φυβλαςのβλογ
phyblasのブログ



เมืองเก่าซิงเฉิง ปราการสำคัญยุคราชวงศ์หมิง
เขียนเมื่อ 2015/08/11 17:27
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42
#อาทิตย์ 24 พ.ค. 2015

กำแพงล้อมเมือง หรือที่ในภาษาจีนเรียกว่าเฉิงเฉียง (城墙) นั้นถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องกันเมืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ

ปัจจุบันนี้เหลือกำแพงแบบนั้นอยู่ไม่มากแล้วเนื่องจากถูกทำลายไปตามกาลเวลาเพราะไม่จำเป็นสำหรับเมืองในยุคปัจจุบันอีกแล้ว ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ควรอนุรักษ์ไว้อยู่ น่าเสียดายว่าปัจจุบันเหลืออยู่เล็กน้อย

หากพูดถึงเมืองโบราณที่อนุรักษ์กำแพงเมืองเก่าและสิ่งก่อสร้างบ้านเมืองภายในไว้ได้เป็นอย่างดีที่สุดละก็คนทั่วไปน่าจะนึกถึงเมืองผิงเหยา (平遥) ในมณฑลซานซีซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เราเคยไปมาแล้วเล่าไว้ใน https://phyblas.hinaboshi.com/20120421

ครั้งนี้จะขอแนะนำเมืองโบราณอีกแห่งซึ่งปัจจุบันถือเป็นแห่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนที่มีกำแพงล้อมเมืองที่ยังคงอยู่ในสภาพดี นั่นคือเมืองเก่าซิงเฉิง (兴城古城) ในมณฑลเหลียวหนิง

ซิงเฉิงมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ในสมัยก่อนเมืองนี้มีชื่อว่าหนิงหย่วน (宁远) ในสมัยราชวงศ์หมิงได้ใช้ระบบแบ่งเขตหน่วยทหารที่เรียกว่าเว่ย์สั่ว (卫所) หนิงหย่วนจัดอยู่ในเขตการทหารที่เรียกว่านิ่งหย่วนเว่ย์ (宁远卫) มีหน้าบทบาทสำคัญในการป้องกันข้าศึกที่มาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือ

กำแพงเมืองหนิงหย่วนถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1428 ในรัชสมัยของจักรพรรดิเซวียนเต๋อ (宣德, ปี 1425 - 1435) แห่งราชวงศ์หมิง เป็นกำแพงปิดล้อมเมืองเป็นสี่เหลื่อมที่เกือบจะด้านเท่า ที่ใจกลาง ๔ ทิศเหนือใต้ออกตกมีป้อมประตูอยู่ข้างละอัน โดยที่ป้อมประตูทั้ง ๔ ทำเป็นลักษณะที่เรียกว่าเวิ่งเฉิง (瓮城) คือมีส่วนของกำแพงที่ยื่นออกไปด้านข้างสองฝั่งของประตูมีลักษณะเหมือนปากของด้วงเขี้ยวกางที่หุบลงมาเกือบสนิท

มีบทบาทสำคัญในสงครามระหว่างราชวงศ์หมิงกับทัพแมนจูเพราะอยู่ในตำแหน่งใจกลางของโถงทางเดินแห่งเหลียวซี (辽西走廊) ระหว่างจิ่นโจว (锦州) และซานไห่กวาน (山海关) ดังที่เคยเล่าถึงไปแล้วก่อนหน้านี้ รายละเอียดอ่านใน

ในสงครามที่หนิงหย่วน (宁远之战) ปี 1626 ทัพแมนจูซึ่งนำโดยหนูเอ่อร์ฮาชื่อ (努尔哈赤) ซึ่งเริ่มเปิดสงครามกับทัพราชวงศ์หมิงมาตั้งแต่ปี 1618 และมีชัยยึดหัวเมืองต่าๆงมาได้เรื่อยๆมาโดยตลอดไม่เคยแพ้มาก่อนกลับมาพ้ายแพ้ศึกนี้เนื่องจากการป้องกันของหยวนฉงฮว่าน (袁崇焕) แม่ทัพผู้เก่งกาจ และหลังจากนั้นยังตามมาด้วยสงครามที่หนิงจิ่น (宁锦之战) ในปี 1627 ซึ่งหยวนฉงฮว่านก็ป้องกันเมืองหนิงหย่วนได้เป็นอย่างดีอีก ทำให้หนิงหย่วนเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของราชวงศ์หมิงที่ไม่มีวันถูกตีแตกได้ง่ายๆ

แม้ตัวเมืองหนิงหย่วนจะถูกเผาทำลายไปโดยอู๋ซานกุ้ย (吴三桂) ในปี 1644 ก่อนถูกยึดครองโดยพวกแมนจู แต่กำแพงก็ยังคงเหลืออยู่มาจนถึงปัจจุบัน

ชื่อเมืองหนิงหย่วนถูกเปลี่ยนเป็นซิงเฉิง (兴城) เมื่อปี 1914 เพื่อไม่ให้ซ้ำกับเมืองอื่น ปัจจุบันซิงเฉิงเป็นเมืองระดับอำเภอที่อยู่ภายในจังหวัดหูหลุเต่า (葫芦岛) มณฑลเหลียวหนิง แม้ตัวเมืองจะขยายตัวด้านนอกกำแพงเมืองขึ้นไปเรื่อยๆ แต่กำแพงเมืองก็ยังอนุรักษ์ไว้อย่างดี ช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับพรรคก๊กมินตั๋ง ในปี 1948 กำแพงเมืองถูกทำลายไปส่วนหนึ่ง แต่ก็มีการซ่อมแซมภายหลัง

ด้วยความที่เป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อีกทั้งยังถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ทำให้เมืองเก่าซิงเฉิงถือเป็นสถานที่เที่ยวแห่งหนึ่งที่น่ามาเที่ยวชม แม้ว่าอาจจะไม่ได้โดดเด่นโด่งดังมากเท่าผิงเหยาก็ตาม



การเดินทางมาซิงเฉิงนั้นไม่ลำบากเพราะมีรถไฟสามารถนั่งจากปักกิ่งมาได้ง่าย แต่ครั้งนี้เราแวะมาเที่ยวที่นี่โดยเป็นทางผ่านระหว่างเดินทางกลับจากจิ่นโจวสู่ปักกิ่ง

หลังจากที่เมื่อวานเที่ยวทั้งวันแล้วปิดท้ายด้วยเดินเที่ยวตลาดกลางคืนในจิ่นโจวดังที่เล่าไปในตอนก่อนหน้านี้แล้ว https://phyblas.hinaboshi.com/20150809

การเที่ยวภายในจิ่นโจวก็สิ้นสุดลงเท่านี้ ได้เวลาที่จะต้องเก็บข้าวของเพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางแวะเที่ยวเมืองเก่าซิงเฉิงก่อนขึ้นรถไฟจากที่นั่นกลับปักกิ่ง ตามกำหนดการแล้วเราต้องไปขึ้นรถไฟเที่ยว 2590 ซึ่งจะออกจากซิงเฉิงเวลา 15:04 และถึงปักกิ่งเวลา 22:00

เนื่องจากคิดว่าเวลาเหลือเฟือเราเลยไม่ได้รีบมากมายนัก ช่วงเช้านั่งเรื่อยเปื่อยอ่านหนังสือไปเรื่อยๆจนถึงประมาณเกือบสิบโมงจึงออกเดินทาง

เพื่อที่จะเดินทางจากจิ่นโจวไปยังซิงเฉิงนั้นที่จริงแล้วมีรถไฟไปแต่ว่าจังหวะเวลาไม่ค่อยพอดีก็เลยตัดสินใจนั่งรถบัสไป โดยรถบัสที่ไปถึงซิงเฉิงโดยตรงก็มี แต่เราตัดสินใจนั่งไปลงที่เมืองหูหลุเต่าแล้วค่อยต่อรถไปอีกที ที่ทำอย่างนี้เพราะยังไงก็ต้องผ่านเมืองหูหลุเต่าอยู่แล้ว อยากแวะไปดูเพิ่มอีกเมือง

ท่ารถสำหรับไปหูหลุเต่านั้นอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสถานีรถไฟ



อ้อมไปทางด้านข้างสถานีจะเห็นป้ายเขียนว่าไปหูหลุเต่าและซิงเฉิง



ตอนที่เรามาถึงเห็นมีรถออกมาพอดีก็เลยรีบขึ้นไปได้เลย รถที่ออกมีจำนวนเที่ยวเยอะไม่จำเป็นต้องรอนาน



ใช้เวลาชั่วโมงกว่าในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟหูหลุเต่า



บริเวณรอบๆสถานีรถไฟ



เรามองหาห้องน้ำก่อนเลยก็เลยเดินไปเข้าในโรงแรมนี้



จากนั้นก็มองหารถที่จะไปซิงเฉิง ซึ่งก็จอดอยู่หน้าสถานีรวมกับรถที่ไปที่อื่นๆ เป็นรถตู้เล็กๆแบบนี้ พอเราขึ้นไปไม่นานรถก็ออก



แต่ขับไปสักระยะหนึ่งแค่แป๊บเดียวรถก็กลับหยุด เขาบอกว่าให้ไปขึ้นรถอีกคันนึงแทนเพราะผู้โดยสารน้อยให้ไปรวมกับอีกคัน



แต่พอเข้าไปรถอีกคันแล้วเขาก็ยังไม่ออกสักที ทั้งที่คนก็เกือบเต็มคันแล้ว แล้วเขาก็รออีกสักพักจนคนแน่นจนไม่มีที่นั่งมีบางคนต้องยืน จากนั้นรถจึงเริ่มออก เป็นอะไรที่ทำให้ล่าช้ามากทีเดียว



นอกจากนี้ระหว่างทางเขาก็ยังจอดรับผู้โดยสารอีกเยอะเรื่อยๆเหมือนกับเป็นรถเมล์ชนิดที่วิ่งในเมือง จึงช้ามากไปๆมาๆตั้งแต่ที่เริ่มออกจากสถานีรถไฟหูหลุเต่าจนไปถึงเมืองซิงเฉิงต้องใช้เวลาไปชั่วโมงกว่า นานกว่าการเดินทางจากจิ่นโจวไปหูหลุเต่าเสียอีกทั้งที่ระยะทางใกล้กว่าหลายเท่า

การเสียเวลาไปเยอะทำให้เรามีเวลาเที่ยวที่นี่น้อยลงกว่าที่วางแผนไว้มาก ตอนแรกคิดว่าน่าจะมาถึงสัก 11 โมงครึ่ง แบบนี้จะมีเลาเที่ยว ๓ ชั่วโมงสบายๆ แต่ไปๆมาตอนที่ถึงเวลาก็ล่วงไปจนเกินเที่ยงครึ่งเกือบจะบ่ายโมงไปแล้ว ทำให้มีเวลาเที่ยวไม่ถึง ๒ ชั่วโมง เวลาจำกัดสุดๆ ไม่อาจเดินเที่ยวช้าๆสบายๆได้

เมื่อรถวิ่งเข้าถึงตัวเมืองซิงเฉิงแล้วเราถามคนบนรถว่าลงตรงไหนดีถึงจะไปย่านเมืองเก่าได้ใกล้ที่สุดเขาก็แนะนำให้ไปลงที่หนานกวาน (南关) ซึ่งหมายถึงด่านทางตอนใต้ เป็นถนนที่อยู่ทางใต้ของย่านเมืองเก่าซิงเฉิง

จุดที่ลงรถมานั้นคือถนนซิงไห่หนาน (兴海南街) ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองที่ดูแล้วเจริญดี




เลี้ยวตรงนี้เป็นถนนที่จะไปยังย่านเมืองเก่า




เดินมาไม่นานก็ถึงด้านหน้าทางเข้าเมืองเก่า ป้อมประตูทางใต้นี้มีชื่อว่าหยานฮุยเหมิน (延辉门)



แผนที่ จุดสีแดงในนี้คือสถานที่ที่มีลักษณะเด่นที่ควรแวะไป ได้แก่ประตูทั้ง ๔ ทิศ แล้วก็พวกอาคารเก่าต่างๆที่สำคัญ



เดินผ่านประตูเข้ามาได้เลย



เมื่อเข้ามาแล้วเลี้ยวก็จะเห็นทางซ้ายมีทางขึ้นไปยังด้านบนกำแพงเมือง และข้างๆนั้นเป็นร้านที่สามารถซื้อบัตรสำหรับปีนกำแพงได้ และก็มีบัตรแบบเหมาสำหรับผ่านประตูที่เที่ยวทั้งหมดในนี้



สถานที่ที่ต้องใช้บัตรผ่านเพื่อเข้าไปนั้นมีทั้งหมด ๖ แห่ง รวมป้อมประตูด้วย ราคารวมทั้งหมดเป็น ๑๔๐ หยวน แต่ถ้าซื้อบัตรแบบเหมารวม (联票, เหลียนเพี่ยว) ก็จะราคาแค่ ๑๐๐ หยวน ลดลงมาได้พอสมควร เราตัดสินใจซื้อบัตรเหมา และเนื่องจากที่นี่ก็มีส่วนลดสำหรับนักเรียนนักศึกษาทำให้เราได้ลดครึ่งราคาเหลือ ๕๐ หยวน ประหยัดไปได้เยอะ

สถานที่ทั้ง ๖ ได้แก่
- กำแพงเมือง (城墙) ๒๐ หยวน
- บ้านตระกูลโจว (周家住宅, โจวเจียจู้ไจ๋) ๑๐ หยวน
- วัดขงจื๊อ (文庙, เหวินเมี่ยว) ๓๕ หยวน
- ตำหนักนายพล (将军府, เจียงจวินฝู่) ๑๐ หยวน
- ตำหนักผู้ว่า (督师府, ตูซือฝู่) ๔๐ หยวน
- หอระฆังและกลอง (钟鼓楼, จงกู่โหลว) ๒๐ หยวน

เมื่อซื้อบัตรแล้วกำลังจะไปขึ้นกำแพงคนที่เฝ้ากำแพงเขาก็แนะนำว่าให้ไปชมบ้านตระกูลโจว ซึ่งเป็นสถานที่หนึ่งในนี้ที่ต้องใช้บัตรก่อนแล้วค่อยมาปีนกำแพงดีกว่า เพราะที่นั่นอยู่ใกล้ตรงนี้ดินอีกนิดเดียวก็ถึง ถ้าหากขึ้นไปปีนกำแพงแล้วก็จะไปลงที่อื่น คงไม่ได้กลับมาแถวนี้แล้ว

บ้านตระกูลโจวนั้นเคยเป็นที่พักของโจวหย่งจี๋ (周永吉) ซึ่งเป็นนักธุรกิจและเกษตรกร สร้างขึ้นในปี 1934 และย้ายออกไปในปี 1947 ลักษณะบ้านเป็นซื่อเหอย่วนที่มีเอกลักษณ์ตามแบบของมณฑลเหลียวหนิงฝั่งตะวันตก

เราทำตามที่เขาแนะนำ เดินไปที่บ้านตระกูลโจวก่อน



ภายในก็ไม่มีอะไรมาก ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเดินแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว








ต่อมาก็ย้อนกลับมาเพื่อปีนกำแพงค่าขึ้นปีนกำแพงอย่างเดียวนั้นเป็น ๒๕ หยวน แต่ตอนนี้เราใช้บัตรเหมารวมแล้วก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว



ขึ้นมาด้านบน นี่เป็นหอด้านบนประตู



มองไปตามทางเดินบนกำแพง ตรงนี้เป็นทางตะวันตก ดูแล้วไม่มีอะไร



ส่วนบนกำแพงที่ยื่นออกไปด้านนอกตามลักษณะของเวิ่งเฉิง



มองดูบ้านเมืองด้านนอกกำแพงทางใต้



ส่วนทางนี้เป็นด้านในกำแพง สภาพดูสวยกว่าด้านนอก



หุ่นทหารยามเฝ้าป้อม



เราเดินตามกำแพงรอบเมืองไปทางตะวันออก เพราะตะวันออกมีที่ให้เข้าชมเยอะกว่าตะวันตก



ปืนใหญ่ที่ใช้บนนี้คือปืนใหญ่ที่เรียกว่าปืนใหญ่หงอี๋ (红夷大炮) หรือปืนใหญ่หงอี (红衣大炮) เป็นปืนใหญ่ที่นำเข้าจากชาติตะวันตกในช่วยปลายยุคราชวงศ์หมิง มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ป้องกันเมืองเป็นอย่างมาก ในปี 1626 แม่ทัพหยวนฉงฮว่านสั่งนำเข้าปืนใหญ่ชนิดนี้มาติดตั้งที่นี่เป็นจำนวนมากเพื่อรับศึกทัพแมนจู และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ป้องกันเมืองเอาไว้ได้



สภาพบ้านเมืองภายในกำแพงที่มองเห็นจากบนกำแพง



ส่วนอันนี้เป็นด้านนอกกำแพง



หอมุมตะวันออกเฉียงใต้



เดินต่อไปตามทางตะวันออก ระหว่างอยู่บนนั้นก็เห็นสถานที่ที่สามารถเข้าชมได้อีก ๒ แห่งคือวัดขงจื๊อกับตำหนักนายพลแต่เรายังไม่เข้าไปตอนนี้




เดินต่อไปจนเริ่มเห็นหอป้อมประตูทิศตะวันออก ชื่อชุนเหอเหมิน (春和门)



มองลงไปด้านนอกประตูตะวันออก



เดินผ่านป้อมประตูแล้วก็เดินไปตามทางตามกำแพงฝั่งตะวันออกต่อไป



บ้านเมืองด้านนอกกำแพงระหว่างทาง



เดินไปเรื่อยๆก็มาถึงป้อมประตูทิศเหนือ ชื่อเวย์หย่วนเหมิน (威远门)



มองออกไปด้านนอกกำแพงทิศเหนือ



เราตัดสินใจเดินลงตรงนี้ เท่ากับว่าเดินบนกำแพงไปครึ่งหนึ่งพอดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้วเพราะอีกครึ่งก็เหมือนกัน



เส้นทางข้างหน้า



เบื้องหน้านี้คือหอระฆังและกลอง เป็นเป้าหมายต่อไปที่จะต้องเข้าไปชม



แต่ว่าก่อนจะถึงตรงนั้นทางตะวันตกมีป้ายชี้ไปยังวัดเฉิงหวง (城隍庙) ซึ่งเป็นวัดเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งสามารถเข้าชมได้แม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในจุดสำคัญที่ต้องใช้บัตรผ่านเพื่อเข้าชม เราตัดสินใจแวะไปชมวัดนี้ก่อน



ระหว่างทางเส้นทางดูค่อนข้างร้างๆ



หน้าวัด



เข้ามาด้านใน ดูแล้วไม่มีอะไรมาก เล็กนิดเดียว เราเดินดูแบบผ่านๆแล้วก็รีบออกไปเพื่อไปยังเป้าหมายหลักที่สำคัญกว่า





เมื่อออกมาจากวัดเฉิงหวงก็เดินออกมาอีกทางเพื่อไปออกยังถนนฝั่งตะวันตก ระหว่างทางแถวนี้ดูเงียบเหงามาก



ออกมาโผล่ถนนฝั่งตะวันตก





มองไปทางตะวันออกก็เห็นหอระฆังและกลองอีกครั้ง



ได้เวลาขึ้นไปชมด้านบน



อาคารด้านบนนั้นเป็นที่จัดแสดงของเก่าจำนวนหนึ่ง



ชั้น ๒



จากด้านบนมองลงไปยังทิศใต้



มองไปยังทิศตะวันตก



ทิศเหนือ



และนี่คือทิศตะวันออก ซึ่งเรากำลังจะมุ่งหน้าไปทางนี้ต่อไป



ลงจากหอระฆังและกลองแล้วเดินไปทางตะวันออก





แล้วก็มาถึงตำหนักผู้ว่า ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของหน่วยทหารสูงสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง อาคารนี้เดิมสร้างขึ้นในปี 1622 แต่ในปี 1644 อู๋ซานกุ้ยได้ตัดสินใจทิ้งเมืองหนิงหย่วนเพื่อไปตั้งรับที่ซานไห่กวาน เขาได้เผาเมืองทิ้งและอาคารนี้เองก็ได้ถูกเผาเสียหายด้วย



อาคารที่เห็นในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 2002 โดยสร้างให้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ พื้นที่ทั้งหมด ๔๘๐๐ ตร.ม. ประกอบไปด้วยอาคารต่างๆมากมายภายใน


บรรยากาศภายใน






นี่เป็นอาคารที่ระลึกถึงหยวนฉงฮว่าน วีรบุรุษคนสำคัญของที่นี่



ภายในมีรูปปั้นเขา



อาคารข้างๆกันนั้นเล่าถึงประวัติของหยวนฉงฮว่าน



ภาพแกะสลักบนกำแพงที่เกี่ยวข้องกัน



ข้อความบนหินนี้เขียนโดยหยวนฉงฮว่าน



ตรงนี้คือเรือนจำ



ภายในอาคารเรือนจำแบ่งเป็นห้องต่างๆ



แต่ละห้องจัดแสดงนักโทษที่อยู่ในสภาพต่างๆ



ส่วนอาคารข้างๆกันนั้นจัดแสดงอาวุธของราชวงศ์หมิงและชิง



ด้านหน้ามีปืนใหญ่



ถัดมามีอาคารที่จัดแสดงเสื้อผ้าในยุคราชวงศ์หมิง



และเสื้อผ้าในยุคราชวงศ์ชิง



ส่วนอาคารตรงนี้เป็นสถานที่ที่สมัยก่อนใช้เป็นที่จัดประชุมหารือการศึกและกิจต่างๆ มีหุ่นจำลองแสดงให้เห็นด้วย



ส่วนอาคารนี้จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของที่นี่



ภายในไล่เรียงเหตุการณ์ต่างๆแล้วก็พูดถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องมากมาย



ถัดมาเป็นอาคารที่จัดแสดงเกี่ยวกับบุคคลสำคัญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับที่นี่



ส่วนอาคารนี้จัดแสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรมการพิมพ์





หลังจากชมด้านในเสร็จก็ออกมาแล้วเดินในเมืองต่อ



เป้าหมายต่อไปก็คือวัดขงจื๊อ ไม่นานก็เดินมาถึง วัดขงจื๊อของซิงเฉิงนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1430 ถือเป็นวัดขงจื๊อที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคตะวันตกเฉียงเหนือจีน



ภายใน



วัดนี้สวยและใหญ่พอสมควร และมีจัดแสดงอะไรต่างๆหลายอย่าง แต่เนื่องจากเรามีเวลาเหลือน้อยมากแล้วจึงไม่อาจดูอย่างละเอียดได้เหมือนอย่างที่ชมตำหนักผู้ว่า ก็เลยขอลงรูปเฉยๆก็แล้วกัน










ต่อมาเป็นสถานที่เที่ยวแห่งสุดท้ายในนี้ อยู่ข้างๆวัดขงจื๊อนี้เอง คือตำหนักนายพล



ตำหนักนายพลถูกสร้างขึ้นปี 1926 เพื่อเป็นที่อาศัยของนายพลเก้าหรู่เหลียน (郜汝廉) เขาพักอยู่ที่นั่นจนถึงปี 1947 อาคารเป็นซื่อเหอย่วนที่มีสวนจีนอยู่ภายในตกแต่งสวยงาม ในปี 2003 ได้เปิดเป็นสถานที่เที่ยวให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

ภายในเป็นสวนสวยๆ




อาคารต่างๆภายใน



ภายในอาคารก็มีห้องต่างๆที่ตกแต่งอย่างสวยงาม





ส่วนห้องนี้จัดแสดงชีวประวัติของเก้าหรู่เหลียน





ชมในนี้เสร็จอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรแล้วที่เหลือตอนนี้คือต้องรีบวิ่งเพื่อไปให้ถึงสถานีรถไฟให้เร็วที่สุด ระหว่างทางผ่านถนนแนวกลางฝั่งใต้ ผ่านซุ้มประตูเก่าอยู่สองอัน




แล้วก็เดินออกจากกำแพงเมืองเก่านี้โดยผ่านทางประตูทิศตะวันตก



ประตูตะวันตกนี้มีชื่อหย่งหนิงเหมิน (永宁门) นี่เป็นภาพสุดท้ายของกำแพงเมืองเก่าที่เราถ่ายก่อนเดินจากไป





ออกจากประตูเมืองฝั่งตะวันออกก็เดินต่อไปเรื่อยๆไปยังสถานีรถไฟซึ่งอยู่ไม่ได้ไกลมากนัก



ถึงแล้ว



ด้านหน้าของสถานีนั้นมีรูปปั้นของหยวนฉงฮว่านอยู่ตั้งเด่นเป็นสง่า



เข้าไปในสถานี



บรรยากาศภายในสถานี



รถไฟมาช้ากว่าเวลา 15:04 ที่เขียนบนบัตรอยู่เล็กน้อย ไม่นานเขาก็เรียกให้ไปขึ้นรถไฟ



ชานชลา



รถไฟมาแล้ว



ขณะที่ขึ้นไปนั้นก็พบว่ารถไฟคนโล่งมากจนน่าแปลกใจเลยทีเดียว



จากนั้นพอผ่านเมืองสุยจง (绥中) ซึ่งเป็นเมืองระดับอำเภออีกเมืองในจังหวัดหูหลุเต่าก็พบว่าคนยิ่งลดลงไปอีก



ระหว่างทางคนมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเต็ม ค่อนข้างนั่งสบายไปตลอดทาง ตั้งแต่นั่งรถไฟมาครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่คนโล่งที่สุด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

เวลาผ่านไปตะวันก็เริ่มคล้อยต่ำเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วก็ลับขอบฟ้าไป



เมื่อรถไฟผ่านมาถึงเมืองเทียนจินก็เงียบเหงาสุดๆ



ในที่สุดก็กลับมาถึงปักกิ่งแล้ว ตามเวลา 22:00 เรารีบขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับไปโดยสวัสดิภาพ



การท่องเที่ยวจิ่นโจวและซิงเฉิงตลอด ๓ วันสิ้นสุดลงแล้ว เป็นการเดินทางเที่ยวที่รู้สึกประทับใจและคุ้มค่ามากครั้งหนึ่งคงจะไม่ลืมไปอีกนาน



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> เหลียวหนิง
-- ประวัติศาสตร์ >> ประวัติศาสตร์จีน

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目次

日本による名言集
モジュール
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
機械学習
-- ニューラル
     ネットワーク
javascript
モンゴル語
言語学
maya
確率論
日本での日記
中国での日記
-- 北京での日記
-- 香港での日記
-- 澳門での日記
台灣での日記
北欧での日記
他の国での日記
qiita
その他の記事

記事の類別



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  記事を検索

  おすすめの記事

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文