[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๑๒ ข้างกาย (隣)
>> กลับไปตอนที่ ๑๑
“สุดยอดเลยนะ โลกนี้มันสุดยอดจริงๆ!”
“อะไรเหรอ แม่?”
“อะไรน่ะ? แค่เครื่องคิดเลขไม่ใช่เหรอ?”
“โห ถูกจัง”
“อะไรกัน ท่าทางแบบนั้น น่าจะทำท่าตกใจอย่างเต็มที่กว่านี้หน่อยนะ”
“เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ หิวแล้วล่ะ ข้าวยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”
“เป็นเด็กที่ไม่มีอารมณ์ร่วมเอาซะเลย แม่ล่ะเสียใจจริงๆ”
............
“นี่ๆ โทวยะ รีโมตอันนี้ ขอเอามาแยกชิ้นส่วนหน่อยได้มั้ย”
“ไม่ได้ แบบนี้ก็ดูโทรทัศน์ไม่ได้กันพอดีสิ”
“โทวยะขี้เหนียว แม่แค่สนใจน่ะว่าในนั้นมันจะเป็นยังไง”
“คุณแม่น่ะอัจฉริยะอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
“โทวยะ จะยอมรับเรื่องธรรมดาให้มันเป็นเรื่องธรรมดาง่ายๆไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าคนเราสงสัยในเรื่องที่ดูธรรมดา หรือเป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้วนั่นล่ะ ถึงได้มีการค้นพบอะไรใหม่ๆออกมาไงล่ะ”
“โห...”
“เพราะฉะนั้นนะ เพราะฉะนั้น ขอแยกชิ้นส่วนหน่อยได้มั้ย?”
“ไม่ได้”
............
“ผมต้องรีบไปหาคุณแม่”
“แต่ว่าคุณแม่ยังอยู่ข้างในสินะ ขนาดผมเองก็ยังอยู่มาจนถึงเมื่อครู่นี้เลย”
“คือว่า... ผมเองก็ยังอยู่มาจนถึงเมื่อครู่นี้เลย ถ้าคุณแม่ยังอยู่ผมก็ควรจะรีบไป บางทีอาจจะกำลังหลงทางอยู่ก็ได้ เพราะงั้น”
“ไม่มีทางเป็นงั้นหรอกน่ะ ผมเองยังหนีรอดออกมาคนเดียวได้เลย คุณแม่เองก็ต้องกำลังรออยู่แน่นอน”
แม้ผมจะพยายามยื่นมือออกไปแต่ก็ไม่อาจจะคว้าอะไรได้ ในตอนนั้นก็ได้สัมผัสถูกอะไรบางอย่าง นั่นดูเหมือนกับเป็นความอบอุ่นลางๆที่รู้สึกได้จากใครสักคน แต่ว่าข้างหน้านี้ไม่เห็นมีใครอยู่เลยนี่นา...
......ฝัน......?
ฝันเหมือนทุกที......เหรอ...?
--------------------
เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นโคโนะอยู่ตรงหน้า
ทำไมเธอถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะ?
“อ้าว? โคโนะ?”
“อรุณสวัสดิ์”
“...อรุณสวัสดิ์...”
ทำไมโคโนะถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ แถมยังเห็นมองลงมาอยู่ตรงหน้าอีกด้วย พอเริ่มได้สติขึ้นมาก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังนอนเอาหัวหนุนตักเธออยู่
“หวา! โทษที!”
“อย่าดิ้นสิ ท่าทางจะยังเจ็บอยู่อย่าฝืนเลย”
“เอ่อ... นี่เราหมดสติไปนานแค่ไหนเนี่ย?”
“สักพักนึง”
“งั้นเหรอ... แล้วโคโนะ โรงเรียนล่ะ?”
“ขอออกก่อนเวลาน่ะ”
“...แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“เดินเล่น”
“แล้วทำไมถึงต้องอยากเดินเล่นมากถึงขนาดขอออกก่อนเวลาด้วยเหรอ?”
“บางทีมันก็มีอารมณ์แบบนี้อยู่บ้างล่ะ”
“...เอาจริงๆได้มั้ย?”
“มีคนติดต่อมา บอกว่าอยากให้ช่วยมารับ”
“...งั้นเหรอ”
“พอมาถึงก็เห็นกำลังล้มอยู่พอดี มาได้จังหวะ”
“อ่อ ที่แท้ก็โคโนะนี่เองที่ช่วยรับเอาไว้”
เธอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยคิดอะไรตามปกติเช่นเคย ไม่มีทั้งปลอบโยน และก็ไม่ได้ต่อว่า เพียงแค่ให้ผมนั่งตักแล้วก็คอยจ้องอยู่เฉยๆเท่านั้น
“เจ็บตรงไหนเหรอ?”
“ที่ท้องน่ะ”
“การที่ยังเจ็บอยู่นั่นล่ะ เป็นหลักฐานยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่”
เธอพูดพลางลูบที่บริเวณท้องผมอย่างเบาๆ แต่แล้วอยู่ดีๆก็เอานิ้วกดลงมาอย่างแรงราวกับจะกรีดเนื้อ
“อ..อ..อ..โอ๊ย! เจ็บๆๆๆ!”
“ใช่แล้ว การมีชีวิตอยู่นี่มันสุดยอดไปเลยนะ”
เอ่อ... ไอ้แบบนี้แค่พูดน่ะมันง่าย...
“น่าจะเป็นแค่แผลพกช้ำ เดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ”
“งั้นเหรอ... ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ทำอะไรมากหรอก”
“นี่ ตอนที่เรายังไม่ได้สติอยู่น่ะ มีจับโดนโคโนะบ้างหรือเปล่า”
“มี ตอนที่ครวญครางแล้วก็ยื่นมือออกมา”
“งั้นเหรอ”
ว่าแล้วเชียว ที่สัมผัสถูกตอนนั้นก็คือโคโนะนั่นเองหรอกหรือนี่
“เพิ่งถูกผู้ชายจับอย่างนี้เป็นครั้งแรก”
เธอพูดแล้วก็หน้าแดงขึ้น
“เอ๋... ด..ด..เดี๋ยวสิ!”
ผมรีบเงยหัวลุกขึ้นมาจากตักของโคโนะแล้วเดินออกห่างทันที
“เอ่อ... คือว่าตอนนั้นมันไม่ได้สติอยู่น่ะ”
“ทั้งๆที่จับซะแน่นขนาดนั้นแท้ๆ”
“...หวา?!”
นี่เราไปจับโดนอะไรเข้าล่ะเนี่ย ยังไงก็เถอะ คราวนี้จะแก้ตัวว่ายังไงดีล่ะ ขอโทษไปแต่โดยดีจะดีกว่ามั้ยนะ
“เพิ่งเคยถูกจับมือแบบนี้...”
“...มือ? แค่จับมือธรรมดาเนี่ยน่ะเหรอ?”
“ใช่ จับมือซะแน่นเชียว”
“เหรอ งั้นเองหรอกเหรอ”
“เจ็บตั้งแต่ครั้งแรกเลย น่าจะอ่อนโยนกว่านี้สักหน่อยนะ”
“...หมายถึงว่าเพิ่งจับมือกับผู้ชายเป็นครั้งแรก แล้วก็เราออกแรงมากเกินก็เลยเจ็บพอดูเลยสินะ แบบนั้นน่ะเหรอ?”
“ตามนั้น ไม่มีอะไรมากกว่านี้”
...จริงๆน่ะเหรอ? เรื่องแค่นั้นจะอุตส่าห์พูดถึงขนาดนี้เลยเหรอ ไม่มีอย่างอื่นเลยเหรอ? ถึงจะยังอาจไม่ค่อยอยากจะเชื่อก็ตาม แต่ก็เอาเถอะ
“ร่างกายไม่เป็นอะไรแล้วสินะ”
“เอ่ จะว่าไปก็”
ผมลองตรวจดูสภาพร่างกายตัวเองดู เท่าที่เห็นก็คือแค่มีแผลจากการถูกโจมตีที่ท้องเท่านั้น ส่วนอื่นดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร
“คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“เหรอ ตามมา”
“ที่ว่าให้ตามไปนี่ จะไปไหนเหรอ?”
“บ้านเราเอง”
“ทำไมเราถึงต้องไปบ้านโคโนะล่ะ?”
“จะปฐมพยาบาลให้”
จากนั้นเธอก็จับมือผมอย่างแรงแล้วก็เริ่มพาเดินออกไป
--------------------
“ที่นี่คือห้องของโคโนะเองสินะ”
“ใช่”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินกลับบ้านด้วยกันก็บอกว่าบ้านอยู่ทางเดียวกันแท้ๆเลยนี่นา แต่ที่พามานี่กลับเป็นคนละทางกันเลย เอาเถอะไม่เป็นไรหรอกมั้ง ว่าแต่ดูเป็นห้องที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่ตรงกลางห้องกับมีโคทัตสึตั้งประดิษฐานวางอยู่ แถมอุตส่าห์เอาเสื่อทาทามิไปปูตรงนั้น และทั้งๆที่เป็นเดือนกันยายนแท้ๆแต่กลับติดตั้งฟูกไว้พร้อมแบบนั้น *
“ข้าวของน้อยจัง อาศัยอยู่คนเดียวเหรอ?”
“อื้อ ตามนั้น นั่งลง”
“อื้อ”
“ถอดชุด”
“............”
เป็นผู้ชายอยู่ดีๆถูกพูดแบบนี้ก็รู้สึกตกใจเหมือนกันแฮะ แต่ดูเหมือนว่าโคโนะจะพูดโดยไม่รู้สึกอะไรเลย
“แผลบวม เดี๋ยวจะเอาผ้าประคบเย็นให้ ยกแขนขึ้น”
ผมค่อยๆยกแขนขึ้นในขณะที่ร่างกายรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย จากนั้นโคโนะก็เอาผ้ามาประคบตรงบริเวณที่เจ็บอย่างไว และเอาผ้าพันแผลมาพันปิดทับให้แน่นอีกที
“ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันน่ะ? รู้หรอกว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆแต่ว่ามันยังไงกันน่ะ...”
“ความลับ ไม่สามารถเปิดเผยอย่างละเอียดได้”
“...ถ้างั้นจะว่าไปแล้วพวกเธอคือใครกันแน่?”
“ผู้ผดุงความยุติธรรม”
“............”
ผมจ้องหน้าโคโนะดูอยู่สักพัก เท่าที่เห็นก็ดูเหมือนว่ายังไงก็ไม่ได้กำลังโกหกอยู่ แต่ว่าผู้ผดุงความยุติธรรมงั้นเหรอ เป็นคำที่ต้องให้อธิบายขยายความอีกยาวเลยนะ
“ขอถามบ้างล่ะ ทำไมเธอถึงได้พยายามเอาตัวเข้ายุ่งล่ะ?”
“เอ๋?”
“ทำไมถึงได้อยากเอาตัวเข้ามาเสี่ยงถึงขนาดนี้ล่ะ? จนต้องเจ็บตัวขนาดนี้”
“...ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะมีความรู้สึกที่เจ็บปวดสักหน่อย”
“เราไม่แนะนำให้เอาตัวเข้ายุ่งเรื่องนี้นะ”
โคโนะพูดเช่นนั้นแล้วก็จ้องมองผมด้วยใบหน้าที่คาดเดาอารมณ์ได้ยากอย่างเช่นเคย แต่ที่พูดมานี่ดูเหมือนจะกำลังเป็นห่วงเราอยู่หรือเปล่านะ?
“ควรจะลืมเรื่องเมื่อวานไปได้แล้ว ทั้งเธอเองแล้วก็เด็กคนนั้น”
“เด็กคนนั้นที่ว่านี่หมายถึงโนมิยะซังเหรอ? จะว่าไปแล้วโนมิยะซังตอนนี้เป็นไงบ้างเหรอ?”
“หยุดโรงเรียนไป”
“ทำไมกันนี่? หรือว่าเมื่อวานได้รับบาดเจ็บ?”
“ดูเหมือนจะอาการไม่ค่อยดีเลยนอนอยู่ที่บ้าน”
“งั้นเหรอ อย่างนั้นเองเหรอ”
ร่างกายไม่ดีงั้นเหรอ จะว่างั้นยังไงก็แปลกอยู่ดีล่ะ
“เราขอกลับบ้านก่อนนะ ยังไงก็ขอบใจมาก”
จากนั้นผมก็เดินออกจากบ้านของโคโนะมา พอลองดูที่โทรศัพท์มือถือก็พบว่ามีข้อความเข้าสองข้อความ ดูเหมือนจะมาจากมาโดกะกับฮิซาชิ ส่งมาแสดงความเป็นห่วงที่ผมหยุดเรียนไป
“...ทำให้คนอื่นเป็นห่วงเข้าแล้วหรือนี่ แย่จังเลยเรา...”
...จะตอบกลับไปตามตรงก็คงไม่ได้ ผมตัดสินใจส่งข้อความตอบกลับโดยเลี่ยงเกี่ยวกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะรู้สึกผิดไปพร้อมกับที่ขอบคุณในความเป็นห่วงของทั้งสองคนก็ตาม
--------------------
เย็นนี้กลับมาถึงบ้านก็ทานข้าวกันอย่างสนุกสนานอีกเช่นเคย ที่เป็นอยู่ตอนนี้คิดว่ายังไงก็มีความสุข ถ้าหากจะอยู่แบบนี้ต่อไปก็คงจะดี ไม่จำเป็นจะต้องอุตส่าห์มาคิดอะไรให้เจ็บปวด ถ้าลืมเรื่องพวกนี้แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบที่ผ่านมาตามปกติก็คงจะดี รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
แต่ว่า มีอะไรบางอย่างภายในใจคอยปฏิเสธความคิดนั้นอยู่ รู้สึกว่าถ้าหากมัวแต่กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแบบนี้ต่อไปละก็ ตัวเราก็จะได้แต่หยุดยืนอยู่กับที่เท่านั้น ไม่อาจก้าวหน้าไปไหน
ผมนึกภาพเหตุการณ์ตอนไฟไหม้ตึกครั้งนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพของตัวเองที่แม้จะพยายามยื่นมือเข้าไปแต่ก็ไม่สามารถคว้าอะไรได้ ได้แต่ยืนมองตึกโดนไฟไหม้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่เอาอีกแล้ว จะไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว สถานการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้น่ะมันต่างกัน
ถ้าไม่ก้าวออกไปจากตรงนี้ละก็... ถ้าหากหนีจากตอนนี้ไปละก็ เราคง... ถ้าหากตอนนี้ละก็ จะสามารถคว้ามันไว้ได้ด้วยมือนี้หรือเปล่านะ แล้วจะก้าวเดินออกไปได้หรือเปล่านะ
--------------------
“โทวยะ... โทวยะ...”
“คุณแม่?”
“ขอโทษนะ โทวยะ”
“ขอโทษอะไรน่ะ คุณแม่”
“ยกโทษให้แม่ด้วยนะ”
คุณแม่ยังคงขอโทษต่อไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจที่ผมถาม
“ขอโทษอะไรกันน่ะ คุณแม่”
“ขอโทษนะ...”
สิ้นคำของคุณแม่ ภาพก็ค่อยๆเลือนลง ผมพยายามจะเอื้อมมือเข้าไปหา แต่ก็กลับขยับไม่ได้เลยสักนิด
“โทวยะ ขอโทษนะ...”
“...ไม่ต้องขอโทษก็ได้... ที่ต้องขอโทษน่ะคือผมต่างหาก...”
“............”
ดูเหมือนเสียงของผมจะส่งไปไม่ถึงจริงๆ คุณแม่ยังคงเงียบอยู่ต่อไป ผมพยายามเคลื่อนเข้าไปหา ในตอนนั้นจู่ๆก็มีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ถอยกลับ
ตัดสินใจแล้ว ยังไงก็ต้องมุ่งหน้าต่อไป
“............”
พอลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็นอนอยู่ในห้องตัวเองตามปกติ ดูเหมือนเมื่อคืนจะหลับไปในขณะที่กำลังคิดๆอะไรอยู่
--------------------
หลังจากที่ทานข้าวเช้าเสร็จก็เดินออกมาพร้อมกับมากินะ แต่หลังจากแยกกันกลางทางผมก็เดินมาที่ป้ายหลุมศพ
“...คุณแม่...”
ผมพูดขึ้นด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับทุกที แต่ครั้งนี้รู้แล้วว่าคุณแม่อาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ ผู้หญิงคนนั้นคือคุณแม่จริงๆหรือว่าเป็นคนอื่นก็ไม่รู้ เพียงแต่คิดว่าไม่อาจจะหลบสายตาตัวเองออกจากตรงนี้แล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานได้อีกต่อไป ถึงแม้จะต้องเจอกับเรื่องเจ็บปวดบ้างก็ไม่เป็นไร
ตรงหน้ามีทางเดินให้เลือกอยู่สองทาง คือจะหยุดยืนอยู่กับที่ หรือว่าจะก้าวเดินออกไป นี่เป็นทางเลือกสุดท้าย หากไม่เลือกตรงนี้ละก็ เราจะไม่สามารถเลือกอะไรได้อีกเลย
“ตอนนั้นอาจไม่สามารถคว้าไว้ได้ แต่ครั้งนี้แหละเพื่อจะคว้ามันไว้...”
ชีวิตที่เรียบง่ายน่ะมันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอก เพียงแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ที่ผ่านมาผมไม่ได้เป็นคนเลือกอะไรเลย เพียงแต่แค่ใช้ชีวิตต่อมาเรื่อยๆ ราวกับไหลไปเรื่อยๆ... อย่างกับตุ๊กตา...
“ไปดีกว่า”
ผมหันเท้ากลับแล้วก้าวเดินออกไป... ด้วยความตั้งใจของตัวเอง ด้วยขาของตัวเอง...
--------------------
“อรุณสวัสดิ์”
ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนและกล่าวทักทายตามปกติ
“อรุณสวัสดิ์ ฟุชิมิคุง”
“อรุณสวัสดิ์ มาโดกะ”
“หวัดหายแล้วเหรอ?”
“หวัด?”
“เมื่อวานเป็นหวัดเลยหยุดไปไม่ใช่เหรอ? ในเมลเขียนไว้แบบนั้นนี่”
อ่อใช่ ตอนที่จะส่งข้อความกลับไปผมนึกอะไรไม่ออกก็เลยเขียนไปแบบนั้น
“อาการแย่ถึงขนาดจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?”
“อ่อ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่ตอนที่ส่งนั่นเพิ่งตื่นนอนน่ะ”
“งั้นเหรอ แล้วตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ไม่เป็นไรแล้ว หายแล้วล่ะ”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ ว่าแต่ช่วงนี้กำลังระบาดหรือไงกันนะ”
“หืม? ทำไมเหรอ?”
“อ่อจริงสิ เมื่อวานหยุดไปเลยไม่รู้สินะ คือเมื่อวานนี้โนมิยะซังหยุดเรียนน่ะ ส่วนโคโนะซังก็ขอออกก่อนเวลา”
สรุปว่าในห้องมีคนบอกว่าเป็นหวัดถึงสามคน แต่ที่แน่ๆคือสองในสามนั่นน่ะโกหก
“บังเอิญล่ะมั้ง”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีหรอก”
ขณะที่ผมกำลังคุยกับมาโดกะต่อไปอยู่นั้น ฮิซาชิก็เดินเข้าห้องมา
“อ้าว สบายดีแล้วเหรอ?”
“อื้อ หายแล้วล่ะ”
จากนั้นพวกเราก็คุยเล่นกันไปเรื่อยๆรอคาบเรียนเริ่ม แต่จนคาบเรียนเริ่มแล้วก็ยังไม่เห็นโนมิยะซังเข้ามาเลย หรือว่าจะอาการหนักอยู่กันนะ
--------------------
“...เวลาป่านนี้แล้วหรือนี่”
พอถึงตอนพักกลางวันผมก็ได้ไปเดินดูตามชมรมต่างๆมา กว่าจะกลับมาถึงห้องเรียนก็อีก ๕ นาทีเข้าเรียนแล้ว พอเข้ามาถึงฮิซาชิก็ถามขึ้นทันที
“นายไปทำอะไรมาจนถึงเวลาป่านนี้น่ะ”
“แค่ไปดูกิจกรรมชมรมนิดหน่อยน่ะ”
“ดูกิจกรรมชมรม? ชมรมยิงธนูเหรอ? ไม่สิที่นี่ไม่มีชมรมยิงธนูนี่ แล้วไปไหนมากันน่ะ?”
“เอ่อ... ก็มีไปที่ชมรมเคนโด้ คาราเต้ ยูโด จากนั้นก็เทควันโด้ อ้อแล้วก็มวยไทยด้วย”
“...อะไรของนายน่ะ คิดจะไปเป็นผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ทุกแขนงหรือยังไงกัน?”
“ก็ไม่หรอก แค่อยากแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นเอง”
“หา? ทำไมอยู่ดีๆ?”
“ก็มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”
ฮิซาชิจ้องมองผมด้วยท่าทีเคลือบแคลงสงสัยในขณะที่ผมกำลังไม่รู้จะพูดอะไร
“มีเรื่องอะไรกลุ้มใจงั้นเหรอ? หรือว่าโดนขู่กรรโชก? หรือโดนรังแก?”
“เปล่า ไม่ใช่เหตุผลแบบนั้นหรอก”
“ถ้างั้นมันอะไรกันล่ะ อยู่ดีๆมาพูดเรื่องแบบนี้ แปลกคนจริงๆเลยนะนายเนี่ย”
“มันก็มีอะไรๆหลายอย่างน่ะ”
“แล้วตั้งใจจะเข้าชมรมไหนล่ะ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีหรอก รู้สึกว่ามันไม่ใช่น่ะ”
“ไม่ใช่เหรอ? หมายถึงอะไร?”
“ความแข็งแกร่งที่เราตามหาอยู่น่ะ”
“พูดเรื่องอะไรกันน่ะ”
“เราเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ยังไงก็เข้าใจหน่อยละกัน”
“นายเนี่ยดูแปลกๆนะ คงไม่ใช่ว่าหวัดยังไม่หายดีหรอกนะ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
ในจังหวะที่ผมกำลังพูดหาทางกลบเกลื่อนอยู่นั้น กริ่งเข้าเรียนก็ได้ดังขึ้น จากนั้นทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันไปเข้าที่นั่งของตัวเอง
“อืม เข้าใจแล้ว ถ้ามีอะไรกลุ้มใจละก็ รีบมาปรึกษานะ”
“เข้าใจแล้ว”
จากนั้นฮิซาชิก็กลับไปยังที่นั่งตัวเอง พอผมกำลังจะกลับไปนั่งที่ตัวเองก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาทางนี้อยู่ ผมจึงทักกลับไป
“...อะไรเหรอ? ทำไมเหรอ?”
พอหันไป ที่ยืนจ้องผมอยู่ตรงนั้นก็คือโคโนะนั่นเอง
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“งั้นเหรอ”
“แต่ว่ามีเรื่องจะคุยด้วย หลังเลิกเรียน ที่ดาดฟ้า”
โคโนะพูดแค่นั้นแล้วก็กลับไปยังที่นั่งตัวเอง ผมเองก็กลับไปยังที่นั่งตัวเองเช่นกัน ในจังหวะนั้นคุณครูก็เดินเข้าห้องมาพอดีจึงได้เวลาเริ่มเรียน
--------------------
พอเปิดประตูขึ้นมายังดาดฟ้า ก็เห็นโคโนะยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ที่เรียกมามีอะไรเหรอ?”
“ได้ยินเรื่องเมื่อกลางวันมาแล้ว ทำไมถึงคิดจะเข้าชมรมเหรอ?”
“ก็อย่างที่บอก คืออยากจะแข็งแกร่งขึ้น”
“เพื่ออะไร?”
“เพราะไม่อยากหลบสายตาออกจากทุกสิ่งทุกอย่างไปทั้งๆอย่างนี้ไงล่ะ”
“............”
ราวกับคาดการณ์ในคำตอบของผมเอาไว้ได้อยู่แล้ว โคโนะถอนหายใจแล้วจ้องมองมา
“ลืมไปซะจะดีกว่า แค่พยายามนิดหน่อยน่ะมันไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นหรอก”
“แต่ว่าจะให้ลืมมันไปก็ไม่ได้หรอก ถ้าทำแบบนั้นก็จะทำให้รู้สึกว่าตัวเองมันไม่ได้เรื่องเลย”
“ตัวเองไม่ได้เรื่องงั้นเหรอ?”
“อยากจะเป็นตัวเองในแบบที่ตัวเองจะยอมรับได้ ไม่อยากจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง”
โคโนะนิ่งเงียบอยู่สักพักนึงจึง สักพักจู่ๆก็เริ่มยกมือขึ้นมา ในชั่วจังหวะนั้น ก็ได้มีโซ่จากไหนไม่รู้พุ่งเข้ามาอย่างแรงจนน่ากลัว โซ่ที่ส่องประกายแสงลางๆเหมือนกับที่ได้เห็นตอนสู้กับคิฟุเนะ มิโอะ
“หวา!”
โซ่นั้นพุ่งเข้ามาและรัดตัวผมซึ่งกำลังตกใจอยู่โดยไม่อาจขัดขืนจนผมล้มลงไปกลิ้งกับพื้นคอนกรีต
“เฮ่ย! โคโนะ ตั้งใจจะทำอะไรน่ะ!?
“ความแตกต่างของพลังที่ตามหา พลังธรรมดาน่ะไร้ความหมาย”
บางทีเรื่องนั้นผมเองก็เข้าใจดีอยู่แล้ว เมื่อตอนกลางวันได้ไปเดินดูตามชมรมมา แต่ว่าทั้งหมดนั้นดูแล้วมันไม่ใช่
“เราฝันน่ะ...”
ผมตัดสินใจว่าจะเล่าความจริงไป
“...ฝัน?”
“คุณแม่ตายไปด้วยอุบัติเหตุไฟไหม้ที่โรงพยาบาลยาซากะเมื่อ ๑๐ ปีก่อนน่ะ รู้เรื่องไฟไหม้ครั้งนั้นมั้ยล่ะ?”
“รู้”
“ตอนนั้นเราอยู่โรงพยาบาลน่ะ ร้องไห้อยู่หน้าโรงพยาบาล ทั้งๆที่รู้ว่าคุณแม่อยู่ข้างใน แต่เพราะเราเป็นเด็ก ไม่มีพลัง ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่ร้องไห้ภาวนาขอให้ไฟดับลง ขอให้คุณแม่ปลอดภัย”
“...งั้นเหรอ”
“มันช่างเจ็บปวด เสียใจ และร้องไห้ แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณแม่ได้ตายไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็ฝันมาตลอด ฝันเห็นความทรงจำตอนที่อยู่กับคุณแม่ แล้วทุกครั้งก็จบลงด้วยการถูกกลืนลงในกองเพลิง”
“............”
จากนั้นผมก็เล่าสิ่งที่ตัวเองคิดและตัดสินใจมาตั้งแต่เมื่อคืนให้โคโนะฟัง
“แต่ว่าถึงจะทำใจไว้แล้ว แต่ถ้าไม่มีพลังละก็ไร้ความหมาย”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ช่วยมอบพลังนั้นให้กับเราทีสิ ให้สมกับที่ได้เตรียมใจเอาไว้”
“เราน่ะเหรอ?”
“อยากได้พลังแค่พอให้สู้ได้น่ะ ขอร้องล่ะ นอกจากโคโนะแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะไปขอพึ่งใครแล้ว”
“............”
โคโนะยืนนิ่งเงียบไปกับคำพูดของผม
“เพราะฉะนั้น... ขอร้องล่ะ โคโนะ”
“......สัญญา ...สัญญามาก่อน”
“สัญญา?”
“ว่าจะไม่ทำอะไรเองตามใจชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ห้ามทำอะไรโดยไม่บอก นั่นคือเงื่อนไข”
“เข้าใจล่ะ เราสัญญา”
“งั้นมาเกี่ยวก้อยสัญญากัน”
จากนั้นจู่ๆโซ่ที่รัดตัวผมอยู่ก็ได้หายไปทันที ผมยืนขึ้นจากนั้นก็ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองเข้าไปเกี่ยว
“เกี่ยวก้อยสัญญา ถ้าโกหกจะให้ดื่มซอสสุดเผ็ดให้หมดในอึกเดียว”
...รู้สึกแปลกๆกับคำพูดท่อนท้ายๆแฮะ
“เดี๋ยวสิ ปกติมันต้องพูดว่าให้กลืนเข็มพันเล่มไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลายเป็นโทษที่ทำได้จริงแบบนั้นไปได้ล่ะ?” *
“ถ้าทำจริงๆไม่ได้ก็ไม่ใช่โทษน่ะสิ”
“มันก็ใช่หรอก... ว่าแต่ซอสสุดเผ็ดที่ว่านี่มัน?”
“ซอสเจ็ดล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสโควิลล์”
“...สโควิลล์อะไรกันน่ะ?”
“เป็นระดับของความเผ็ด ต้นตำรับมาจากคนชื่อวิลเบอร์ สโควิลล์”
“แล้วมันเผ็ดเหรอ?”
“เผ็ดระดับโลกเลย แนะนำให้ลองดูสักครั้งนึง”
“...เอ่อ เกรงใจน่ะ”
“ถ้างั้นก็รักษาสัญญาด้วย”
ถ้าผิดสัญญาละก็ ดูท่าจะต้องดื่มจริงๆแน่
“ว่าแต่มันสามารถดื่มรวดเดียวได้ด้วยเหรอ?”
“ถ้าสดๆละก็ไม่ไหว”
“แสดงว่าไม่ได้ไม่ใช่เหรอ!! แล้วไอ้เจ็ดล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสโควิลล์เนี่ยมันเผ็ดแค่ไหน มีอะไรมาเปรียบเทียบมั้ย?”
“ได้ยินว่าสเปรย์แก๊สน้ำตาธรรมดาจะอยู่ที่สองถึงสามล้านสโควิลล์”
ไอ้ที่เปรียบเทียบนั่นมันไม่ใช่ของกินนี่นา สุดท้ายก็คือเป็นโทษที่ไม่สามารถทำจริงได้งั้นสินะ หรือว่า...
“ว่าแต่ไอ้โซ่นั่นมันอะไรกันน่ะ ไม่ใช่แค่โซ่ธรรมดาแน่เลยงั้นสินะ”
“ไสยเวท”
“หา?”
“โซ่ที่ทำจากไสยเวท นั่นคืออาวุธของเรา มันมีชื่อว่าเป็ปเปอร์คุง”
“ไสยเวทที่ว่านี่...?”
“ไม่พอใจเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่ยังทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้นเอง”
“นั่นแค่เพราะเธอไม่รู้เท่านั้น โลกของไสยเวทน่ะมีอยู่จริง”
“...ถ้างั้น... เธอก็คือจอมเวทย์งั้นเหรอ?”
“ถูกต้องอย่างยิ่ง”
“เดี๋ยวนะ ขอเรียบเรียงความคิดในหัวก่อน”
โคโนะเป็นจอมเวทย์ และโซ่นั่นก็เกิดขึ้นมาจากไสยเวท สรุปก็คือการจะได้พลังมานั้น เราต้องพึ่งพาไสยเวทอะไรนั่นงั้นสินะ
“หลับตาลง”
“เอ๋? หลับตา?”
โคโนะเข้ามาจับมือผมอย่างเบาๆทั้งสองข้าง และก็ยืนอยู่ในท่าประสานมือหันหน้าเข้าหากัน
...แบบนี้รู้สึกเขินนิดหน่อยแฮะ
“หลับตาลง ทำใจให้ว่าง”
ผมหลับตาลงตามที่โคโนะบอก
“ค่อยๆรวบรวมสมาธิไปที่มือ”
ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเลย แต่ยังไงก็ตาม ผมรวบรวมสมาธิไปที่มือตามที่โคโนะบอก
ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอ่อนๆและความนุ่มนวลของมือเด็กสาว... เอ๊ะ ให้รวบรวมสมาธิอยู่กับเรื่องแบบนี้ต่อไปจะดีหรือนี่ อย่างนี้มันออกจะดูวิตถารไปหน่อยหรือเปล่านะเรา
“พลังเวทย์ก็เหมือนกับพลังชีวิต มีไหลเวียนอยู่ในตัวทุกคน เพียงแต่ไม่รู้วิธีใช้เท่านั้น เดี๋ยวจะสอนวิธีใช้ให้”
“...จะให้เราทำอะไรเหรอ?”
“จินตนาการอะไรมาสักอย่าง”
“จินตนาการ?”
“อะไรก็ได้ จินตนาการอะไรสักอย่างไว้ในหัว”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...”
“งั้นแค่ทรงกลมเล็กๆก็ได้”
“...เข้าใจแล้ว”
ถ้าแค่นั้นละก็... ผมนึกภาพทรงกลมสีขาวขึ้นมาในหัว
ในชั่วพริบตานั้น ความอบอุ่นจากมือที่สัมผัสอยู่นั้นก็ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกันทรงกลมที่ผมจินตนาการไว้ในหัวก็เริ่มส่องแสงขึ้นจนสว่างจ้า
“อ๊ะ!”
“ไม่เป็นไร ทำใจให้สงบไว้”
“อื้อ”
“รวบรวมสมาธิไว้ที่มือ”
ความอบอุ่นอ่อนๆได้คืบคลานเข้ามาที่มือของผม รู้สึกถึงความร้อนราวกับความร้อนนั้นมาสถิตรวมอยู่เฉพาะส่วนถัดจากศอกไป หลังจากที่สัมผัสเช่นนั้นอยู่สักพัก ความร้อนก็เริ่มกลับเข้าสู่ฝ่ามือและจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นภาพทรงกลมที่ได้วาดไว้ในหัวก็หายไป ...นี่มันอะไรกันน่ะ
“ลืมตาขึ้นมาได้แล้ว”
“อื้อ”
ผมลืมตาขึ้นมาตามที่โคโนะบอก
“นั่นมันอะไรน่ะ?”
ทรงกลมเล็กๆที่ส่องประกายสีขาวตามที่ผมจินตนาการเอาไว้ได้มาลอยอยู่ตรงหน้าสายตา
“ก้อนของพลังเวทย์ของเธอ”
“นี่น่ะเหรอ?”
“ไม่ว่าใครก็มีพลังเวทย์อยู่”
ผมยังรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เมื่อลองยื่นมือเข้าไปหาทรงกลมนั้นดูก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจางๆจากปลายนิ้วที่สัมผัส
“นี่เราเป็นคนสร้างขึ้นเหรอ?”
“ที่สร้างขึ้นน่ะคือเรา แต่นี่น่ะคือก้อนของพลังเวทย์ของเธอ”
“จะมีประโยชน์เหรอ เจ้านี่”
“ลองโจมตีรั้วดูสิ”
“ทำยังไง?”
“นี่เป็นพลังเวทย์ของเธอ แค่เธอจินตนาการเท่านั้น”
“จินตนาการสินะ”
จินตนาการที่ว่านี่คือวาดเส้นทางเอาไว้น่ะเหรอ? อย่างเช่นว่าจงลอยตรงไป! งั้นเหรอ?
ชั่วพริบตานั้นทรงกลมก็ได้ลอยแหวกอากาศเข้าไปอย่างรวดเร็วใส่รั้วที่อยู่ตรงหน้าจนสั่นไหว ที่ตาข่ายของรั้วเห็นมีรูเล็กๆแหวกอยู่ด้วย
“นี่มัน...”
“ไสยเวท... นี่น่ะเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน”
โคโนะดูมีท่าทีภูมิใจในตัวเองอย่างเห็นได้เล็กน้อย เธอเป็นคนที่มีนิสัยง่ายๆกว่าที่คิดไว้นะนี่
ว่าแต่แบบนี้มันสุดยอดไปเลย... แค่นี้เราเองก็...
“อย่าได้เห็นเป็นของง่ายไปนักล่ะ ไสยเวทน่ะเป็นทักษะ ทักษะนั้นต้องใช้ความพยายามไม่เช่นนั้นจะควบคุมไม่ได้ มันอันตราย แต่ไม่ต้องห่วง ยังพอมีเวลา”
“จริงเหรอ?”
“เป้าหมายของเธอไม่ใช่ไปเพื่อจะไปตาย ดังนั้นให้รอจนจำวิธีใช้ได้”
“แต่...”
“ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นยังมีเวลา”
จะว่าไปก็ไม่ได้ยินว่ามีผู้ป่วยหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุรายใหม่เกิดขึ้นเพิ่มเติมแล้วเหมือนกัน ตอนที่คุณแม่จับตัวชายคนนั้นที่หน้าป้ายหลุมศพก็พูดบอกว่าให้กลับไป แสดงว่าต้องเป็นคนที่กำลังทำอะไรบางอย่างร่วมกันอยู่ ดังนั้นคงถือเป็นข้อยกเว้น
“เข้าใจแล้ว จากนี้ไปจะให้ทำยังไงต่อดีล่ะ?”
“กลับบ้านไปแล้วพักผ่อน ของจริงจะเริ่มจากพรุ่งนี้”
“งั้นเหรอ”
“ห้ามฝืนนะ”
“เข้าใจแล้ว งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ขอฝากตัวด้วยนะ”
“อื้อ รับทราบ”
โคโนะพยักหน้าจากนั้นก็เริ่มเดินออกไปเหมือนกับจะบอกว่าไม่มีธุระอะไรตรงนี้แล้ว จากนั้นผมเองก็เดินตามออกไป
====================
* โคทัตสึ(炬燵) คือโต๊ะที่มีผ้าห่มห้อยลงมารอบๆด้านและมีติดตั้งเครื่องทำความร้อนอยู่ข้างใต้โต๊ะ ความร้อนจะอยู่ภายใต้ผ้าห่ม เวลานั่งถ้าเอาขาไปอยู่ใต้ผ้าห่มจะอุ่นสบายมาก
* การเกี่ยวก้อยสัญญานั้นเรียกว่ายูบิคิริ(指切り) ปกติจะต้องพูดว่า “เกี่ยวก้อยสัญญา ถ้าโกหกจะให้กลืนเข็มพันเล่ม”(指切り拳万。嘘ついたら針千本飲ます) แต่บางครั้งก็อาจเปลี่ยนคำลงท้ายก็มีเหมือนกัน
--------------------
รวมศัพท์ท้ายตอน
鎮座 ちんざ การประดิษฐาน,(เทพเจ้า)สถิต
患部 かんぶ บริเวณที่เป็นแผลหรือเจ็บป่วย
湿布 しっぷ การประคบ(ด้วยน้ำแข็ง น้ำร้อน ยา)
言い淀む いいよどむ ลังเลที่จะพูด
喝上げ かつあげ การขู่กรรโชกเอาเงิน
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ