ตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเขียน ในที่สุดก็มีโอกาสได้เขียน
ทุกวันนี้เราจะเห็นว่ามีการใช้ภาษาวิบัติอยู่เป็นจำนวนมาก และก็มักจะเจอประเด็นถกเถียงกันตลอดว่าภาษาวิบัตินั้นสมควรใช้ได้จริงหรือ แล้วใช้ได้ในขอบเขตแค่ไหน บางคนเกลียดไม่ชอบใช้เลย บางคนใช้แหลกไม่สนใจ บางคนรับได้กับคำวิบัติบางคำ แต่กลับไม่ใช้บางคำ บางคนจะไม่ใช้ภาษาวิบัติตอนทำงาน แต่ตอนคุยเล่นกลับใช้ แบบนี้ก็มี
ต่อไปอยากขอแสดงความเห็นและจุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย
เนื่องจากเคยคุยกับคนหลากหลายกลุ่ม ทำให้รู้ว่าแต่ละคนที่ใช้ภาษาวิบัติกันเขาก็มีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายว่าทำไมถึงได้คิดที่จะใช้
ต่อไปนี้เป็นการสรุปรวมเหตุผลหรือข้ออ้างที่มักเจอจากคนอื่นเวลาเขาใช้ภาษาวิบัติ พร้อมกับข้อโต้แย้งของเราเอง
ทำไมถึงต้องใช้ภาษาวิบัติ?
1. เพราะภาษาเป็นเรื่องที่ต้องวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
ก็คือเป็นธรรมชาติของภาษาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หากเราเอาภาษาตอนนี้ไปคุยกับคนสมัยพ่อขุนรามคำแหง ก็คงจะมีหลายคำที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้เลย
ดังนั้นจะทำให้ภาษาวิบัติเปลี่ยนไปตามเวลาก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไงมันก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว
ข้อโต้แย้ง
จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นคงต้องถามกลับว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้ผลดีจริงหรือ?
ไม่น่าเป็นอย่างนั้น ภาษาเป็นสิ่งที่ยิ่งวิวัฒนาการก็ยิ่งวุ่นวาย ตั้งแต่โบราณมาภาษามีไม่ได้หลากหลายขนาดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนกลุ่มต่างๆที่แยกกันอยู่คนละส่วนของโลกก็มีการพัฒนาทางภาษาที่แตกต่างกัน จึงเกิดแยกเป็นกลุ่ม แตกแยกสายกันไป กลับมาเจอกันอีกทีก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเสียแล้ว ทั้งที่หากว่าระหว่างที่แยกจากกันไปนั้นไม่มีการวิวัฒนาการทางภาษาเลย เมื่อกลับมาเจอกันสองกลุ่มก็ควรจะยังคุยกันได้อยู่ปกติ
ยิ่งมีความหลากหลายมากก็ยิ่งทำให้สื่อสารกันข้ามกลุ่มเป็นไปได้จำกัดขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดินทางไปต่างแดนจึงเจอสิ่งที่วุ่นวายเพิ่มขึ้นนั่นก็คือกำแพงภาษา
ยิ่งสมัยก่อนไม่มีการบัญญัติกฎทางภาษาอย่างแน่นอน ทำให้การใช้ภาษาเป็นอะไรที่หลายมาตรฐานมาก คนต่างชาติที่มาเรียนรู้เขาก็คงลำบากมาก ปัจจุบันนี้ดีหน่อยที่มีตำราที่เป็นมาตรฐาน ใครมาเริ่มเรียนก็ฝึกตามนั้นได้เลย
หากใครที่เรียนภาษาต่างประเทศก็คงจะรู้ว่า สิ่งหนึ่งที่มึนที่สุดจะเกิดขึ้นก็เมื่อเราเจอคำแสลง หรือคำอะไรที่ใหม่มากจนไม่อาจหาเจอในพจนานุกรมปัจจุบัน
นั่นคือข้อเสียของการที่ภาษาเปลี่ยนแปลงไป มีคำใหม่เพิ่มขึ้นมาอย่างเกินความจำเป็น นั่นคือทำให้ต้องมาเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากเกิน ทั้งที่แค่ศัพท์ปกติก็จำไม่หมดอยู่แล้ว
(ทั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคำใหม่ที่เกิดจากการมีสิ่งประดิษฐ์หรือเทคโนโลยีใหม่ตามยุคสมัย เพราะเราจำเป็นต้องมีศัพท์ใหม่เพื่อเรียกสิ่งใหม่ๆอยู่แล้ว)
ในขณะที่คำศัพท์บนโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่มันไม่มีลดลง แม้จะมีบางคำอาจล้าสมัยถูกเลิกใช้ไป แต่มันก็จะยังถูกบันทึกอยู่ในหนังสือที่ถูกเขียนในสมัยนั้นๆตราบนานเท่านานอยู่ดี
ถ้าวิวัฒนาการแล้วง่ายขึ้นก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ภาษายิ่งวิวัฒนาการมักมีแนวโน้มจะยากขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงมีความเห็นว่าภาษาไม่ควรจะวิวัฒนาการไปเร็วเกินไป แม้เราไม่สามารถทำให้มันอยู่นิ่งได้ แต่เราก็พยายามหน่วงได้ ซึ่งปัจจุบันมันก็ค่อนข้างถูกหน่วงได้ค่อนข้างน่าพอใจดีแล้ว
มนุษย์เราพยายามฝืนธรรมชาติมาหลายอย่างเพราะอะไร เพราะว่าเพื่อให้วิถีชีวิตสุขสบายขึ้น ดังนั้นเรื่องภาษานี้เอง เราก็ควรมีการฝืนธรรมชาติบ้าง เพื่อให้ระบบภาษาบนโลกนี้ง่าย และเราจะสื่อสารกันได้สะดวกขึ้น
2. เพราะบางครั้งภาษาวิบัติก็ทำให้ได้อารมณ์
เหตุผลหนึ่งที่คนใช้กันมากที่สุดก็คือ ใช้ภาษาวิบัติเพื่อช่วยเพิ่มอารมณ์ ตรงนี้ใช้คำธรรมดาไม่ได้ อารมณ์มันไม่ใช่ ไม่ได้บรรยากาศพอ ไม่น่ารักพอ ไม่เท่พอ
ข้อโต้แย้ง
อันนี้บอกตามตรงว่าไม่ค่อยเข้าใจบางคำเลยว่ามันให้อารมณ์ยังไง บางทีอาจจะรู้สึกว่าได้อารมณ์กันไปเองเฉพาะกลุ่มก็ได้ แต่สำหรับคนทั่วๆไปมามองแล้วจะรู้สึกว่ามันอ่านยาก เพราะไม่คุ้น และไม่รู้ว่าจะใช้ไปทำไม
หรือบางคนก็ว่าใช้ไปเดี๋ยวก็ใช้กันทั่วไปเอง สุดท้ายอาจได้บัญญัติอยู่ในพจนานุกรมด้วยซ้ำ ดังที่เกิดมาแล้วบ่อยๆ อังนั้นคงต้องบอกว่า ไว้รอให้ถึงตอนนั้นก่อนก็แล้วกันค่อยมาใช้อย่างภาคภูมิใจ แต่ตัวอย่างเช่นนั้นมีไม่มาก ส่วนใหญ่คำวิบัติมาเร็วตามสมัยแล้วก็จากไปเร็วเหมือนกัน
โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าแค่ภาษาปกติธรรมดานี่ก็สื่อสารอารมณ์ได้ครบถ้วนดีแล้วล่ะ พวกคำแสดงอารมณ์ทั่วไปที่เป็นสากลก็มีอยู่เยอะแยะ ไม่เห็นต้องใช้คำวิบัติมาช่วยให้ดูแปลกขึ้นเลย
3. เพราะเขียนแบบนี้มันให้เสียงใหม่
เช่นบางคนเลือกที่จะใช้คำว่า "ว๊าก" แทนคำว่า "ว้าก" เพราะบอกว่าเสียงมันต่างกัน คือ "ว้าก" เฉยๆ ก็ออกเสียงตรีอยู่แล้ว แต่พอเป็น "ว๊าก" จะทำให้รู้สึกว่าเป็นเสียงที่สูงขึ้นไปอีก
ข้อโต้แย้ง
นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด หากไม่เกิดจากการที่ความเข้าใจในหลักภาษาของคนนั้นคลาดเคลื่อน ก็เกิดจากการที่คนนั้นพยายามสร้างกฎใหม่แปลกๆขึ้นมาเองแม้จะรู้ว่าผิดก็ตาม
อย่างที่รู้กันว่า "ว๊าก" นั้นเป็นคำอ่านที่ผิดของ "ว้าก" ที่จริงสองคำนี้ควรอ่านเสียงเหมือนกัน เพียงแต่ "ว๊าก" นั้นผิดไวยากรณ์ทางภาษาเท่านั้น ก็ถือเป็นภาษาวิบัติอย่างหนึ่ง
เพราะปกติไม้่โทใส่กับอักษรต่ำก็เป็นเสียงตรีอยู่แล้ว ไม้ตรีใช้กับอักษรต่ำไม่ได้ และถึงจะใส่ได้ มันก็ไม่ทำให้เกิดเสียงที่พิเศษขึ้นมาแต่อย่างใด หากจะมีก็คือคนเขียนรู้สึกไปเอง เข้าใจผิดไปเอง ว่ามันให้ความแตกต่างกันในเรื่องอารมณ์ ซึ่งคนอ่านอาจไม่รู้สึกเช่นนั้นก็ได้
หากต้องการให้รู้สึกว่าเสียงมีอารมณ์สูงหรือต่ำขึ้นมาเป็นพิเศษตามสถานการณ์ สามารถใช้เครื่องหมายอย่าง "!" หรือ "?" ได้อยู่แล้ว ภาษาต่างชาติอื่นๆเขาไม่มีรูปวรรณยุกต์ชัดเจนแบบเราเขาก็ต้องใช้แบบนี้เหมือนกัน
ตัวอย่างอื่นๆเช่น "หา" เขียนเป็น "ห๋า", "ฮะ" เขียนเป็น "ฮ๊ะ", "คลิก" เขียนเป็น "คลิ๊ก", "หนู" เขียนเป็น "นู๋"
คำเหล่านี้นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดเสียงต่างแล้ว ยังผิดไวยากรณ์ทางภาษาด้วย
4. ก็มันไม่รู้นี่ว่าผิด
บางคนที่ไม่ตั้งใจใช้ เผลอใช้โดยไม่่รู้ว่าเป็นคำวิบัติก็มีอยู่เยอะ
ข้อโต้แย้ง
ไม่รู้ว่าผิดไม่เป็นไร คนไม่รู้ไม่ผิดอยู่แล้ว ใครก็ผิดกันได้ เพียงแต่พอรู้ตัวแล้วก็แก้ซะใหม่ ใช้ให้ถูกเท่านี้ก็พอ
และเนื่องจากคนส่วนมากมักจะผิดจากการไม่รู้ ดังนั้นหากรู้แล้วคอยช่วยเตือนคนอื่นด้วยก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก
คำส่วนใหญ่ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีบัญญัติในเว็บราชบัณฑิตยถานอยู่แล้ว ก็สามารถเข้าเว็บ http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp ไปตรวจสอบการใช้คำได้เสมอ (แม้บางครั้งมันจะล่ม)
5. เพราะคนอื่นเขาใช้กันก็เลยใช้ตาม
ก็คือเพื่อนเขาใช้กันหมด ไม่ใช้ตามก็โดนหาว่าไม่ทันสมัยหรือไม่เข้ากลุ่ม
ข้อโต้แย้ง
ที่จริงถ้าเราใช้ถูกอยู่แล้วก็ไม่เห็นจะต้องไปเกรงกลัวใครเลย เขาจะใช้ก็ปล่อยเขาไป ถ้าเตือนให้เขาใช้ให้ถูกได้ก็ดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่ต้องคิดมาก ตัวเองใช้ให้ถูกไว้ก็พอ
6. เพราะพิมพ์ง่ายกว่า
บางคนบอกว่าก็แค่พิมพ์ในคอมแล้วต้องการประหยัดเวลา คำวิบัติบางคำมันพิมพ์ง่ายกว่าก็เลยใช้
ข้อโต้แย้ง
อ่านในข้อ 7.
7. ก็แค่คุยเล่นๆจะซีเรียสทำไม
จากเหตุผลข้อข้างบนมารวมๆกัน บางคนยอมรับเวลาพิมพ์งานหรือคุยทางการไม่ควรใช้ภาษาวิบัติ แต่เวลาคุยเล่นกลับขอใช้
ข้อโต้แย้ง
แม้จะแค่คุยกันเล่นๆ แต่ใช้ไปมากๆมันก็ติดได้อยู่ดี สุดท้ายก็เผลอใช้ตอนทำงานเข้าจนได้
และบางทีคุยกันธรรมดา แต่เป็นการคุยในเว็บบอร์ด ซึ่งคนทั่วไปก็อ่านได้ เมื่อคนมาอ่านกันเยอะ คำพูดที่ผิดๆก็จะติดตาคน กลายเป็นคนนั้นสนับสนุนภาษาวิบัติโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นใช้ให้ถูกทุกที่ทุกเวลาดีแล้ว ถ้าอดไม่ได้จริงๆก็ขอให้คุยกันแค่ msn หรือห้องส่วนตัวก็พอ ไม่ควรเอาออกมาเผยแพร่
อันที่จริงการใช้ให้ถูกไว้ก่อนมันไม่มีอะไรเสียหายเลย จะทำให้ไม่มีใครมาติติง ไม่มีใครมาไม่พอใจเรา และถ้าเราทำงานเขียนก็จะมีแต่คนอยากสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ อยากตามอ่านผลงาน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ใช้ภาษาให้ถูกต้อง
ทั้งหมดนี้ก็คงได้เพียงแค่ช่วยกันเตือน ช่วยกันรณรงค์ ใครจะทำตามหรือเปล่าคงอยู่ที่ความคิดว่าใครอยากที่จะอนุรักษ์ภาษามากแค่ไหน ห่วงเรื่องภาษาวิบัติมากแค่ไหน
สุดท้ายนี้กล่าวอีกครั้งว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ใครมีความเห็นอย่างไร รบกวนแสดงกันอย่างเต็มที่
ทำไมจึงต้องใช้ภาษาวิบัติ?
ตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเขียน ในที่สุดก็มีโอกาสได้เขียน
ทุกวันนี้เราจะเห็นว่ามีการใช้ภาษาวิบัติอยู่เป็นจำนวนมาก และก็มักจะเจอประเด็นถกเถียงกันตลอดว่าภาษาวิบัตินั้นสมควรใช้ได้จริงหรือ แล้วใช้ได้ในขอบเขตแค่ไหน บางคนเกลียดไม่ชอบใช้เลย บางคนใช้แหลกไม่สนใจ บางคนรับได้กับคำวิบัติบางคำ แต่กลับไม่ใช้บางคำ บางคนจะไม่ใช้ภาษาวิบัติตอนทำงาน แต่ตอนคุยเล่นกลับใช้ แบบนี้ก็มี
ต่อไปอยากขอแสดงความเห็นและจุดยืนของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย
เนื่องจากเคยคุยกับคนหลากหลายกลุ่ม ทำให้รู้ว่าแต่ละคนที่ใช้ภาษาวิบัติกันเขาก็มีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งก็มีอยู่หลากหลายว่าทำไมถึงได้คิดที่จะใช้
ต่อไปนี้เป็นการสรุปรวมเหตุผลหรือข้ออ้างที่มักเจอจากคนอื่นเวลาเขาใช้ภาษาวิบัติ พร้อมกับข้อโต้แย้งของเราเอง
ทำไมถึงต้องใช้ภาษาวิบัติ?
1. เพราะภาษาเป็นเรื่องที่ต้องวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
ก็คือเป็นธรรมชาติของภาษาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หากเราเอาภาษาตอนนี้ไปคุยกับคนสมัยพ่อขุนรามคำแหง ก็คงจะมีหลายคำที่ไม่สามารถสื่อสารกันได้เลย
ดังนั้นจะทำให้ภาษาวิบัติเปลี่ยนไปตามเวลาก็ไม่เป็นเป็นไร ยังไงมันก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว
ข้อโต้แย้ง
จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น คงหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นคงต้องถามกลับว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้ผลดีจริงหรือ?
ไม่เลย ภาษาเป็นสิ่งที่ยิ่งวิวัฒนาการก็ยิ่งวุ่นวาย ตั้งแต่โบราณมาภาษามีไม่ได้หลากหลายขนาดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนกลุ่มต่างๆที่แยกกันอยู่คนละส่วนของโลกก็มีการพัฒนาทางภาษาที่แตกต่างกัน จึงเกิดแยกเป็นกลุ่ม แตกแยกสายกันไป กลับมาเจอกันอีกทีก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องเสียแล้ว ทั้งที่หากว่าระหว่างที่แยกจากกันไปนั้นไม่มีการวิวัฒนาการทางภาษาเลย เมื่อกลับมาเจอกันสองกลุ่มก็ควรจะยังคุยกันได้อยู่ปกติ
ยิ่งมีความหลากหลายมากก็ยิ่งทำให้สื่อสารกันข้ามกลุ่มเป็นไปได้จำกัดขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดินทางไปต่างแดนจึงเจอสิ่งที่วุ่นวายเพิ่มขึ้นนั่นก็คือกำแพงภาษา
ยิ่งสมัยก่อนไม่มีการบัญญัติกฎทางภาษาอย่างแน่นอน ทำให้การใช้ภาษาเป็นอะไรที่หลายมาตรฐานมาก คนต่างชาติที่มาเรียนรู้เขาก็คงลำบากมาก ปัจจุบันนี้ดีหน่อยที่มีตำราที่เป็นมาตรฐาน ใครมาเริ่มเรียนก็ฝึกตามนั้นได้เลย
หากใครที่เรียนภาษาต่างประเทศก็คงจะรู้ว่า สิ่งหนึ่งที่มึนที่สุดจะเกิดขึ้นก็เมื่อเราเจอคำแสลง หรือคำอะไรที่ใหม่มากจนไม่อาจหาเจอในพจนานุกรมปัจจุบัน
นั่นคือข้อเสียของการที่ภาษาเปลี่ยนแปลงไป มีคำใหม่เพิ่มขึ้นมาอย่างเกินความจำเป็น นั่นคือทำให้ต้องมาเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากเกิน ทั้งที่แค่ศัพท์ปกติก็จำไม่หมดอยู่แล้ว
(ทั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคำใหม่ที่เกิดจากการมีสิ่งประดิษฐ์หรือเทคโนโลยีใหม่ตามยุคสมัย เพราะเราจำเป็นต้องมีศัพท์ใหม่เพื่อเรียกสิ่งใหม่ๆอยู่แล้ว)
ในขณะที่คำศัพท์บนโลกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่มันไม่มีลดลง แม้จะมีบางคำอาจล้าสมัยถูกเลิกใช้ไป แต่มันก็จะยังถูกบันทึกอยู่ในหนังสือที่ถูกเขียนในสมัยนั้นๆตราบนานเท่านานอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้จึงมีความเห็นว่าภาษาไม่ควรจะวิวัฒนาการไปเร็วเกินไป แม้เราไม่สามารถทำให้มันอยู่นิ่งได้ แต่เราก็พยายามหน่วงได้ ซึ่งปัจจุบันมันก็ค่อนข้างถูกหน่วงได้ค่อนข้างน่าพอใจดีแล้ว
มนุษย์เราพยายามฝืนธรรมชาติมาหลายอย่างเพราะอะไร เพราะว่าเพื่อให้วิถีชีวิตสุขสบายขึ้น ดังนั้นเรื่องภาษานี้เอง เราก็ควรมีการฝืนธรรมชาติบ้าง เพื่อให้ระบบภาษาบนโลกนี้ง่าย และเราจะสื่อสารกันได้สะดวกขึ้น
2. เพราะบางครั้งภาษาวิบัติก็ทำให้ได้อารมณ์
เหตุผลหนึ่งที่คนใช้กันมากที่สุดก็คือ ใช้ภาษาวิบัติเพื่อช่วยเพิ่มอารมณ์ ตรงนี้ใช้คำธรรมดาไม่ได้ อารมณ์มันไม่ใช่ ไม่ได้บรรยากาศพอ ไม่น่ารักพอ ไม่เท่พอ
ข้อโต้แย้ง
อันนี้บอกตามตรงว่าไม่ค่อยเข้าใจบางคำเลยว่ามันให้อารมณ์ยังไง บางทีอาจจะรู้สึกว่าได้อารมณ์กันไปเองเฉพาะกลุ่มก็ได้ แต่สำหรับคนทั่วๆไปมามองแล้วจะรู้สึกว่ามันอ่านยาก เพราะไม่คุ้น และไม่รู้ว่าจะใช้ไปทำไม
หรือบางคนก็ว่าใช้ไปเดี๋ยวก็ใช้กันทั่วไปเอง สุดท้ายอาจได้บัญญัติอยู่ในพจนานุกรมด้วยซ้ำ ดังที่เกิดมาแล้วบ่อยๆ อังนั้นคงต้องบอกว่า ไว้รอให้ถึงตอนนั้นก่อนก็แล้วกันค่อยมาใช้อย่างภาคภูมิใจ แต่ตัวอย่างเช่นนั้นมีไม่มาก ส่วนใหญ่คำวิบัติมาเร็วตามสมัยแล้วก็จากไปเร็วเหมือนกัน
โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าแค่ภาษาปกติธรรมดานี่ก็สื่อสารอารมณ์ได้ครบถ้วนดีแล้วล่ะ พวกคำแสดงอารมณ์ทั่วไปที่เป็นสากลก็มีอยู่เยอะแยะ ไม่เห็นต้องใช้คำวิบัติมาช่วยให้ดูแปลกขึ้นเลย
3. เพราะเขียนแบบนี้มันให้เสียงใหม่
เช่นบางคนเลือกที่จะใช้คำว่า "ว๊าก" แทนคำว่า "ว้าก" เพราะบอกว่าเสียงมันต่างกัน คือ "ว้าก" เฉยๆ ก็ออกเสียงตรีอยู่แล้ว แต่พอเป็น "ว๊าก" จะทำให้รู้สึกว่าเป็นเสียงที่สูงขึ้นไปอีก
ข้อโต้แย้ง
นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด หากไม่เกิดจากการที่ความเข้าใจในหลักภาษาของคนนั้นคลาดเคลื่อน ก็เกิดจากการที่คนนั้นพยายามสร้างกฎใหม่แปลกๆขึ้นมาเองแม้จะรู้ว่าผิดก็ตาม
อย่างที่รู้กันว่า "ว๊าก" นั้นเป็นคำอ่านที่ผิดของ "ว้าก" ที่จริงสองคำนี้ควรอ่านเสียงเหมือนกัน เพียงแต่ "ว๊าก" นั้นผิดไวยากรณ์ทางภาษาเท่านั้น ก็ถือเป็นภาษาวิบัติอย่างหนึ่ง
เพราะปกติไม้่โทใส่กับอักษรต่ำก็เป็นเสียงตรีอยู่แล้ว ไม้ตรีใช้กับอักษรต่ำไม่ได้ และถึงจะใส่ได้ มันก็ไม่ทำให้เกิดเสียงที่พิเศษขึ้นมาแต่อย่างใด หากจะมีก็คือคนเขียนรู้สึกไปเอง เข้าใจผิดไปเอง ซึ่งคนอ่านอาจไม่รู้สึกเช่นนั้นก็ได้
หากต้องการให้รู้สึกว่าเสียงมีอารมณ์สูงหรือต่ำขึ้นมาเป็นพิเศษตามสถานการณ์ สามารถใช้เครื่องหมายอย่าง "!" หรือ "?" ได้อยู่แล้ว ภาษาต่างชาติอื่นๆเขาไม่มีรูปวรรณยุกต์ชัดเจนแบบเราเขาก็ต้องใช้แบบนี้เหมือนกัน
ตัวอย่างอื่นๆเช่น "หา" เขียนเป็น "ห๋า", "ฮะ" เขียนเป็น "ฮ๊ะ", "คลิก" เขียนเป็น "คลิ๊ก", "หนู" เขียนเป็น "นู๋"
คำเหล่านี้นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดเสียงต่างแล้ว ยังผิดไวยากรณ์ทางภาษาด้วย
4. ก็มันไม่รู้นี่ว่าผิด
บางคนที่ไม่ตั้งใจใช้ เผลอใช้โดยไม่่รู้ว่าเป็นคำวิบัติก็มีอยู่เยอะ
ข้อโต้แย้ง
ไม่รู้ว่าผิดไม่เป็นไร คนไม่รู้ไม่ผิดอยู่แล้ว ใครก็ผิดกันได้ เพียงแต่พอรู้ตัวแล้วก็แก้ซะใหม่ ใช้ให้ถูกเท่านี้ก็พอ
และเนื่องจากคนส่วนมากมักจะผิดจากการไม่รู้ ดังนั้นหากรู้แล้วคอยช่วยเตือนคนอื่นด้วยก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก
คำส่วนใหญ่ที่ใช้ในชีวิตประจำวันมีบัญญัติในเว็บราชบัณฑิตยถานอยู่แล้ว ก็สามารถเข้าเว็บ http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp ไปตรวจสอบการใช้คำได้เสมอ (แม้บางครั้งมันจะล่ม)
5. เพราะคนอื่นเขาใช้กันก็เลยใช้ตาม
ก็คือเพื่อนเขาใช้กันหมด ไม่ใช้ตามก็โดนหาว่าไม่ทันสมัยหรือไม่เข้ากลุ่ม
ข้อโต้แย้ง
ที่จริงถ้าเราใช้ถูกอยู่แล้วก็ไม่เห็นจะต้องไปเกรงกลัวใครเลย เขาจะใช้ก็ปล่อยเขาไป ถ้าเตือนให้เขาใช้ให้ถูกได้ก็ดี แต่ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่ต้องคิดมาก ตัวเองใช้ให้ถูกไว้ก็พอ
6. เพราะพิมพ์ง่ายกว่า
บางคนบอกว่าก็แค่พิมพ์ในคอมแล้วต้องการประหยัดเวลา คำวิบัติบางคำมันพิมพ์ง่ายกว่าก็เลยใช้
ข้อโต้แย้ง
อ่านในข้อ 7.
7. ก็แค่คุยเล่นๆจะซีเรียสทำไม
จากเหตุผลข้อข้างบนมารวมๆกัน บางคนยอมรับเวลาพิมพ์งานหรือคุยทางการไม่ควรใช้ภาษาวิบัติ แต่เวลาคุยเล่นกลับขอใช้
ข้อโต้แย้ง
แม้จะแค่คุยกันเล่นๆ แต่ใช้ไปมากๆมันก็ติดได้อยู่ดี สุดท้ายก็เผลอใช้ตอนทำงานเข้าจนได้
และบางทีคุยกันธรรมดา แต่เป็นการคุยในเว็บบอร์ด ซึ่งคนทั่วไปก็อ่านได้ เมื่อคนมาอ่านกันเยอะ คำพูดที่ผิดๆก็จะติดตาคน กลายเป็นคนนั้นสนับสนุนภาษาวิบัติโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นใช้ให้ถูกทุกที่ทุกเวลาดีแล้ว ถ้าอดไม่ได้จริงๆก็ขอให้คุยกันแค่ msn หรือห้องส่วนตัวก็พอ ไม่ควรเอาออกมาเผยแพร่
อันที่จริงการใช้ให้ถูกไว้ก่อนมันไม่มีอะไรเสียหายเลย จะทำให้ไม่มีใครมาติติง ไม่มีใครมาไม่พอใจเรา และถ้าเราทำงานเขียนก็จะมีแต่คนอยากสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ อยากตามอ่านผลงาน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ใช้ภาษาให้ถูกต้อง
ทั้งหมดนี้ก็คงได้เพียงแค่ช่วยกันเตือน ช่วยกันรณรงค์ ใครจะทำตามหรือเปล่าคงอยู่ที่ความคิดว่าใครอยากที่จะอนุรักษ์ภาษามากแค่ไหน ห่วงเรื่องภาษาวิบัติมากแค่ไหน
สุดท้ายนี้กล่าวอีกครั้งว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ใครมีความเห็นอย่างไร รบกวนแสดงกันอย่างเต็มที่ หากใครเห็นด้วยอยากรบกวนขอดาวขาวในบอลแดง เนื่องจากอยากให้มีคนได้อ่านและแลกเปลี่ยนความเห็นกันมากขึ้น
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ