ฉันมักจะกลัวการมาถึงของกลางคืน เสียงเคาะประตู ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู และเสียงฝีเท้าที่ตามมาอย่างไม่หยุด ช่วงเวลาแห่งฝันร้ายในห้องที่มืดมิดไร้แสงสว่างได้เริ่มขึ้น
ช่วงเวลาที่ราวกับตกนรกทั้งเป็นก็จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะถึงเช้า จนฉันอยากที่จะฆ่าหัวใจของตัวเองทิ้งซะจริงๆ
ภายในห้องนั้นฉันคือตุ๊กตา เพราะเป็นตุ๊กตาต่อให้ทำร้ายแค่ไหนก็จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด น้ำตาก็ไม่ไหล
.......................
“ยูโกะ”
ผมส่งเสียงเรียกยูโกะซึ่งกำลังยืนเหม่ออยู่หน้าโบสถ์
“อ้าว รุ่นพี่”
“เหม่ออะไรอยู่น่ะ นอนไม่พองั้นเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ฉันนอนหลับอย่างสบายเลย ไม่ได้นอนหลับสบายอย่างนี้มาไม่รู้กี่ปีแล้ว”
ดูเหมือนตัวเองจะพูดสิ่งที่ไม่ควรเข้าแล้วสิ ที่แท้ที่ผ่านมาเธอคงจะไม่เคยได้นอนหลับอย่างสบายเลยสินะ
“อ้าวรุ่นพี่คะ นั่นมือเปื้อนโคลนอยู่เหรอคะ? ไปทำอะไรมาน่ะคะ?”
“ก็นิดหน่อยน่ะ”
“ที่หลังอาคารมีที่ฝังศพอยู่สินะคะ หรือว่า...”
“อื้อ”
“มือเปื้อนโคลมาแบบนี้... หรือว่าไปขุดศพขึ้นมาทำอะไรหรือคะ แบบนี้ที่เขาเรียกว่าเนโครฟีเลียสินะคะ” * เนโครฟีเลีย หมายถึงพวกที่ชอบกระทำชำเรากับศพ
“ไม่ใช่”
เข้าใจผิดอะไรแปลกๆน่ะยายนี่
“ฉันแค่เอาขี้เถ้านั่นไปฝังไว้น่ะ ทำแบบนี้คงไม่เป็นไรนะ”
ผมขุดดินที่เปียกชุ่มไปด้วยหมอกยามเช้า และเอาขี้เถ้านี้ขึ้นมาทำการ “ฝังศพ” ให้เรียบร้อย
“ขี้เถ้านั่นเป็นของสำคัญสินะคะ”
“เคยเป็นของสำคัญน่ะ”
ผมเอามือสอดเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วหันหน้าออกไป
“ไปกันเถอะ ยูโกะ”
“ค่ะ”
........................
พวกเราจับมือกันเดินออกไป จากนี้จะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว จะเดินเคียงข้างกันสองคนต่อไปเรื่อยๆ
“รุ่นพี่คะ ฉันน่ะ รู้สึกเกลียดช่วงเวลากลางคืน”
“ไม่ต้องไปพูดถึงมันอีกแล้วก็ได้”
“ตอนเช้าก็ยิ่งเกลียดมากยิ่งกว่า พอได้มองเห็นสภาพของตัวเองแล้ว ฉันเป็นแค่มนุษย์ที่ไม่ใช่ตุ๊กตา เป็นแค่มนุษย์ที่ยังต้องรู้สึกเจ็บปวดเมื่อโดนทำร้าย เมื่อฉันได้มองเห็นความจริงที่ปิดซ่อนไว้เมื่อตอนกลางคืน จึงทำให้ฉันเกลียดตอนเช้า”
ยูโกะกำมือแน่น
“แต่ว่าตอนนี้ฉันกลับรู้สึกชอบตอนเช้า เช้าที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง แถมยังอากาศสดชื่น เพราะฉันคิดว่าฉันสามารถที่จะอยู่ตรงนี้ได้”
“เธอจะต้องอยู่ตรงนี้”
ผมจับมือเธอกลับ แล้วยิ้มให้
“ใต้ท้องฟ้าที่แสงอาทิตย์สาดส่อง ไม่ใช่ท่ามกลางความมืดมิด”
“ค่ะ”
..........................
ผมเดินไปกับยูโกะสองคน บนเส้นทางเดินไปโรงเรียน แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นเงาคน เพราะคนที่จะไปโรงเรียนก็มีแต่คนที่มีกิจกรรมชมรมหรือพวกสอบซ่อมเท่านั้น
“อยู่ที่โรงเรียนสินะ”
“เพราะไม่ได้มีบอกว่าจะออกไปทำงานข้างนอก คิดว่าคงอยู่ที่โรงเรียนแน่ค่ะ”
“คงไม่ใช่ว่าออกตามหาเธออยู่นะ”
“คงไม่ใช่หรอกค่ะ เพราะไม่ว่าฉันจะไปไหนหรือทำอะไรเขาก็ไม่เคยจะสนอะไรอยู่แล้ว ขนาดตอนเข้าชมรมดาราศาสตร์ เขายังไม่เห็นพูดอะไรเลย”
เป็นเรื่องที่น่าแปลกจริงๆ หมอนั่นไม่ใช่ว่าหลงใหลยูโกะอยู่หรือไงกัน พฤติกรรมมันมีแต่ความขัดแย้ง คาดเดาได้ยากเป็นบ้าเลยชายคนนี้
“ยูโกะ”
“คะ”
“ทางเดินน่ะ ไม่ได้มีแค่ทางเดียวหรอกนะ ฉันจะพาเธอไปยังที่ไกลที่ไหนก็ได้”
“นั่นก็อาจได้อยู่หรอกค่ะ... แต่”
ยูโกะหันหน้ามองซ้ายขวา
“สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ว่าจะมีทางให้เดินมากแค่ไหน ถ้าไม่อาจก้าวไปได้มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะที่เท้าของฉัน ยังคงมีพันธนาการติดไว้อยู่”
ฟังแล้วยิ่งให้ความรู้สึกเจ็บจี๊ดราวเข็มแทง นั่นสินะ คงยังอีกไกลกว่าจะช่วยหัวใจยูโกะออกมาจากความมืดมิดได้จริงๆ
“หากยังมีพันธนาการนี้อยู่ ก็ไม่อาจจะออกไปกับคุณได้”
แม้พูดอย่างนั้น แต่ว่าที่ตาของยูโกะกลับดูมีประกาย เหมือนกับจะแสดงให้เห็นว่าเธอได้ตัดสินใจมั่นคงแล้ว ว่าจะไม่หวนกลับไปอีก
“เข้าใจแล้ว ยูโกะ ไปกันเถอะ”
..........................
อามะมิยะกำลังยืนสูบควันอยู่ริมหน้าต่าง ทำหน้าสงบนิ่ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น ชั่ววินาทีที่ผมเห็นภาพนั้นก็รู้สึกอารมณ์เดือดพล่านขึ้นมา
“อามะมิยะ”
ผมตะโกนออกไป สักพักเขาก็หันหน้ามา
“ไง ยูโกะกับฮิมุระคุง วันนี้มาทำอะไรน่ะ คงไม่ได้มาสอบซ่อมหรอกนะ”
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“กับฉัน? อ้อ งั้นเหรอ”
อามะมิยะทิ้งบุหรี่ลงไปในกระป๋องเปล่า
“อย่างนี้นี่เองสินะ บอกความจริงไปแล้วงั้นสินะ ยูโกะ”
พี่ยังคงไม่มีท่าทีตกใจกลัวอะไรเลย ท่าทีราวกับเป็นการคุยกันอย่างปกติธรรมดา
“ค่ะ ฉันบอกทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว”
“ฮะๆๆ งั้นเหรอ เวลาก็ผ่านมาขนาดนี้แล้วนี่นะ ฉันก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เธอบอกอะไร บอกไปเร็วๆเลยยิ่งดีแท้ๆ”
“เดี๋ยวนะ”
“เอ๋?”
“ยังจะมาพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่อีกเหรอ คุณรู้หรือเปล่าว่าตัวเองทำอะไรลงไป”
“ฮิมุระคุง เธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนจังเลยนะ”
“ตอบคำถามผมมา”
“แล้ววันนี้เธอมาทำอะไรล่ะ”
“ก็มา...”
ผมกำมือยูโกะเอาไว้แน่น
“เป็นคำถามที่ตอบยากงั้นเหรอ หรือว่า... จะมาฆ่าฉันอย่างงั้นเหรอ”
อามะมิยะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร
.............................
“อืม... เพิ่งจะเคยขึ้นมาเหมือนกัน ไม่เลวเลยนะที่นี่”
อามะมิยะบอกว่าขอขึ้นมาคุยกันบนดาดฟ้า อย่างน้อยที่นี่ก็ยังดีกว่าห้องศิลปะที่จะมีใครเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
“คิดอะไรอยู่งั้นเหรอ... เป็นคำถามที่ตอบยากทีเดียว... นั่นสินะ... ฉันน่ะ เป็นแค่มนุษย์ที่เกิดมาในบ้านธรรมดา เติบโตมาแบบธรรมดา แล้วก็แค่วาดภาพเก่งนิดหน่อยเท่านั้น เป็นแค่คนธรรมดามีอยู่ดาษดื่นทั่วไป และก็มีสิ่งสำคัญเหมือนกับคนอื่นทั่วไป”
อามะมิยะพูดเช่นนั้นแล้วก็หันขึ้นไปมองฟ้า จากตรงนี้มองเห็นพระอาทิตย์กำลังส่องแสงรำไรอยู่
“ฉันเก่งพวกงานฝีมือมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้นฉันจึงมักจะวาดภาพหรือแกะสลักเป็นรูปสัตว์น่ารักๆให้น้องสาวอยู่เป็น ประจำ ทีแรกก็แค่อยากให้น้องสาวดีใจ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงได้เข้าสู่โลกศิลปะ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงอยู่กับมัน ฮิมุระคุง เธอเองก็มีน้องสาวเหมือนกันสินะ”
“อื้อ”
ผมส่งสายตาไปมองยูโกะ เธอกำลังมองผมด้วยท่าทีเหมือนกับรู้สึกผิด เธอมีพูดเรื่องอากาเนะให้กับอามะมิยะฟังด้วยงั้นเหรอ
“ถ้าอย่างนั้นคงจะเข้าใจนะ ความรู้สึกที่จะให้ความสำคัญกับน้องสาวน่ะ ยากที่จะหาสิ่งอื่นใดมาแทน เป็นสิ่งที่ควรจะปกป้องเอาไว้”
“อย่าเอาผมไปเหมารวมกับคุณ”
อามะมิยะยิ้มขึ้นขั่วขณะ จากนั้นก็กลับมาเป็นสีหน้าสลด
“แต่ แล้วก็เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น คืนคริสต์มาสวันนั้น แผ่นดินไหว้ที่ทำลาย เผาทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้ บ้านที่เติบโตมาได้พังลง จมอยู่ในกองเพลิง และชีวิตของเด็กคนนั้นก็ได้สูญไปในท่ามกลางกองเพลิงนั้น ทั้งพ่อและแม่ก็ปลอดภัย แต่เฉพาะเด็กคนนั้นกลับต้องตายไป ทั้งที่อยากให้มีชีวิตอยู่มากที่สุดแท้ๆ”
อามะมิยะหยุดจังหวะคำพูดช่วงลงตรงนี้ แล้วจ้องมองท้องฟ้า
“ไม่มีใครคนไหนที่สมควรจะตายหรอก”
“แต่ ว่าทุกคนก็ต้องตาย เหมือนกับน้องสาวของเธอกับฉันนั่นล่ะ ตายไปโดยแบกรับความสิ้นหวังไว้มากมาย คงจะทั้งทุกข์ทรมาณ เจ็บปวด เธอจากไปท่ามกลางเปลวเพลิงทั้งที่ยังคิดอะไรอยู่มากมาย ทั้งที่ควรจะมีอนาคตที่สดใสเปี่ยมไปด้วยความหวังรออยู่แท้ๆ แต่กลับต้องมาจมลงสู่ความมืดมิดที่สิ้นหวัง น้องสาวของเธอเองก็คงจะทรมานเหมือนกันสินะ เรื่องนั้นฉันเองก็เข้าใจดี”
“ยังไงก็เถอะ... ในเมื่อแกคิดถึงคนที่ตายไปแล้วมากขนาดนี้ ทำไมถึงไม่คิดถึงความเจ็บปวดของคนที่ยังมีชีวิตอยู่บ้างล่ะ!”
“เข้าใจสิ เข้าใจดียิ่งกว่าใครๆ เพราะฉันมีแต่ความสิ้นหวัง เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอยู่กับความสิ้นหวังมาโดยตลอด”
“พี่...”
ยูโกะพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยความเศร้า
“พี่เกลียดฉันอย่างนั้นสินะคะ?”
“เพราะเกลียดถึงต้องทำให้เจ็บปวด นอกจากนี้จะมีเหตุผลอะไรอีก ใช่ เกลียด ดังนั้นจึงอยากทำให้เจ็บปวด ให้ทรมานเข้า ทรมานเข้า และก็ตกลงสู่ก้นบึ้งแห่งความสิ้นหวัง”
“เพราะอะไรกันล่ะ ทำไมยูโกะถึงต้องถูกแกเกลียดด้วย ยูโกะไปทำอะไรให้แก!?”
“ตอบง่ายมากเลย ก็เพราะยูโกะไม่ใช่น้องสาวฉันไงล่ะ น้องสาวฉันตายไปแล้ว แต่ทำไมยูโกะถึงกลับยังมีชีวิตอยู่ล่ะ?”
“.........!”
ชายคนนี้เป็นบ้าไปแล้วอย่างงั้นเหรอ ทั้งที่เจอประสบการณ์แบบเดียวกับเราแท้ๆ แต่กลับผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ถ้าจะพูดถึงจุดท่าต่างกันละก็ ก็แค่ตรงที่เขามีอยู่โกะอยู่ด้วยมาตลอดเท่านั้น
“งั้นหรือคะ... การที่ฉันมีชีวิตอยู่นั้น เป็นเหมือนความผิดพลาดในชีวิตคุณสินะคะ”
“ยูโกะ... เธอ...?”
จู่ๆยูโกะก็หยิบมืดเล่มหนึ่งขึ้นมา
“รุ่นพี่คะ มีดนี้น่ะ พี่เขาได้ให้ฉันมาในเช้าวันนั้น”
“ถ้าเกลียดฉันนักละก็ จะฆ่าฉันก็ได้”
“ใช่ คุณพูดแบบนั้นในตอนนั้น”
“แต่ว่าเธอก็ไม่เคยหันมีดใส่ฉันเลยสักครั้ง ทั้งที่มีโอกาสอยู่แท้ๆ ทำไมกันล่ะ?”
“คุณกำลังอยู่ในโลกแห่งภาพมายา พยายามจะให้ฉันมาแทนน้องสาวที่ตายไป แต่ฉันก็ไม่อาจมาซ้อนแทนภาพของน้องสาวที่ตายไปของคุณได้สินะคะ มันก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณ ให้ฉันเข้ามาเกี่ยวข้องกับความเพ้อฝันของคุณตามใจชอบ ทั้งที่มันไม่อาจเป็นจริงได้ ถึงอย่างนั้น ทำไมฉันถึงต้องมาเผชิญชะตากรรมแบบนี้ด้วย ทำไมฉันถึงต้อง... ถึงต้อง...”
“เธอเองก็น่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
อามะมิยะพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน เป็นเสียงในแบบที่พี่ชายผู้ใจดีควรใช้พูดกับน้องสาว
“แก้ แค้นไงล่ะ แก้แค้นต่อโลกที่ได้พรากน้องสาวจากฉันไป ฉันไม่อาจจะอภัยให้กับทุกสิ่งทุกอย่างได้ และในขณะที่ฉันไม่รู้ว่าจะเกลียดชังอะไรดีนั้น เธอก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาต่อหน้าฉันไงล่ะ ยูโกะ”
“ด้วยเหตุผลนั้น... ฉันถึงต้อง...”
“ฉันได้เตรียมใจที่จะถูกเธอเกลียดมาตั้งนานแล้ว”
“เตรียมใจอะไรกัน แค่พูดน่ะไม่ว่าใครก็พูดได้อยู่แล้ว! ฉันต้องเจ็บปวดแค่ไหนคุณรู้มั้ย!? แค่คำว่าเกลียดอย่างเดียวน่ะไม่พอหรอก คุณไม่มีทางเข้าใจถึงความสิ้นหวังของฉัน ทำไม ทำไมถึงต้องให้ฉันเข้ามาเกี่ยวพันกับการแก้แค้นของคุณด้วย”
“พอเถอะ ยูโกะ”
ผมเข้าไปจับมือของยูโกะที่กำลังถือมีดอยู่
“ปล่อย!”
“ถ้าทำแบบนี้ เธอก็จะเป็นเหมือนกับหมอนั่นนะ”
“แต่ว่า!”
“เธอ กำลังทำสิ่งที่ผิด... ไม่ได้ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เธอทำสิ่งที่ผิด อนาคตที่พวกเราจะก้าวเดินกันต่อไปจากนี้ ของแบบนี้น่ะไม่จำเป็นต้องใช้หรอก"
“รุ่นพี่... ฉัน...”
สีหน้าของยูโกะค่อยๆสงบลง ความเศร้าได้เอ่อล้นออกมา ความเจ็บปวดที่เธอประสบผ่านมา กับความแค้นที่เธอได้เก็บกลั้นเอาไว้มาโดยตลอดนั้นดูช่างมากมายเหลือจะบรรยาย
“พอเถอะยูโกะ แบบนี้แม้แต่เธอก็จะถูกครอบงำด้วยเรื่องของการแก้แค้นด้วยนะ”
“รุ่นพี่... รุ่นพี่ฮิมุระ...”
เคร้ง... เสียงมืดได้ตกกระทบพื้นลง แบบนี้แหละดีแล้ว เพราะคงไม่อาจไปเอาอะไรกับคนที่ทิ้งหัวใจแล้วจมอยู่กับการแก้แค้นแบบนั้นได้หรอก
“นั่นสินะ ลงเอยแบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“ที่จะจบลงน่ะมีแค่แกเท่านั้นล่ะ สำหรับพวกเราน่ะ อนาคตกำลังเริ่มขึ้นต่างหาก แกนั่นล่ะที่จะไม่มีอะไรเลย”
“คิด งั้นเหรอ? สิ่งที่ฉันไม่อยากสูญเสียไปน่ะมีแค่น้องสาวเท่านั้น ไม่มีอะไรเลยสิยิ่งดี ไม่สิ ฉันน่ะได้สูญเสียไปตั้งนานแล้ว สิ่งที่จะมาเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่านี้ได้ ไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว แม้แต่ความทรงจำก็ไม่สดใส มีแต่จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น ในคืนที่น้องสาวตายไปตอนนั้น บางทีตัวฉันอาจจะได้ตายไปแล้วก็ได้”
หลังจากพูดคนเดียวจบ อามะมิยะก็เริ่มเดินเข้ามา ผมเตะมีดที่กระเด็นตกพื้นเมื่อกี้ออกไปไกลตัว แล้วเอาตัวบังอยู่ด้านหน้ายูโกะ
“อย่าเข้ามานะ แกห้ามเข้าใกล้ยูโกะอีกเด็ดขาด”
“รุ่นพี่...”
ยูโกะร้องไห้อยู่ข้างหลังผม
“ไม่ต้องทำท่าระวังแบบนั้นก็ได้ ฉันจะไปทำอะไรฮิมุระคุงได้ง่ายๆล่ะ และก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำอะไรเลยด้วย อ้อใช่ ขอพูดไว้ก่อนที่จะลืมละกัน ความสามารถในการวาดรูปของฮิมุระคุงน่ะสุดยอดมาก ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้ก็คงจะเสียดายแย่”
“เรื่องนั้นฉันตัดสินใจเอง ไม่ต้องให้แกมาพูดหรอก”
“การดึงพรสวรรค์ของนักเรียนออกมา นั่นคืองานของครูล่ะ”
อามะมิยะพูดเช่นนั้นขึ้นแล้วก็ยิ้ม มองยังไงก็ดูแล้วไม่รู้สึกเหมือนกับว่าภายในใจตอนนี้ได้วิปริตผิดเพี้ยนไปแล้วจริงๆ
“ผมอยากขอถามอะไรคุณไว้ก่อนอย่างนึง”
“หืม? อะไรเหรอ?”
“ท่าทีที่ดูเหมือนเป็นห่วงผมกับยูโกะที่เห็นอยู่นี่ เป็นแค่การแสดงงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้สินะ อะไรคือความจริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้อะไรเลยจริงๆนั่นล่ะ ตั้งแต่คืนที่เด็กคนนั้นตายไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็...”
สูญเสียความเป็นตัวเองไป จมอยู่กับสิ่งที่ไม่อาจเอากลับคืนมาได้ เหมือนกันผม คิดดูแล้วหากก้าวผิดพลาดไปละก็ ผมเองก็อาจจะกลายเป็นแบบนั้นไปได้เหมือนกัน
“ตลอด เวลาที่ผ่านมา ฉันพยายามที่จะวาดภาพน้องสาวมาโดยตลอด พยายามจะวาดภาพของเธอที่มีแต่รอยยิ้มอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ ก็วาดไม่ได้เลย”
“...........”
“ทำไมกันนะ ฉันถึงจำหน้าของน้องสาวไม่ค่อยได้เลย พอพยายามจะนึกทีไร ภาพของเธอก็ยิ่งห่างไกลออกไป จนฉันไม่สามารถเอื้อมถึงได้”
สายลมเริ่มโพยพัด สายลมได้พัดพาเอาคำพูดและความรู้สึกออกไปยังที่ไกล ผมหันกลับไปกอดยูโกะเอาไว้
“รุ่นพี่ฮิมุระ”
“มันจบแล้วล่ะ ยูโกะ”
“รุ่นพี่ฮิมุระ...!”
พวก เรากอดกันอยู่นานบนดาดฟ้าเงียบๆโดยไม่พูดอะไร พอรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากพวกเราเพียงลำพังสองคน
…………………
ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สาดส่องจ้าจนปวดตา ทั้งที่ยังเพิ่งจะแค่ช่วงสายแต่กลับร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว แถมเสียงจักจั่นก็หริ่งระงมร้องดังราวกับจะเล่นให้หูเราพังอย่างนั้นเลย เอาเถอะ ฤดูร้อนมันก็ต้องแบบนี้แหละนะ
“รุ่นพี่ฮิมุระ”
“อื้อ”
“ขอโทษที่ให้คอยนะคะ”
ระหว่างที่ผมกำลังยืนเหม่อลอยรอคอยู่หน้าโบสถ์ ยูโกะก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
“ไม่หรอก มาเร็วกว่าที่คาดนะ”
“แหม ก็กลัวว่าถ้าปล่อยให้รุ่นพี่ฮิมุระรอแล้วจะเกิดเรื่องน่ากลัวตามมาภายหลังน่ะสิคะ”
“เธอนี่นะ...”
อย่างที่คุเซะพูดไว้ไม่มีผิด ยายนี่เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจในหลายๆความหมายจริงๆ พอคิดว่าจะต้องอยู่ด้วยแบบนี้ต่อไปก็ชักเริ่มปวดหัวขึ้นมาแล้วสิ
.....................
“พรุ่งนี้ก็ถึงพิธีปิดภาคการศึกษาแล้ว เร็วจังเลยนะคะ”
“นั่นสินะ”
“วันหยุดฤดูร้อนงั้นเหรอ... แต่ว่ารุ่นพี่ยังต้องทำงานกับเรียนไปด้วยคงจะเหนื่อยแย่สินะคะ”
“เพิ่งถึงหน้าร้อนของ ม.๕ ยังไม่จำเป็นต้องเอาจริงเอาจังอะไรมาก แต่จะให้สบายๆไปเรื่อยๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน”
“ฉันเองก็ควรจะทำงานพิเศษบ้างสินะ ที่เดียวกับรุ่นพี่”
“แบบนั้นอย่าดีกว่า ขอร้องล่ะ”
“โธ่...”
“ว่าแต่คุณลุงของเธอเขาว่ายังไงบ้าง ไปคุยมาแล้วสินะ”
“อ้อ นั่นสิ ลืมบอกไปเลย ดูเหมือนคุณลุงจะกลับมาโอโตวะอย่างกระทันหันน่ะค่ะ”
“กำลังติดทำงานที่อื่นอยู่สินะ”
“คุณป้าตอนนี้ก็กำลังอยู่โรงพยาบาล คงจะไม่ได้กลับไปบ้านอีกสักระยะ เห็นว่าจะให้ฉันอาศัยอยู่ที่นี่น่ะค่ะ แต่ว่า ก็ไม่ได้คิดที่จะสร้างบ้านขึ้นมาใหม่”
สำหรับการที่ต้องสูญเสียบ้านไปถึงสองครั้งในเวลาไม่กี่ปี ยังไงก็คงไม่คิดอยากที่จะสร้างขึ้นมาใหม่อีกในเร็ววัน
ยูโกะถอนหายใจเบาๆแล้วหยุดยืนอยู่กับที่
“เป็นอะไรไปเหรอ?”
“ที่บอกว่าเพราะประมาทจุดบุหรี่ติดทิ้งไว้น่ะ คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือคะ”
“ตำรวจเขาตัดสินมาแล้วสินะ?”
“ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ตามนั้นล่ะ ถึงจะคิดมากไปก็ไม่มีใครตอบอะไรได้หรอก”
“นั่นสินะคะ”
ตำรวจบอกว่าต้นไฟอยู่ที่ห้องของยูโกะ เรื่องนี้ทำให้ยูโกะอดที่จะติดใจสงสัยไม่ได้ เพราะฉะนั้นลืมมันไปซะให้หมดนั่นแหละดีแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ถูกเผาวอดไปหมดแล้วด้วย
“รุ่นพี่คะ”
“หืม?”
“คุณลุงไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่ดูเหมือนเขาจะรู้อะไรบางอย่างแล้วนะคะ”
“รู้แค่ไหนล่ะ”
“ตอนที่บ้านไฟไหม้ เป็นเพราะฉันหนีออกจากบ้านไปไหนหรือเปล่า หรืออาจไปอยู่บ้านผู้ชายที่ไหน...”
“เป็นคุณลุงที่หัวไวจริงๆ แล้วจะเอายังไงล่ะ จะออกจากบ้านฉันแล้วไปเช่าห้องที่ไหนเหรอ?”
“ไม่ค่ะ ฉันบอกไปแล้วว่าฉันเจอที่อยู่ใหม่ที่พร้อมจะอยู่แล้ว”
ยูโกะพูดแล้วยิ้มขึ้น
“คุณลุงจะยอมเหรอแบบนี้”
“จะไปยอมได้ไงกันล่ะคะ ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้ปกครองของฉัน”
“ก็แสดงว่าไม่ได้ไม่ใช่เหรอ!”
“คงต้องใช้เวลาเกลี้ยกล่อมสักพักล่ะค่ะ คุณลุงเองก็ดูท่าจะอยู่โอโตวะนี่ไปอีกสักพัก เพราะว่าถึงจะเสร็จสิ้นงานศพแล้ว ก็ยังมีอะไรที่ต้องจัดการอยู่อีกเยอะ”
“นั่นสินะ”
โลกนี้ก็ช่างมีพิธีการขั้นตอนอะไรเยอะจริงๆ เพียงแค่มนุษย์เพียงคนเดียวได้ตายจากไปก็กลับเหลืองานไว้ให้คนที่ยังอยู่ต้องสะสางกันมากมาย
“รุ่นพี่ฮิมุระคะ ให้ฉันอยู่ด้วยได้ใช่มั้ยคะ?”
พูดแล้วยูโกะก็ดูมีสีหน้าหวั่นกลัวขึ้นมา น้ำเสียงเหมือนกับจะออดอ้อน ราวกับเด็กที่กำลังหลงทาง
“จะบ้าเหรอ เธอน่ะ”
ผมพูดแล้วยิ้มขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้วน่ะ ถึงห้องพักฉันจะแคบ แต่ก็มีที่สำหรับวางเธอลงอยู่แล้วล่ะ”
“ฉันไม่ใช่สิ่งของนะคะ”
ยูโกะพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ จากนั้นก็เข้ามาจับมือของผมเอาไว้
“รุ่นพี่ฮิมุระคะ”
“อะไรกัน ดูทำหน้าจริงจังเชียว”
“จริงๆแล้ว มีเรื่องนึงที่ฉันยังไม่เคยบอก”
“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกก็ได้ ไม่ว่าใครก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่อยากบอกคนอื่นเหมือนกันล่ะ”
“เปล่าค่ะ ฉันอยากจะบอกเอาไว้ เพราะเป็นตอนนี้ฉันจึงอยากบอก”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะฟัง”
ผมจับมือยูโกะกลับ เธอถอนหายใจเข้าลึกๆทีนึงจากนั้นจึงเริ่มพูด
“เขา คนนั้นน่ะ... เขาน่ะ... ไม่ได้แค่เกลียดฉันอย่างเดียวหรอกค่ะ บางครั้งฉันก็มีความรู้สึกอย่างนั้นขึ้น สายตาเขาตอนที่มองฉันน่ะ ดูราวกับมีอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนกว่านั้น ฉันอดรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้”
“..........”
“นอกจากนี้ ฉันเองก็...”
“งั้นเหรอ...”
อาจจะเป็นอย่างที่ยูโกะพูดมาก็เป็นได้ ถ้าแค่ต่างฝ่ายต่างโกรธกันละก็ จะลงเอยด้วยผลลัพธ์ที่น่าเศร้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ยูโกะกับเขาคนนั้นไม่แยกจากกันแต่ยังคงใช้เวลาร่วมกันต่อมาเรื่อยๆนั้นบางทีอาจจะ...
“เอาเถอะ... ป่านนี้แล้ว ต่อให้คิดไปยังไงก็ไม่ได้คำตอบอะไรหรอก”
“นั่นสินะคะ ตอนนี้ฉันมีแต่รุ่นพี่ฮิมุระเท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว อย่าทิ้งฉันไปนะคะ”
“อื้อ ถึงเธอไม่ขอ ฉันก็ไม่ปล่อยเธอไปหรอก”
“แหม”
“หืม?”
“รุ่นพี่ฮิมุระ พูดเรื่องน่าอายออกมากลางวันแสกๆเลยนะคะ”
“เธอนี่นะ...”
“ฮะๆๆ ล้อเล่นค่ะ ความจริงแล้วฉันดีใจมากเลยล่ะค่ะ”
ผมถอนหายใจแล้วหันหน้ายิ้มไปทางยูโกะ ดูแล้วก็รู้เธอยังคงมีความกังวลอยู่ ยังคงกำลังฝืนอยู่ คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นตัวช่วยเยียวยาบาดแผลไปทีละน้อย ดังนั้นผมจะอยู่เคียงข้างยูโกะ แต่เหตุผลไม่ใช่แค่นั้นหรอก ยังเป็นเพราะผมเองก็กลัวการอยู่คนเดียวเหมือนกัน และก็ไม่อาจมีใครมาแทนยูโกะได้ คนที่ผมหวังว่าจะให้อยู่เคียงข้างนั้นมีเพียงยูโกะเท่านั้น จะไม่ปล่อยมือนี้อีกแล้ว ไม่มีวันปล่อยอย่างเด็ดขาด
“ไปกันเถอะ”
“ค่ะ”
ความรู้สึกห่วงหาที่มีต่อเธอนั้น จากนี้ไปจะไม่มีวันสูญเสียมันไปอีกแล้ว ผมเก็บงำลางสังหรณ์ที่คลับคลาไว้ในใจ และจับมือยูโกะเดินออกไป
.....................