ตอนที่ ๙. หมายแห่งแสงสว่างอีกทั้งความจริงอันดำมืด (光の調べ、黒い真実)
>> กลับไปตอนที่ ๘ ในขณะที่ฉันกำลังร้องไห้จนน้ำตาคลออยู่นั้น เขาคนนั้นก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
“ใคร....?”
เขาคนนั้นส่งยิ้มให้แล้วกำมือฉันเอาไว้
“อ้อ จริงสิ ลืมบอกไปเลย ฉันชื่ออามะมิยะ อากิระ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะมาเป็นพี่ชายของเธอ”
“พี่.....? พี่ชาย?”
ห้องที่เคยอยู่มาตลอดก็ได้ถูกเผาจนมอด คุณแม่ก็จากไปอยู่ในที่ห่างไกล ฉันเข้าใจว่าแม่ไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว
หลังจากนั้น ฉันก็ได้พบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่สถานรับเลี้ยง เขามีสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันอยากได้มาโดยตลอด พี่ชายที่แข็งแกร่งและใจดี ที่จะไม่ทอดทิ้งให้ฉันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ฉันอยากเรียกเด็กคนนั้นว่าพี่ชาย แต่...
“......ขอเรียกว่าพี่ชายได้มั้ยคะ?”
ฉันถามออกไปด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ เพราะเด็กผู้ชายคนนั้น ถ้าฉันเรียกเขาว่าพี่ชายเมื่อไหร่ เขาจะโกรธทันที
“แน่นอน เรียกได้ตามสบายเลยนะ”
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุก็ห่างกันเกินกว่าที่จะให้คิดว่าเป็นพี่ชายได้ แต่ว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็กลายมาเป็นน้องสาวของอามะมิยะ อากิระ
ตาค่อยๆเริ่มตื่นขึ้นมาทีละนิด ภาพที่เลือนลางได้เริ่มปรากฏชัดขึ้น
“..........”
ฉัน ถอนหายใจเบาๆ และตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเอง ฉันขยับหัวตัวเองหลายๆทีเพื่อที่จะสลัดความง่วงออกไป เพราะว่าวันนี้แทบจะไม่ได้นอน ทำให้ไม่สามารถตื่นขึ้นได้ดั่งใจนัก
ก่อนที่จะถึงโรงเรียนนั้น ฉันได้อธิษฐานอะไรบางอย่างออกไป
ฉันกำมือแล้วก็แบออกซ้ำไปมา เพื่อยืนยันว่าตัวเองได้ตื่นแล้วจริงๆ
“เอาล่ะ”
ไม่เป็นไร ที่แน่ๆ วันนี้ฉันก็ยังคงมีชีวิตอยู่
ฉันก้าวลงมาจากเตียง
ก่อนอื่นก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
บาง ทีฉันอาจจะจริงจังกับเรื่องนั้นมากก็ได้ ตอนนั้น สิ่งที่พูดกับเขาที่ชายทะเลนั้น ไม่ได้ล้อเล่นแล้วก็ไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น ที่บอกว่าจะให้เขาดูได้ไม่เป็นไรนั้น ฉันคิดเช่นนั้นจากใจจริง
“ไม่สิ...”
ไม่ใช่หรอก ฉันเองที่อยากให้เขาดูต่างหาก สิ่งที่ฉันจะไม่ให้ใครเห็นเด็ดขาด นอกจากรุ่นพี่ฮิมุระ ยู
............................
หลังจากวันที่แผ่นดินไหวได้เข้าโจมตีเมืองนั้น ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบปลายภาค
ข้อสอบเป็นวิชาวรรณกรรมสมัยใหม่ซึ่งผมแทบจะไม่ถนัดเลย แต่ก็พอทำไปได้เรื่อยๆ
เหลือเวลาสอบอีก ๒๐ นาที ผมได้คว่ำหน้ากระดาษคำตอบลง เพราะตรวจทานไป ๓ รอบแล้ว ต่อให้ดูมากกว่านี้อีกก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“เฮ้อ...”
ผมถอนหายใจออกไปเบาๆ
เท่านี้การสอบก็สิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีชั่วโมงเรียนอีกแล้ว จากนี้ไปก็จะเข้าสู่วันหยุดหน้าร้อน
วันหยุดหน้าร้อนเหรอ ผมไม่ได้สมัครคอร์สฤดูร้อนเอาไว้ แต่ถึงจะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ถ้าเป็นเทอมปลายละก็อาจจะทันก็ได้
ยังไงปีหน้าก็ต้องตั้งใจให้มากๆ เพราะงั้นภายในปีนี้พยายามทำตัวให้ชินไว้จะดีกว่า
กลุกๆ
เสียงเหมือนของตกได้ดังขึ้น
“อ๊ะ”
พอมองไปทางต้นเสียง นางิกำลังอ้าปากหวอแล้วจ้องไปทางดินสอที่ทำตก แล้วก็รีบเก็บมันขึ้ันมา
“เอาเถอะ”
เธอพูดเสียงเบาๆ แต่ก็พอที่จะได้ยิน
นางิมีเครื่องเขียนเป็นดินสอแท่งเดียวสินะ จากนั้นก็เริ่มเอาแต่จ้องมุมโต๊ะ คิดจะทำอะไรกันอยู่นะ ยัยนั่น
นางิน่ะไม่ถนัดวิชาวรรณกรรมสมัยใหม่ยิ่งกว่าผมซะอีก คงจะไม่มีทางทำข้อสอบเสร็จแล้วแน่ๆ
“ชิ”
ผมหยิบยางลบที่ทำตกขึ้นมา
นี่ผมไปเอาความซุ่มซ่ามของยัยนั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่
“เสร็จแล้วเหรอ?”
ทางนี้ก็ดูท่าจะทำข้อสอบเสร็จแล้ว คุเซะจ้องมองไปยังกระดาน
ไม่มั้ง คงไม่มีทางหรอก
หลังจากที่ผมคิดเช่นนั้นแล้ว ก็ได้มองไปทางนางิ
“รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี ขอไปห้องศิลปะก่อนล่ะ”
พูดจบ นางิก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่ได้ขออนุญาตผู้คุมสอบเลย
“................”
ถึงจะชินกับความแปลกของนางิแล้วก็เถอะ แต่ว่าไปทำอะไรที่ห้องศิลปะล่ะนั่น
...................................
พวกเพื่อนร่วมชั้นต่างส่งเสียงดังเฮฮาออกมาจากห้องเรียนที่อยู่ด้านหลัง
ทางข้างหน้าก็จะถึงห้องศิลปะแล้ว
...................................
อยู่จริงๆด้วย
เพราะอารมณ์ไม่ดีก็เลยมาเข้าห้องศิลปะแบบนี้ ไม่ค่อยเข้าใจความคิดเลยจริงๆ แต่สำหรับนางิแล้ว เรื่องอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นล่ะนะ
“นางิ”
“ยูเหรอ”
นา งิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างไปจากปกติเลย หลังจากที่สอบเสร็จแล้ว นางิก็ไม่ได้กลับไปที่ห้องอีกเลย ยังดีที่วันนี้หลังจากสอบเสร็จก็มีแค่คาบโฮมรูมก็เลยไม่มีปัญหาอะไร
“ความจริงแล้ว เรานึกเรื่องอะไรขึ้นได้นิดหน่อยน่ะ”
“นึกอะไรได้เหรอ?”
“อื้อ ถ้าเอาชื่อของเรากับเธอมารวมกัน ก็จะกลายเป็น ยูนางิ”
“จู่ๆพูดอะไรของเธอน่ะ”
“คำว่า ยูนางิ น่ะ หมายถึงลมที่สงบในยามเย็นริมชายหาด” *ยู(夕)=ตอนเย็น, นางิ(凪)=สงบ
“ถ้าเรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วน่ะ ยังไงก็เถอะ แค่นี้ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องออกมาจากห้องสอบเอากลางคันสักหน่อย”
“ก็มันไม่รู้จะทำอะไรนี่นา”
“เธอนี่ ยังไงๆก็หัวไม่ดีจริงๆเลยนะ”
ผมถอนหายใจออกไปอย่างแรง
“นางิ หายสลัมป์แล้วเหรอ?”
“สลัมป์?”
“ที่ว่าวาดภาพไม่ได้น่ะ หายแล้วสินะ”
ผมหวังว่ามันจะเป็นอย่างงั้น
“อ้อ จริงสิ ลืมไปเลย เรากำลังวาดภาพไม่ได้อยู่นี่นะ”
“พูดอย่างกับเป็นเรื่องของคนอื่นเลยนะ”
“สาเหตุก็พอจะเข้่าใจอยู่หรอกนะ”
“ถ้าอย่างงั้นก็รีบๆแก้ซะสิ อย่างเธอน่ะ นอกจากเรื่องวาดภาพแล้วก็ไม่เห็นจะทำอะไรสักอย่างเลย”
“ถ้าแค่นั้นสำหรับวัยรุ่นแล้ว ออกจะเงียบเหงาเกินไปนะสิ”
“อย่ามาใช้คำว่าวัยรุ่นน่ะ”
“ใช่ เราคงจะเหงาจริงๆนั่นล่ะนะ คุเซะก็จะไม่อยู่แล้่ว ยูก็กำลังจะจากเราไป แย่จังเลยนะ แย่จริงๆ...”
“คุเซะกำลังจะจากไปก็ใ่ช่อยู่ แต่ฉันไม่ได้จะไปไหนไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วน่ะ เธอนี่หัวช้าจังเลยนะ”
“หา?”
ที่ว่าหัวช้านี่หมายความว่าไง?
“เอาเถอะ เราเองก็คงจะพูดแทนคนอื่นไ่ม่ได้หรอก แม้แต่หัวใจตัวเองก็ยังไม่รู้เลยนี่นะ
ถ้าดูแค่ภายนอกของสิ่งต่างๆแล้วละก็ แม้จะเห็นลักษณะเด่นชัดเจนแค่ไหนก็ไม่สามารถวาดรูปร่างที่แท้จริงออกมาได้หรอก
มาคิดได้เอาป่านนี้ เรานี่มันโง่จริงๆเลย”
“ก็คงจะโง่จริงๆนั่นแหละ..... ไม่ค่อยจะเข้าใจที่เธอพูดมาเลยสักนิด”
“เธอมานี่มีธุระอะไรเหรอ?”
นา งิอยู่ดีๆก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นมาทันที ดูเหมือนจะเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วสินะ เอาเถอะ เรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้นั้นต่อให้พูดแค่ไหนก็คงไ่ม่สนใจอยู่ดี
“เธอน่ะ เรื่องสอบไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”
“ก็พอดำน้ำไปได้เรื่อยๆน่ะ น่าจะได้คะแนนประมาณค่าเฉลี่ย ถ้าคิดแบบนี้แล้วก็ไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นเหรอ”
เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นห่วงอะไร ผมจึงพยักหน้าขึ้น
“นางิ เธอเองก็ได้รับเหมือนกันสินะ ใบเชิญไปงานเลี้ยงอำลาคุเซะ”
“อ้อ ไอ้นั่นนะเหรอ จะว่าไปแล้ว วันนี้สินะ”
“ดูเหมือนว่ากำลังจะเริ่มแล้วนะ ที่ห้องเรียน เห็นคุเซะบอกว่าเตรียมข้าวเที่ยงมากับมือเลยนะ”
“พอลองมาคิดดูแล้ว ดูเหมือนเราจะไม่เคยจะได้ทานข้าวกับคุเซะเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะ”
“เอ๋ คงงั้นล่ะมั้งนะ”
ผมยังเคยถูกพาไปกินข้างนอกด้วยกันอยู่บ่อยๆ และเพื่อให้เหมาะกับเงินในกระเป๋าผม ก็เลยทำให้ต้องเลือกทานที่ถูกๆตลอด
“เพราะยูน่ะไม่ได้ทานข้าวที่โรงเรียนเลยสินะ”
“แล้วทำไมฉันจะต้องออกมาด้วยล่ะ”
“ยูกับคุเซะน่ะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตลอดเลย เรื่องนั้นก็รู้อยู่หรอกนะ”
“เข้าใจอะไรก็ดีแล้ว เพราะงั้น เอาไงล่ะ?”
นางิยิ้มขึ้น แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย
“ถ้าเป็นตอนนี้ละก็ เราอาจจะวาดอะไรบางอย่างได้ก็ได้”
“อะไรบางอย่าง?”
“ใช่ อะไรบางอย่าง ยังไงถ้าไม่ลองวาดให้เสร็จก็คงจะไม่รู้ล่ะนะ”
“ก็หมายความว่า จะไม่เข้าไปร่วมงานด้วยสินะ”
นางิพยักหน้าแล้วไม่พูดอะไร สำหรับยัยนี่แล้ว การวาดภาพคงจะสำคัญกว่างานเลี้ยงน่าเบื่อนั่นเป็นไหนๆ
“ไปล่ะนะ”
ผมโบกมือ หันหลังให้ แล้วทำท่าจะเดินออกไป
“ยู”
“หืม?”
“ช่วย ไปบอกคุเซะด้วยนะ ว่าเราจะต้องเป็นจิตรกรที่แท้จริง จะวาดภาพที่สั่นคลอนจิตใจของทุกคนได้อย่างแท้จริงให้ดู เพราะฉะนั้น คุเซะเองก็ห้ามเลิกล้มแล้วกลับมากลางคัน”
“จะให้บอกคุเซะทั้งๆอย่างงี้เลยจะดีเหรอ?”
“มันอายนะ อย่าพูดสิ”
“ใครกันแน่เนี่ย!”
จริงๆ เลย เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ แต่ว่า แบบนี้แหละ ถึงสมกับเป็นนางิ บางที เพราะนางิเป็นแบบนี้นี่แหละ เราถึงได้กลายมาเป็นเพื่อนกันได้
................................
ทันทีที่ขึ้นบันไดมาถึง ก็เห็นเงาคนกำลังยืนนิ่งอยู่ลางๆ
“ครูอามะมิยะ”
“อ้าว ฮิมุระคุง สอบเป็นไงบ้างล่ะ?”
“ก็ทำได้เหมือนทุกทีน่ะครับ”
“เห็นยูโกะก็บ่นว่าทำไม่ค่อยได้อยู่ซะด้วยสิ”
“ถ้าบ่นแค่นี้ละก็คงไม่ถึงกับผลการเรียนตกหรอกครับ สบายใจได้”
“โฮ่ เป็นคนที่เยี่ยมอย่างที่คิดเลยนะ เธอเนี่ย”
อามะมิยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“จริงสิ ที่นี่สูบไม่ได้นี่นะ”
“จะทำอะไรหรือครับ”
“ไม่ไหว ไม่ไหว เพราะนอนไม่พอ หัวมันเลยไม่ค่อยแล่นน่ะ”
“ดูง่วงบ่อยจังเลยนะครับ”
“ฉัน มันก็แค่พนักงานชั้นผู้น้อยนี่นะ งานอะไรๆก็เลยเยอะเป็นธรรมดา หลังจากนี้ก็ยังมีประชุมต่ออีก จะไม่ไปก็ไ่มได้ด้วยสิ แย่จริงๆเลย จะไปนอนกลางวันก็ไม่ได้”
“ปกตินอนกลางวันด้วยหรือครับ”
“บางครั้งก็มีแอบหลับที่ห้องเตรียมงานศิลปะน่ะ แต่ว่าหมู่นี้ยุ่งๆก็เลยแทบจะไม่ได้ทำอย่างงั้นแล้ว”
“ก็เป็นเรื่องปกติของการทำงานนี่นะครับ”
จะว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็ใช่ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นอามะมิยะก็เลยอดที่จะพูดไม่ได้
“พวกเธอนี่ดีนะ”
“หา?”
“พวกเธอนะ่ยังไม่ต้องทำงานอะไร ความพยายามในช่วงต่อจากนี้ไปล่ะนะที่จะเป็นตัวตัดสิน ว่าจะได้เป็นอะไรในอนาคต”
............-“เราจะต้องเป็นจิตรกรที่แท้จริง”-
“จะให้ยืนฟังอีกนานมั้ยครับ”
“อ้อ แหะๆ โทษทีๆ ห้องศิลปะน่ะ เป็นที่ทำงานของฉัน ที่จริงก็อยากเข้าไปแต่เพราะเห็นเธอกับฮิโรโนะซังน่ะยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่น่ะนะ”
ชายคนนี้ คงไม่ได้กำลังคิดอะไรไม่ดีอยู่หรอกนะ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันไม่ได้ฟังที่พวกเธอคุยกันทั้งหมดหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะให้คนอื่นฟังไม่ได้อยู่หรอกครับ”
“นั่นสินะ แต่ว่าคุยกันเรื่องน่าสนใจดีนะ”
“จริงๆแล้วที่นางิพูดมานี่ผมก็ฟังไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด”
“เป็นงั้นหรอกหรือ”
อามะมิยะทำหน้างงๆ
“อย่างที่คิดเลย เธอน่ะ”
“เอ๋?”
“เปล่าหรอก ฮิมุระคุง เธอเองก็ จากนี้ไปล่ะนะ เรื่องที่เธอคุยกันว่า จะได้เป็นของจริงได้หรือเปล่านั่นน่ะ”
“...................”
ต้องได้เป็นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะรักษาผลการเรียนเอาไว้ตลอด
“เอาเถอะ เธอจะไปเป็นอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเองล่ะนะ ฮิมุระคุงจะไม่ไปต่อด้านวาดภาพ ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้สินะ”
“ถ้ารู้แล้วก็เลิกตามผมซะทีเถอะครับ”
ถ้าไม่รีบไปตอนนี้คงได้โดนคุเซะบ่นแน่เลย
“ไปก่อนนะครับ ผมมีธุระ”
“อ้อ จริงสิ ฉันเองก็จะเข้าไปที่ห้องศิลปะอีกสักหน่อย จากนั้นก็จะออกไปข้างนอก”
อามะมิยะทำท่าจะเดินจากไป แต่แล้วก็หยุดเท้าลง
“ฮิมุระคุง”
“ครับ?”
.........!?
นี่มันอะไรกัน ความรู้สึกที่น่าสะพรึงกลัวที่ค่อยๆผุดขึ้นมาจากข้างหลังนั่น
“เปล่า ไม่มีอะไร คราวนี้ขอตัวจริงๆล่ะ”
“.....ครูอามะมิยะ?”
อามะมิยะหันหลังให้ แล้วเดินจากไป
มันอะไรกันนะนี่
ความรู้สึกชั่วขณะเมื่อตะกี้นี้ หรือว่า..... อย่างกับจิตสังหารเลย
แน่นอนว่าตอนนี้ ความรู้สึกถึงจิตสังหารนั้นได้หายไปแล้ว
จิตรสังหาร ถ้าจะพูดให้หนักๆหน่อยมันก็คือความรู้สึกเป็นศัตรูงั้นเหรอ?
ผม เริ่มเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาท่วมหน้าผากตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เหงื่อนี่ ไม่ใช่เพราะอากาศร้อน เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
มันติดมากับตัวของอามะมิยะงั้นเหรอ ตอนนี้ก็มีแค่กลิ่นบุหรี่จางๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตรงนี้
“รุ่นพี่ฮิมุระ”
ทันใดนั้นก็เห็นยูโกะกำลังเดินจ้ำมาทางนี้
“มัวทำอะไรอยู่คะ ช้าจังเลย รุ่นพี่คุเซะดูท่าจะโกรธแล้วนะคะ”
ดูเหมือนยูโกะจะไปเจอคุเซะมาก่อนแล้วสินะ
“โทษที แต่นางิบอกว่าจะไม่มาน่ะ”
“แหม เป็นไปตามที่รุ่นพี่คุเซะพูดเลยนะคะ”
“เคยทายอะไรผิดบ้างหรือเปล่านะ หมอนั่น”
“ว่าแต่ ยังไงดีล่ะคะ ถ้าเทียบกันแล้วยังไงฉันก็ไม่ได้สนิทกับเขาเท่ารุ่นพี่ฮิมุระด้วยสิคะ”
“เธอน่ะ จะกลับไปก็ได้นะ”
“ถ้าฉันกลับไปก่อนละก็ รุ่นพี่ฮิมุระก็คงจะเสียใจแย่สิคะ”
ยูโกะหัวเราะขึ้นอย่างขี้เ่ล่น
...........................................
ผมเข้าใจสาเหตุที่ยูโกะหัวเราะขึ้นมาในทันที พอเปิดประตูห้อง 2-D เข้ามา ในห้องมีแค่เพียงคุเซะ ชูอิจิอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“อะไรน่ะ ไม่มีใครมากันเลยเหรอนี่?”
“ไม่หรอก ไม่ใช่อย่างงั้น”
คุเซะยิ้มขึ้น
“ตั้งแต่แรก คนที่ฉันชวนมาก็มีแต่ฮิมุระกับนางิ แล้วก็ยูโกะจังเท่านั้นอยู่แล้วล่ะ”
“อะไรนะ อีกแล้วเหรอ....”
ถ้างั้นไอ้ไบปลิวงานเลี้ยงอำลานั่นมันอะไรกันล่ะน่ะ
“ไม่ใช่ว่าจัดงานร่วมกันกับเด็กสาวที่นายเคยคบอยู่หรอกเหรอ?”
“ฉันได้ไปบอกลากับพวกเธอทีละคนแล้วล่ะ จะให้รวบหัวรวบหางเลยแบบนั้นน่ะ มันเสียมารยาทนะ”
“พวกเราก็อยู่ด้วย ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่นา”
“กับเด็กผู้หญิงที่ชอบแล้วน่ะ อยู่ลำพังเพียงสองคนเป็นดีที่สุด”
สรุปง่ายๆก็คือ ผมถูกหลอกให้มานั่นเอง
“ฮิมุระ จะทานไอ้นั่นก็ได้นะ”
“................”
มีขนมปังกับแซนวิชซึ่งคาดว่าน่าจะซื้อมาจากร้านวางอยู่บนโต๊ะของผม
“ขอโทษนะคะ พอดีว่ามันหิวนิดหน่อยฉันก็เลยทานไปก่อนแล้วน่ะค่ะ”
ยูโกะทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด
“แน่นอน ฉันเองก็ทานไปแล้วเหมือนกัน ได้มาทานข้าวกันกับยูโกะสองต่อสองแบบนี้ ช่วยต่ออายุให้ยืนไปได้อีกเลยล่ะ”
“เป็นคนแก่หรือไงกัน นายเนี่ย”
ผมจ้องมองสำรวจที่ตัวคุเซะ
“ไม่จำเป็นหรอก นายก็รู้นี่ว่าฉันไม่กินมือกลางวัน”
“กินไปเถอะ ถ้าท้องร้องขึ้นมาระหว่างการแสดงดนตรีละก็ คงจะเสียบรรยากาศน่าดูเลย”
“แสดงดนตรีเหรอ”
ผมเริ่มสังเกตว่ามีของที่ไม่คุ้นตาวางอยู่บนโต๊ะของคุเซะ
“ไวโอลิน?”
“ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว งานที่กำลังจะเริ่มต่อไปนี้นั้นนอกจากจะเป็นงานเลี้ยงอำลาแล้ว ยังเป็นงานแสดงดนตรีของคุเซะ ชูอิจิอีกด้วย”
“คิดอะไรของนายอยู่น่ะ”
“ฉันยังไม่เคยให้ฮิมุระได้ฟังเลยสักครั้งไม่ใช่เหรอ? ก็เลยตั้งใจจะเล่นให้ฟังเป็นของฝากสำหรับการอำลาในครั้งนี้สักหน่อย เชิญตั้งใจฟังกันให้ดี”
“แหม พูดแบบนี้ก็หมายความว่าตั้งใจทำเพื่อรุ่นพี่ฮิมุระคนเดียวโดยเฉพาะเลยสินะคะ”
“อ้อ โทษทีๆ วันนี้สำหรับเพื่อนสนิททั้งสองซึ่งได้กลายมาเป็นคนรักกัน”
คุเซะพูดขอโทษด้วยท่าทีที่ขี้เก๊กเช่นเคย
“ฉันขอมอบงานแสดงดนตรีครั้งสุดท้ายในประเทศนี้ และเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ให้ ในสถานที่แห่งนี้ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ”
“ดูนายจะประทับใจกับที่นี่มากกว่าที่คิดนะ”
“อาจจะเป็นอย่างงั้นล่ะนะ ว่าแต่ ฮิมุระ จะไม่ทานอะไรจริงๆเหรอ?”
ผมพยักหน้าเงียบ
“ยูโกะจัง”
“ค่ะ”
ยูโกะก็พยักหน้า
“ถ้าอย่างงั้น เรามาเริ่มกันเถอะ”
ชั่วขณะที่สัมผัสไวโอลิน สีหน้าของคุเซะก็ดูตึงเครียดขึ้นในชั่วขณะนั้น
นั่นคือ ใบหน้าที่ผมยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้งจนถึงตอนนี้ เป็นใบหน้าของนักไวโอลิน คุเซะ ชูอิจิ
“..............”
เมื่อคุเซะ เริ่มจับไม้ขึ้นมาทาบกับตัวเครื่อง ก็ได้เกิดเสียงใสๆดังขึ้นจนตกใจ ดูเหมือนนี่จะเป็นการปรับสายเครื่องสินะ
“รุ่นพี่คุเซะ ดูต่างไปจากทุกทีมากเลย....”
ยูโกะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังประหลาดใจอยู่
บางทีอาจจะจริงอย่างที่ยูโกะพูด ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนอื่นไปเลยจริงๆ
ตัวจริง... ชายที่อยู่ตรงหน้านี้คือตัวจริงไม่มีผิดแน่
“.................”
พอคุเซะปรับสายเสร็จแล้ว ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
จากนั้น ช่วงเวลาที่ราวกับปาฏิหาริย์ก็ได้เริ่มขึ้น
ความรู้สึกที่ว่าแม้แต่เสียงลมหายใจก็ฟังดูหนวกหู แม้แต่หัวใจก็ไม่ต้องเต้นได้ยิ่งดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเช่นนี้
เสียง ต่างๆที่รบกวนท่วงทำนองของไวโอลินนั้น ค่อยๆเลือนลางหายไปจากความรู้สึกทีละนิด ทีละนิด ท่วงทำนองที่ออกมาจากสายทั้ง ๔ เส้นนั้น ได้ค่อยๆซึมซ่านเข้าไปทั่วทั้งร่าง
เพราะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับดนตรีมาเลยจนถึงตอนนี้ ทั้งบทเพลงที่คุเซะกำลังเล่นนี่ก็ รู้แต่เพียงว่าเป็นทำนองคลาสสิกเท่านั้น
แต่ว่า ไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรก็ได้ ปล่อยใจ ปล่อยเวลาให้ลอยไปกับ ความไพเราะ ความอ่อนโยนนี้ โดยไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น
“..................”
รู้สึกได้ว่ามีคนมาจับมือผม ไม่จำเป็นต้องดูก็รู้ ว่านั่นเป็นมือของยูโกะ
“รุ่นพี่.....”
ยูโกะกำลังน้ำตาคลออยู่ น้ำตาไหลซึมออกมาจากตาคู่นั้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง การแสดงดนตรีของคุเซะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มีสะดุดหยุดกลางคัน ผมค่อยๆจับมือของยูโกะกลับ
ผมเข้าใจเหตุผลของน้ำตาเธอดี ยูโกะเคยพูดไว้ว่าอยากให้โลกนี้สวยงาม ตอนนี้ของสวยงามก็ได้มาอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ผมคิดเช่นนั้น
เสียงเพลงที่ไพเราะขนาดนี้ ท่วงทำนองที่สั่นคลอนจิตใจได้อย่างอ่อนโยนขนาดนี้มีอยู่จริง ไม่ใช่อะไรที่ควรจะมองข้ามไปเลย มนุษย์อย่างผมก็คิดได้เช่นนั้น
ยูโกะเองก็คงจะคิดเหมือนกัน น้ำตาที่ไหลร่วงลงมาจากดวงตาของเธอนั้น บ่งบอกถึงความรู้สึกของเธอได้ดีกว่าอะไรทั้งหมด
ภาพทิวทัศน์ของห้องเรียนที่เห็นอยู่จนชินตา แต่รู้สึกราวกับมีแสงสว่างลางๆลอดผ่านออกมา ท่วงทำนองอันเปล่งประกายที่ล่องลอยออกมาจากไวโอลินของคุเซะนั้น กำลังแต่งเติมโลกนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ครืด
“.............”
ประตู ได้เปิดออก มีนักเรียนหญิงหลายคนเดินเข้ามา ดูเหมือนจะถูกเสียงเพลงนี้ดึงดูดให้เข้ามากัน ช่วยไม่ได้ล่ะนะ พอได้ยินเสียงนี้่แล้ว ไม่ว่าใครก็คงอยากจะเข้ามาฟังใกล้ๆ
ราวกับสุริยเทพผู้เปิดประตูถ้ำออก
แม้จะมีคนเข้ามาชมการแสดงดนตรีของคุเซะเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่มีเสียสมาธิเลย ทั้งนิ้วมือซ้ายทั้งคันสียังคงขยับต่อไปเรื่อยๆ
“ขอโทษนะคะ รุ่นพี่ ฉันขอ.....”
“?”
จู่ๆ ยูโกะก็ลุกขึ้นยืน
“แล้วจะรีบกลับมานะคะ”
พูดจบ ยูโกะก็เอามือปิดปากแล้วเดินออกจากห้องเรียนไป
“ยูโกะ?”
ในตอนนั้นเอง เสียงก็ได้หยุดลงอย่างพอเหมาะพอเจาะ บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงบจนน่ากลัว
“เฮ้อ...”
คุเซะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ได้ดังกระหึ่มขึ้นจนแสบหู ผมเองก็ปรบมือเช่นกัน เป็นเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมที่มีต่อนักดนตรีผู้ได้สอนให้รู้ว่าของสวยงาม แบบนี้มีอยู่จริงๆ
...................
“แหม ฮะๆ เหนื่อยแทบแย่เลยจริงๆ”
คนที่มาฟังการแสดงของคุเซะ ถ้ารวมคนที่อยู่ที่ระเบียงด้วยก็อาจจะสัก ๕๐ คนเลยได้มั้ง ดูเหมือนจะมีหลายคนที่ถึงขนาดโดดกิจกรรมชมรมมาฟัง หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงผมกับคุเซะ ๒ คน
“กลับมาเหมือนเดิมแล้วสินะ นายน่ะ”
“เพราะโหมดนักไวโอลินน่ะมันเผาผลาญพลังงานมากจริงๆน่ะนะ คงจะอยู่นานไม่ได้หรอก”
เพราะโหมดปกติมันดูไม่ค่อยมีสาระอะไร เลยรู้สึกได้ถึงความต่างชัดเจนเลยสินะ
“นี่ก็เป็นแค่สิ่งเดียวที่ฉันจะทำได้ล่ะนะ ฉันคิดมาตั้งนานแล้วว่าอยากจะให้ฮิมุระคุงได้ฟังสักครั้งน่ะ”
“ถ้างั้น ทำไมถึงเพิ่งจะมาให้ฟังเอาตอนนี้ล่ะ? มีโอกาสตั้งกี่ครั้งไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันคิดว่านายเป็นคนที่สุดยอดมากน่ะ”
“อะไร?”
ที่ สุดยอดน่ะน่าจะเป็นคุเซะมากกว่า ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทักษะการแสดงก็เถอะ แต่ความมหัศจรรย์ที่สร้างเสียงดนตรีระดับนี้ออกมาได้ทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัว ขึ้นมาเลย
“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ นายน่ะ ถึงจะพูดไม่ค่อยเก่งแต่่ว่า... แข็งแกร่ง... ใช่ ฉันก็ไม่่ค่อยเข้าใจนักหรอก แต่รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งในตัวนาย”
“พูดอะไรคลุมเครือจัง”
พลังในการมีชีวิตอยู่ที่แข็งแกร่ง... ผมนึกถึงเรื่องที่ยูโกะเคยพูดเอาไว้ขึ้นมา ทั้งยูโกะและคุเซะ มองตรงส่วนไหนของผมนะ ถึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ออกมา
“แม้จะมีโอกาสเพียงเล็กน้อย ฉันก็ไม่อยากที่จะแสดงดนตรีที่ไม่หน้าดูต่อหน้านาย”
“........มันจะไม่น่าดูได้ไงกันล่ะ”
ผมคิดอย่างงั้นจากก้นบึ้งของจิตใจ ทั้งที่ถ้าสามารถเล่นดนตรีได้ถึงขนาดนี้ละก็ น่าจะได้รับการยอมรับจากคนอื่นไปนานแล้วแท้ๆ
มีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าจะเล็งเป้าที่สูงกว่านี้ขึ้นไปอีกละก็ ต้องมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีลมเย็นพัด
รู้สึกอิจฉาแต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ผมควรจะภูมิใจที่ได้เป็นเพื่อนสนิทกับคุเซะ ชูอิจิ
“ได้ยินนายพูดแบบนี้ก็ค่อยโล่งใจหน่อย”
“วันนี้นายดูถ่อมตัวจังเลยนะ”
“เท่านี้ก็สิ้นสุดแล้วล่ะนะ”
“สิ้นสุด......?”
คำพูดของคุเซะวันนี้ รู้สึกได้ว่ามันแปลกจริงๆ
“พรุ่งนี้ฉันก็จะออกเดินทางไปเยอรมนีแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู่ในประเทศนี้แล้วล่ะ”
“หา? นายไม่ได้จะออกเดินทางหลังพิธีปิดภาคการศึกษาหรอกเหรอ?”
“นั่นฉันโกหกน่ะ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย ทั้งเรื่องงานวันนี้ก็อีก มีแต่เรื่องโกหกทั้งนั้นเลยนี่นา!”
“ฮะๆๆ คนที่ถูกหลอกนั่นแหละเป็นฝ่ายผิด”
“แล้วนายจะโกหกไปให้มันได้อะไรขึ้นมากันล่ะ!”
“ได้ อะไรนะเหรอ? ก็เพราะมันสนุกไงล่ะ ฉันอยากเห็นหน้าฮิมุระตอนเป็นแบบนี้น่ะ ถ้าฉันบอกว่าจะต้องจากไปก่อนกำหนดถึง ๒๐ วันละก็ ฮิมุระจะต้องตกใจแน่เลยใช่มั้ยล่ะ?”
“คือว่านะ...”
มันก็ต้องตกใจ ต้องตกใจแน่นอนอยู่แล้วแต่...
“อุตส่าห์ลงแรงไปเยอะก็แค่เพื่อแผนการไร้สาระเนี่ยนะ”
“ในโลกนี้น่ะ สิ่งที่ไร้สาระก็คือสิ่งที่น่าสนุกล่ะ นายน่ะ ยังรู้เรื่องพวกนี้น้อยเกินไปนะ ฉันเข้าใจความรู้สึกของฮิมุระดีนะแต่ว่า บางครั้งหัดทำเรื่องไร้สาระหรือเรื่องเปล่าประโยชน์ซะบ้างก็ดีนะ ชีวิตในรั้วโรงเีรียนน่ะ มีอยู่แค่ครั้งเดียวนะ ถ้าไม่ใช้ให้มันเต็มที่แล้วจะเสียใจ”
“พูดจาฟังดูยิ่งใหญ่ดีนะ”
“ทั้งไปเล่นกับฉันบ้าง ทั้งไปซื้อของกับนางิบ้าง อย่างน้อยมันก็สนุกใช่มั้ยล่ะ? ลองทำโดยที่ไม่ต้องฝืนดูบ้างสิ”
“ไม่หรอก ไม่ใช่ว่าฝืนอะไร”
“ถึงยังไงนายก็ตั้งใจทำใช่มั้ยล่ะ”
นั่นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่าสำหรับผมแล้ว ถ้าปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปก็เท่ากับเงินก็หายไปด้วย
“เรื่องของยูโกะจังก็เหมือนกัน”
“ยูโกะ?”
“เด็กคนนั้นก็เหมือนกับนายนั่นแหละ ดูอะไรๆก็ไม่สนุกเลยสักนิด”
“ยูโกะก็หัวเราะอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ”
จะว่าไป ยัยนั่นหายไปไหนกันนะ ทั้งๆที่บอกว่าจะรีบกลับมาแท้ๆ
“เป็นงั้นแน่เหรอ? ฉันน่ะคบกับผู้หญิงมามากมายนะ แต่ก็ยังไ่ม่เคยเห็นคนที่ดูมีท่าทีอมทุกข์อย่างยูโกะจังน่ะเลยนะ”
“จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้นายเคยพูดไว้ว่าไม่สามารถรับยูโกะไว้ได้งั้นสินะ”
“นายเองก็อาจจะรู้สึกอยู่แล้วก็ได้นะ เด็กคนนั้นน่ะ เธอชอบพูดโกหก”
“ชอบโกหก?”
“ทั้งถ้อยคำและท่าทีก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างดูเกินจริง แต่คงไม่ใช่โกหกแบบเดียวกับฉันแน่นอน”
“ยัยนั่น..........?”
“ไม่ ได้บอกว่าไม่ให้โกหก แ่ต่ให้ใช้ชีวิตให้สนุก ทั้งฉัน และก็นาย แล้วก็ผู้คนในเมืองนี้ก็คงจะรู้กันอยู่แล้วสินะ ว่าชีวิตคนเราน่ะ จะจบลงเมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้”
“.....................”
แผ่น ดินไหวที่เกิดขึ้นในวันคริสต์มาส เปลวไฟหิวกระหายซึ่งกลืนกินทุกอย่างเข้าไป ในคืนนั้น เป็นคืนที่ได้สอนให้รู้จักถึงความโหดร้ายของโลกนี้ได้เป็นอย่างดี
“ให้ เล่นกับเพื่อน ให้ทำเรื่องสนุกให้มากๆเข้าไว้ ให้ความสำคัญกับเด็กผู้หญิงที่ชอบ ให้มองหาความฝันของตัวเอง และทำให้มันเป็นจริงให้ได้ ฮิมุระ ถ้าเป็นนายละก็ต้องทำได้แน่นอน”
“เทศนาสอนอะไรได้เยอะกว่าที่คิดนะ นายเนี่ย”
“โหย ไม่หรอกๆ คนหนุ่มอย่างฉันจะไปเทศนาสอนใครได้ล่ะ”
คุเซะตีหัวตัวเองดังป๊อกๆ ไอ้หมอนี่มันบ้าจริงๆ บ้าแต่ก็... รู้ในสิ่งที่สำคัญ
“เอาล่ะ ฉันเองก็จะต้องไปแล้ว ต้องรีบไปเตรียมการสำหรับวันพรุ่งนี้แล้วล่ะนะ”
“อื้อ ไปดีมาดีนะ”
การจับมือหรือถ้อยคำบอกลาอะไรนั้นไม่จำเป็น การจากกันของผมกับคุเซะน่ะ แบบนี้แหละดีแล้ว
“แต่ว่านะ ฉันก็มีลางสังหรณ์ว่าจะได้พบกับนายอีกครั้งที่ไหนสักแห่งอย่างไม่คาดคิดนะ”
“อย่ามาพูดคำทำนายบ้าๆแบบนี้ก่อนจากกันน่ะ”
“ฮะๆๆ”
คุเซะหัวเราะขึ้น แล้วเอามือคว้ากล่องใส่ไวโอลิน ชั่วขณะนั้นก็มีท่าทีเปลี่ยนไป แล้วหันหน้ามาทางนี้ ด้วยท่าทีที่ดูจริงจัง
“ฮิมุระ”
“ยังมีอะไรอีกเหรอ”
“จริงๆฉันว่าจะปล่อยไว้โดยไม่พูดแล้วนะ แต่ว่า สุดท้ายแล้ว ถ้าเีงียบไว้ก็คงจะไม่สบายใจจริงๆ”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“เรื่องของยูโกะจังน่ะ”
“ยูโกะ?”
“อื้อ ฉันรู้สึกนิดหน่อย ไม่สิ ค่อนข้างจะรู้สึกได้เลยล่ะ”
................................
พวกเราถือกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องเรียนที่ไร้ผู้คน
-“อ้อ ใช่ๆ ฉันน่ะ จากนี้ต่อไปอาจจะได้ยืนอยู่บนเวทีระดับโลก เพราะงั้น บางทีอาจจะไม่ได้กลับมาประเทศนี้แล้วก็เป็นได้”-
หลังจากพูดเรื่องใหญ่โตแบบนี้ได้หน้าตาเฉยเสร็จ คุเซะก็เดินออกจากโรงเีรียนโอโตวะไป บางที อาจจะไม่ได้เจอกับหมอนั่นอีกแล้วก็ได้
เพื่อเสาะแสวงหาสิ่งที่ไม่อาจหาได้จากประเทศนี้ จึงต้องออกเดินทางไปยังดินแดนแห่งใหม่
วันนี้ ต้องไปทำงานตั้งแต่ตอนเย็น เพื่อทดแทนส่วนที่หยุดไปในช่วงเตรียมสอบและช่วงสอบ เลยต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ ในช่วงที่หยุดไปเจ้าของร้านคงจะลำบากน่าดู ต้องรีบกลับไปช่วยงานต่อให้เร็วที่สุด
ทั้งที่เป็นอย่างนั้น..... แต่ตอนนี้ อารมณ์อยากทำงานมันกลับหายไปหมด
เพราะอะไรนะเหรอ.......
............................
คุเซะน่ะ.........
“ว้าก....!!”
“..............”
ชั่วขณะที่เปิดประตูออกไป ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา
“อ้าว? ทำไมไม่ตกใจเลยล่ะคะ?”
“เพราะฉันคาดไว้แล้วว่าเธอจะต้องมาแบบนี้นะสิ”
“จิตใจแข็งแกร่งอย่างกับเหล็กกล้าเลยนะคะ”
ยูโกะทำท่าเหมือนเสียดาย
“กำลังคิดอยู่เลยว่ารุ่นพี่จะมารับหรื่อเปล่านะ ก็เลยอุตส่าห์รออยู่แท้ๆ”
“ถ้าอย่างงั้นช่วยรอแบบธรรมดา ไม่ต้องทำเรื่องไร้สาระก็ได้นะ”
ถ้าผมเกิดไม่มาขึ้นมาจะทำยังไงต่อไปล่ะ ตั้งใจจะดักรออยู่หน้าประตูไปจนกว่าตะวันตกดินเลยหรือไงกันนะ?
“เอาเถอะ เอ้านี่”
“แหม ขอบคุณมากนะคะ”
ผมหยิบกระเป๋าที่ยูโกะวางทิ้งไว้ในห้องเรียนส่งคืนให้
“รุ่นพี่คุเซะล่ะคะ?”
“กลับไปแล้วล่ะ”
“งั้นหรือคะ..... ยังไม่ได้ไปพูดขอบคุณอะไรเลยแท้ๆ”
“ไม่ต้องไปขอบคุณอะไรหรอก คุเซะมันก็แค่อยากจะเล่นดนตรีให้พวกเราฟังอยู่แล้วน่ะ”
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะค่ะ ยังไงก็อยากจะขอบคุณอยู่ดี”
“ถ้าอย่างงั้น ไว้ค่อยเขียนจดหมายไปก็ได้”
“จดหมาย?”
ผมรีบอธิบายเรื่องที่คุเซะกำลังจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ทั้งเรื่องที่คุเซะกำลังยุ่งอยู่วันนี้ ถ้าอยากจะขอบคุณก็ให้ไว้วันหลังแทน
“งั้น... หรือคะ จะว่าสมกับเป็นรุ่นพี่คุเซะ ก็ใช่นะคะ”
“สุดท้ายก็ทำให้คนอื่นวุ่นวายกันจนได้นะ ไอ้บ้านั่น”
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยกโทษให้หมดล่ะค่ะ เพราะเขาอุตส่าห์เล่นเพลงนั่นให้ฟัง”
“ความสามารถกับนิสัียเนี่ย มันคนละเรื่องกันจริงๆ นั่นล่ะนะ”
“ฉันไม่คิดอย่างงั้นนะคะ ถ้าคนที่สามารถสร้างเสียงเพลงได้แบบนั้นแล้วละก็ จะต้องเป็นคนที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์มากแน่นอนเลยล่ะค่ะ”
“บริสุทธิ์?”
ถ้า หมายถึงคุเซะละก็ ดูยังไงก็เป็นคำพูดที่ห่างไกลออกไปจากความจริงอยู่หลายล้านปีแสง แต่ว่า หลังจากได้ฟังเสียงไวโอลินนั่นแล้ว ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ล่ะนะ
“เป็น เสียงที่ไพเราะสดใสราบรื่นมากไม่มีผิดเพี้ยนจริงๆเลยนะคะ บางทีอาจเพราะรุ่นพี่คุเซะเติบโตมาโดยได้รับความรักจากคนรอบข้างก็ได้นะคะ ถึงทำให้สามารถสร้างเสียงเพลงที่ไพเราะแบบนั้นออกมาได้”
“ถ้าอย่างงั้นก็น่าจะฟังให้จบไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ล่ะค่ะ ให้รุ่นพี่มาเห็นตอนร้องไห้แบบนี้แล้วรู้สึกอายน่ะค่ะ”
“โกหกสินะ?”
“โกหกค่ะ”
บนดาดฟ้านี้มีแสงสว่างแห่งฤดูร้อนส่องลงมาอยู่ตลอดเวลา แถมกระแสลมอ่อนๆก็ยังพัดพาความชื้นมาอีกด้วย
ยูโกะพ่นลมหายใจออกมา และยิ้มด้วยสีหน้าเหนื่อยใจเล็กน้อย
“มัน ค่อนข้างจะสวยงามเกินไปน่ะค่ะ อย่างฉันคงฟังไม่ได้หรอกค่ะ บางที มันอาจจะมีค่าต่อโลกนี้ก็เป็นได้ ฉันแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะคิดแบบนี้”
“เชื่อแบบนั้นไปแหละ..... ดีแล้ว”
“เอ๋?”
“รับรู้ในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกทั้งๆแบบนั้นแหละดีแล้ว ยอมรับมันโดยง่ายขึ้นกว่านี้อีกได้ยิ่งดี”
ผมเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่งแล้วจับที่ไหล่ของยูโกะ
“รุ่นพี่......?”
ริมฝีปากประสานกัน
“...........!?”
ผมถูกผลักออกไปด้วยกำลังแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เซออกไป แต่ก็รักษาการทรงตัวไว้ไม่ให้ล้มได้
“ร..รุ่นพี่.....”
“ขอโทษนะ”
“เปล่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
ยูโกะเริ่มมีอาการหน้าแดง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม
ดูเหมือนนี่จะเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากการคาดการณ์ไว้สินะ
“นั่นสินะคะ ตอนนั้นฉันเองก็เหมือนกัน...... เท่านี้ก็หายกันแล้วสินะคะ”
“หายกันงั้นเหรอ เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ”
ผม จำเป็นจะต้องตัดสินใจและเตรียมใจ จะไม่ยอมให้มันค้างๆคาๆอีกต่อไป จะคอยหลบยัยนี่ซึ่งเป็นคนที่ทำให้นึกถึงเรื่องของอากาเนะ อย่างนี้ไปตลอดงั้นเหรอ แล้วก็ ผมจะยอมรับยูโกะต่อไปได้หรือเปล่า
“ยูโกะ เธอกำลังแบกรับอะไรเอาไว้งั้นเหรอ?”
“.....เปล่า ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“นั่นก็โกหกสินะ”
“หรือว่าบางที รุ่นพี่คงจะกำลังคิดว่าสิ่งที่ฉันพูดนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดเลยงั้นสินะคะ”
ยูโกะพูดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ว่า ตัวผมตอนนี้ไม่สนใจเล่นตลกอะไรด้วยทั้งสิ้น
“เรื่อง ที่อยากพูดก็ไม่พูด เรื่องที่อยากถามก็ไม่ถาม ไม่ว่าจะถูกถามอะไรก็ไม่ยอมตอบกลับมาตามที่ต้องการ นิ่งเงียบ หรือไม่ก็เอาแต่กลบเกลื่อนด้วยคำพูดที่ไม่เป็นเรื่อง”
“นั้นน่ะ... ทั้งหมดนั่นหมายถึงฉันงั้นหรือคะ”
“ฉันไม่ได้มีนิสัยชอบพูดบ่นกับตัวเองต่อหน้าคนอื่นสักหน่อย”
“รุ่นพี่ ดูแปลกจังเลยนะคะ อยู่ดีๆก็เข้ามาจูบบ้างล่ะ แล้วนี่ก็ยังมาพูดเรื่องที่เข้าใจยากอีก”
เรื่องนี้เจ้าตัวน่าจะรู้ตัวดีที่สุด ทั้งที่เข้าใจ แต่ก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตั้งใจที่จะทำอะไร ก็ไม่ทำ
“จะขอถามอีกครั้ง”
ยู โกะไม่ยอมให้ใครเห็นผิวของตัวเองเลย เนื่องจากร่างกายอ่อนแอ ตอนคาบพละก็ได้แต่ดู ตอนที่เขาตรวจร่างกายกันก็ไม่ยอมมา พอถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายตามฤดู ก็ยังคงใส่เสื้อแขนยาวอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ถูกทิ้งในชั้นเรียน
ทั้งหมดนี่ คือเรื่องที่ให้คุเซะไปช่วยสืบมาให้หลังจากที่เกิดเรื่องแกล้งกันในชั้นตอน นั้น ดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่รู้จักกับคุเซะซึ่งเรียนอยู่ห้องเดียวกับยูโกะจะเป็น คนบอกมา
......-“บางครั้ง พอมองที่ตาของอามะมิยะซังแล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมา”-
บางทีเธออาจจะพูดไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากก็เป็นได้ แต่ว่าดูเหมือนคุเซะจะเชื่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
“ยูโกะ เธอน่ะ ตอนนี้กำลังแบกรับอะไรไว้อยู่กันแน่?”
“แบกรับอะไร..... งั้นหรือคะ...?”
“ไม่ต้องมาพูดซ้ำ สิ่งที่ฉันต้องการคือคำตอบ”
“หยิ่งจังเลยนะคะ รุ่นพี่”
ยูโกะน่ะ ไม่มีเพื่อนในชั้นเรียนอยู่เลย ในโรงเรียนนี้นอกจากผมกับคุเซะแล้วก็นางิแล้ว ก็ไม่เห็นจะว่าจะคุยกับใคร
-“เหตุผล ที่ยูโกะต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้ภายในชุดฤดูหนาวหนาเตอะนั่น โดยไม่ยอมคบเพื่อนคนไหนเลยนั้น.................. นายควรที่จะได้รู้มัน”-
คุเซะ ชูอิจิ พูดไว้เช่นนั้น
“ฉันบอกว่าฉันอยากจะรู้เรื่องของเธอไง”
ท่าที่ของยูโกะตั้งแต่พบกันใหม่คราวนั้นจนถึงตอนนี้... ถ้อยคำที่ชวนให้คนอื่นสับสน... ท่าทีที่ไม่สนใจต่อการกลั่นแกล้งอันชั่วร้ายนั้น... เชื่อมั่นในความไม่มีตัวตนของพระเจ้า... ใฝ่ฝันถึงโลกใหม่ที่สวยงาม...
ตรงไหนบ้างนะที่มันสวนทางกันอยู่
ตัวตนที่เรียกว่าอามะมิยะ ยูโกะนั้น ตรงไหนคือความจริงกันแน่
“อยากรู้จริงๆหรือคะ”
“อื้อ”
“ในที่สุด.... ก็พูดออกมาแล้ว”
ยูโกะพูดเช่นนั้นแล้วยิ้มขึ้น รอยยิ้มที่ดูไม่มีอะไรเคลือบแฝงอยู่นี้ ทำให้รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้่นระรัว
อะไรน่ะ นี่คือ.....
“ฉันรอให้คุณพูดแบบนี้..... พูดว่าอยากที่จะรู้เรื่องของฉัน..... อยากให้คุณค้นหาตัวตนของฉัน”
“ยูโกะ”
“ก่อนที่ฉันจะตอบคำถามของรุ่นพี่ ฉันขอเป็นฝ่ายถามอะไรอย่างหนึ่งก่อนนะคะ”
“อื้อ”
ผมพยักหน้าตอบ
“ตอนที่อยู่ที่สถานรับเลี้ยง ฉันคอยไล่ตามคุณมาตลอด คอยมองคุณอยู่ตลอด
ทั้งที่เป็นอย่างงั้น”
น้ำตาเริ่มไหลซึมลงมาอาบแก้ม
“ทำไมถึงไม่ยอมมาเป็นพี่ชายของฉันล่ะคะ”
“เรื่องนั้น......”
เพราะว่าสำหรับผมแล้ว น้องสาวก็มีเพียงอากาเนะคนเดียวเท่านั้น เรื่องนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ว่า เมื่อเห็นยูโกะที่กำลังร้องไห้อยู่ต่อหน้าผมตรงนี้ ยังไงก็ไม่พูดออกไปจะดีกว่า
“ถ้าหากว่าคุณยอมมาเป็นพี่ชายของฉันละก็”
จากนั้น ยูโกะจึงค่อยๆ....... เอามือมาจับที่เสื้อผ้าของตัวเอง
“ยูโกะ......”
ผมไม่ทันได้พูดห้ามเธอเอาไว้ ไม่สิ ผมคงจะห้ามอะไรเธอไม่ได้อยู่แล้ว
“ฉันก็อาจจะไม่ต้องเป็นแบบนี้”
เหงื่อได้ซึมออกมาจากนิ้วมือของเธอ
เสื้อผ้าเริ่มถูกถอดออก เผยให้เห็นผิวของยูโกะ
“ฉันก็คงจะไม่ต้องคอยสวมชุดฤดูหนาวหน้าเตอะนี่เพื่อคอยปกปิดร่างกายที่น่าเกลียดอัปลักษณ์นี้”
“...................”
ร่อง รอยพกช้ำที่แขนของยูโกะนี้ ดูยังไงก็ไม่ใช่แผลที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้นแน่นอน แถมมันยังดูใหม่..... ใช่ แถมยังมีร่องรอยเหมือนถูกจี้ด้วยบุหรีอีกต่างหาก
“ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้มาเห็น ถ้าได้มาเห็นร่างกายที่น่าเกลียดนี่แล้วละก็ ทุกคนจะต้องหนีห่างออกไป สุดท้ายแล้วก็เหมือนเดิม ฉันต้องอยู่โดดเดี่ยวเสมอมา ไม่ว่าเวลาไหน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน”
ที่ตรงหน้าอกและส่วนท้องนั้น มีรอยแผลที่ดูน่ากลัวอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ถ้าหากไม่ได้รับแรงที่มหาศาลจริงๆละก็ คงจะไม่เกิดรอยแผลหนักชัดเจนขนาดนี้แน่
“พอ ให้เห็นแล้วก็โดนตีตัีวออกห่าง พอไม่อยากให้ใครเห็น ก็ต้องกลัวที่จะโดนสัมผัสถูกตัว จึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว... สุดท้ายก็ลงเอยเหมือนกันเลยนะคะ ฮะๆๆ”
ยูโกะส่งเสียงหัวเราะออกมาทั้งที่น้ำตาที่อาบแก้มอยู่ยังไม่แห้งดีเลย
“หัวเราะ... อะไรกัน”
“อ้าว ไม่ตลกหรือคะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะสักหน่อย”
“ดูเหมือนจะไม่ตลกจริงๆสินะคะ เอาเถอะค่ะ เรื่องราวที่น่าสนใจน่ะ ยังมีอีกเยอะเลยล่ะค่ะ”
“ทำไม... เรื่องแบบนี้ถึงได้”
“อ้อ ก่อนที่จะอธิบายขอเวลาแปปนะคะ จะให้อธิบายทั้งสภาพอย่างนี้ก็ออกจะอายสักหน่อย ฉันเองก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วด้วย”
น้ำเสียงฟังดูเหมือนกับกำลังสนุกอยู่ ราวกับว่ายูโกะกำลังร่าเริงไปกับสภาพการณ์ตอนนี้เลย
ในตอนนี้ ผมรู้สึกตาสว่างขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ทั้งคำสารภาพของยูโกะ ทั้งรอยแผลนั้น ทำให้ผมยืนนิ่งไม่อาจขยับไปไหน
เหมือนกับทุกครั้ง หรืออาจจะยิ่งกว่า สาเหตุที่ยูโกะหัวเราะนั้น ต่อให้ใช้หัวคิดสักแ่ค่ไหน ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
............................
“ขอโทษนะคะ ลืมไปเลยว่าวันนี้รุ่นพี่ต้องไปทำงานต่อ เพราะงั้นเราเดินไปคุยไปก็ได้ค่ะ”
ยูโกะเดินย่างเท้าไปเรื่อยๆอย่างสบายๆ ราวกับลืมเรื่องที่ร้องไห้ และเรื่องที่ให้ดูรอยแผลไปแล้ว ราวกับว่านั่นเป็นความฝัน
“ยูโกะ”
“คะ”
“อามะมิยะสินะ”
“ก็จะมีใครอื่นอีกล่ะคะ”
หลังจากการตอบอย่างทันที ยูโกะก็ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย
“คุณลุงอามะมิยะอยู่ระหว่างออกไปทำงานที่อื่นไกลน่ะค่ะ คุณป้าก็มักจะเอาแต่นอน แถมตอนนี้ก็เข้าโรงพยาบาลไปแล้วด้วยสิคะ ฉันน่ะ ไม่มีทั้งเพื่อนทั้งแฟน ก็เลยต้องเหลืออยู่เพียงตัวคนเดียว
ถ้าแค่ลองสำรวจดูสักหน่อยก็จะเข้าใจเองละค่ะ ปิดบังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ตอนแรกก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไรหรอกนะคะ”
“งั้นเหรอ”
ผมเริ่มกำมือแน่น เล็บกินลงไปในเนื้อจนเริ่มเจ็บ แต่ว่าความเจ็บแค่นี้มันไม่เท่าไหร่หรอก
“ว่าจะพูดเอาไว้แต่ว่า พี่น่ะตอนนี้คงไม่ได้อยู่ในโรงเรียนแล้วล่ะค่ะ เห็นบอกไว้ว่าช่วงบ่ายจะออกไปทำงานข้างนอก”
จะว่าไปแล้ว ตอนที่เจอกับอามะมิยะเมื่อกี้ก็เหมือนจะมีพูดเอาไว้เหมือนกัน
“อามะมิยะไปที่ไหน รู้หรือเปล่า?”
“เรื่องนั้นจะถามไปทำไมล่ะคะ?”
“จะไปดูหน้าไอ้หมอนั่นแล้วก็ตัดสิน...”
“ฮะๆๆ ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอกค่ะ ฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าให้ฟังจนจบก่อนก็ได้ค่ะ”
“...............”
“กลัวที่จะฟังต่อหรือเปล่าล่ะคะ?”
“หมายความว่าไง?”
ผมจ้องไปที่หน้าของยูโกะ ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไร ยังคงมีท่าทีเช่นเดิม
“เล่ามาได้เลย ฉันจะฟังจนจบ แต่หลังจากนั้นแล้ว ฉันขอทำอะไรตามใจชอบบ้างล่ะ”
“ค่ะ แน่นอน”
พอเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาจนน่ากลัวนั่นแล้ว ยูโกะก็พยักหน้า
..........................
“วันนี้ก็อากาศดีนะคะ”
ยูโกะหรี่ตาลงเนื่องจากแสงอาทิตย์ เธอพูดเหมือนกำลังรู้สึกมีความสุขอยู่
“จากนี้ไปก็จะเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆสินะคะ”
“ก็เป็นหน้าร้อนนี่”
“รุ่นพี่เนี่ย ชอบหน้าร้อนหรือคะ?”
“ก็ไม่ได้ไม่ชอบ”
“เป็นคำตอบที่สมกับเป็นรุ่นพี่เลยนะคะ”
ยูโกะหัวเราะขึ้น รอยยิ้มที่ไม่มีเงาปกคลุม ราวกับย้อนกลับไปเมื่อสมัยเด็กใหม่
“ในที่สุด พอรู้ว่าจะได้คุย ไม่รู้ทำไมถึงได้ดีใจขนาดนี้นะคะ”
“ในที่สุด?”
“มัน ไม่ใช่ความลับหรืออะไรที่จะแบกรับเอาไว้ได้ตลอดไปสินะคะ ถ้าแบกรับเอาไว้ตลอดไปละก็ สักวันหนึ่งมันจะเริ่มหนักจนทนไม่ไหว หัวใจก็จะเริ่มพังทลายลง ว่าไปแล้ว อาจจะพูดได้ก็เพราะว่ามันพังทลายลงไปแล้วก็ได้นะคะ”
มีเด็กผู้หญิงสวมเครื่องแบบของโอโตวะกำลังคุยกันอย่างสนุกสนานและได้เดินแซงผ่านพวกเราไป ชุดฤดูร้อนที่ดูเย็นสบาย
เธอคงจะไม่มีทางได้ใส่แบบนั้นแน่
“จะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดีนะ เรื่องที่จะพูดก็มีมากมายซะด้วยสิคะ แต่ว่ารุ่นพี่คะ เหลือเวลาไม่มากแล้วสินะคะ”
“ไปโบสถ์กันมั้ย”
“เอ๋?”
“ถ้าเป็นที่นั่นละก็คงจะช่วยให้หายร้อนลงได้”
ผมคว้ามือของยูโกะที่กำลังทำท่างงๆอยู่ขึ้นมาจับ
เรื่องงานน่ะช่างมันก่อนเถอะ เรื่องอื่นน่ะ จะยังไงก็ช่าง ต่อให้ไม่อยากยังไงก็ต้องฟังเรื่องของยูโกะให้จบให้ได้
...............................
ภายในหอสวดนั้น บรรยากาศต่างออกไปอย่างชัดเจน รู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็น เหงื่อที่ไหลออกมาตั้งแต่เดินมาจนถึงที่นี่นั้น ได้แห้งลงอย่างรวดเร็ว
“พอมาที่นี่ทีไร ก็รู้สึกสงบใจดีนะคะ”
ยูโกะปล่อยมืออกจากผม
“เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกดีนะ ที่นี่เนี่ย”
“อย่างนี้นี่เอง เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี่นะคะ”
ยูโกะค่อยๆเดินเข้าไปด้านในหอสวดแล้วก็หยุดเท้าลงบริเวณตรงกลาง จากนั้นก็หันมายิ้มให้ผม
“รุ่นพี่ฮิมุระ ฉันคิดนะคะ...”
“อะไร?”
“ว่าฉันน่ะ ได้ทำอะไรผิดพลาดลงไปกันนะ... ผิดพลาดที่ตรงไหนกันนะ... ความจริงแล้ว ฉันคิดมาโดยตลอด แต่ว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ”
“บางที เธออาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดหรอก”
ผมไม่มีทางจะคิดว่าความผิดมันอยู่ที่ตัวยูโกะเองหรอก เมื่อก่อน เธอเองก็น่าจะเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วไปคนนึงเท่านั้น
“ถ้าอย่างงั้น ที่ผิดก็คงจะเป็นโลกใบนี้สินะคะ ฉันไม่เข้าใจหรอกค่ะ เพราะแม้แต่ ทั้งเรื่องความเจ็บปวดและขมขื่น ฉันเองก็ไม่เข้าใจมันแล้วล่ะค่ะ”
ยูโกะยิ้มขึ้นด้วยท่าทีราวกับตายด้าน ไม่เข้ากับใบหน้าของเธอ พอมองอะไรๆดูแล้ว สีหน้าแบบนี้คงเป็นไปได้จริงๆสินะ
“ว่าแต่ เรามาเริ่มกันตั้งแต่แรกเลยดีกว่าค่ะ เรื่องมันอาจจะยาวสักหน่อย แต่ว่าแบบนี้ดีแล้วจริงๆสินะคะ”
ผมพยักหน้าเงียบ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ฟังตั้งแต่เริ่มแรกจนจบ
..............................
“หลังจากถูกรับเลี้ยงโดยบ้านอามะมิยะ ฉันก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆหลายปีไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ยูโกะก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆเริ่มเล่า
“คุณลุงก็ออกไปทำงานที่อื่น ปล่อยบ้านให้ว่าง คุณป้าก็ป่วยอยู่ต้องทรมานอยู่เสมอ ส่วนพี่ก็เอาแต่ทำงานตลอด แต่ว่าฉันก็ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว เพราะว่าทุกๆวันพี่จะกลับมาบ้าน
ฉันดีใจมากเลยค่ะ การได้พูดว่า ขอต้อนรับกลับบ้าน”
ตั้งแต่จำความได้ พ่อก็ไม่มี แม่ก็เอาแต่ทำงาน ตอนที่ยังไม่ได้ใช้นามสกุลอามะมิยะนั้น ยูโกะใช้ชีวิตมาแบบนั้นสินะ
“พี่น่ะใจดีมากเลยค่ะ ไม่สิ อาจเรียกว่าค่อยๆใจดีขึ้นเรื่อยๆ บางที ในวันหยุดก็มีพาออกไปเล่นบ้าง บางทีก็ให้ไปดูการสอน
อย่างกับเป็นพี่น้องกันจริงๆเลย
เพราะอย่างงั้น ในช่วงที่ใช้เวลาอยู่กับฉันไปเรื่อยๆนั้น เขาก็เหมือนจะเริ่มรู้สึกขึ้นมา”
“........รู้สึกเรื่องอะไรเหรอ”
“เรื่องที่ฉันน่ะ ต่างจากน้องสาวของพี่นะสิ พี่น่ะ พยายามจะให้ฉันเข้ามาแทนน้องสาวของเขาที่ตายไปกับแผ่นดินไหวตอนนั้น
บางทีฉันอาจจะเหมือนกับภาพเงาของน้องสาวของเขาที่ตายไปก็ได้ ไม่สิ ต่อให้ไม่เหมือน เขาก็คงจะอยากคิดว่าฉันเป็นน้องสาวเขาอยู่ดี”
เรื่องนั้น ก็เหมือนกับผม ภาพเงาของอากาเนะซ้อนทับอยู่บนตัวยูโกะ
“แต่ ว่า เพราะว่าฉันน่ะเป็นคนอื่น น้องสาวเขาน่ะ ยังไงก็ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ที่อยู่ข้างๆเขาน่ะก็เป็นแค่คนอื่นเท่านั้น เรื่องนี้ล่ะ ที่พี่เริ่มรู้สึกขึ้นมา เขาน่ะ เกลียดชังฉันมาก”
“ทำไมกัน... ทำไมเขาถึงได้เกลียดเธอนักล่ะ”
“นั่นสินะคะ เพราะไม่มีคนอื่นให้เกลียดแล้วล่ะมั้งคะ”
“แบบนั้นมันพาลกันชัดๆเลยไม่ใช่เหรอ”
“พาล สินะคะ เพราะในหัวใจของเขาน่ะ อยู่ในวังวนของความเกลียดชังอย่างรุนแรงมาโดยตลอด ตั้งแต่คืนที่เสียน้องสาวไปในตอนนั้น ตลอดมา คงกำลังตามหาเป้าระบายความแค้นอยู่ แล้วในตอนนั้นฉันก็ปรากฏตัวขึ้นมา......”
“ไม่เข้าใจเลย ทำไมเธอถึงจะต้องมาถูกเกลียดชังแค่ด้วยเหตุผลที่เอาแต่ใจของหมอนั่นด้วยล่ะ”
“ฮะๆๆๆๆๆๆ ฮะๆๆๆๆๆๆ”
ในทันใดนั้น เสียงหัวเราะของยูโกะก็ได้กรีดดังขึ้น รู้สึกราวกับได้ยินเสียงดังมาจากทั่วสี่ทิศเลย
“เรื่องนั้นต้องไปถามพี่เอาเองล่ะค่ะ เหตุผลจริงๆอะไรนั่นน่ะ มันอาจจะไม่มีอยู่เลยก็ได้ค่ะ”
ยู โกะค่อยๆลูบที่แขนของตัวเองจากตัวเสื้อลงมา สายตาเธอนั้น ราวกับกำลังมองของรักของหวงอยู่ยังไงยังงั้นเลย ทำไมถึงได้ทำสายตาแบบนั้น......?
“ตอน แรกน่ะ ก็แค่ถูกตีหัว หรือขว้างของใส่เท่านั้น แต่ไม่ใช่แค่นั้น พี่ยังมาช่วยรักษาให้อีก แล้วก็ยังพูดว่าขอโทษ ขอโทษ ซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำเองแท้ๆ เป็นคำพูดที่แปลกดีนะคะ
ตอนนั้นน่ะ อาจเป็นเพราะว่าฉันจะยังคงเชื่อใจพี่อยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นฉันจึงไม่คิดหนี”
น้ำเสียงของยูโกะนั้น ไม่มีท่าทีเหมือนกำลังเสียใจหรือดูถูกตัวเองอยู่เลย เพียงแค่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆเท่านั้น
“คริสต์มาสเมือ ๒ ปีก่อน เมื่อฉันเริ่มมีอายุเท่ากับน้องสาวของเขาที่ตายไป เขาก็.....”
“...................”
อย่างที่ีคิดเลย เรื่องแบบนี้
ยูโกะไม่ได้แค่ได้รับความบอบช้ำทางร่างกายเท่านั้น
“ถูก ตบ ถูกเตะ ถูกทำเหมือนกับเป็นสิ่งของของพี่ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พอทำท่าขัดขืนหน่อย ก็โดนตบอีก ตราบใดที่ค่ำคืนยังคงดำเนินต่อไป ฉันก็จะไม่ได้เป็นอิสระ.......”
ยูโกะหัวเราะขึ้นด้วยสายตาที่ดูเลื่อนลอย
“ทำไมฉันถึงต้องถูกตบตีด้วยนะ..... มันช่างเจ็บปวด ทรมาน โศกเศร้า
ฉันไปทำอะไรเรื่องอะไรไม่ดีไว้งั้นเหรอ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย คิดแล้วคิดอีกก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไป
ฉันไม่สามารถแม้แต่จะขัดขืน จึงได้แต่ปล่อยให้มันผ่านไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ผ่านไปเรื่อยๆ รอจนวันที่ทุกอย่างมันจะจบลงไปเอง”
ถ้อย คำได้ดังก้องไปมาท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มตึงเครียด ในหัวผมตอนนี้คิดแต่เรื่องราวที่ยูโกะเล่าซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่ไม่อยากเห็นแท้ๆ แต่ภาพมันก็ยังคงไหลเข้าหัวต่อไปเรื่อยๆ ได้ยินแม้แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธออย่างชัดเจน
“.......เล่าจบแล้วสินะ?”
“ไม่ ค่ะ ถ้าจะให้พูดละก็ต่อได้อีกเรื่อยๆล่ะค่ะ เพราะว่าโดนอยู่ตลอดไม่เว้นวัน ทุกๆคืน ทุกๆคืน แม้แต่เมื่อคืน แทบจะไม่มีเวลาได้นอนหลับเลยล่ะค่ะ
ถูก เล่นสนุก ถูกใช้เป็นที่ระบายความโกรธแค้นของพี่....... เหมือนกับว่า... เหมือนกับว่าฉันเป็นเครื่องมือเลยนะคะ แค่เครื่องมือที่มีไว้สำหรับถูกตบตี ถูกกระทำ”
“เธอน่ะ..........”
ผมเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว.......
“เธอน่ะไม่ใช่เครื่องมืออะไรของใครสักหน่อย!”
ผมตะโกนดังจนเสียงก้องไปมาทั่วโบสถ์ แต่ว่ายูโกะก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ จนเสียงตะโกนได้เริ่มเงียบหายไป
“ไม่ ว่ารุ่นพี่ฮิมุระจะพูดยังไง ความจริงก็ไม่เปลี่ยนไปหรอกค่ะ ฉันน่ะ เป็นแค่เครื่องมือ จะเป็นตัวแทนของคนที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้ เป็นแค่ตุ๊กตาดีๆนี่เอง
นี่ล่ะ คือตัวตนของฉันที่คุณยังไม่เคยรู้จักมาก่อน”
พูดดังนั้นแล้วยูโกะก็เริ่มทำท่ายิ้มขึ้นมาอีก ตอนนี้ผมเข้าใจสิ่งที่คุเซะพูดแล้ว
ที่ว่ายัยนี่นั้น ทั้งรอยยิ้ม ทั้งถ้อยคำ ทั้งหมดคือสิ่งที่ปั้นขึ้นมาทั้งนั้น เรื่องที่ผมไม่เคยรู้เลยมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้
“ดู ท่าทางรุ่นพี่เริ่มจะมีสีหน้ากลัวแล้วสินะคะ จะพอแ่ค่นี้ก่อนมั้ยล่ะคะ อ้อ รีบไปทำงานก่อนก็ได้นะคะ ถ้าหยุดงานไปครั้งนึงแล้วเดี๋ยวมันจะติดเป็นนิสัยนะคะ”
“ทำไมถึงไม่หนี”
“คะ?”
“ฉันถามว่าทำไมถึงไม่หนีไปไงล่ะ!”
“.......ก็ต้องหนีแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ”
ยูโกะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ และเริ่มยิ้มขึ้นมาอย่างน่ากลัว
“ตอน เช้าหลังจากวันที่ถูกกระทำครั้งแรกน่ะ ฉันรู้สึกกลัว กลัวมากจนทนไม่ไหว พอรู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็ออกมาอยู่นอกบ้านซะแล้ว นั่งรถออกไปโดยที่ไม่รู้แม้แต่จุดหมายปลายทาง แต่ว่า สุดท้ายฉันก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันไม่มีประโยชน์”
“ไม่มีประโยชน์ยังไง?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็เพราะว่า..... ฉันน่ะ.....”
ยูโกะเริ่มทำท่ายืนตัวแข็งอยู่กับที่
“เพราะว่าฉัน...... ไม่มีที่ไป..... ไม่ว่าที่ไหน.....”
หลังจากบีบคั้นคำพูดออกมานั้น ยูโกะก็เริ่มกอดรัดตัวเองไว้อย่างแน่น แล้วก้มหน้าลง
“ยูโกะ......”
“ไม่มีที่จะไป...... ที่ที่ฉันจะอยู่ได้น่ะ...... ไม่มีที่ไหนเลย......”
ปลายนิ้วที่สั่นไหวของเธอนั้น ค่อยๆกินลงไปยังแขนทั้งสองข้างลึกลงไปลึกลงไป
บางทีเธออาจจะกำลังพยายามอดกลั้นความรู้สึกอันเอ่อล้นที่เธอแบกรับมันไว้ตลอดมาอยู่
“ถึงแม้จะหนีออกไปแล้ว ทางข้างหน้าก็... ไม่มีอะไรเลย... ไม่มีเลย”
“......เพราะฉะนั้น ถึงได้กลับมายังบ้านอามะมิยะ...”
ยูโกะเริ่มเงียบลงและปิดปากสนิท สักพักก็เริ่มพยักหน้า
“ฉัน... ไม่อยากจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว”
เพราะความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว ทำให้ยูโกะต้องทนมาจนถึงตอนนี้ เหมือนได้คายความขมขื่นออกมาจากคอ
คนที่ทิ้งให้ยูโกะต้องโดดเดี่ยวตลอดมาก็คือแม่ของเธอ...... รวมทั้งผมด้วย
“ฉันหนีออกไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ว่า ระหว่างทาง ฉันก็หนีความจริงไปไม่พ้น ต้องกลับมาอย่างคนไร้สิ้นหนทาง
โลกนี้มันไม่ได้ง่ายพอถึงขนาดจะให้คนอย่างฉันใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้หรอก
สถานที่ที่ไม่มีความทุกข์น่ะมันไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะอย่างงั้น ฉันจึงไม่อยากไปไหน”
“...................!”
ยู โกะไม่ได้บ้า เธอลองความเป็นไปได้ทุกทางแล้ว พอรู้ว่าไม่มีทางทำอะไรได้ จึงได้จำต้องทำใจยอมรับมัน เรื่องนั้นผมเข้าใจดี ถึงอย่างงั้นก็เถอะ.....
“แล้วโรงเรียนล่ะ ตำรวจล่ีะ...... ไม่มีใครที่พอจะสามารถปรึกษาอะไรได้เลยเหรอ”
“โรงเรียน? ตำรวจ? มันอะไรกันเหรอคะ นั่นน่ะ มีแต่ผู้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยไม่ใช่หรือคะ จะบอกให้คนเหล่านั้นมารับฟังเรื่องราวอย่างตอนนี้ได้หรือคะ
จะให้ฉันบอกใครๆไปว่าฉันถูกพี่ชายบุญธรรมล่วงเกินแล้วก็ทำร้ายงั้นหรือคะ
ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะ เพราะเป็นรุ่นพี่ฉันถึงพูดได้ไงล่ะคะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปเล่าให้คนอื่นที่ไหนฟังก็ได้หรอกนะคะ
ไม่ใช่แค่เจ็บปวด ไม่ใช่แค่โศกเศร้า เรื่องที่ฉันเจอมาน่ะ มันน่าอายมากเลยนะคะ
หยุดพูดเรื่องโหดร้ายแบบนี้เถอะค่ะ รุ่นพี่”
“ถ้าอย่างงั้น ฉันจะ.......”
“ฮะๆๆๆๆๆๆ”
ยูโกะเอาหน้าเข้ามาพิงอยู่ใกล้ผม ภายในนัยน์ตานั้นช่างดูว่างเปล่า แทบไม่มีแสงสว่างใดๆสะท้อนออกมาเลย
“รุ่นพี่คะ กำลังบอกว่าจะเป็นคนช่วยจัดการให้เองสินะคะ คิดจะทำยังไงงั้นหรือคะ?”
“เรื่องนั้น......”
“จะช่วยฆ่าเขา... ฆ่าพี่ให้งั้นหรือคะ?”
“................!”
ความคิดของผมได้ถูกแช่แข็งไปชั่วขณะหนึ่ง
ฆ่า......? ผมนี่นะ... ฆ่าอามะมิยะ?
“ฮะๆๆๆๆๆๆ”
ยูโกะกรีดเสียงสูงหัวเราะเหมือนกับเด็กๆ แล้วค่อยๆเดินผ่านหน้าผมออกไป
“รุ่นพี่คะ”
ยูโกะพูดขึ้นขณะที่ยังหันหลังให้อยู่
“ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ไม่ต้องตามไปหาพี่ถึงที่บ้านเลยนะคะ ตามที่ได้ฟังไปนั่นล่ะ เขาน่ะ กำลังเสียสติอยู่
อ้อ จริงสิ อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่สามารถหนีไปไหนได้ จะให้บอกไว้ก่อนมั้ยล่ะคะ”
“......อะไรล่ะ”
“ฉันน่ะ ถูกตบถูกเตะไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แ่ต่ว่า..... ไม่เคยมีแผลที่หน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“................”
“ไม่ว่ายังไง แผลที่หน้ามันก็ไม่สามารถซ่อนปกปิดอะไรได้นี่นะ เขาเองก็คงจะรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว”
“......หมายความว่า หมอนั่นคำนวณไว้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เขาทำร้ายฉันให้ดูเหมือนโดนอะไรสักอย่างกระทำ ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังคงได้สติอยู่ตลอด
ไม่ ใช่แค่เสียสติธรรมดาหรอกนะคะ ถ้าหากได้รู้ถึงความเลือดเย็นอำมหิตที่แท้จริงจากก้นบึ้งของจิตใจเขาละก็ จะรู้สึกกลัวจนขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยล่ะค่ะ
ฉันน่ะไม่สามารถหนีไปจากเขาได้ ถ้าหากหนีไปละก็ จะต้องเจอกับเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้ ส่วนลึกในจิตใจของฉันคิดอย่างนั้น”
หมอนั่น อามะมิยะมันทรมานยูโกะถึงขนาดนี้เลยเหรอ
ทุกสิ่งทุกอย่างของยูโกะ ถูกชายคนนี้แย่งชิงไปจนหมดสิ้น......!
“บางที ถ้าหากทำเรื่องไม่เข้าท่าขึ้นมาละก็...... รุ่นพี่อาจเป็นฝ่ายถูกฆ่าซะเองก็ได้นะคะ”
“หมอนั่นน่ะ..... จะทำไมเหรอ”
“ไม่รู้สิคะ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ พี่น่ะสามารถจะฆ่าคุณได้ แต่คุณจะไม่สามารถฆ่าพี่เขาได้ไงล่ะคะ เพราะว่า รุ่นพี่น่ะเป็นคนอ่อนโยน”
รู้สึกราวกับมีมีดแหลมคมเสียบทะลุเข้ากลางหัวใจ
ผมเป็นคนอ่อนโยน...... มันเป็นเพียงแค่ความอ่อนโยนที่ไร้ประโยชน์เท่านั้นเอง
“เพราะฉะนั้น ห้ามไปนะคะ รุ่นพี่ใฝ่ฝันจะขึ้นไปยังจุดที่สูงสินะคะ?
ใช้ชีวิตในโรงเรียนให้สนุกกับนางิซังและเพื่อนๆคนอื่นๆเถอะค่ะ ต้องใช้ชีวิตแทนส่วนของอากาเนะซังอีกด้วยสินะคะ”
“ยูโกะ ฉันน่ะ!”
“ทั้ง เรื่องฆ่าพี่ แล้วก็เรื่องที่จะรับฉันไปอยู่ด้วย รุ่นพี่ฮิมุระไม่สามารถทำได้หรอกค่ะ คุณน่ะเป็นคนเข้มแข็ง.... แต่ว่าก็ยังมีเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่นะคะ”
ยูโกะหันกลับมา ยังคงเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แสร้งทำขึ้นมาอยู่
“ไม่ ต้องห่วง ฉันไม่ถูกฆ่าหรอกค่ะ ถ้าเขาตั้งใจแบบนั้นจริงๆ ฉันคงโดนไปนานแล้วล่ะค่ะ มีแค่เรื่องชีวิตนี่ล่ะค่ะ ที่ยังไงก็ไม่ต้องเป็นห่วง ขอบคุณมากนะคะ”
ยูโกะก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว
“งั้น ฉันจะกลับก่อนนะคะ เพราะนอนไม่ค่อยพอเลยรู้สึกปวดหัวน่ะค่ะ”
เดี๋ยวสิ รอเดี๋ยวสิ
“ลาก่อน”
เธอจ้องผมด้วยสายตาที่เย็นเฉียบจนดูน่ากลัว
ยู โกะได้เดินออกจากโบสถ์ไปแล้่ว แผ่นหลังนั้นบอกถึงการปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ถึงจะอยากไล่ตามไป ขาก็ไม่ขยับตามที่ใจนึกเลย ทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ต่อไปเท่านั้น
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ