[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๑๓ หม้อไฟ (鍋)
>> กลับไปตอนที่ ๑๒
“นี่ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”
ผมถามเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ออกไป ระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้านพร้อมกับโคโนะ
“อะไร?”
“คิฟุเนะ มิโอะเองก็เป็นจอมเวทย์เหมือนกันเหรอ?”
“ใช่ เธอเองก็เป็นจอมเวทย์”
“แล้วคุณแม่เองก็เป็นจอมเวทย์ด้วยเหรอ?”
“ไม่รู้สิ เราก็ไม่ได้เห็นแม่ของเธอด้วย”
“นั่นสินะ... คุณแม่น่ะหลบการโจมตีของคิฟุเนะ มิโอะได้ด้วยล่ะ แบบนั้นก็ถือว่าไม่ธรรมดาใช่มั้ยล่ะ?”
“เป็นจอมเวทย์หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่คิดว่ามีความเป็นไปได้สูง”
“งั้นเหรอ ว่าแล้ว”
จะว่าไปเมื่อคืนนั้นโนมิยะซังเองก็มีปล่อยไฟออกมาด้วยนี่นะ หรือว่านั่นก็ไสยเวท?
“แล้วโนมิยะซังก็เป็นจอมเวทย์ด้วยเหรอ?”
“โนมิยะ ยูน่ะเหรอ?”
“ใช่ คืนนั้นโนมิยะซังปล่อยไฟออกมาช่วยด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่บางทีเธออาจจะไม่ใช่จอมเวทย์ก็ได้”
“งั้นเหรอ? ถ้างั้นไฟในตอนนั้นมันอะไรกัน?”
“ลองไปถามเจ้าตัวเองน่าจะดีกว่า”
“นั่นสินะ”
แต่เจ้าตัวก็ขาดเรียนไปสองวันติดกันแล้วนี่สิ เป็นอะไรหรือเปล่านะ? หรือว่าได้แผลจากตอนนั้น?
--------------------
“ไปล่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
พอลงมาถึงตีนทางลาด โคโนะก็บอกลา
“บ้านของโคโนะไม่ได้อยู่แถวนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“มีธุระน่ะ”
“ธุระอะไร?”
“ซื้อของ”
“ซื้อกับข้าวสำหรับมือเย็นน่ะเหรอ?”
“อื้อ ตามนั้น”
“จะว่าไปแล้ว โคโนะนี่อาศัยอยู่คนเดียวสินะ?”
“แม่นแล้ว”
โคโนะพยักหน้าตอบ งั้นเหรอ อยู่คนเดียวแบบนี้คงลำบากแย่สินะ
“แล้วโคโนะทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?”
“ทำเป็น เก่งด้วย”
“ที่ว่าทำได้เนี่ย อย่างเช่นอะไรเหรอ?”
“หม้อไฟ หม้อไฟเนื้อวัว ที่จริงหม้อไฟอะไรก็ได้เพียงแต่คำว่า “หม้อไฟเนื้อวัว” พอเอามาเขียนคันจิแล้วมันดูคล้ายๆกับคำว่า “หอยทาก” ดี”*
“เอ่อ... ไอ้ประโยคหลังนั่นไม่ต้องพูดก็ได้ แล้วนอกจากนี้ทำอะไรเป็นอีกเหรอ?”
“หม้อไฟเนื้อหมู”
“อย่างอื่นล่ะ?”
“หม้อไฟเนื้อไก่”
“............”
“หม้อไฟเนื้อหมูป่า หม้อไฟอิชิคาริ หม้อไฟอาสึกะ หม้อไฟโดเตะ หม้อไฟมทสึ หม้อไฟคิริตัมโปะ หม้อไฟฝนหิมะ และอะไรอีกหลายอย่าง”
“............”
ชนิดอาหารดูเหมือนจะหลากหลายแต่ไหงมีแค่หม้อไฟทั้งนั้นเลยล่ะนี่ แล้วอย่างพวกแฮมเบอร์เกอร์ ลูกชิ้นทอด ของนึ่ง อะไรพวกนี้ล่ะ
“โคโนะชอบหม้อไฟเหรอ?”
“...ชอบ...”
“งั้นเหรอ...”
“หม้อไฟน่ะมีทั้งเนื้อและผัก แถมยังทานกับข้าวได้อย่างอร่อย สมดุลดี อร่อยยิ่งกว่าอาหารใดๆ”
“อย่าบอกนะว่าโคโนะทานหม้อไฟทุกวันเลย?”
“เป็นคืนวันที่วิเศษมาก”
“............”
ถึงจะชอบมากก็เถอะ ทานทุกวันแบบนี้ไม่เบื่อบ้างหรือยังไงกันนะ ปกติคนเรามันก็ควรจะลองทานอะไรหลากหลายไม่ใช่เหรอ...
“ถ้างั้นไปที่บ้านเรามั้ย?”
“ทำไมเหรอ?”
“ไปทานข้าวด้วยกันที่บ้านหน่อยมั้ยล่ะ?”
“จะดีเหรอ?”
“ถ้าไม่อยากไปก็บอกได้ ไม่เป็นไร”
“ไป อยากไป ว่ากันว่าหม้อไฟน่ะต้องทานร่วมกันกับทุกคนถึงจะอร่อย”
“ไปทานบ้านเราก็ยังอยากจะทานหม้อไฟอีกเหรอ เพิ่งจะเดือนกันยายนเองนะ อากาศยังร้อนอยู่แบบนี้”
“ของร้อนทานตอนร้อนๆ นี่ล่ะหัวใจ”
“ถ้างั้นแล้วฤดูหนาวล่ะ”
“โคทัทสึกับส้มกับหม้อไฟนี่ล่ะสิ่งสำคัญสำหรับฤดูหนาว”
“...แล้วฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงล่ะ?”
“มองดูซากุระกับใบไม้สีแดงไปพร้อมกับทานหม้อไฟ ช่างสุดยอด”
สรุปว่าสำหรับโคโนะแล้ว หม้อไฟเป็นของกินที่วิเศษมากเลยสินะ
“นี่ โคโนะ วันนี้ไม่ลองทานอย่างอื่นนอกจากหม้อไฟดูบ้างเหรอ?”
“ฮือ............”
ทันใดนั้นโคโนะก็นิ่งเงียบไปราวกับเวลาหยุดเดิน สักพักก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“...ถ้า... เธอ... ต้องการ... แบบนั้น... ล่ะก็...”
น้ำเสียงช่างดูโศกเศร้า เหมือนเต็มไปด้วยความสิ้นหวังราวกับโลกกำลังจะถึงกาลดับสลายลงในไม่ช้าแล้วก็มิปาน... เสียดายถึงขนาดนั้นเลยหรือนี่...
“งั้นทานหม้อไฟกันเถอะ”
“เอาสิ!”
ทันทีที่ผมพูดถึงหม้อไฟออกไป น้ำเสียงของเธอก็กลับมาสดใสราวกับความสิ้นหวังเมื่อครู่โดนขจัดไปสิ้น
“งั้นทานหม้อไฟอะไรดี?”
“วันนี้อยากทานหม้อไฟเนื้อหมูป่า”
จากนั้นพวกเราก็เดินไปยังซูเปอร์เพื่อซื้อกับข้าว ระหว่างนั้นผมก็โทรบอกซายะซังไปด้วยว่าจะเตรียมอาหารไว้
--------------------
“อาศัยอยู่คนเดียวเหรอ?”
พอกลับมาถึงบ้านไม่เห็นใครอยู่โคโนะจึงถามขึ้น
“เปล่า มีน้องสาวแล้วก็พี่สาวอยู่ด้วยน่ะ ว่าแต่โคโนะอยู่คนเดียวเหรอ?”
“มีปัญหาทางบ้านน่ะ”
“พอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
“เราเกิดมาในครอบครัวที่มีคุณพ่อขี้เมาและคุณแม่ที่ผลาญตังเป็นว่าเล่น... เวลาไปเรียนก็ไม่ค่อยมีเพราะต้องทำงานพิเศษ แต่หาเงินมาเท่าไหร่ก็ถูกผลาญหมดไปทันที ต้องใช้ชีวิตอยู่กับหนี้สินเงินกู้ตลอดมา... สุดท้ายความจริงแล้วคุณพ่อนั้นไม่ใช่พ่อแท้ๆของเรา วันหนึ่งตอนที่เรากำลังอาบน้ำอยู่คุณพ่อก็...”
“หยุดเถอะ! โทษทีที่ถาม”
“แค่ล้อเล่นน่ะ”
“นึกว่าจริงซะอีก ตกใจหมด”
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่มีปัญหานิดหน่อยน่ะ”
“ปัญหาทางบ้านน่ะเหรอ?”
“ความลับ”
จากนั้นพวกเราก็วางของที่ซื้อมาจากซูเปอร์แล้วก็จัดเตรียมทำกับข้าว ในตอนนั้นมากินะก็กลับมาถึงบ้านพอดี
“กลับมาแล้ว... อ้าว พี่เป็นใครกันน่ะ?”
“เพื่อนห้องเดียวกัน”
โคโนะตอบ
“งั้นเหรอ ยินดีที่ได้รู้จัก หนูชื่อฟุชิมิ มากินะ”
“พี่ชื่อโคโนะ นัทสึกิ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
“โคโนะเขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวน่ะ ทุกทีจะทานหม้อไฟอยู่คนเดียวที่บ้าน คืนนี้เลยอยากมาขอทานข้าวด้วยกัน มากินะก็มาช่วยด้วยมั้ย”
ผมพูดแทรกขึ้น
“ได้เลย ว่าแต่จะทำอะไรกันดี”
“สุกียากี้ หรือก็คือหม้อไฟเนื้อวัว หม้อไฟน่ะสุดยอดมากเลยนะ สามารถช่วยโลกได้เลย”
โคโนะตอบมากินะ ระหว่างที่คุยกันไปเรื่อยๆพวกเราก็เตรียมหม้อไฟกันต่อไปจนซายะซังกลับมา
“กลับมาแล้วจ้ะ... อ้าว โคโนะ นัทสึกิซัง?”
ซายะซังที่เพิ่งกลับมาทักขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เอ๋ ซายะซังรู้จักโคโนะด้วย?”
ผมถามอย่างแปลกใจ
“แค่รู้จักกันนิดหน่อยน่ะค่ะ”
ซายะซังตอบ
“อื้อ เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา”
ผมทวนคำตอบของโคโนะในใจ... ความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา.... หรือว่า!?
“โทวยะซัง คงไม่ได้กำลังจินตนาการอะไรแปลกๆอยู่หรอกนะ”
“เอ๋!? ป..เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ”
“บอกไว้ก่อนเลยนะคะ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่น่าสงสัยอะไรหรอก”
“งั้นเหรอครับ? รู้จักกันที่ไหนกันน่ะ?”
ผมถามอย่างสงสัย สองคนนี้มีความเกี่ยวพันกันยังไงนะ
“แหม มันก็มีอะไรนิดหน่อยน่ะ”
“ใช่ ผู้หญิงเราก็มีอะไรแบบนี้แหละ”
“............”
รู้สึกเหมือนทั้งคู่กำลังพยายามช่วยกันพูดกลบเกลื่อนอะไรอยู่ยังไงอย่างงั้น ว่าแต่เป็นคู่ที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ
“ว่าแต่ แล้วโทวยะซังล่ะคะ?”
“อ๋อ เป็นเพื่อนห้องเดียวกันน่ะครับ”
“งั้นหรือคะ”
“เห็นบอกว่าอาศัยอยู่คนเดียว ก็เลยชวนมาทานข้าวด้วยกัน”
“งั้นหรือจ๊ะ แบบนั้นก็ดีเลย”
ซายะซังยิ้มขึ้นอย่างดีใจ
“ท่านพี่ มากินะหิวแล้ว...”
“อ่อ นั่นสินะ รีบตั้งโต๊ะกันดีกว่า”
จากนั้นซายะซังก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ สักพักหม้อไฟก็วางพร้อม แล้วพวกเราก็เริ่มทานกัน โคโนะกับซายะซังเปิดบทคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ห้ามวางเส้นไว้ใกล้กับเนื้อ”
“เพราะจะทำให้เนื้อแข็งสินะคะ”
“ห้ามให้เนื้อโดนไฟมากเกินไป”
“เพราะจะทำให้เนื้อแข็งสินะคะ”
“โชวยุน้อยไป เติมอีกหน่อย”
“เพราะจะทำให้เนื้อแข็งสินะคะ”
“เดี๋ยวสิ โชวยุกับเนื้อมันไม่เกี่ยวกันไม่ใช่เหรอ จะดีเหรอ”
ผมแทรกขึ้นในขณะที่โคโนะกำลังเป็นคนคุมหม้อไฟอยู่
“ดีสิ”
“งั้นเราใส่ให้เอง”
ผมปรุงตามที่โคโนะบอก
“ว้าว อร่อยจังเลยนะคะ”
“อื้อ ทั้งนุ่มแล้วก็อร่อยด้วย”
ทั้งซายะซังและมากินะเอ่ยปากชมจนทำให้โคโนะเริ่มหน้าแดง
“เต้าหู้ก็ให้ความรู้สึกดี”
แล้วคืนนี้พวกเราก็ได้ทานมื้อเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความที่มีโคโนะ นัทสึกิเป็นคนคุ้มหม้อไฟ
--------------------
“เป็นไงบ้าง ได้ทานกันหลายคนแบบนี้”
“อร่อยมาก ไม่ผิดไปจากคำร่ำลือ”
ผมถามโคโนะที่เพิ่งทานอิ่มแล้วเดินออกมาจากบ้านอย่างสำราญใจ ทั้งผมกับมากินะและซายะซังเองก็ได้ทานอย่างเต็มที่เช่นกัน เป็นมื้อที่อร่อยมากจริงๆ
“งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ”
“ไปล่ะ แล้วเจอกันนะ”
“งั้นเหรอ จะไม่ให้ไปส่งหน่อยเหรอ?”
“ทำไมเหรอ?”
“ลำบากใจเหรอ?”
“จะว่างั้นก็... เปล่าหรอก...”
จากนั้นผมก็เดินไปกับโคโนะบนถนนยามค่ำคืน
“นี่ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย เกี่ยวกับคุณแม่น่ะ”
“ขึ้นอยู่กับเนื้อหา ถ้าเป็นเรื่องที่ตอบได้ก็จะตอบ”
“คุณแม่ที่เห็นนั่นน่ะ คือคุณแม่ของเราจริงๆน่ะเหรอ?”
โคโนะดูมีท่าทีลำบากใจต่อคำถามของผม ก่อนจะตอบขึ้นมา
“นั่นน่ะเป็นคนอื่น ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกว่าเป็นคุณแม่ของเธอได้หรอก”
“หมายความว่าไงกันน่ะ?”
“เราไม่อาจเอ่ยรายละเอียดได้ เอาเป็นว่านั่นไม่ใช่แม่ของเธอ ขอโทษด้วยนะ ทั้งที่รู้ว่าเธอลำบากอยู่แทบตาย แต่เรากลับไม่อาจบอกได้”
“ไม่หรอก เราเองต่างหากที่ต้องขอโทษ”
ผมพูดแล้วลูบหัวโคโนะ รู้สึกว่าพอเป็นแบบนี้แล้วก็ไม่กล้าที่จะถามต่อเลย แม้จะอยากรู้เรื่องของคุณแม่มากก็จริงอยู่ แต่พอคิดว่าโคโนะจะต้องมารับภาระและทุกข์ใจละก็คงจะไม่แล้วล่ะ คิดแล้วก็รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาเลย
--------------------
“นี่ โทวยะ”
“หืม? อะไรเหรอ? คุณแม่”
“นานๆทีออกไปทานข้าวข้างนอกกันมั้ย?”
“มันก็ดีอยู่หรอก แต่ว่าทำไมอยู่ดีๆ?”
“ก็นานๆทีมีแบบนี้บ้างก็ดีไม่ใช่เหรอ เนอะ”
“พูดง่ายๆก็คือเบื่อที่จะทำข้าวเองสินะ”
“พูดแบบนั้นมันออกจะดูตรงไปหน่อยนะ เอาเถอะไปทานข้างนอกได้สินะ?”
“อื้อ ไม่มีปัญหาหรอก”
“งั้นนั่งรถไปกันเถอะ”
แล้วคุณแม่ก็ตรงไปยังรถ จากนั้นพอเปิดประตูออกทันใดนั้น...
“หวา!”
ประกายไฟลุกเจิดจ้าขึ้น พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าเป็นห้องตัวเองตามปกติ นี่มันฝันเหมือนทุกทีหรือนี่
“เมื่อวานอุตส่าห์ฝันต่างออกไปแล้วแท้ๆ”
ดูเหมือนจะกลับมาฝันอย่างเดิมอีกแล้ว นั่นสินะ ฝันอย่างเมื่อคืนคงเห็นได้แค่ในโอกาสที่พิเศษมากเท่านั้นล่ะมั้งนะ
“ยังไงก็เถอะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปโรงเรียนดีกว่า”
--------------------
พอผมไปถึงหน้าประตูโรงเรียนก็เจอโนมิยะซังกำลังเดินอยู่
“โนมิยะซัง”
“อรุณสวัสดิ์... อ้าว ฟุชิมิคุงเองเหรอ”
“............”
เธอทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่พอรู้ว่าเป็นผมก็กลับทำหน้าบึ้งทันที ท่าทีแบบนี้มันอะไรกัน รู้สึกน้อยใจนิดหน่อยแฮะ
“อะไร? ทำไมเหรอ?”
“จะว่าไงดีล่ะ คืออย่างน้อยถ้าหันมามองหน้าเราแล้วยิ้มสักหน่อยจะดีใจมากเลย”
“ยิ้ม......”
เธอปั้นหน้ายิ้มขึ้นอย่างเต็มที่
“พอใจยัง?”
จากนั้นก็กลับมาหน้าบึ้งอย่างรวดเร็ว
“เอาเถอะ งั้นไม่เป็นไรก็ได้...”
ชักรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าลงทุกที
--------------------
“ร่างกายไม่เป็นไรแล้วเหรอ? เห็นหยุดไปตั้งสองวันแบบนี้”
“ไม่เป็นไร ที่จริงก็ไม่ได้ป่วยอะไรอยู่แล้วด้วย”
“อืม งั้นก็ดีแล้วล่ะ ว่าแต่ว่า เมื่อคืนนั้นน่ะ...”
“คืนนั้น?”
“ไฟนั่นน่ะ ที่ช่วยเราเอาไว้ตอนอยู่ที่ลานกว้าง ไม่ว่าดูยังไงก็เหมือนกับว่าโนมิยะซังเป็นคน...”
“เปล่านี่!”
โนมิยะซังพูดเสียงดังขึ้นทำให้ผมหยุดชะงักลง
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
“............”
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรจริงๆ”
จากนั้นโนมิยะซังก็รีบเดินเข้าห้องไปคนเดียว แบบนี้เท่ากับเป็นการปฏิเสธชัดเจนเลยสินะ
“นี่เราพูดอะไรไม่ดีออกไปหรือเปล่านะ?”
ดูเหมือนเธอจะไม่อยากให้พูดถึงเรื่องไฟนั่นสินะ คงเป็นอย่างนั้นแน่นอนเลย
--------------------
พักกลางวัน ผมเดินขึ้นมาที่ดาดฟ้าพร้อมกับโคโนะ
“ทำอะไรน่ะ”
เมื่อขึ้นมาถึงก็เห็นโคโนะเอามือขึ้นมาอังไว้ที่ประตูดาดฟ้า
“เวทย์กันคนน่ะ เพราะถ้ามีใครมาพบเข้าคงจะแย่”
“ไสยเวทมันทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?”
“ทำให้ความรู้สึกที่อยากจะเข้ามาที่ดาดฟ้าหดหายลงน่ะ”
“หมายความว่าไง?”
“เช่นว่าแม้จะมีธุระ ก็จะรู้สึกว่าไว้ทีหลังก็ได้ หรือแม้อยากออกมาที่ดาดฟ้า ก็จะรู้สึกไม่มีอารมณ์ที่จะมา”
“ก็คือเป็นเวทย์ที่ทำให้รู้สึกไม่อยากมาที่ดาดฟ้าไม่ว่ายังไงก็ตามสินะ”
“ตามนั้น แต่ว่าค่อนข้างใช้พลังความคิดที่แรงกล้า ไม่ค่อยจะนำไปใช้กับคนที่เป็นจอมเวทย์เหมือนกัน”
“อืม...”
โคโนะเริ่มเดินออกห่างออกมาจากประตูเข้ามาหาผม
“ไสยเวทคือการนำพลังเวทย์มาเป็นวิถี และใช้ทักษะเข้าช่วย เพื่อเข้าถึงโลกแล้วนำพลังความคิดของตัวเองเข้าแทรกแซงเพื่อบิดเบือนและเปลี่ยนแปลงปรากฏการณ์ ดังนั้นจึงต้องใช้พลังความคิดที่แรงกล้า”
“ยังจับประเด็นหลักได้ไม่ค่อยแน่ชัด แต่สรุปก็คือต้องใช้พลังความคิดของตัวเราเองสินะ”
“อื้อ ตามนั้น ต่อไปก็คือเพื่อที่จะใช้ไสยเวทได้จะต้องมีพลังเวทย์”
“แบบนั้นถ้าไม่มีความสามารถโดยพื้นฐานของจอมเวทย์อยู่แล้วก็ไม่ไหวอย่างนั้นเหรอ?”
“พลังเวทย์น่ะกลั่นเอาจากพลังชีวิตที่ใครๆก็มีอยู่กัน ถ้าจะให้เทียบก็เหมือนกับน้ำมันดิบกลั่นเป็นน้ำมันเบนซิน สิ่งสำคัญก็คือต้องเชื่อมต่อเส้นประสาทภายในร่างกาย”
“หมายความว่าไงน่ะ?”
“ต้องใช้อวัยวะต่างๆของร่างกายเพื่อที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายซึ่งจะกลั่นพลังชีวิตออกมาเป็นพลังเวทย์ เรียกว่าเป็นวงจร”
“มันทำได้ง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ?”
“ง่ายกว่าที่คิด แต่เจ็บนิดหน่อย แล้วก็ถ้าไม่ชินละก็อาจเกิดปฏิกิริยาในทางตรงกันข้าม พอไปเรื่อยๆร่างกายก็จะค่อยๆชินไปเอง ที่เหลือก็ขึ้นกับความพยายาม”
อยู่ดีๆรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งหายนะลอยเข้ามาเลย ชักรู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อยแล้วสิ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วจะถอยหลังกลับไปคงไม่ได้
“เข้าใจแล้ว งั้นเริ่มกันเลยดีกว่า”
ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ความกลัวก็ยิ่งแผ่ซ่านขึ้นมามากเท่านั้น ดังนั้นต้องรีบทำให้จบในขณะที่ยังมีความเตรียมใจพร้อมอยู่อย่างตอนนี้
“...อื้อ รับทราบ”
โคโนะทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนเอามือมาวางไว้ที่หน้าอกผม ผมรวมสมาธิไปยังสัมผัสที่มือนั้นซึ่งส่งผ่านถึงความอบอุ่นบางๆ ทันใดนั้นจู่ๆก็เหมือนกระแสไฟฟ้าไหลเวียนเข้าร่างกายอย่างแรง
“...!”
ผมผละตัวออกห่างจากมือของโคโนะ ในขณะที่เธอจ้องมาที่ผม
“อาการเป็นไงบ้างล่ะ?”
“ถ้าพูดว่ามีอะไรเกิดขึ้นละก็ แค่รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งอยู่หรือเปล่านะ?”
“นั่นแหละดีแล้ว”
“แค่นี้ก็คือสำเร็จเหรอ?”
“น่าจะนะ ต้องลองทดสอบดู”
“ทดสอบ?”
“ทำเหมือนกับเมื่อวาน แต่คราวนี้ทำเองคนเดียว”
“เข้าใจแล้ว”
นั่นคือวิธีที่เร็วที่สุดสินะ ผมหลับตาลงเพิ่งสมาธิไปที่ในหัวแล้วจินตนาการถึงลูกกลมๆสีขาว ในหัวเริ่มมีอะไรบางอย่างที่คล้ายหมอกขาวบางๆปรากฏขึ้นมา ในขณะเดียวกันร่างกายก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้น เหมือนมีอะไรกำลังเชื่อมต่อกันภายในร่างกายตัวเอง จากนั้นพลังก็เริ่มดูเหมือนจะเดือดขึ้น
“............”
พลังนั้นค่อยๆเริ่มรวมตัวกัน เกิดเป็นลูกบอลกลมๆคล้ายๆหมอกขาวๆ จากนั้นมันก็เริ่มทอแสงขึนจนสว่างจ้า พอผมค่อยๆลืมตาขึ้นลูกกลมๆนี้ก็ลอยอยู่ตรงข้างหน้า
“สำเร็จแล้วเหรอ?”
ลูกบอลที่เห็นตรงหน้านั้น ดูคล้ายกับว่าจะอยู่ตัว แต่แล้วสักพักรูปทรงของมันก็เริ่มเลือนลง ย้อมวิสัยทัศน์โดยรอบให้เป็นสีขาวราวกับเป็นแสงแฟลช แต่ก็เจิดจ้าอยู่เพียงครู่เดียว พอรู้สึกตัวอีกทีแสงก็ได้หายไปและดาดฟ้าก็กลับมาเป็นปกติ
“อะไรกันน่ะ?”
“ล้มเหลว จินตนาการยังอ่อนไป”
“ไสยเวทนั้นพลังความคิดของผู้ใช้จะต้องมีความมั่นคง ถ้ามันไม่เสถียรก็เพราะว่ารูปร่างที่จินตนาการไว้มีความไม่แน่นอน”
คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะทั้งเมื่อวานและก็วันนี้ก็ทำทั้งที่ยังมีความกังวลอยู่ในใจด้วย
“หรือว่าเราจะไม่มีพรสวรรค์กันนะ”
“ไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้เลยเหรอ?”
“รวบรวมสมาธินี่หมายถึงยังไง?”
“เพิ่มเติมจากที่ว่าเป็นลูกกลมๆธรรมดา เช่นว่าเป็นลูกเทนนิสอะไรแบบนี้ อะไรก็ได้ที่เป็นการจินตนาการสูงขึ้น”
ทั้งเบสบอลฟุตบอลเทนนิสนอกจากในคาบเรียนแล้วก็ไม่เคยเล่นด้วยสิ แต่เดิมเรากไม่ได้ถนัดอะไรพวกลูกกลมๆอยู่แล้วด้วย
“อืม... เบสบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเก็ตบอล เทนนิส ปิงปอง โบว์ลิง กอล์ฟ... มีอะไรอย่างอื่นอีกมั้ยนะ”
“อย่างคริกเก็ต ตะกร้อ แล้วก็ที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นลูกกลมๆก็ได้ ขอแค่รวบรวมสมาธิกับจินตนาการได้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ได้”
“สมาธิกับจินตนาการสินะ...”
สิ่งที่จะสามารถจินตนาการได้งั้นเหรอ... นึกไม่ออกเลยจริงๆ... สมาธิกับจินตนาการงั้นเหรอ... เอ๊ะ? เดี๋ยวสิ ถ้าแค่สมาธิกับจินตนาการละก็ มีสิ่งที่พอจะทำได้อยู่อย่างนี่
“............”
ผมเริ่มขจัดความคิดเรื่องอื่นออกจากหัวไปแล้วมุ่งไปที่ความทรงจำในอดีต จากนั้นก็เริ่มเหยียบเท้าเปิดออก วางร่างกายส่วนล่างให้นิ่ง ค่อยๆสัมผัสถึงสายธนูที่จินตนาการไว้ที่มือขวา จากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้นในขณะเดียวกัน ค่อยๆดึงมือขวาออก สิ่งที่วาดขึ้นมานั้นคือคันธนูกับลูกธนูที่ไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ผมจินตนาการขึ้นแล้วค่อยๆจ้องมองไปข้างหน้า
พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบคันธนูกับลูกธนูที่ได้จินตนาการไว้อยู่ภายในมือ แม้ว่าจะรูปร่างยังไม่ชัดเจนนักก็ตาม
“คันธนู?”
“เมื่อก่อนเราเคยอยู่ชมรมยิงธนูน่ะ ถ้าจะให้รวบรวมสมาธิละก็คงจะนึกออกแต่เรื่องนี้เท่านั้นล่ะ”
“อืม ใช้ได้ จินตนาการที่มีประสบการณ์เป็นพื้นฐานน่ะสำคัญ สามารถทำให้ยิ่งใช้ได้อย่างชำนาญและแข็งแกร่งขึ้น”
“อื้อ...”
ผมตอบอย่างไม่ทันได้ตั้งใจในขณะที่กำลังรวบรวมสมาธิอยู่ พร้อมกับค่อยๆวางมือทั้งสองลง แล้วคันธนูกับลูกธนูที่สร้างขึ้นมาด้วยพลังเวทย์ก็หายไป
“ที่เหลือก็แค่ฝึกให้ดึงออกมาใช้ได้เร็ว และให้ร่างกายเคยชิน”
“ก็คือต้องทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหรอ?”
“ทำให้จินตนาการในหัวมั่นคง ยิ่งจินตนาการได้สมบูรณ์เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“อืม อย่างนี้นี่เอง”
“ว่าแต่ไม่เลวเลย ปกติแล้วจะต้องใช้เวลามากกว่านี้”
“งั้นเหรอ?”
แต่ว่าเหนื่อยกว่าที่คิดไว้นะนี่ ต้องทำแบบนี้ซ้ำไปมาอีกเหรอ รู้สึกลำบากใจขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็จะพยายาม
“แล้วโซ่ของโคโนะล่ะ? นั่นก็เป็นไสยเวทเหมือนกันเหรอ?”
“ใช่ หลักการเหมือนกัน”
“หลักการเหมือน แล้วมีอะไรอย่างอื่นที่ต่างกันงั้นเหรอ?”
“หลายอย่าง เป็นความแตกต่างของประสบการณ์”
“...ฟังแล้วเจ็บปวดยังไงไม่รู้สิ”
ชักรู้สึกเหมือนกับอิจฉาโคโนะขึ้นมานิดหน่อยแฮะ แต่ว่าจากนี้ไปเราเองก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้น
“โดยพื้นฐานแล้วคือฝึกซ้ำไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะเข้าถึงโลก ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในร่างกาย สิ่งนั้นจะทำให้ความแม่นยำของเวทย์เพิ่มขึ้น ความเร็วก็เพิ่มขึ้นด้วย
“สรุปก็คือต้องใช้ความพยายามกับความมุ่งมั่นเหรอ?”
“หากไม่มีความพยายาม คนเราก็จะไม่เจริญก้าวหน้า แต่ว่าอย่าฝืนมากเกินไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามควรจะทำอย่างพอดี ไม่งั้นอาจได้รับผลในทางตรงกันข้าม”
“งั้นเหรอ ว่าแต่หมายถึงยังไงน่ะ?”
“ถ้าอย่างเบาละก็ อาจทำให้ร่างกายบาดเจ็บง่ายๆแม้แค่โดนอะไรนิดหน่อย”
“แล้วอย่างหนักล่ะ?”
“ตาย”
...ไม่อยากให้พูดคำว่าตายออกมาง่ายๆแบบนี้เลยจริงๆ
“เพราะฉะนั้น เวลาที่เราไม่อยู่ห้ามใช้เอาเองนะ เอาล่ะ งั้นวันนี้พอแค่นี้ เดี๋ยวคาบเรียนตอนบ่ายก็จะเริ่มแล้ว”
====================
* หม้อไฟเนื้อวัว เขียนด้วยคันจิเป็น 牛鍋(กิวนาเบะ) คล้ายกับคำว่า 蝸牛(คาตัทสึมุริ) ที่แปลว่าหอยทาก
--------------------
รวมศัพท์ท้ายตอน
風流 ふうりゅう สง่างาม
払拭 ふっしょく กวาดทิ้งออกไป,ทำลายสิ้น
只ならぬ ただならぬ ผิดปกติ,ไม่ธรรมดา
嫌悪 けんお การเกลียดชัง
身も蓋もない みもふたもない พูดตรงไปตรงมาอย่างไม่มีเยื่อใย
翳す かざす ชู,ยกสูง,ยกขึ้นมาปกป้องหรือบัง,อัง
則る のっとる เป็นมาตรฐาน,เป็นแบบอย่าง
介入 かいにゅう การแทรกแซง
要領 ようりょう ประเด็นหลัก,วิธีจัดการเรื่อง
熟練 じゅくれん ความชำนาญ,ความเชี่ยวชาญ
素養 そよう ทักษะจำเป็นขั้นพื้นฐาน
精製 せいせい กลั่น
器官 きかん อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย,ส่วนต่าง ๆ ของพืช
ジワジワ ทีละน้อย,ค่อย ๆ
生返事 なまへんじ ตอบอย่างลังเล,ตอบอย่างคลุมเครือ,ตอบอย่างไม่ได้ตั้งสติ
--------------------
ปิดเทอมแล้ว เลยมีโอกาสได้กลับมาแปลต่อในที่สุด ในที่สุดก็เข้าสู่บทของนัทสึกิแล้ว ใครที่เคยดูเพลงเปิดของเกมนี้แล้วก็คงจะเดาได้อยู่แล้วว่าโทวยะจะใช้ธนูเป็นอาวุธ
สำหรับบทของนัทสึกินั้นถือว่าเป็นบทที่ซับซ้อนกว่าบทอื่น เนื่องจากมีทางจบถึง ๕ แบบ หนึ่งในนั้นเป็น bad end ที่อนาถที่สุด ๓ ในนั้นเป็นฉากจบแบบค้างคา ฉากจบแบบสมบูรณ์มีเพียงฉากเดียว เช่นเดียวกับยูและมิโอะ แต่ของยูและมิโอะจะไม่มีทางจบแยกย่อยขนาดนี้
อนึ่ง เมื่อตัดเข้าสู่บทนัทสึกิเรียบร้อยแล้ว เกมจะดำเนินไปสู่ตอนจบที่สมบูรณ์หรือไม่นั้นก็ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่การเลือกในช่วงเนื้อเรื่องหลัก ดังนั้นหากเล่นจริงๆต้องระวังตรงนี้ด้วย ตอนนั้นที่เล่นครั้งแรกก็พลาดไปจบแบบไม่สมบูรณ์ กว่าจะหาทางแก้ได้ก็ต้องหาบทสรุปมาดู
ตอนหน้ามีเซอร์ไพรส์ด้วย (คนที่เคยเล่นคงเดาได้ว่าหมายถึงอะไร) ช่วงนี้ที่จริงยังยุ่งๆอยู่ไม่รู้ว่าจะได้ลงตอนต่อไปเมื่อไหร่แต่ก็จะหาเวลามาลงต่อแน่นอน