# เสาร์ 3 ก.พ. 2023วันนี้ได้ไปเที่ยวที่
เมืองโอซากิ (
大崎市) ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยางิ
แผนที่แสดงตำแหน่งเมืองโอซากิในจังหวัดมิยางิ แสดงเป็นสีชมพูเข้มพาดตัวเป็นแนวยาว
เมืองโอซากินี้เป็นเมืองใหม่ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมหลายเมืองเข้าด้วยกันในปี 2006 โดยก่อนการควบรวมระหว่าง ๗ เมือง โดยมีใจกลางอยู่ที่
เมืองฟุรุกาวะ (
古河市) ซึ่งเป็นเมืองหลักใหญ่ที่สุด มีสถานีชิงกันเซงอยู่ด้วย
นอกจากนี้แล้วอีก ๖ เมืองเป็นเมืองเล็กๆ ได้แก่เมืองทาจิริ (
田尻町)
เมืองซัมบงงิ (
三本木町),
เมืองมัตสึยามะ (
松山町),
เมืองคาชิมาได (
鹿島台町),
เมืองอิวาเดยามะ (
岩出山町) และ
เมืองนารุโกะ (
鳴子町)
โดยส่วนที่เดิมเป็นเมืองนารุโกะนั้นเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีขึ้นชื่อ เราได้เคยไปเที่ยวมาแล้ว เล่าไว้ใน
https://phyblas.hinaboshi.com/20221030ส่วนครั้งนี้ที่เราไปเที่ยวก็คือในส่วนที่เดิมเป็นเมืองอิวาเดยามะ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สุดในจำนวนนี้ เพราะเป็นที่ตั้งของ
ปราสาทอิวาเดยามะ (
岩出山城) ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการปกครองพื้นที่แถบนี้โดยตระกูลดาเตะมาในช่วงยุคเซงโงกุ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ปราสาทเซนได
ดังนั้นอิวาเดยามะจึงเป็นอีกสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ และนอกจากจะมีปราสาทโบราณอยู่แล้วก็ยังมีสถานที่เที่ยวสมัยใหม่ด้วย นั่นคือ
พิพิธภัณฑ์ประสาทสัมผัส (
感覚ミュージアム) เปิดขึั้นในปี 2000 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องของประสาทสัมผัส ค่าเข้าชม ๖๐๐ เยน
ในการเที่ยวครั้งนี้เรานั่งรถไฟไปลงที่
สถานีอิวาเดยามะ (
岩出山駅) ซึ่งเป็นสถานีหลักของเมืองอิวาเดยามะเดิม แล้วก็เดินไปชมพิพิธภัณฑ์ประสาทสัมผัส แล้วจึงไปยังปราสาทอิวาเดยามะ
รถไฟจากเซนไดไปยังอิวาเดยามะนั้นโดยปกติแล้วจะต้องไปต่อรถไฟท
ี่สถานีโคโงตะ (
小牛田駅) แต่ว่าก็มีขบวนที่ตรงจากเซนไดแล้วพอถึงสถานีโคโงตะก็เลี้ยวแล้ววิ่งต่อไปทางตะวันตกต่อเลย โดยไม่ต้องเปลี่ยนรถ โดยมีขบวนแบบนั้นแค่ขบวนเดียวในวันนึง และมีเฉพาะในวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดเท่านั้น เรียกว่าขบวน
ยุเกมุริ (
湯けむり) เป็นขบวนแบบด่วนซึ่งข้ามสถานีระหว่างทางไปมาก การจะขึ้นต้องจ่ายค่ารถด่วนเพิ่มด้วย
รถไฟสายนี้วิ่งจากเซนไดไปยัง
เมืองชินโจว (
新庄市) จังหวัดยามางาตะ โดยออกเวลา 9:37 ไปถึงตอน 12:37 ระหว่างทางผ่านอิวาเดยามะ ถึงตอนเวลา 10:58
ค่าเดินทางปกติจากเซนไดไปอิวาเดยามะคือ ๑๓๔๐ เยน และบวกค่ารถด่วนอีก ๕๓๐ ก็เป็นทั้งหมด ๑๘๗๐ เยน
ที่จริงแล้วครั้งนี้เราขึ้นโดยไม่ได้รู้ว่านี่เป็นรถด่วนที่ต้องจ่ายค่าเพิ่ม ก็เลยซื้อตั๋วธรรมดา แต่พอขึ้นไปนั่งแล้วเจ้าหน้าที่เรียกตรวจตั๋วจึงต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ถ้ารู้ล่วงหน้าก็คงซื้อให้พร้อมตั้งแต่ที่เครื่องขายตั๋วดีกว่า
เริ่มจากตอนเช้าที่สถานีเซนได
ขบวนที่จะขึ้นอยู่ชานชลาหมายเลข ๔
เมื่อมาถึงรถไฟก็มาจอดอยู่แล้ว พอเห็นแล้วจึงได้รู้ว่าเป็นโบกี้แบบพิเศษ ออกแบบต่างจากขบวนรถทั่วไป ถูกทาสีเป็นแบบเก่า แบบนี้เรียกว่า
เรโทแรปปิง (レトロラッピング)
ตัวขบวนมีแค่ ๒ โบกี้เท่านั้น เราลองเดินมาถ่ายที่ส่วนต้นขบวน มีเรื่องเล่าว่าระหว่างนั้นเจอคุณลุงคนนึงที่มากับหลานเล็กๆกำลังถ่ายอยู่แล้วไปเผลอบังเขา ทำให้โดนโกรธใส่จึงรีบขอโทษแล้วถอยห่างออกมาทันที เพิ่งเคยเจอแบบนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่น เพราะปกติคนญี่ปุ่นค่อนข้างใจดี แต่ครั้งนี้เจอคนอารมณ์ฉุนเฉียว ซึ่งก็น่าจะเป็นส่วนน้อยแต่ไม่ว่าที่ไหนก็ย่อมมี ถ้าโชคไม่ดีก็เจอได้เหมือนกัน
จากนั้นรถไฟก็ออกตามเวลา เราก็เข้าไปนั่ง แล้วสักพักก็มีพนักงานเข้ามาตรวจตั๋ว จึงยื่นตั๋วธรรมดาราคา ๑๓๔๐ ให้ดู เขาก็บอกว่านี่เป็นรถด่วน ต้องจ่ายเพิ่มอีก จึงจ่าย ๕๓๐ เยนแล้วก็ได้ตั๋วสำหรับรถด่วนมาด้วย
ระหว่างทางรถก็ข้ามหลายสถานีแล้วก็มาจอดที่
สถานีมัตสึชิมะ (
松島駅) ใน
เมืองมัตสึชิมะ (
松島町) เป็นสถานที่เที่ยวชื่อดังของจังหวัดมิยางิที่เป็นที่รู้จักที่สุด แต่เรายังไม่เคยมีโอกาสได้แวะมาเที่ยวเลยสักที
จากนั้นก็มาจอดที่สถานีโคโงตะ
เมืองมิซาโตะ (
美里町) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะต้องมาเปลี่ยนขบวนรถไฟที่นี่ แต่คราวนี้ไม่ต้อง นั่งบนรถไฟขบวนเดิมต่อไป
แล้วก็มาถึง
สถานีฟุรุกาวะ (
古川駅) ซึ่งเป็นสถานีหลักของเมืองโอซากิ อยู่ใจกลางเมืองฟุรุกาวะเก่า ที่นี่มีชิงกันเซงจอดด้วย เราเคยนั่งผ่านมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยได้ลงที่สถานีนี้เลย ครั้งนี้ก็ไม่มีโอกาสได้แวะสถานีนี้ ได้แค่ผ่านไปเฉยๆ
หลังจากนั้นรถไฟก็มาหยุดนิ่งที่
สถานีนิชิฟุรุกาวะ (
西古川駅) ซึ่งจริงๆไม่ใช่สถานีที่จอดให้ลง แต่ว่ารถไฟมาจอดเพื่อรอสับรางกับรถไฟขบวนอื่นที่สวนมา
ภาพป้ายสถานีพร้อมกับสภาพด้านในขบวน
แล้วก็มาถึงสถานีอิวาเดยามะซึ่งเป็นเป้าหมาย ถ่ายภาพป้ายสถานี เห็นมีหิมะที่ยังตกค้างเหลืออยู่จากที่ตกไปวันก่อนด้วยเล็กน้อย
แผนที่แสดงสถานที่เที่ยวในเมืองนี้
ขบวนรถไฟนี้จอดแวะที่สถานีนี้อยู่สักพักจึงมีเวลาถ่ายภาพขบวนรถคู่กับตัวสถานี
ภาพป้ายสถานีพร้อมกับขบวนรถ
ตรงนี้มีเรื่องเล่าต่ออีกหน่วยว่าบังเอิญว่าลุงที่พาหลานมาคนเมื่อกี้ที่เจอที่สถานีเซนไดก็ลงมาแล้วถ่ายป้ายนี้อยู่ด้วยพอดีแล้วก็เกิดการบังกันขึ้นอีก คราวนี้เขาโกรธมากกว่าเดิมอีกแล้วก็ด่าใส่ด้วย ไม่คิดว่าจะโชคไม่ดีเจอคนเดิม ๒ ครั้ง ที่จริงเวลาเที่ยวแล้วเผลอบังกันตอนถ่ายรูปเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้บ่อยมาก น่าเป็นห่วงว่าถ้าต้องมาคอยหัวเสียทุกครั้งแบบนี้เขาจะเที่ยวได้อย่างสนุกหรือ
เรารีบหลีกทางแล้วก็ขอโทษแล้วรอดูอยู่สักพักนึงปรากฏว่าเขากลับขึ้นรถไฟไป ที่จริงแค่ลงมาเพื่อถ่ายภาพในสถานีนี้เท่านั้น ไม่ได้ลงสถานีนี้จริงๆ แบบนั้นก็คงไม่แปลกที่จะดูรีบเร่งฉุนเฉียว ยิ่งพาหลานเล็กๆมาด้วยสิ แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเองอยู่แหละนะ แต่ถึงยังไงอยู่ดีๆโดนตวาดใส่แบบนั้นทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจก็ทำเอาเสียอารมณ์ไปเหมือนกัน กว่าจะดึงอารมณ์กลับมาได้ก็อีกสักพักใหญ่
หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นมาตรงทางข้ามรางรถไฟเพื่อข้ามไปยังทางออกจากชานชลา ระหว่างนั้นรถไฟก็ยังคงจอดอยู่ จึงสามารถถ่ายภาพขบวนรถไฟพร้อมกับชานชลาสถานี
ตอนที่ลงบันไดมาที่อีกฝั่ง รถไฟก็กำลังออกไปพอดี เลยได้ถ่ายภาพขบวนรถไฟเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป
จากนั้นก็ออกมาจากอาคารสถานี ภาพถ่ายด้านหน้าสถานี
ตรงนี้ก็มีแผนที่นำเที่ยวที่นี่
จากนั้นก็เดินไปภายในเมืองมุ่งสู่พิพิธภัณฑ์ที่เป็นเป้าหมายแรก
ระหว่างทางเจอแมวด้วย เลยเข้าไปใกล้แล้วถ่ายภาพมาได้ ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไป ที่จริงในเซนไดแทบหาแมวไม่ได้เลยล่ะ แต่พอมาที่เมืองนี้กลับพบแมวได้ง่ายกว่า
ที่จริงแล้วเมื่อก่อนตอนที่มาเที่ยวนารุโกะก็เจอแมวเหมือนกัน ถ่ายรูปเก็บไว้ได้
https://phyblas.hinaboshi.com/20221101เดินมาไม่นานก็เจอป้ายที่ชี้บอกทางไปยังพิพิธภัณฑ์ประสาทสัมผัส
เดินไปตามทางเรื่อยๆ ระหว่างทางผ่านย่านเมืองแถวนี้ ดูเงียบเหงามาก
แล้วก็มาถึงที่หมาย อาคารที่เห็นตรงหน้านี้เป็นสถานที่เลี้ยงเด็ก ส่วนตัวพิพิธภัณฑ์อยู่ด้านหลังนี้
ทางเข้า
ตัวอาคารนั้นทำเป็นรูปส่วนของครึ่งวงรี ทางเข้าด้านในอยู่ตรงนี้
ด้านหน้ามีเครื่องเล่นของเด็ก
เข้าไปด้านใน แล้วก็ซื้อตั๋วเข้าชม ๖๐๐ เยน
ภายในห้องโถงเดียวกับห้องขายตั๋วนั้นจัดแสดงพวกเครื่องดนตรีแปลกๆ
แล้วก็พื้นที่สำหรับนั่งเล่น
จากนั้นก็เข้าสู่บริเวณส่วนหลัก ซึ่งไม่สามารถถ่ายรูปได้ ก็เลยไม่สามารถเก็บภาพมาเล่าเรื่องได้ แต่ว่าด้านในก็ไม่ได้น่าสนใจอย่างที่คิด ไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาต้องการสื่อถึงอะไร
หลังจากเดินภายในส่วนจัดแสดงหลักจนจบก็ออกมาด้านนอก โผล่ตรงส่วนทางเดินที่เปิดเห็นด้านนอก โดยมีพื้นน้ำกั้นอยู่
หลังจากนั้นก็ย้อนกลับมาโผล่ที่ส่วนเครื่องดนตรี ในตอนนั้นเห็นคนอื่นเพียบเลย คาดว่าน่าจะมาเป็นกลุ่ม มีเด็กอยู่ด้วย แต่ละคนกำลังเล่นกันอย่างสนุก
นอกจากนี้ก็มีส่วนจัดแสดงงานศิลปะซึ่งเก็บอยู่ภายในลิ้นชักไม้
เปิดออกมาดูทีละลิ้นชักได้
ซูชิ
งู?
การชมภายในนี้ก็หมดแค่นี้ ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก เดินผ่านๆไม่นานก็เสร็จ จากนั้นก็ได้เวลาเดินออกไปเพื่อไปเที่ยวที่อื่นต่อ
มาเดินตรงลางกว้างกลางอาคารแล้วถ่ายตัวอาคารอีกทีก่อนไป
นอกจากนี้ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ยังเห็นแผ่นหินที่เขียนเพลงประจำโรงเรียนมัธยมต้นอิวาเดยามะ (
岩出山中学校) ไว้ด้วย
เสร็จจากตรงนี้เราก็เดินต่อไป เป้าหมายอีกแห่งคือปราสาทอิวาเดยามะ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักจริงๆของการมาเที่ยวที่นี่
https://phyblas.hinaboshi.com/20240204