φυβλαςのβλογ
phyblas的博客



มรดกโลก ณ เมืองหลวงโบราณอานหยาง ลานจัดแสดงซากโบราณสมัยราชวงศ์ซาง
เขียนเมื่อ 2012/09/15 21:55
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42


#31 ส.ค. 2012

ในจีนมีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอยู่หลายแห่งด้วยกัน ตอนนี้ก็นับได้ถึง ๔๓ แห่งแล้ว

และจากการที่เราได้ตะลุยเที่ยวหลายแห่งในจีนมาในช่วง ๑ ปีที่อยู่จีนนี้ ก็พบว่าตัวเองไปเที่ยวมาแล้วทั้งหมด ๑๑ แห่งด้วยกัน

ครั้งนี้จะพูดถึงสถานที่มรดกโลกที่ได้ไปมาเป็นลำดับที่ ๑๑ คือเป็นที่ล่าสุด ไปมาตอนเมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาซึ่งตระเวณเที่ยวตามทางรถไฟดังที่ได้เล่าไปใน https://phyblas.hinaboshi.com/20120904

สถานที่นั้นคือลานจัดแสดงซากโบราณสมัยราชวงศ์ซาง (殷墟博物苑, อินซวีปั๋วอู้ย่วน) ซึ่งอยู่ในเมืองอานหยาง (安阳) มณฑลเหอหนาน (河南) เมืองหลวงโบราณเก่าแก่แห่งหนึ่งของจีน

อานหยางเป็นเมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และสถานที่ที่น่าจะสำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นลานจัดแสดงซากโบราณสมัยราชวงศ์ซางนี้ เนื่องจากเป็นมรดกโลกเพียงแห่งเดียวในอานหยาง และยังเป็นแห่งเดียวที่ได้ตั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ AAAAA ด้วย ดังนั้นจึงมีความสำคัญมาก เรียกได้ว่าถ้ามาเที่ยวอานหยางต้องมาเที่ยวที่นี่ไม่งั้นก็ไม่รู้จะมาทำไม

นอกจากที่นี่แล้ว มณฑลเหอหนานยังมีมรดกโลกอยู่อีกสองแห่งคือถ้ำหินหลงเหมิน (龙门石窟) ที่ลั่วหยาง ซึ่งเล่าไปใน https://phyblas.hinaboshi.com/20120730

และอีกแห่งคือภูเขาซงซาน (嵩山) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดชื่อดังอย่างวัดเซ่าหลิน (少林寺) ซึ่งเราได้ไปเที่ยวพร้อมกับที่เที่ยวลั่วหยาง เพียงแต่ไม่ได้นำมาเขียนเล่าในนี้



ประวัติศาสตร์

ราชวงศ์ซาง (商朝) หรือที่เรียกอีกชื่อว่าราชวงศ์อิน (殷朝) นั้นเป็นราชวงศ์ที่ ๒ ของจีน ต่อจากราชวงศ์เซี่ย (夏朝) ปกครองจีนอยู่ในช่วง 1600-1046 ปีก่อนคริสตกาล

ราชวงศ์ซางได้ย้ายเมืองหลวงหลายครั้ง แต่ที่ที่สำคัญที่สุดและเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายคือที่เมืองอานหยาง ซึ่งได้ย้ายมาตั้งแต่ 1350 ปีก่อนคริสตกาล และอยู่ที่นั่นมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี ได้ทิ้งอารยธรรมอะไรมากมายเช่นตัวอักษรจีนสมัยโบราณ

จนกระทั่งในปลายยุคผู้ปกครองเริ่มจะไม่สนใจบ้านเมือง เอาแต่กดขี่ใช้อำนาจเสพสุขให้ตัวเอง ดังนั้นจึงมีการต่อต้านขึ้น ในที่สุดก็โดนราชวงศ์โจว (周朝) โค่นล้มและปกครองประเทศต่อแทน เป็นอันสิ้นสุดยุคราชวงศ์ซางและเข้าสู่ยุคราชวงศ์โจว

เมื่อราชวงศ์โจวบุกเข้ามาโค่นล้มราชวงศ์ซางนั้น ได้มีการเผาทำลายเมืองอานหยางทำให้ปัจจุบันเหลือเพียงแต่ซาก และบทบาทของเมืองอานหยางในฐานะเมืองหลวงก็ได้สิ้นสุดลงตรงนี้

ซากเมืองโบราณนั้นถูกเรียกว่าอินซวี (殷墟) โดยที่อิน (殷) คือชื่อเก่าของเมืองอานหยางสมัยที่เป็นเมืองหลวง และยังกลายมาเป็นชื่อเรียกอีกชื่อของราชวงศ์ด้วย ส่วนคำว่าซวี (墟) แปลว่าซากปรักหักพัง ดังนั้นรวมแล้วจึงแปลว่าซากปรักหักพังของเมืองอิน





อักษรแกะสลักบนกระดูกสัตว์ "เจี๋ยกู่เหวิน"

ภายในบริเวณเมืองอานหยางนี้มีการค้นพบกระดูกซึ่งตัดเป็นแผ่นๆแล้วเขียนข้อความซึ่งเรียกกันว่าเจี๋ยกู่ (甲骨) เป็นจำนวนมาก

สมัยนั้นเขานิยมเอากระดูกสัตว์หรือกระดองเต่ามาใช้เขียนคำทำนายต่างๆ ซึ่งการเขียนนั้นใช้วิธีการสลักลงไปจึงเหลือร่องรอยให้เห็นได้ง่าย

แต่พอถึงสมัยราชวงศ์โจวนั้นการใช้หมึกกลับเป็นที่นิยมกว่า แต่ก็ทำให้ไม่อาจหลงเหลือร่องรอยได้ดีเท่าการสลัก ดังนั้นจึงกลับพบเจี๋ยกู่เปล่าๆอยู่บ่อยครั้ง

สิ่งที่เขียนลงบนเจี๋ยกู่นั้นส่วนใหญ่เป็นพวกคำทำนาย เนื่องจากคนสมัยโบราณยังมีความเชื่องมงายเรื่องโชคลางอยู่มาก

ตัวหนังสือที่สลักบนเจี๋ยกู่นี้เรียกว่าเจี๋ยกู่เหวิน (甲骨文) มีบางส่วนที่ตีความได้แล้ว แต่บางส่วนก็ยังคงไม่เข้าใจความหมาย ซึ่งการศึกษาอักษรเหล่านี้จะทำให้เข้าใจเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนในสมัยโบราณกันมากขึ้น

อักษรจีนสมัยราชวงศ์ซางนั้นเป็นอักษรโบราณซึ่งใกล้เคียงกับรูปภาพมาก แสดงให้เห็นว่าจีนมีอักษรใช้มาตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว กว่าจะวิวัฒนาการมาเรื่อยๆจนเป็นอักษรที่ใช้ในปัจจุบัน



การขุดพบ

เวลาผ่านไปนักโบราณก็มาขุดพบซากโบราณของเมืองเข้าจึงได้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมายจากที่นี่ ดังนั้นจึงกลายเป็นแหล่งข้อมูลทางโบราณที่สำคัญ

แต่ก่อนที่จะมีการค้นเจอที่นี่ผู้คนท้องถิ่นนั้นไม่ได้รู้ถึงความสำคัญของที่นี่เลย ภายในบริเวณมีการขุดพบเจี๋ยกู่เป็นจำนวนมากมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ผู้ที่พบมันก็เอาไปบดทำเป็นยาหมด เลยมีเจี๋ยกู่ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก

จนกระทั่งปี 1899 จึงได้มีนักวิชาการมาตรวจพบเป็นครั้งแรกว่าจริงๆแล้วสิ่งที่สลักอยู่บนกระดูกนี้คืออักษรโบราณ นี่ไม่ใช่แผ่นกระดูกธรรมดาแต่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็สืบหาจนรู้ว่ากระดูกเหล่านี้มาจากเมืองอานหยาง

ตั้งแต่นั้นมาคนจึงรู้ว่าบริเวณเมืองอานหยางนี้เป็นแหล่งอารยธรรมที่สำคัญ และยิ่งขุดก็ยิ่งค้นพบอะไรมากขึ้น ปัจจุบันพบเจี๋ยกู่แล้วหลายแสนชิ้น แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าก่อนหน้านี้มีเจี๋ยกู่กี่อันที่โดนทำลายไปหรือโดนบดเป็นยา



บริเวณสถานที่ท่องเที่ยว

หลังจากนั้นก็ได้มีการเปิดบางส่วนเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชม เรียกว่าอินซวีปั๋วอู้ย่วน (殷墟博物苑) ซึ่งคำว่าปั๋วอู้ย่วน (博物苑) หมายถึงลานจัดแสดง บริเวณที่เปิดให้ชมนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบริเวณที่มีการขุดพบซากโบราณ นอกจากบริเวณนี้ไปก็ยังมีสถานที่ที่กำลังทำการขุดอยู่อีกมากมาย

ส่วนที่เปิดให้เข้าชมนั้นแบ่งเป็น ๒ ส่วนคือซากพระราชวังและวัดวาอาราม (宫殿宗庙) และส่วนซากสุสานกษัตริย์ (王陵)

โดยที่ส่วนหลักนั้นจะอยู่ที่ส่วนซากพระราชวังและวัดวาอาราม ตรงนี้มีรถเมล์เข้าถึงได้ ประกอบไปด้วยซากของพระราชวังโบราณซึ่งมีขนาดใหญ่ และอาคารที่เกี่ยวข้องต่าง นอกจากนี้ยังมีหลุมฝังศพของฟู่เห่า (妇好墓) ภรรยาของจักรพรรดิอู่ติง (武丁) แห่งราชวงศ์ซาง และพิพิธภัณฑ์อินซวี (殷墟博物馆) ซึ่งเป็นที่จัดแสดงวัตถุโบรารต่างๆที่ขุดพบได้ในบริเวณนี้

ฟู่เห่านั้นนอกจากเป็นภรรยาของจักรพรรดิแล้วยังเป็นนักรบระดับนายพลคนหนึ่งด้วย เธอมีผลงานต่างๆมากมาย เป็นวีรสตรีคนสำคัญในสมัยนั้น เมื่อตายก็ได้ถูกฝังที่ตรงนี้ซึ่งเป็นมุมหนึ่งของพระราชวัง เมื่อมีการขุดค้นซากก็พบอยู่ในสภาพดี ภายในหลุมศพของเธอเต็มไปด้วยอาวุธชั้นสูงมากมายซึ่งยืนยันฐานะของเธอในกองทัพได้เป็นอย่างดี

ส่วนซากสุสานกษัตริย์นั้นอยู่ห่างออกไป ๕.๕ กิโลเมตร และเป็นตำแหน่งค่อนค่างห่างไกลตัวเมืองออกไปอีก ไม่มีรถเมลืไปถึง แต่มีรถของที่นี่คอยบริการรับส่งไปกลับระหว่างสองที่ฟรี

ทั้งสองส่วนนี้เวลาเข้าชมก็คิดค่าผ่านประตูรวมกัน ไม่สามารถแยกไปแค่ที่เดียวได้ ดังนั้นหากไปแล้วก็ควรจะแวะไปเที่ยวส่วนซากสุสานกษัตริย์ด้วย ค่าเข้าชมทั้งหมดนั้นคือ ๙๐ หยวน นับว่าแพงมากทีเดียว

ภายในสถานที่เที่ยวนั้นสิ่งที่ให้ชมโดยหลักแล้วก็คือเป็นพวกของโบราณ ซึ่งคนธรรมดามองดูแล้วก็อาจจะรู้สึกเฉยๆว่าดูแล้วยังไง ไม่เห็นจะสวยอะไรเลย แต่สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์แล้วละก็คงจะมองว่าสวยงาม อาจจะถือว่าการได้มาดูของพวกนี้ที่นี่เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากก็เป็นได้



บันทึกการท่องเที่ยว

การเดินทางไปนั้นไปได้ง่ายโดยรถเมล์ นี่เป็นรถเมล์ที่เดินทางไปยังสถานที่ วันนั้นไม่รู้ทำไมผู้โดยสารไม่มีคนอื่นเลย ร้างจนน่ากลัว



หลังจากลงจากรถเมล์ก็ยังต้องเดินไปอีกราวๆครึ่งกิโลเมตร



ถึงหน้าทางเข้าแล้ว



ที่ขายบัตรและประตูทางเข้า บัตรราคา ๙๐ หยวน แต่เราใช้บัตรนักเรียนเลยลดเหลือ ๔๕ หยวน



ถ้านหน้า แผ่นหินสลักคำว่า 甲骨文发现地 แปลว่า สถานที่ค้นพบเจี๋ยกู่เหวิน



นี่คือภาชนะสมัยโบราณที่เรียกว่าติ่ง (鼎) ตัวนี้ติ่งอันใหญ่ซึ่งถูกพบที่นี่ มีชื่อว่าซือหมู่อู้ติ่ง (司母戊鼎)



พื้นที่ส่วนใหญ่ที่นี่ดูแล้วก็ค่อนข้างเคว้งคว้างโล่งอยู่ แต่ก็ประดับสวยดี



ซากฐานของพระราชวังโบราณ สภาพดูแล้วเหมือนเป็นเนินดินธรรมดาเลย





เมื่อเดินมาเรื่อยๆก็จะเจอกับหลุมศพของฟู่เห่า



หลุมศพที่ขุดพบนั้นอยู่ภายใต้อาคารหลังนี้



ภายในจัดแสดงของต่างๆที่ขุดพบบริเวณนี้







เมื่อลงมาชั้นล่างจึงจะเห็นหลุมศพจริงๆที่ขุดพบเจอ



สภาพในหลุมศพ แต่เขาว่าของที่วางอยู่แทบทั้งหมดเป็นของทำเทียมขึ้น ส่วนของจริงเอาไปประดับไว้ตามพิพิธภัณฑ์แล้ว



ข้างๆนี้มีรูปปั้นของฟู่เห่าประดับเพื่อให้เข้ากับสถานที่



แล้วก็มีสวนที่ปลูกดอกไม้ประดับซะสวย



ถัดมาตรงนี้เป็นระเบียงทางเดินยาวที่จัดแสดงเจี๋ยกู่มากมาย



มีการนำเจี๋ยกู่มาอธิบายให้ชัดเจน



ถัดมาตรงนี้เจอบริเวณที่เป็นหลุมบูชายัญของวัดโบราณ




ภายในกระจกนั้นมีโครงกระดูกอยู่มากมาย




ไม่ใช่แค่โครงกระดูกแต่ยังมีพวกรถม้าด้วย



ซากพระราชวังเก่าอีกบริเวณ





สวนจัดแสดงหินที่จำลองข้อความที่เขียนในเจี๋ยกู่



อาคารที่เก็บรถม้าโบราณที่ขุดเจอที่นี่



ซากรถม้าโบราณ ๖ คัน



บางอันดูไปแล้วก็น่ากลัวมีโครงกระดูกติดมาด้วย



แผนที่แสดงจุดต่างๆที่ขุดพบรถม้าเหล่านี้



ของทำจำลอง



ข้างๆเป็นบ่อน้ำสวย



มีเลี้ยงปลาด้วย



ต่อไปก็เข้าไปชมในส่วนพิพิธภัณฑ์ ที่นี่ตั้งอยู่ใต้ดิน ต้องเดินลงไปด้านล่างเพื่อเข้าชม



ลงมาแล้วถึงหน้าทางเข้าด้านล่างประดับสวยดี



ภายในจัดแสดงของโบราณต่างๆที่ขุดพบ



กระดูกคนและสัตว์




ข้าวของเครื่องใช้





อาวุธ




เจี๋ยกู่



บริเวณซากพระราชวังและวัดวาอารามก็เสร็จเพียงเท่านี้ จากนั้นเราก็นั่งรถที่เขาจัดให้เพื่อไปยังบริเวณซากสุสานกษัตริย์





มาถึงแล้ว



ภายในบริเวณนี้ดูร้างโล่งกว่าส่วนพระราชวังพอสมควรเลย





ส่วนนี้เป็นหลุมฝังศพต่างๆที่ถูกฝังเพื่อบูชายัญ




งานหินแกะสลักที่ขุดพบในบริเวณ




พวกเครื่องสำริดขนาดใหญ่




หมวกยักษ์



ใบหน้าขนาดยักษ์



สิ่งที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าสุดของที่นี่ก็คือภาชนะขนาดใหญ่เช่นเดียวกับส่วนพระราชวัง



นี่ก็เป็นติ่งที่ถูกขุดได้แถวนี้



ในนี้ยังมีอาคารจัดแสดงอยู่หลังหนึ่ง



ภายในตัวอาคารจะพบหลุมที่เขาขุดค้นซากกัน



รอบๆก็จัดแสดงพวกของต่างๆที่ขุดได้ รุปภาพและข้อมูลที่เกีย่วข้อง





ไม่รู้ว่าใครเอากวางมาเลี้ยงไว้ในบริเวณนี้ด้วย มีหลายตัวอยู่





จบแล้ว ก็มีอยู่เพียงเท่านี้ หลักๆแล้วคือมาดูพวกของโบราณ ความจริงตอนแรกคิดว่าจะมีอะไรตื่นเต้นอลังการให้ดูมากกว่านี้ แต่คงช่วยไม่ได้เพราะว่าเป็นซากอารยธรรมเก่าตั้งแต่ยุคสำริด เก่าแก่กว่าสามพันปี สิ่งที่เหลืออยู่ก็คงมีเพียงซากที่มองแทบไม่ออกและไม่ได้สวยงามอะไร

ถึงอย่างนั้นคุณค่าของมันก็อยู่ที่ความเก่าแก่ การได้มาเห้นร่องรอยอารยธรรมสมัยโบราณนั้นก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้มา



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> เหอหนาน
-- ประวัติศาสตร์ >> ประวัติศาสตร์จีน
-- ท่องเที่ยว >> มรดกโลก

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

目录

从日本来的名言
模块
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
机器学习
-- 神经网络
javascript
蒙古语
语言学
maya
概率论
与日本相关的日记
与中国相关的日记
-- 与北京相关的日记
-- 与香港相关的日记
-- 与澳门相关的日记
与台湾相关的日记
与北欧相关的日记
与其他国家相关的日记
qiita
其他日志

按类别分日志



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  查看日志

  推荐日志

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ