[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๑. สุสาน (墓)
>> กลับไปหน้าบทนำ
“............”
ผมเดินมาอยู่ตรงหน้าแผ่นป้ายหลุมศพซึ่งไร้ผู้คนแล้วพนมมือขึ้น แผ่นหินตรงหน้านี้ถูกสร้างเพื่อใช้สำหรับเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตไปกับอุบัติเหตุไฟไหม้ที่โรงพยาบาลยาซากะเมื่อ ๑๐ ปีก่อน
ผมกำลังย้อนความทรงจำไปถึงคุณแม่ในตอนนั้น แม่ที่ทำอาหารก็ไม่เป็น เอาแต่เก็บตัวทำงานอยู่ในห้อง ชอบแงะแยกชิ้นส่วนรีโมทหรือนาฬิกาเล่นยังกับเด็กๆ ฟังดูแล้วเหมือนจะมีแต่ความทรงจำที่ไร้สาระ แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนที่สนุกสนาน อ่อนโยน และอยากอยู่ด้วยเป็นที่สุด
ผ่านมา ๑๐ ปีแล้วงั้นหรือนี่
“เอาล่ะ ต้องรีบกลับบ้านแล้ว”
ถ้าไม่รีบกลับไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวจะไปโรงเรียนไม่ทัน แย่จริงๆเลย ทำไมเราถึงไม่ใส่ชุดนักเรียนออกมาแต่แรกนะ
ขณะที่ผมกำลังคิดจะเดินกลับ ในตอนนั้นก็มีใครสักคนเดินผ่านหน้าผมไปและมาหยุดอยู่ตรงหน้าป้ายหลุมศพ เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เธอกำลังจ้องแผ่นป้ายหลุมศพอย่างไม่ละสายตา พอเห็นภาพดังนั้นแล้วก็กลับทำให้ผมลืมนึกถึงเรื่องที่จะต้องรีบกลับบ้าน หยุดยืนมองอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้ตัว
เธอเอ่ยถ้อยคำออกมาด้วยสีหน้าที่ดูเศร้า
คุณพ่องั้นเหรอ หรือว่าพ่อของเธอเองก็คงจะเสียไปกับอุบัติเหตุในครั้งนั้นด้วยเหมือนกันสินะ ...เหมือนกันกับคุณแม่...
“นี่...”
“เอ๋?”
ทันใดนั้นเธอก็หันมา
“มีธุระอะไรงั้นเหรอ?”
แย่ล่ะสิ เผลอจ้องมองไปโดยไม่รู้ตัว
“อะ เอ่อ... คือว่า... ก็เปล่าหรอก”
“ในเมื่อไม่มีธุระ แล้วทำไมถึงมามองอยู่ได้ล่ะ”
“เอ่อ... คือว่า...”
“เห็นแล้วรู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ”
ท่าไม่ค่อยดีแล้ว สงสัยคงต้องหาทางกลบเกลื่อนไปก่อน
“เปล่าหรอก แค่รู้สึกว่าหน้าตาคล้ายคนที่รู้จักน่ะ นี่พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านะ”
ดูเหมือนโกหกไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดแก้ตัวอะไรให้ดูดีกว่านี้แล้ว
“ถ้าจะมาหาเพื่อนคุยเล่นละก็เชิญไปหาที่อื่นเถอะ”
“เอ่อ... งั้นโทษทีที่มารบกวน”
ผมเดินออกไปโดยไม่อาจพูดแก้ตัวอะไรมากไปกว่านั้น แต่ในตอนนั้นผมก็เริ่มสังเกตขึ้นมาว่าชุดที่เธอใส่อยู่นั่นเป็นเครื่องแบบโรงเรียนเดียวกันนี่นา แต่กลับรู้สึกว่าไม่เคยเห็นหน้าที่โรงเรียนมาก่อนเลย อย่างน้อยถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกันก็น่าจะเคยเห็นผ่านตามาบ้างสิ แล้วยิ่ง... น่ารักขนาดนั้นด้วย
ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อลองมองดูอีกทีแล้ว ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อนจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นข้อแก้ตัวกลบเกลื่อนอย่างที่คิดเมื่อครู่ แต่ว่าเคยเจอมาก่อนจริงๆ
สักพักเธอก็หันกลับมาอีก เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าผมยังไม่ยอมเดินออกไปเสียที
“มีธุระอะไรกันแน่”
“พวกเราน่ะไม่เคยเจอกันมาก่อนจริงๆแน่เหรอ?”
“เฮ้อ... ก็บอกแล้วไงล่ะว่า...”
“จริงๆนะ! ถามจริงๆ เราไม่เคยพบกันมาก่อนจริงๆน่ะเหรอ?”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จัก ตื๊อจริงๆเลย”
พอพูดจบเธอก็เดินจากไปโดยไม่สนใจหันกลับมามองอีกเลย
--------------------
สักพักผมเองก็เดินตามลงไป พอลงไปถึงกลับเห็นเธอเดินวนเวียนอยู่ด้วยท่าทีที่เหมือนกับกำลังหลงทาง แปลกจริงๆเลย อายุขนาดนี้แล้วยังหลงทางได้อีกเนี่ยหายากนะนี่
“จะไปไหนล่ะ ถ้าทางแถวนี้ล่ะก็พอช่วยบอกทางให้ได้นะ”
เธอยังคงมีท่าทีที่ระแวงผมอยู่อย่างเคย ก่อนจะถามขึ้น
“โรงเรียนน่ะ... โรงเรียนโอริเบะ”
“ว่าแล้วเชียว นั่นเป็นชุดนักเรียนของโรงเรียนโอริเบะจริงๆด้วย”
“แล้วไปทางไหนล่ะ?”
จากนั้นผมก็ชี้บอกบรรยายเส้นทางให้เธอฟัง
“จริงเหรอ?”
“ถ้างั้นจะให้ช่วยพาไปให้มั้ยล่ะ?”
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ”
พูดจบเธอก็เดินจากออกไปตามที่ผมบอก จากนั้นผมเองก็รีบเดินกลับบ้าน
--------------------
เมื่อมาถึงผมก็รีบถอดรองเท้าวางทิ้งไว้ แล้วรีบวิ่งตรงเข้าไปยังห้องรับแขก
“อ๊ะ ไม่ได้นะจ๊ะ เสียงดังแบบนี้ จะรบกวนคนข้างล่างเขานะ”
พี่สาวใจดีผู้มีใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอที่ส่งเสียงเรียกผมอยู่นี้มีชื่อว่าชิรามิเนะ ซายะ เราอาศัยอยู่ร่วมกัน แม้จะเรียกว่าเป็นพี่สาว แต่ว่าอายุจริงๆเป็นเท่าไรนั้นผมเองก็ยังไม่เคยรู้ เพราะแม้จะถามไปเธอก็จะเริ่มมีออร่าอะไรบางอย่างที่น่ากลัวปกคลุมทำให้ผมไม่กล้าซักไซ้ต่อ ซายะซังตอนที่มีออร่าปกคลุมทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มอยู่นั้นน่ากลัวมาก
“โทวยะซัง บอกแล้วใช่มั้ยว่าเวลากลับบ้านให้ล้างมือบ้วนปากทุกครั้ง”
“ขอโทษจริงๆ ซายะซัง แต่ว่านี่มันเป็นเหตุสุดวิสัย”
ทันใดนั้นเธอก็เริ่มมีออร่าปกคลุมแผ่ซ่านออกมาจากข้างหลัง
“ด...เดี๋ยวผมจะรีบไปล้างมือเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“เหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะจ้ะ”
พอผมพูดจบออร่าที่ปกคลุมซายะซังก็อยู่ก็ได้ค่อยๆจางหายไปทันที
“ว่าแต่ มากินะล่ะ?”
ผมถามถึงน้องสาวที่ตอนนี้ไม่เห็นอยู่ในบ้านขึ้นมาในขณะที่กำลังล้างมือ
“มากินะจังน่ะออกไปแล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ โทวยะซังเองถ้าไม่รีบออกไปละก็”
จากนั้นผมก็นั่งโต๊ะแล้วทานอาหารเช้า พอทานเสร็จมองไปที่นาฬิกาอีกทีตอนนี้ก็เลย ๘ โมงมาแล้ว ยังพอจะมีเวลาสำหรับเดินไปทัน แต่คงจะเฉียดฉิวทีเดียว
ผมรีบยกจานกำลังจะเอาไปล้างแต่ซายะซังก็มาห้ามไว้
“ไม่เป็นไร ที่เหลือฉันจัดการให้เองค่ะ เฉพาะวันนี้เป็นกรณีพิเศษ อย่าคิดว่าวันต่อๆไปจะยกให้แบบนี้อีกนะจ๊ะ”
“เรื่องนั้นผมเข้าใจดี ไม่ต้องเป็นห่วง”
จากนั้นผมก็หยิบกระเป๋าแล้วรีบเดินออกไป
--------------------
ผมวิ่งออกมาจากบ้านสักระยะจนคิดว่าน่าจะพอทันแล้วจึงเปลี่ยนมาเดิน
สักพักผมก็เห็นเด็กผู้หญิงคนเดิมยังคงวนเวียนอยู่แถวๆนั้น ผมจึงส่งเสียงเรียกออกไป เมื่อเธอเห็นผมก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าที่เหมือนไม่พอใจ
“ตะกี้นี้โกหกนี่นา ไม่เห็นจะมีโรงเรียนอยู่เลย”
จากนั้นเธอก็เล่าให้ฟังว่าไปเจออะไรมาบ้าง ว่าแล้วเชียว ถึงบอกทางไปก็ยังหลงอยู่จริงด้วย
“...เอาเถอะ ยังไงคราวนี้จะช่วยพาไปส่งก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรหรอกน่ะ แค่ช่วยบอกทางมาก็พอ”
“............”
“อะไร? ทำหน้าแบบนั้น? อยากจะพูดอะไรงั้นเหรอ?”
“...เอาน่ะ เราเองก็กำลังจะไปโรงเรียนอยู่แล้วพอดี”
“หมายความว่าไง ไปทำอะไร?”
“เราเองก็เรียนอยู่โรงเรียนโอริเบะเหมือนกันไงล่ะ”
ผมพูดพลางโชว์เนคไทที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงเหมือนกันให้ดู จากนั้นเธอก็มองผมด้วยสายตาที่ไม่พอใจ แต่แล้วไม่นานก็ทำท่าเหมือนกับจะนึกอะไรบางอย่างออกขึ้นมา
จากนั้นท่าที่ที่ดูอาฆาตเมื่อสักครู่ก็ได้เปลี่ยนไป กลับกลายเป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มหันมาทางผม
พอเห็นจู่ๆมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างกระทันหันแบบนี้แล้ว ผมก็กลับรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
“เอ่อ... อยู่ดีๆทำไมถึง...”
เธอตอบพลางหน้าแดงขึ้นมา สีหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่ได้หายไปซะแล้ว
“ว่าแล้ว ไม่ไหวหรือนี่ พลาดซะแล้วสิ ถ้ารู้ว่าอยู่โรงเรียนเดียวกันละก็ ตั้งแต่ทีแรกก็คง...”
“ตั้งแต่ทีแรกทำไมเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ที่สำคัญ โรงเรียนล่ะไปทางไหน”
--------------------
“ถ้าเดินตรงผ่านถนนนี้ขึ้นไปก็จะถึงโรงเรียนเหรอ?”
“ใช่ ถ้ามาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวหลงแล้วล่ะ”
“หนวกหูน่ะ เรื่องนั้นน่ะเลิกพูดถึงมันเถอะ”
“ว่าแต่สงสัยมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว เธอเป็นนักเรียนใหม่สินะ?”
“อื้อใช่ ตั้งแต่วันนี้จะมาเรียนที่โรงเรียนโอริเบะ”
จากนั้นพอถามต่อว่าย้ายมาจากที่ไหนเธอก็ตอบปัดไปเหมือนไม่อยากตอบ พอถามถึงสาเหตุที่ย้ายมาตอนนี้เธอก็บอกแค่ว่าเพราะเกิดเรื่องนิดหน่อย จากนั้นผมจึงเริ่มไม่กล้าถามอะไรต่อ เพราะเหมือนว่าคงจะถูกปฏิเสธอยู่อย่างเดียว
อะไรกันน่ะ ทั้งๆที่เพิ่งจะเดือนกันยายนแท้ๆ ทำไมในใจของผมถึงได้หนาวสั่นถึงเพียงนี้กันนะ
“ว่าแต่ เธอน่ะ”
“โนมิยะ... โนมิยะ ยู นั่นคือชื่อของเรา”
“เธอ?”
“เราไม่ชอบถูกเรียกว่าเธอ หรือเด็กคนนั้น หรือว่าสรรพนามอะไรทั้งนั้น ถ้าจะเรียกละก็ ให้เรียกด้วยชื่อ”
เธอ... ไม่สิ โนมิยะซังพูดพร้อมกับจ้องผมด้วยสายตาที่แหลมคมและเย็นชา ทำให้ผมรู้สึกเกร็งขึ้นมา
“งั้นขอเรียกว่าโนมิยะซังละกันนะ”
“เชิญเรียกตามสบายเถอะ”
พูดแค่นั้นเสร็จแล้วโนมิยะซังก็เดินต่อไป
“โรงเรียนน่ะอยู่ทางโน้นสินะ”
“อื้อ ใช่ แต่ทำไมเหรอ?”
“ถ้ามองเห็นแบบนี้แล้วก็ไม่มีปัญหา งั้นขอตัวล่ะ”
ถ้ามาถึงตรงนี้ได้ก็คงไม่หลงแล้วจริงๆนั่นล่ะ
“อะ อืม แล้วเจอกัน”
พอพูดจบเธอก็รีบเดินขึ้นทางลาดไป ผมเองก็รีบตามขึ้นไปเพื่อไม่ให้เข้าเรียนสาย
--------------------
เมื่อผมขึ้นมาถึงหน้าโรงเรียน ก็พบโนมิยะซังกำลังรออยู่
“อ้าว? โนมิยะซัง?”
“ขอบใจนะ”
“...เอ๋?”
“ตะกี้ลืมพูดไปน่ะ”
พอได้ยินดังนี้ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกแฮะ
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง”
“ว่าแต่ ขอถามอะไรอีกอย่างนึงได้มั้ย”
“หืม?”
“ห้องธุรการอยู่ทางไหนเหรอ”
“............”
เอาน่ะ ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็เธอเพิ่งจะย้ายโรงเรียนมา
--------------------
“อรุณสวัสดิ์”
ผมเปิดประตูห้องเรียนเข้าไป และทักทายเพื่อนในห้องตามปกติ
“ช่างเป็นเช้าที่สดใสจริงๆเลยนา~”
สักพักก็มีไอ้บ้าคนนึงตรงเข้ามาจับไหล่ผม
“โห โทวยะ เช้านี้ดูนายสดใสเหลือเกินนะ เพราะได้เดินมาโรงเรียนด้วยกันกับเด็กผู้หญิงน่ารักสินะ”
ว่าแล้วเชียว ว่าต้องมีคนเห็น คนอื่นน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ดันเป็นเจ้าฮิซาชิเนี่ยสิ
“พูดอะไรน่ะ เด็กผู้หญิงที่ไหนกัน”
“นี่ แล้วชื่อล่ะ? อายุล่ะ? ส่วนสูง น้ำหนัก วันเดือนปีเกิด สัดส่วนล่ะ?”
“............”
ชายที่อยู่หน้าผมตรงนี้ชื่อคาโมะ ฮิซาชิ เรารู้จักและเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เข้าโรงเรียนนี้มา อย่างที่เห็น มันมีนิสัยที่ดูบ้าบอ และบ้าผู้หญิงอย่างแรง ชักรู้สึกคิดผิดที่ต้องกลายมาเป็นเพื่อนมันซะแล้วสิ
“อย่างน้อยบอกมาแค่สัดส่วนก็ยังดี”
“มีใครเขาถามเรื่องแบบนี้กับคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกบ้างล่ะ!”
“อะไรกัน ของแค่นี้แค่ดูก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“มนุษย์ปกติน่ะเขามองกันเป็นด้วยเหรอ”
“โกหกน่ะ!? นี่เป็นสกิลพื้นฐานที่ผู้ชายควรจะมีเลยนะ”
“............”
ไอ้สกิลแบบนั้นน่ะไม่เห็นจะอยากได้เลย ไม่สิ ถ้าว่ากันตามตรงแล้วก็ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอก
ระหว่างที่ผมกำลังเหนื่อยใจกับเจ้าฮิซาชิอยู่ ในตอนนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“อรุณสวัสดิ์ มาโดกะ”
ผมส่งเสียงทักทายตามปกติ
“อื้อ อรุณสวัสดิ์”
คามิโงเรียว มาโดกะ เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมกับฮิซาชิ แต่ที่ต่างไปจากฮิซาชิก็คือ เธออยู่โรงเรียนเดียวกับผมมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว
“ยังดูสนิทสนมกันเหมือนเดิมนะ ดูสนุกสนานกันเชียว”
สนุกสนานงั้นเหรอ ไหงเห็นเป็นอย่างนั้นหรอกหรือนี่
“นี่ฟังนะ มาโดกะจัง”
“เอ๋? ทำไมเหรอ?”
“ทำไมเหรอ? คาโมะคุงทำเรื่องอะไรไว้อีกแล้วเหรอ?”
“กรรม นี่ไม่เชื่อใจกันเลยเหรอ ไม่ใช่เราสิ ที่ทำน่ะโน่น โทวยะมันต่างหาก!
หมอนั่นพูดแล้วชี้มาทางผม
“เมื่อเช้าหมอนี่มาโรงเรียนพร้อมกับเด็กผู้หญิงด้วยล่ะ”
“เอ๋? จริงเหรอ? ไม่น่าเชื่อเลย ใครกันน่ะ?”
มาโดกะดูมีท่าทีสนใจขึ้นมา
“แม้แต่เราเองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือ เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมาก”
“แม้แต่คาโมคุงเองก็ไม่รู้จักเหรอ? แต่มาโรงเรียนด้วยกันแบบนี้ก็แสดงว่าอยู่โรงเรียนนี้สินะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้ เราเองก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
ทั้งที่บอกแล้วแท้ๆว่าไม่มีอะไรไงล่ะ
“แต่ว่าที่มาโรงเรียนด้วยกันนี่เป็นเรื่องจริงสินะ”
“ใช่ๆ ทำไมคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกได้มาโรงเรียนด้วยกันล่ะ บอกความจริงมานะ”
ระหว่างที่พูด ฮิซาชิก็โผเข้าไปกอดไหล่มาโดกะ จากนั้นทั้งฮิซาชิและมาโดกะก็หันตรงมาทางผม
“คือว่านะ เขาแค่กำลังหลงทางอยู่ก็เลยช่วยพามาก็แค่นั้นเองน่ะ ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย”
“แค่นั้นเองหรอกเหรอ? อืม อย่างนั้นเอง งั้นก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นะ”
“นายเนี่ยน้า ช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย เอาเถอะ เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ”
จากนั้นฮิซาชิก็เดินห่างออกมาจากมาโดกะแล้วเข้ามากอดไหล่ผม
“อย่างน้อยก็ช่วยบอกชื่อมาหน่อยสิ เอ้านี่ เรามีของดีมาให้ด้วยล่ะ”
แล้วฮิซาชิก็ยื่นของบางอย่างส่งให้
“นี่มัน...”
ก่อนที่ผมจะทันคิดอะไรก็ได้ยินเสียงร้องขึ้นมา
จากนั้นจู่ๆมาโดกะก็เข้ามาแย่งของที่อยู่ในมือออกไป
“ค..คาโม..คาโมคุงอะ บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ บ้า~~~~~~!”
จากนั้นเธอใช้มือข้างที่ถือของอยู่นั้นฟาดรัวเข้าใส่ฮิซาชิ แต่ฮิซาชิก็หลบได้อย่างสบาย จากนั้นมาโดกะก็หน้าแดงก่ำและวิ่งหนีออกออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“ฮะๆๆๆๆๆ มาโดกะจังเนี่ย ไร้เดียงสาจังเลยนะ”
“............”
====================
เห็นแบบนี้แล้ว ควรจะทำยังไงกับมันดี... (ตรงนี้เป็นทางเลือกครั้งแรก ปล่อยให้คนอ่านไปตัดสินกันดูเล่นๆ)
- ต่อยมันเลย
- รู้สึกเหนื่อยใจ
====================