φυβλαςのβλογ
บล็อกของ phyblas



javascript เบื้องต้น บทที่ ๗: ความเป็นจริงเท็จและตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์
เขียนเมื่อ 2019/07/31 23:11
แก้ไขล่าสุด 2024/01/22 15:38


ความเป็นจริงเท็จ

บทที่แล้วได้พูดถึงวิธีการตั้งเงื่อนไขไปแล้ว

เงื่อนไขสามารถมาได้จากหลายทางด้วยกัน มีวิธีสร้างอยู่หลายวิธี

ในบทนี้จะพูดถึงรายละเอียดว่าการจะตัดสินว่าเงื่อนไขนั้นจริงหรือเท็จนั้นทำอย่างไร ในกรณีต่างๆ

สิ่งที่บอกถึงความจริงเท็จก็คือค่าบูล (boolean) ซึ่งมีอยู่แค่ ๒ ตัว คือ true และ false

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเสมอ นั่นก็คือ true

真実はいつもひとつ

ส่วนความเท็จเองก็มีแค่หนึ่งเดียวเหมือนกันคือ false



ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ

ในบทที่ ๔ ก็ได้มีการเขียนถึงตัวดำเนินการพื้นฐานพวกบวกลบคูณหารไปแล้ว

ในทางการเขียนโปรแกรมนั้น ตัว > และ < ก็ถือเป็นตัวดำเนินการเช่นกัน เรียกว่าเป็นตัวดำเนินการเปรียบเทียบ

เมื่อนำข้อมูล ๒ ตัวมาเข้าตัวดำเนินการเปรียบเทียบจะได้ค่า true หรือ false มา และค่านี้สามารถนำไปใช้ใน if เพื่อกำหนดเงื่อนไขได้

ตัวดำเนินการเปรียบเทียบมีอยู่หลายตัว ได้แก่

เครื่องหมาย ตัวอย่าง ความหมาย
==
7==7 // true
7=="7" // true
1==true // true
0==false // true
6==7 // false
เท่ากับ
!=
8!=9 // true
8!="9" // true 
8!=8 // false
ไม่เท่ากับ
<
6<7 // true
6<6 // false
น้อยกว่า
<=
6<=6 // true
7<=6 // false
น้อยกว่าหรือเท่ากับ
>
5>4 // true
4>4 // false
มากกว่า
>=
4>=4 // true
4>=5 // false
มากกว่าหรือเท่ากับ
===
7===7 // true
7==="7" // false
1===true // false
เท่ากับ
!==
7!=="7" // true
7!==7 // false
1!==true // true
ไม่เท่ากับ

ให้ระวังว่าเวลาเทียบว่าเท่ากันหรือไม่นั้นจะใช้เครื่องหมายเท่ากับ ๒ หรือ ๓ ตัว คือ == หรือ === แต่ถ้าเครื่องหมาย = แค่ตัวเดียวจะมีความหมายว่าใช้ป้อนค่าทางขวาให้กับตัวแปรทางซ้าย



ความแตกต่างระหว่าง == / != และ === / !==

ข้อแตกต่างระหว่าง == และ === ก็คือ เวลาที่มีการเปรียบเทียบระหว่างข้อมูล ๒​ ชนิดที่เป็นต่างชนิดกันนั้นปกติแล้วถ้าใช้ == จะมีการแปลงชนิดข้อมูลให้เป็นชนิดเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบกัน ถ้าเปลี่ยนแล้วเทียบเท่าเป็นตัวเดียวกันก็จะได้ true

แต่ถ้าเป็น === เวลาเจอข้อมูลคนละชนิดกันจะเป็น false ทันที

ตัวอย่างเช่นพอตัวเลขมาเจอสายอักขระ สายอักขระจะถูกแปลงเป็นตัวเลขแล้วจึงเทียบ
alert(5 == "5"); // ได้ true
alert(5 == "05"); // ได้ true
alert(5 === "5"); // ได้ false
alert(5 === 5); // ได้ true
alert(5 === 5.0); // ได้ true
alert("5" === "5"); // ได้ true

พูดง่ายๆก็คือ === มีความเข้มงวดในการเปรียบเทียบมากกว่า == การที่ === จะเป็นจริงได้ต้องเท่ากันทั้งค่าและชนิดข้อมูล

กรณีตัวเลขเทียบกับ true หรือ false ด้วย == ก็เช่นเดียวกัน true จะกลายเป็น 1 และ false จะกลายเป็น 0

โครงสร้าง switch case ที่กล่าวถึงในบทที่แล้วนั้นใช้ === เป็นตัวเทียบ ดังนั้นชนิดข้อมูลก็ต้องตรงตามที่ใส่ด้วย

ส่วน != นั้นก็คือไม่เท่ากับ ในทางคณิตศาสตร์คือเครื่องหมาย ≠ นั่นเอง

ในจาวาสคริปต์เมื่อเติม ! ลงไปมักจะทำให้ความหมายเป็นไปในทางตรงกันข้าม นั่นคือ != มีความหมายตรงข้ามกับ == คือหมายถึงไม่เท่ากับ ส่วน !== จะตรงกันข้ามกับ ===



การเทียบมากกว่าหรือน้อยกว่า

เครื่องหมายมากกว่า > และน้อยกว่า < นั้น ใช้สัญลักษณ์ตรงกับในทางคณิตศาสตร์ จึงเข้าใจได้ง่ายในทันที

ส่วนเครื่องหมายน้อยกว่าหรือเท่ากับนั้นถ้าเป็นในทางคณิตศาสตร์จะใช้สัญลักษณ์ ≤ แต่ในคอมไม่สะดวกที่จะพิมพ์ตัวนี้เพราะไม่มีในแป้นพิมพ์จึงใช้เป็น <=

ในขณะที่ >= คือมากกว่าหรือเท่ากับ ตรงกับ ≥ ในทางคณิตศาสตร์

ทั้ง >, >=, <, <= นั้นสามารถใช้เปรียบเทียบข้อมูลที่ต่างกันได้เช่นเดียวกับ == และ != โดยถ้าฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นตัวเลข จะมีการแปลงอีกตัวหนึ่งเป็นตัวเลขตามแล้วจึงเปรียบเทียบ

แต่ถ้าเป็นสิ่งที่แปลงเป็นตัวเลขไม่ได้จะได้ค่า false เสมอ

ตัวอย่าง
alert(5 > "5"); // ได้ false
alert(5 >= "04"); // ได้ true
alert(true < "2"); // ได้true
alert(false >= "-2"); // ได้ true
alert("5" <= 5.0); // ได้ true
alert("a" > 5); // ได้ false
alert("a" < 5); // ได้ false
alert("a" <= 5); // ได้ false
alert("a" >= 5); // ได้ false


ปัญหาของเลขทศนิยม

เมื่อมีการใช้ตัวดำเนินการเปรียบเทียบกับเลขทศนิยมมีข้อที่ควรต้องระวังเป็นอย่างมาก นั่นคือที่จริงแล้วการคำนวณภายในคอมพิวเตอร์นั้นมีพื้นฐานจากเลขฐานสอง แต่ว่าในการคำนวณทั่วไปของมนุษย์เรานั้นจะใช้เลขฐานสิบเป็นหลัก

ตัวอย่างปัญหาที่ยกกันบ่อยก็คือเมื่อคำนวณ 0.1+0.2
alert(0.1 + 0.2); // ได้ 0.30000000000000004

ผลที่ได้จะไม่ใช่ 0.3 อย่างที่ควรจะเป็น แต่มีทศนิยมเล็กๆปรากฏขึ้นมา ซึ่งถ้านำค่าที่ได้นี้ไปเปรียบเทียบกับ 0.3 ก็จะพบว่าได้ไม่เท่ากัน
alert(0.1 + 0.2 == 0.3); // ได้ false
alert(0.1 + 0.2 > 0.3); // ได้ true

ที่เป็นแบบนี้เพราะความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากการแปลงเลขฐานสองเป็นฐานสิบ

ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขั้นนั้นโดยปกติแล้วจะน้อยมากอย่างที่เห็น จึงมักไม่ส่งผลต่อการคำนวณโดยทั่วไป แต่จะมีผลเมื่อเอาเลขมาเปรียบเทียบกัน เพราะจะพบว่า 0.1+0.2 มีค่ามากกว่า 0.3 แบบนี้ จึงทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์

ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการเอาเลขที่เป็นทศนิยมมาเปรียบเทียบกันด้วยเครื่องหมายเท่ากับ เพราะแม้แต่ตัวเลขที่คิดตามคณิตศาสตร์ทั่วไปแล้วควรเท่ากันก็ตาม พอมาคำนวณในคอมก็อาจไม่เท่ากันพอดีเป๊ะ จะมีความต่างเล็กน้อยเกิดขึ้น

แต่ปัญหานี้จะไม่เกิดกับเลขจำนวนเต็ม ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงว่า 1+2 จะไม่เท่ากับ 3 ที่ควรระวังจึงเป็นเลขทศนิยมเท่านั้น



การเปรียบเทียบสายอักขระ

หากนำสายอักขระมาเทียบกันจะเป็นการเทียบเนื้อหาที่อยู่ในสายอักขระนั้น ถ้าหากเหมือนกันทุกประการก็จะได้ true เมื่อเทียบด้วย ==

แต่เมื่อเทียบด้วยเครื่องหมายมากกว่าหรือน้อยกว่าจะเป็นการเทียบตัวอักษรตามลำดับอักษร โดยไล่เทียบจากตัวแรกไป ถ้าเหมือนกันจึงเทียบตัวต่อไป คล้ายการเรียงคำในพจนานุกรม แต่ลำดับของตัวอักษรนั้นจะเทียบตามลำดับในยูนิโค้ด พิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ถือเป็นคนละตัว โดยตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดอยู่ลำดับก่อนตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด

ตัวอย่าง
alert("ม่วน" == "ม่วน"); // ได้ true
alert("ม่วน" < "ม้วน"); // ได้ true
alert("Qué" == "qué"); // ได้ false
alert("Zeni" > "game"); // ได้ false

ตัวเลขที่อยู่ในสายอักขระก็เทียบกันแบบสายอักขระ ไม่ได้ถูกแปลงเป็นตัวเลข จึงต้องระวังสับสน หากอยากเทียบแบบตัวเลขต้องแปลงเป็นตัวเลขก่อนเอง
alert("22" > "4"); // ได้ false
alert("02" == "2.0"); // ได้ false
alert(parseInt("02") == parseFloat("2.0")); // ได้ true



การเปรียบเทียบ null และ undefined

null เมื่อถูกนำมาเปรียบเทียบด้วยมากกว่าหรือเท่ากับจะเสมือนว่ามีค่าเป็น 0 แต่ถ้าหากใช้เครื่องหมายเท่ากับเทียบกับ 0 ก็กลับจะพบว่าเป็นเท็จ
alert(null == null); // ได้ true
alert(null == "null"); // ได้ false
alert(null == 0); // ได้ false
alert(null <= 0); // ได้ true
alert(null >= "0"); // ได้ true
alert(null > -1); // ได้ true
alert(null < 0.1); // ได้ true
alert(null >= "0.01"); // ได้ false

ส่วน undefined จะไม่เท่ากับอะไรเลยนอกจากตัวเอง และ null และถ้าเปรียบเทียบมากกว่าหรือน้อยกว่าจะได้ false ตลอด
alert(undefined >= 0); // ได้ false
alert(undefined < 0); // ได้ false
alert(undefined == null); // ได้ true
alert(undefined == undefined); // ได้ true
alert(undefined >= undefined); // ได้ false
alert(undefined <= null); // ได้ false



ตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์

ในการสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อนขึ้นนั้น มักจะต้องเอาเงื่อนไขสองอย่างขึ้นไปมาประกอบเข้าด้วยกัน

สิ่งที่เอาเงื่อนไขมาประกอบกันนั้นเรียกว่า "ตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์" (logical operator)

ในจาวาสคริปต์มีใช้อยู่ ๒ ตัวคือ

- แอมเพอร์แซนด์คู่ && (และ)
- ขีดตั้งคู่ || (หรือ)

เมื่อเชื่อมด้วย && (และ) จะเป็นจริงเมื่อทั้งตัวซ้ายและขวาเป็นจริงทั้งคู่ นอกนั้นเป็นเท็จหมด

แต่ถ้าเชื่อมด้วย || (หรือ) แค่ตัวใดตัวหนึ่งเป็นจริงก็จะเป็นจริงแล้ว และจะเป็นเท็จเมื่อทั้งซ้ายและขวาเป็นเท็จทั้งคู่

a b a && b a || b
true true true true
true false false true
false true false true
false false false false


ตัวอย่าง
var x = 10;
alert(x > 7 && x < 13); // ได้ true
if (x > 7 && x < 13) { // เข้าเงื่อนไข
  alert("x มากกว่า 7 น้อยกว่า 13");
}

ตัวอย่างในทางตรงกันข้าม
var x = 14;
alert(x <= 7 || x >= 13); // ได้ true
if (x <= 7 || x >= 13) { // เข้าเงื่อนไข
  alert("x ไม่เกิน 7 หรือเป็น 13 ขึ้นไป");
}



ค่าความจริงเท็จในตัวข้อมูลชนิดต่างๆ

ที่จริงแล้วเวลาใช้ if ค่าที่ใส่ใน if ไม่จำเป็นจะต้องเป็น true หรือ false เสมอไป แต่ถ้าใส่ค่าอื่นลงไปจะถูกเปลี่ยนให้เป็น true หรือ false โดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นค่าอะไร

ค่าความจริงเท็จที่อยู่ในตัวของข้อมูลแต่ละชนิดอาจสรุปได้ดังนี้

ชนิดข้อมูล true false
boolean true false
number ยกเว้น 0 และ NaN 0, NaN
string สายอักขระที่ไม่ว่างเปล่า สายอักขระเปล่า
object ยกเว้น null null
function จริงเสมอ -
undefined - undefined

หากเติมเครื่องหมายตกใจ ! นำหน้าไปจะทำให้ความเป็นจริงเท็จเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับความจริงเท็จในตัว ดังนั้นหากเติมเครื่องหมายกตใจ ๒​ ตัวซ้อน !! ก็จะกลายเป็นการแปลงตัวนั้นเป็นหาค่าความจริงเท็จในตัวนั้นเอง

หรือจะใช้ฟังก์ชัน Boolean ก็ได้เช่นกัน ฟังก์ชันนี้มีไว้เปลี่ยนข้อมูลชนิดใดๆเป็น true หรือ false

ตัวอย่าง
alert(!!{}); // ได้ true
alert(!!1); // ได้ true
alert(!!""); // ได้ false
alert(!!"0"); // ได้ true
alert(!!null); // ได้ false
alert(Boolean(0)); // ได้false
alert(Boolean()); // ได้false

ลองใช้เป็นเงื่อนไขดู
if (1) { // เข้าเงื่อนไข
  alert("1 เป็นจริง");
}




-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- คอมพิวเตอร์ >> เขียนโปรแกรม >> javascript

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

สารบัญ

รวมคำแปลวลีเด็ดจากญี่ปุ่น
มอดูลต่างๆ
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
การเรียนรู้ของเครื่อง
-- โครงข่าย
     ประสาทเทียม
ภาษา javascript
ภาษา mongol
ภาษาศาสตร์
maya
ความน่าจะเป็น
บันทึกในญี่ปุ่น
บันทึกในจีน
-- บันทึกในปักกิ่ง
-- บันทึกในฮ่องกง
-- บันทึกในมาเก๊า
บันทึกในไต้หวัน
บันทึกในยุโรปเหนือ
บันทึกในประเทศอื่นๆ
qiita
บทความอื่นๆ

บทความแบ่งตามหมวด



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  ค้นหาบทความ

  บทความแนะนำ

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文