตนั้นต้องหาเลี้ยงตัวเองไม่อย่างงั้นก็อดตาย

“ตั้งแต่กี่โมงหรอ?”
“พอดีมีธุระนิดหน่อยด้วยน่ะ ไม่สิ ต่อให้ไม่มีธุระอะไรฉันก็ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับนายหรอก”
“ทำไมพูดจาโหดร้ายแบบนั้นล่ะ ทั้งที่พวกเราน่ะอีกไม่นานก็ถึงคราวต้องแยกจากกันไปแล้วนะ”
คุเซะพูดด้วยท่าทีเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ว


“ก็ไม่ได้ตัวติดกันตั้งแต่แรกแล้วนี่นา”
ผมหยิบกระเป๋าแล้วลุกออกจากที่นั่ง

“รอเดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีกล่ะ”
“ที่ว่ามีธุระน่ะ หรือว่ากับผู้หญิง?”
“หา?”
“ในที่สุดคนอย่างฮิมุระคุงก็เริ่มมีเรื่องพวกนี้แ้ล้วสินะ งั้นไว้ช่วยพามาแนะนำบ้างสิ ถือโอกาสนี้แนะนำเพื่อนของเด็กคนนั้นให้ฉันทีสิ”
“คือว่านะ..”
มีแต่เรื่องผู้หญิงจริงๆสินะหมอนี่

“ว่าไงล่ะ ครั้งนี้ฉันจะเอาจริงล่ะนะ”
“จริงอยู่ว่ามีธุระกับผู้หญิง แต่ว่า... เป็นยัยนั่นน่ะ”
“เชิญตามสบายเลย ขอให้โชคดี”
สมกับเป็นคุเซะจริงๆ ระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่คงไม่สามารถพูดให้มันเข้าใจอะไรได้ง่ายๆเลยสินะ
ผมเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคุเซะนักหรอก

………………..
แว่วยินเสียงแมลงดังออกมาจากนอกหน้าต่าง
อากาศก็ร้อนขึ้นทุกวันอยู่แล้ว แต่กลับมีความรู้สึกว่าฤดูร้อนปีนี้มาเยือนเร็วกว่าปกติ

จะว่าไปแล้ว คุเซะเองก็เคยมีพูดเอาไว้ว่า
-“ปีนี้ดูเหมือนจะร้อนมากเลยนะ พวกผู้หญิงก็คงใส่ชุดบางกว่าปีที่ผ่านมาแน่เลย แบบนี้เลื่อนเวลาไปเรียนต่อให้ช้าลงอีกหน่อยดีมั้ยนะ”-

ไอ้ประโยคหลังน่ะช่างมันเถอะ แต่ว่าอากาศร้อนขึ้นแบบนี้ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน ยิ่งร้อนมากเท่าไร หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น
แต่ยังไงผมคงไม่มีเวลาพอที่จะไปเล่นสนุกกับใครหรอก

...............


ห้องศิลปะ
ถ้าเป็นไปได้ละก็ ไม่อยากจะมาที่ห้องนี้เลยสิ
ยังไงก็ขอให้อามะมิยะไม่อยู่ก็แล้วกัน
ผมเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องไป

“มาเร็วกว่าที่คิดนี่ โทษทีนะแต่ช่วยรออีกหน่อยให้ฉันวาดตรงนี้เสร็จก่อนนะ”
.........ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทันที พยายามหลับตาแล้วมองภาพตรงหน้าใหม่อีกครั้ง......
ไม่ผิดแน่ ไม่ใช่เพราะว่าผมเหนื่อยจนตาลาย ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริงแน่นอน

“..........เธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”
“หนวกหูน่ะ ส่งเสียงดังแบบนี้สมาธิก็เีสียหมดน่ะสิ”
“รีบๆใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยซะ ยัยผู้หญิงบ้า!!”

..................
“จริงๆเลยนะ ทั้งเธอแล้วก็คุเซะเลย ฉันไม่ค่อยเข้าใจความคิดของพวกศิลปินเลยจริงๆ”
“ถูกเหมารวมกับคุเซะแบบนี้น่ะดูจะไม่เป็นเรื่องที่น่าดีใจสักเท่าไรเลย”
ฮิโรโนะ นางิ ผู้หญิงที่เรียกผมให้มาหา
หลังจากเถียงกันสักพักกว่าเธอจะยอมใส่เสื้อผ้า

“เธอนี่มันเป็นพวกบ้าโดยสมบูรณ์จริงๆนั่นล่ะ”
“เธออาจจะไม่เข้าใจนะ แต่ว่าการวาดรูปพวกนี้น่ะมันเป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานเลยล่ะ”
“ถ้าอยากวาดนักทำไมไม่ไปวาดในชั่วโมงศิลปะเลยล่ะ แล้วมีไอ้บ้าที่ไหนใช้ตัวเองเป็นแบบในการวาดรูปพวกนี้กันล่ะ”
ยัยนี่คิดยังไงกันเนี่ย ถึงได้เอากระจกใหญ่มาวางแล้วสเก็ตช์รูปตัวเองแบบนี้
ก็รู้อยู่หรอกว่ายัยนี่บ้าเรื่องวาดรูปขนาดไหน แต่ก็ไ่ม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้

“ก็เพราะว่าวาดรูปตัวเองไงล่ะถึงได้ง่าย ไม่ต้องให้ใครมาเป็นแบบ ขอแค่มีกระจกอยู่จะวาดหรือหยุดเมื่อไรก็ได้ จิตรกรส่วนใหญ่น่ะก็วาดรูปตัวเองกันทั้งนั้นล่ะ”
“ทำที่โรงเรียนแบบนี้เนี่ยนะ”
จริงอยู่ว่าคนที่จะเข้ามาห้องศิลปะตอนหลังเลิกเรียนอาจจะไม่ค่อยมี แถมสมาชิกชมรมศิลปะนอกจากนางิแล้วก็เห็นจะมีแต่พวกวิญญาณเร่ร่อนเท่านั้น แต่ยังไงโอกาสที่จะมีคนเข้ามาเห็นเข้าก็ยังมีอยู่ดี

“ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าไม่อายหรือไง”
“แล้วยูคิดยังไงกับเรากันล่ะ”
อย่างที่เห็นนั่นล่ะ ถ้าในทางชีวะแล้วยัยนี่เป็นผู้หญิงไม่ผิดแน่ แต่กลับชอบเรียกแทนตัวเองว่า “เรา”
เจ้าตัวบอกว่าคำว่า “ฉัน” มันยาวเลยไม่อยากใช้
เป็นเหตุผลที่เข้าใจยากจริงๆ

“ยังไงก็เถอะ มีธุระอะไรกับฉันสินะ”
หลังเลิกเรียน ห้องศิลปะ...
ข้อความที่ถูกเขียนไว้ก็มีอยู่เท่านั้น
แถมเจ้าตัวคนเขียนก็ยังแทบจะไม่เคยเข้าเรียนเลยด้วย ดูท่าจะเข้าเรียนก็ต่อเมื่อมีอารมณ์เท่านั้น

“วันนี้อยากให้ไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยน่ะ”
“อีกแล้วเหรอ”
“ซื้อของน่ะเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำนี่นา”
นางิพูดแบบนั้นแล้วก็ยิ้มออกมา

..................
ผมได้เรียนอยู่ห้องเดียวกันกับนางิและคุเซะทั้งตอนปี ๑ และปี ๒ และเพราะเลขที่ในชั้นอยู่ใกล้กันหมายเลขที่นั่งก็ติดกันด้วย ก็เลยได้คุยกันบ่อยเป็นธรรมดา สาเหตุที่ยังคบกันอยู่ต่อไปแบบนี้นั้น ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก


“มีอยู่แค่นั้นแหละยังไงก็ช่วยถือหน่อยนะ”
“ก็ยังดีนะ”
“อื้อ ค่อยยังชั่วหน่อย”
นางิดูมีความสุขกับถุงที่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์วาดภาพที่ถืออยู่ในมือ

“เมื่อไรเธอถึงจะรู้จักมาเดินซื้อของเองคนเดียวซะทีนะ”
“ถามเราแบบนี้ก็ตอบยากเหมือนกันนะ”
งั้นจะให้ฉันไปถามใครล่ะ

“แต่เราว่าคนที่เดินเข้าร้านไปซื้อของคนเดียวน่ะกลับดูแปลกมากกว่านะ ยู เธอเองก็เหมือนกัน อยู่ดีๆเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ?”
“คนที่คิดแบบนั้นก็มีแต่เธอเท่านั้นล่ะ”
คนที่โตจนป่านนี้แล้วยังเดินเข้าไปซื้อของคนเดียวไม่เป็นนี่น่าจะเรียกว่าแปลกแล้วล่ะ
สำหรับคนแปลกอย่างนางิแล้ว เพื่อนก็มีอยู่น้อย คนที่จะมีโอกาสถูกชวนมาด้วยบ่อยสุดก็คงเป็นผมนี่ล่ะ
แถมบางครั้งยังต้องให้น้องชายซึ่งอายุห่างกันมากตามไปดูแลเลย

“จริงสิ ยังไงก็คงต้องตอบแทนกันสักหน่อยสินะ”
“ไม่จำเป็นหรอก”
ถ้าจะตอบแทนละก็แค่สาบานว่าครั้งต่อไปจะไม่ให้มาเป็นเพื่อนด้วยอีกแล้วก็พอแล้วล่ะ แต่เจ้าตัวคงจะไม่ยอมอยู่แล้วล่ะนะ

“อ้อ จริงสิ มีเรื่องดีๆล่ะ”
เรื่องไร้สาระอีกล่ะสิ

“ทุกๆปี ที่บ้านเราจะได้รับของตอบแทนเป็นจำนวนมากเลยล่ะ”
“โห”
ได้ยินว่าพ่อของนางิเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงมากคนนึงเลย
“ทั้งเราทั้งพ่อและน้องชายก็ไม่ได้สนใจของที่ได้รับมาพวกนั้นซะด้วยสิ พอรวบรวมได้พอประมาณแล้ว พ่อก็จะนำมันไปทิ้งทั้งหมดเลยล่ะ”

“น..น่าเสียดายของ....”
“เพราะงั้นล่ะ เลยกะว่าจะรวบรวมส่วนของปีนี้ให้ยูไงล่ะ มีทั้งของกินและของใช้มากมาย คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างเธอแน่นอน ยังไงมันก็เป็นของที่จะทิ้งอยู่แล้ว หวังว่าคงจะรับไว้อย่างไม่เกรงใจนะ”
“ไม่ล่ะ ยังไงก็รับไว้ไม่ได้หรอก”
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นสักหน่อย

ยังไงก็ตั้งใจว่าจะไม่รับของจากใครฟรีๆเด็ดขาด ต่อให้ใครจะมองว่ายังไงก็เถอะ
เพราะตั้งแต่ออกมาจากสถานรับเลี้ยงก็สาบานไว้แล้วว่าจะหาเลี้ยงชีพด้วยตัวของตัวเอง ยังไงก็ไม่อยากทำลายความตั้งใจของตัวเอง

“เข้าใจล่ะ ถ้าพูดอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้”
ดูเหมือนนางิจะยอมเข้าใจอะไรได้ง่ายดี

“เอาไปให้คุเซะเป็นของที่ระลึกการจากกันดีกว่า”
“ระวังจะถูกปฏิเสธละกัน”
เพิ่งจะเอาสมบัติเก่ามาเปิดแผงลอยขายเพื่อลดของลงไปเสร็จก็โดนยัดของให้อีกแบบนี้....
น่าสนุกดีแบบนี้ ผมก็เลยไม่ห้ามดีกว่า

.......................
“ส่งแค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ขอบใจมาก”
“อื้อ”
ผมยื่นถุงที่นางิฝากถือคืนไป
นึกว่าจะให้ไปส่งถึงบ้านซะอีก แต่ดูเหมือนเธอคงจะกลัวผมไปทำงานสายสินะ


“จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ยอมมาด้วยง่ายดีนะ ทั้งที่ทุกทีต้องเอาแต่บ่น”
“ก็อุตส่าห์ชวนมาด้วยแบบนี้ ที่จริงก็น่าจะต้องรู้สึกขอบใจมากกว่านี่นะ”
“ก็จริงอยู่หรอกแต่.. อะไรน่ะ หรือว่ายูจะเริ่มหลงรักเราแล้ว”
“จะบ้าเหรอ”
นางิน่ะเท่าที่ดูก็ถือว่าเป็นคนสวย แต่ต่อให้ไม่เจอเหตุการณ์ที่ห้องศิลปะเมื่อกี้ ผมก็ไม่คิดอะไรอยู่ดีนั่นล่ะ
ไม่หรอก ไม่ใช่แค่นางิ ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว ผมแทบจะไม่เคยสนใจเรื่องเพศตรงข้ามเลย
เพราะไม่มีเวลาที่จะมาสนใจเรื่องแบบนั้น

“นี่ นางิ”
“หืม?”
“อามะมิยะน่ะ เป็นคนแบบไหนกันเหรอ?”
“ครูอามะมิยะ? อ่อ ที่ไม่สนใจเราก็เพราะแบบนี้เองล่ะสินะ”
“อย่าเข้าใจผิดบ้าๆแบบนี้น่ะ”

“ว่าแต่ ยูน่ะเอาแต่หลบครูอามะมิยะตลอดเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมอยู่ดีๆถึงสนใจขึ้นมาล่ะ”
“ถ้าอยากจะตอบแทนอะไรละก็ แค่ช่วยตอบคำถามเรื่องนี้มาก็พอแล้ว”
“อื....ม....”
ยัยนี่เป็นคนในชมรมศิลปะ ยังไงก็คงจะรู้เรื่องของอามะมิยะซึ่งเป็นที่ปรึกษาบ้างล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกันสิ”
“ใช้ไม่ได้เลยนะ”
ผมบ้าเองที่หวังคำตอบจากยัยนี่

“จะว่าไปก็ดูจะเป็นอาจารย์ที่ไม่เอาการเอางานสักเท่าไร เราเองก็ยังไม่เคยเห็นภาพที่เขาวาดเลยสักครั้ง”
“หมอนั่น ทั้งที่เป็นครูสอนศิลปะแต่กลับไม่วาดภาพงั้นเหรอ?”
“ได้ยินว่าเขาถนัดการวาดภาพสีน้ำมันเหมือนเรานั่นล่ะ แต่ถึงจะไม่วาดภาพเลยก็ไม่แปลกหรอกเพราะงานของครูน่ะไม่ใช่การวาดภาพสักหน่อย แค่สอนวิธีวาดก็พอแล้วนี่นา”
“งั้นเหรอ”
“ถ้าจะให้พูดละก็ คงบอกได้คำเดียวว่าเป็นคนประหลาด”
“คนประหลาด....”

“ถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้ละก็ จะลองเข้าชมรมศิลปะดูก็ได้นะ”
นางิพูดเสร็จก็หันเท้ากลับแล้วหยุดยืนอยู่กับที่

“เป็นอะไรไป? ไม่กลับบ้านแล้วเหรอ?”
“เธอน่ะ มีไปสร้างความแค้นกับใครไว้หรือเปล่า?”
“หา?”
“เรารู้สึกมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“อยู่ดีๆพูดอะไรน่ะ”
ผมเริ่มสงสัยจึงมองไปรอบๆ

เท่าที่ดูก็ไม่เห็นจะมีอะไ...
“......... มาทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ”


“ฮะๆๆ ความรู้สึกไวจังเลยนะคะ คุณคนนี้น่ะ”
เธอเดินออกมาจากมุมตึกด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่คิดอะไร

“เขาน่ะปกติก็ไม่ได้หัวช้าอะไรหรอก แต่เพราะมาอยู่กับฉันก็เลยแย่หน่อยนะ”
“อย่าพูดล้อเล่นด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้นสิ”
“ดูสนิทกับรุ่นพี่ฮิมุระจังเลยนะคะ”
“เธอรู้จักกับยูเหรอ?”
“ค่ะ ฉันอยู่ปี ๑ ค่ะ”
“เราชื่อนางิ เรียกสั้นๆง่ายๆ ๒ คำ”
ยังไม่ทันที่ยูโกะจะพูดจบ นางิก็รีบพูดแนะนำตัวขึ้นมาทันที
“อ่อ งั้นหรือคะ นางิซังสินะคะ ฉันชื่ออามะมิยะ ยูโกะค่ะ”
“ยูโกะ...? เรียกยากจัง แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
ไม่มีการถามถึงนามสกุลก่อนเลยหรือไงนะ

“ถ้าอย่างงั้นฉันกลับก่อนนะ”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ นางิก็รีบแบกของแล้ววิ่งออกไปซะแล้ว

“อะไรของเขานะ ยัยนั่น”
“อ่อ เกือบลืมไป”
วิ่งกลับมาอีกแล้ว

“ไอ้นี่ฉันให้ยู”
นางิวางถุงลงพื้นดังโครม แล้วก็ยื่นสมุดสเก็ตช์ภาพเล่มหนึ่งให้ผม

“พอดีว่าซื้อมาเยอะน่ะ”
“บอกแล้วไงว่าไม่จำเป็น”
ทั้งที่บอกไปแล้วว่าไม่ชอบรับของใครฟรีๆไม่เข้าใจหรือไงกันนะ

“ตอนนี้เรานึกเรื่องน่าสนใจขึ้นมาได้ล่ะ”
“อะไรล่ะนั่น”
“วันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลังเลิกเรียน ถ้าเป็นมุมมองของคนทั่วไปเขาจะคิดว่ายังไงกันนะ”
“............”
จะว่าไปเหตุการณ์เมื่อตอนนั้นมัน......


“ขอบใจมากนะ”
“เธอน่ะควรจะตอบรับความหวังดีของคนไว้อื่นบ้างนะ”
เจตนาร้ายล่ะสิไม่ว่า

พูดจบนางิก็เดินจากไปอีกครั้ง หวังว่าคราวนี้คงไม่กลับมาอีกนะ
..............

“ว่าแต่..”
ดูเหมือนผมจะถูกเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆคอยเฝ้ามองอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

“แหะๆ”
แหะๆ อะไรกันล่ะ

......................
ผมเดินกลับมาที่ย่านร้านค้าอีกครั้ง
พยายามเดินให้เร็วเพื่อหนีคนที่ตามมา


“หรือว่ารุ่นพี่กำลังโกรธอยู่คะ”
“ก็มักจะถูกคนมองว่าทำหน้าแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วน่ะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ”
“ก็ไม่ได้อยากพูดกับเธออยู่แล้วนี่นะ”
พูดออกไปแ้ล้ว

“ขอโทษนะคะ”
“...........”

ผมหยุดเท้าลง
บ้าจริง ทั้งที่ใกล้เวลางานแ้ล้วแท้ๆ

“ตามมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
“คือว่า....”
ยูโกะหรี่ตาลง ด้วยท่าทีที่เหมือนจะที่ไม่มีข้อแก้ตัว

“พอดีเห็นรุ่นพี่ฮิมุระอยู่ที่ประตูโรงเรียน เห็นว่ามากับผู้หญิงก็เลยไม่กล้าทักออกไป”
“ทั้งที่ไม่กล้าทักยังจะตามมาอีกนี่นะ”
“ขอโทษนะคะ ยังไงฉันก็ยังกังวลอยู่ดี...”
เห็นท่าเธออ่อนหวานเรียบร้อยขนาดนี้ทำให้ดูเหมือนผมกำลังแกล้งเธออยู่เลยสิ

“ถ้าเรื่องนั้นละก็ไม่ต้องห่วงหรอก แต่ก็อย่างที่พูดนั่นล่ะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
“แต่ว่า”
สีหน้าของยูโกะเริ่มเปลี่ยนไป


“ฉันดีใจจริงๆเลยนะคะ”
“ดีใจ? เรื่องอะไรกัน”
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ฉันได้กลับมาเจอคุณอีก”
ได้ยินเสียงคนที่่เดินผ่านไปมาหนาแน่นอย่างชัดเจน แต่ละเสียงนั้นต่างจังหวะและต่างทำนอง

“ความจริงแล้วฉันรู้เรื่องของคุณตั้งแต่ตอนที่เข้าโรงเรียนมาแล้วล่ะค่ะ
อัจฉริยะซึ่งสอบเข้ามาด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง จากนั้นก็ไม่เคยเสียตำแหน่งท็อปให้ใครเลย ฮิมุระ ยู”

“..............”
“ในโรงเรียนโอโตวะน่ะ ทุกคนรู้จักคุณทั้งนั้นล่ะ พูดให้ถูกคือ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณ เพราะงั้น ฉันเองก็ด้วย”
“ถ้ารู้อยู่แล้วละก็ ทำไมถึงไม่เข้่ามาหาแต่แรกล่ะ”
ถ้าตั้งใจแบบนี้อยู่แล้ว ก็น่าจะทำตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือไง

“เพราะช่วงเวลาีที่ฉันแยกจากกับคุณน่ะ...... มันนานเกินไปน่ะค่ะ”
พอลองนึกย้อนกลับไปดู

เด็กที่เคยถูกเก็บไปเลี้ยง ไม่เคยมีใครกลับมาเยี่ยมที่สถานรับเลี้ยงอีกเลย
บางทีพวกเขาคงจะไม่รู้สึกผิดต่อพวกเราที่ยังต้องอยู่ที่นั่นต่อไปโดยไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหรอก
ยูโกะเองก็คง....

“แต่ว่าตอนนี้ฉันสามารถเข้ามาหาคุณได้แล้ว รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ”
ยูโกะเริ่มเดินเข้ามาโดยที่แทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า

“ที่รุ่นพี่ไม่อยากเ้ข้าใกล้ฉันน่ะเพราะว่า.....”
ยูโกะเริ่มใช้สองมือกุมมือผมไว้แน่น


“เรื่องของอากาเนะซัง..... น้องสาวของคุณที่คล้ายกับฉัน....”
ผมตกใจเล็กน้อยกับถ้อยคำนั้น พลันทุกอย่างรอบข้างดูเงียบงันลงไป

“ฉันเคยพูดให้เธอฟังแม้แต่เรื่องของอากาเนะด้วยเหรอ”
“เด็กที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ที่สถานรับเลี้ยงนั้นจะร้องไห้หรือไม่ก็เอาแต่เงียบ.... แต่คุณกลับดูแตกต่างออกไป แทนที่จะพูดอยู่คนเดียว คุณกลับชอบเล่าเรื่องอะไรต่างๆให้ฉันฟังอยู่ตลอด จำไม่ได้หรือคะ”
“ดูเหมือนฉันจะมีพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไปเยอะสินะ”
ผมพูดออกไปอย่างเย็นชา

อากาเนะ.........
จำไม่ได้เลยว่าเคยเ่ล่าเรื่อของยัยนั่นให้คนอื่นฟังด้วย

“จะเล่าให้ใครฟังก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ บางทีฉันอาจไม่ได้ตั้งใจจะเล่าให้เธอฟังก็ได้”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันรู้ รู้ดีทีเดียว คุณน่ะ มีพลังใจที่เข้มแข็งมาก... พลังอันเข้มแข็งที่ทำให้ยืนหยัดขึ้นได้ทันทีไม่ว่าจะเจอความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม”
ยูโกะซึ่งเคยตามติดผมอยู่ตลอดสมัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยง ที่แท้ก็คิดเรื่องนั้นมาโดยตลอดเลยงั้นเหรอ

“หลังจากแผ่นดินไหวในครั้งนั้น คุณเป็นคนที่ยอมรับความจริงได้เร็วกว่าใครๆทั้งหมด ในขณะที่ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างเอาแต่ตั้งความหวังว่าอยากจะกลับไปอยู่กับครอบครัว มีแต่คุณเท่านั้น...
ฉันน่ะรู้สึกได้ถึงพลังนั้นในตัวคุณ รู้สึกชื่นชมคุณจากใจจริงมาโดยตลอด”

พลังใจที่จะมีชีวิตอยู่....
มันเป็นอย่างงั้นจริงๆน่ะเหรอ...

ผมค่อยๆคลายมือของยูโกะออก

“คงมัวชักช้าอยู่ไม่ได้แล้วล่ะนะ”
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วมองไปที่นาฬิกาข้อมือ..... ห้าโมงสี่สิบ
คงจะมัวคุยกับยัยนี่อย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว

ยูโกะยังคงเดินตามหลังมา
“รุ่นพี่ฮิมุระ คุณน่ะเป็นคนเข้มแข็ง”
ยังจะพูดอีก

“เพราะงั้น...”
“............”
“ถ้าลืมเรื่องนาฬิกาสีแดงนั่นไปได้ก็คงจะดีนะคะ"
น..นาฬิกาสีแดง.......
เสียงของน้องสาวที่กำลังเล่นอยู่อย่างสนุกสนาน
ความอบอุ่นที่เคยจับอยู่ที่มือ
งั้นเองหรอกเหรอ
จนถึงตอนนี้..... ผมก็ยังคงติดตรึงอยู่กับความฝันเก่าๆอยู่สินะ

...................
งานวันนี้ค่อนข้างย่ำแย่เลยทีเดียว
ทำจานแตกไปตั้ง ๒ ใบ แถมยังรับคำสั่งลูกค้ามาผิดถึง ๓ ครั้ง
แม้เจ้านายเขาจะแค่หัวเราะแล้วก็ไม่เอาความ แต่ผมก็ยังรู้สึกโกรธตัวเองอยู่ดี


เพราะมีเรื่องรบกวนจิตใจมากเกินไป คงอ่านหนังสือต่อไม่ไหวแล้ว
“อย่่างน้อยก็ต้องให้ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ก่อน.....”
แม้จะคิดเช่นนั้น มือก็กลับไม่ขยับเลย
ผมตัดใจแล้วก็เขวี้ยงปากกาออกไปแล้วก็เอนตัวลงนอน

สิ่งที่เห็นก็มีแต่ภาพเพดานต่ำๆของห้องเช่าแคบๆสะท้อนเข้ามา
เจ้าของที่นี่คือคุณตาที่ชื่อว่าชินโดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ เขาเป็นผู้มีพระคุณที่ให้ที่พักอาศัยกับเด็กนักเรียนอย่างพวกผมอยู่

เพราะได้รับความช่วยเหลือจากเจ้านายที่ทำงานพิเศษ คุณตาชินโด และใครๆอีกมากมาย ทำให้ผมอยู่มาได้
แม้จะตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยตัวคนเดียว แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากคนอื่นจริงๆอยู่ดี

“เฮ้อ..”
ผมถอนหายใจออกไป
มองไปที่สมุดสเก็ตช์ภาพที่นางิให้มาวันนี้
เป็นสมุดสเก็ตช์ภาพขนาด B5

ผมหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเปิดหน้าสมุด จากนั้นก็หลับตาจินตนาการภาพขึ้นมาในใจ พยายามนึกภาพความทรงจำให้ชัดเจนขึ้น
ในไม่ช้าผมก็นึกภาพทั้งหมดได้
ผมลืมตาขึ้นแล้วขยับมืออย่างรวดเร็ว วาดภาพร่างลงบนสมุดอย่างไม่คิดอะไรมาก
เรื่องสัดส่วนหรือเรื่องสมดุลอะไรน่ะจะยังไงก็ช่างเถอะ
แค่สร้างภาพลงบนกระดาษตามที่นึกเอาไว้


“จำได้ดีกว่าที่คิดนะ”
สิ่งที่วาดเสร็จขึ้นมาเป็นภาพบ้านชั้นเดียวซึ่งไม่ได้มีอะไรหรูหราเลย
บ้านที่ผมเคยอยู่
บ้านที่ไม่จำเป็นจะต้องกลับไปอีก...... ไม่สิมันเป็นแค่อดีตที่ไม่มีทางหวนคืนมาได้อยู่แล้ว
ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่เนี่ย

“นาฬิกาสีแดง... งั้นเหรอ”
ผมปิดสมุดสเก็ตช์ภาพลงแล้วยืนขึ้น
ผมหยิบห่อผ้าสีขาวออกมาจากส่วนลึกข้างในของตู้ที่เก็บของใช้สำคัญพวกสมุดบัญชีธนาคารหรือตราประทับเอาไว้

“.............”
พอค่อยๆเปิดผ้าที่ห่อออก ก็ปรากฏรูปร่างของก้อนเศษซากสีดำ”


-“พี่ชาย”-
“........”
ผมตกใจแล้วหันหน้ากลับไป
ก็แค่เสียงมายาเท่านั้น
ผมรีบห่อมันเก็บแล้วยัดกลับเข้าตู้เหมือนเดิม
จากนั้นก็ปิดไฟที่เพดาน

ไม่อยากเห็นอะไรทั้งสิ้น
ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น
ผมอยากจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

-“พี่ชาย”-
แต่ว่ามันกลับ....
น้องสาว............. อากาเนะไม่ยอมยกโทษให้
ได้ยินเสียงระฆังของโบสถ์ดังมาไกล
ใช่ ตอนนั้นมันสะท้อนมาดังมากจนปวดหู
ในวันนั้นเป็นวันคริสต์มาส......

พ่อแม่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนัก แม้ตอนนั้นจะยังเด็กแต่ก็พอจะรู้ว่าที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร

-“ที่บ้านน่ะทั้งมืดทั้งแคบแล้วก็ร้อน แต่ว่าที่อากาเนะกลัวมากที่สุดก็คือความหนาว”-
ผมคิดว่าจะต้องทำให้อากาเนะเห็นรอยยิ้มแทนพ่อแม่ที่วันๆเอาแต่ทำหน้าเบื่อโลก


-“พี่ชายน่ะ ใจดีจังเลย”-
แม้จะยังเด็กอยู่แต่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ของบ้านดี
แทบจะจำไม่ได้ว่าเลยว่ามีครั้งไหนที่เห็นน้องสาวพูดเอาแต่ใจตัวเอง

-“แต่อากาเนะไม่อยากทำให้พี่ชายต้องลำบาก”-
น้องสาวเคยร้องขอของที่อยากได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นาฬิกาข้อมือสีแดงอันถูกๆที่วางขายอยู่ที่ร้านขายของเ่ล่น ที่หน้าปัดนาฬิกามีลายตัวการ์ตูนอยู่ ซึ่งก็ไม่ได้สวยอะไรมาก ที่สายนาฬิกาเป็นสีแดงสดใส
น้องสาวซึ่งปกติไม่ได้สนใจของเล่นอะไรเลย ตอนนั้นกลับมองนาฬิกาสีแดงอันนั้นอย่างหลงใหล


“สีแดงจริงๆด้วย สวยจังเลย”
ผมซึ่งตอนนั้นชอบการวาดภาพ ได้เก็บออมเงินจากค่าขนมที่ได้จากพ่อแม่มาเล็กน้อย กับค่าแรงที่ช่วยเพื่อนบ้านทำงานมา ตั้งใจจะเอาไปซื้อชุดอุปกรณ์วาดภาพ
ผมเริ่มเกิดความสับสน....
หลังจากที่ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดใจเรื่องชุดอุปกรณ์วาดภาพ แล้วตัดสินใจซื้อนาฬิกาให้อากาเนะแทน

-“ขอโทษนะ พี่ชาย”-
ใกล้จะถึงวันคริสมาสพอดี
เพื่อน้องสาวที่ไม่เคยได้รับของขวัญหรือทานเค้กคริสมาสเลย.....
ผมอยากทำให้อากาเนะดีใจ อยากเห็นรอยยิ้มของอากาเนะ

-“ตอนที่ได้รับนาฬิกาจากพี่ชายน่ะ อากาเนะดีใจมากเลยล่ะ ได้รับของขวัญที่ชอบที่สุดจากพี่ชายที่รักมากที่สุด”-
อากาเนะดูจะดีใจมาก ตอนนอนก็มองนาฬิกาที่วางไว้ข้างหมอน
ผมตกใจตอนที่อากาเนะมุดเข้ามาใต้ผ้าห่มแล้วบอกว่าขอนอนด้วย
แม้จะอายแต่ผมก็กุมมืออากาเนะแล้วหลับอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกัน
ตอนนั้นทั้งผมและอากาเนะต่างก็มีความสุขมาก


-“แต่ว่า.. พี่ชายน่ะ....”-
กลางดึกผมเกิดอยากออกไปเข้าห้องน้ำ
ผมมองไปที่ใบหน้าของอากาเนะที่ดูราวกับนางฟ้าจากนั้นก็แอบลุกออกจากผ้าห้ม
จำได้ว่าอากาเนะจับมือผมไว้แน่นมาก เพราะไม่อยากปลุกอากาเนะ กว่าจะออกมาได้เลยแทบแย่เหมือนกัน
ตอนที่ทำธุระเสร็จกำลังล้างมืออยู่..... สิ่งนั้นก็ได้เกิดขึ้น
จู่ๆก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีเค้าลางบอกเหตุมาก่อนเลย

-“แผ่นดินไหว.... แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงมาก”-
แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับฟ้าดินจะถล่มทลาย
ขณะเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงดังสนั่นรุนแรง ก็มีอะไรบางอย่างหล่นลงมาจากด้านบน ผมโดนกระแทกเข้าอย่างแรงจากนั้นก็หมดสติไป

“ไม่รู้เหมือนกันว่าหมดสติไปนานแค่ไหน”
รู้แต่เพียงว่าเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น

-“อากาเนะน่ะ เรียกพี่ชายอยู่ตลอดเลยล่ะ”-
ใช่ ผมเองก็ได้ยิน... เสียงของน้องสาวสุดที่รักที่กำลังเรียกผม

“พี่ชา....ย.... พี่ช....า....ย....!! ...... อยู่ไหน... อยู่ที่ไหนกันน่ะ.......!!”
ผมเองก็เรียกอากาเนะเหมือนกัน
แต่ว่า.. เพราะถูกของหนักกดทับอยู่ทำให้ไม่สามารถส่งเสียงออกไปได้

“พี่ชา...ย..!! น่ากลัวจังเลย.....!!”
ต้องรีบไปหาอากาเนะให้เร็วที่สุด
ผมได้แต่คิดเช่นนั้น ผมพยายามดันสิ่งที่กดทับอยู่ออกไป

“น่ากลัวเหลือเกิน.... มองไม่เห็นอะไรเลย.... พี่ชายก็ไม่อยู่ น่ากลัวเหลือเกิน....”
ในที่สุด เมื่อผมลุกขึ้นมาได้ ภาพที่เห็นต่อหน้า......


เปลวเพลิง.....
เปลวเพลิงกำลังลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง
อาจเป็นเพราะคืนนั้นหนาวมาก พ่อแม่เลยเปิดเตาผิงทิ้งเอาไว้
ทางเดินซึ่งกลายเป็นทะเลเพลิง มองทางข้างหน้าไม่เห็นเลย
ทั้งๆที่อากาเนะ...... อยู่ข้างหน้านี้แท้ๆ

“พี่ชา......ย..!”
ทั้งๆที่น้องสาวกำลังเรียกอยู่แท้ๆ
จะเดินต่อไปข้างหน้าก็ทำไม่ได้

“ไม่ใช่...”
ผมกลัวที่จะเดินต่อไปต่างหาก

“อยู่ไหนกัน...... พี่ชาย... อยู่ไหน..........!!?”
ควันที่ปกคลุมไปทั่วกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างหนัก
พอผมรู้สึกได้ถึงความตายที่อยู่ข้างหน้า ยังไงก็ไม่สามารถห้ามใจให้หยุดกลัวได้เลย

“......กลัวความตาย”
......ผมเิริ่มตั้งสติขึ้นได้อีกครั้ง หลังจากตกอยู่ในภวังค์
ผมเริ่มปัดเอาสิ่งที่อยู่รอบๆตัวออกแล้วมองหาเส้นทางที่มีควันและเปลวเพลิงน้อยที่สุด จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

“ร้อน.. ร้อนจัง..... พี่ชาย....!! ว้าก..... พี่... พี่ชาย..... อ๊า.......!”

“พี่ชาย.........!!”
ทั้งๆที่ได้ยิ้นเสียงน้องสาวกำลังตะโกนร้องไห้อยู่แท้ๆ
บ้านที่พวกเราใช้ชีวิตกันมาแต่เกิดกำลังจะพังลงมาในไม่ช้า ผมได้ยินเสียงอากาเนะร้องอยู่ตลอดเวลา และยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ

ผมวิ่งอย่างแทบเป็นแทบตาย ในชั่วขณะที่กำลังกระโดดออกมาจากประตูบ้านนั้น

“พี่ชา.....”
เสียงนั้นได้ขาดหายไปกลางคัน.. เสียงของน้องสาวได้เงียบหายไป........
ในตอนนั้น ระฆังที่โบสถ์ได้เริ่มดังขึ้น
ราวกับจะเป็นการไว้อาลัยให้กับการจากไปของอากาเนะ


จากนั้นผมได้วิ่งวนไปรอบๆละแวกบ้าน ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
แต่ว่า... ไม่ว่าใครต่างก็พากันเอาตัวรอดกันอย่างสุดชีวิต
“ไม่มีใครได้ยินที่ฉันพูดเลยสักคนเดียว”

-“นี่ พี่ชาย”-
“..........”
-“อากาเนะน่ะ มีความสุขมากเลยล่ะในวันคริสมาสตอนนั้น”-
“ถึงอย่างนั้นไม่ได้ทำให้ช่วยหายเศร้าลงเลยสักนิด”
อากาเนะน่ะตายไปแล้ว
เด็กคนนั้นน่ะควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปแท้ๆ
อยากทำให้อากาเนะมีความสุข

-“เป็นอย่างงั้นจริงๆน่ะเหรอ”-
“อะไรนะ?”
-“ต่อให้ตอนนั้นอากาเนะปลอดภัย ก็คงจะไม่มีความสุขหรอก”-
“................”
อากาเนะน่ะเป็นเด็กฉลาด
สำหรับพวกเราซึ่งยากจนแล้ว บางทีคงคิดว่าไม่อาจมีความหวังในอนาคตต่อไปก็เป็นได้
แต่ว่า..

“มันจะเป็นอย่างงั้นไปได้ไงล่ะ! ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่.......!”
-“ถึงยังไง อากาเนะน่ะตายไปก็ดีแ้ล้วล่ะ”-
“ไม่จริง ไม่ใช่อย่างนั้นเด็ดขาด ถ้าเป็นเธอซึ่งทั้งฉลาดและเรียบร้อยยิ่งกว่าใครๆละก็ จะต้องมีความสุขได้แน่นอน ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน....!”
-“อากาเนะน่ะ ไม่ได้ต้องการแบบนั้นสักหน่อย”-
“ไม่ได้ต้องการ? ถ้าอย่างงั้นสิ่งที่เธอต้องการคืออะไรล่ะ......?”
-“อากาเนะน่ะ”-


-“อยากจะตายไปพร้อมกับพี่ชายที่รักมากที่สุด”-
ราวกับอากาเนะกำลังหัวเราะอยู่ในความมืด
รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- บันเทิง >> เกม >> vn

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目次

日本による名言集
モジュール
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
機械学習
-- ニューラル
     ネットワーク
javascript
モンゴル語
言語学
maya
確率論
日本での日記
中国での日記
-- 北京での日記
-- 香港での日記
-- 澳門での日記
台灣での日記
北欧での日記
他の国での日記
qiita
その他の記事

記事の類別



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  記事を検索

  おすすめの記事

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文