φυβλαςのβλογ
บล็อกของ phyblas



ซานเหอ เมืองโบราณแห่งแม่น้ำสามสาย
เขียนเมื่อ 2012/07/10 18:27
แก้ไขล่าสุด 2023/11/29 18:45


#พฤหัส 9 ก.พ. 2012

เมื่อช่วงปลายปิดเทอมฤดูหนาวปีที่แล้วเราได้มีแวะไปเที่ยวเมืองเหอเฝย์ (合肥) เมืองเอกแห่งมณฑลอานฮุย (安徽) มา ที่ได้ไปก็เพราะเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทางตอนขากลับจากหางโจวไปปักกิ่งก็เลยถือโอกาสแวะเพื่อเที่ยวไปด้วย ได้เที่ยวในเหอเฝย์อยู่ ๓ วัน ๒ คืน

เวลาก็ผ่านมานานแล้วแต่ว่ายังไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับตอนที่เที่ยวที่นั่นเลย
ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าแต่ละที่ในเหอเฝย์นั้นไปมาแล้วไม่ได้รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษอะไรเลยรู้สึกว่าเสียเวลาถ้าจะเอามาเล่าโดยละเอียด เลยเอาเวลาไปเขียนเล่าถึงที่เที่ยวในหางโจวมากกว่า

แต่ก็มีอยู่สถานที่หนึ่งในนั้นที่รู้สึกติดใจมากที่สุดและรู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้ไป ดังนั้นจึงขอหยิบมาเล่า

สถานที่นั้นคือเมืองโบราณซานเหอ (三河古镇) เป็นหมู่บ้านโบราณแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในอำเภอเฝย์ซี (肥西) จังหวัดเหอเฝย์ อยู่ห่างจากตัวเมืองเหอเฝย์ ๔๐ กิโล

ชื่อซานเหอนั้นแปลว่าแม่น้ำสามสาย นั่นเพราะเมืองนี้อยู่ในจุดที่แม่น้ำสามสายคือแม่น้ำเฟิงเล่อ (丰乐河) แม่น้ำหางปู้ (杭埠河) และแม่น้ำเสี่ยวหนาน (小南河) ไหลผ่าน โดยแม่น้ำสองสายหลักคือแม่น้ำเฟิงเล่อกับแม่น้ำหางปู้ไหลมารวมกันที่นี่ ก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเลสาบเฉา (巢湖) ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่สุดในมณฑลอานฮุย ส่วนแม่น้ำเสี่ยวหนานเป็นแค่แม่น้ำสายสั้นๆที่ไหลผ่านกลางเมือง

ซานเหอปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ AAAA แต่ถามคนที่นั่นเขาบอกว่าตอนนี้พยายามทำให้มันยกระดับเป็น AAAAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุดอยู่ ตอนนี้ในบริเวณเมืองโบราณก็มีการสร้างอะไรเพิ่มอยู่

ก่อนจะพาไปเที่ยวที่เมืองโบราณซานเหอ ขอพูดถึงประวัติศาสตร์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับที่นี่ซะก่อน แล้วจะเข้าใจถึงความสำคัญมากขึ้น





กบฏไท่ผิง

ซานเหอนอกจากจะเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแล้ว ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ก็ยังมีบทบาทด้วย คือสมัยกบฏไท่ผิง (太平天国) ที่นี่ได้กลายเป็นสมรภูมิหลักแห่งหนึ่ง

กบฏไท่ผิงเกิดในช่วงปี 1850 - 1864 ถือเป็นกบฏชาวนาที่ใหญ่ที่สุดในสมัยราชวงศ์ชิง (清朝)  มีจุดกำเนิดขึ้นโดยมีผู้นำคือหงซิ่วเฉวียน (洪秀全) ซึ่งเลื่อมใสในศาสนาคริสต์และอ้างตัวว่าเป็นน้องชายของพระเยซูคริสต์ เป็นบุคคลที่พระเจ้ามอบหมายให้มากอบกู้บ้านเมือง เขามีเป้าหมายที่จะโค่นล้มราชวงศ์ชิงซึ่งปกครองโดยชาวแมนจู และตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ นอกจากนี้ยังคิดจะล้มล้างคำสอนของขงจื๊อและตั้งศาสนาคริสต์ให้เป็นใหญ่ขึ้นมาในแผ่นดินจีน

หงซิ่วเฉวียนได้เริ่มมีอำนาจในมณฑลกว่างซี (广西省) หลังจากนั้นก็แผ่ขยายอำนาจไปจนยึดเมืองหนานจิง (南京) ได้โดยเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเทียนจิง (天京) ซึ่งแปลว่าเมืองหลวงแห่งสวรรค์ และใช้เป็นเมืองหลวง

ในช่วงต้นกบฏไท่ผิงได้ยึดมณฑลเจ้อเจียง (浙江省) และ มณฑลเจียงซี (江西省) ได้ทั้งหมด และยังยืดพื้นที่บางส่วนของมณฑลหูเป่ย์ (湖北省) และมณฑลเจียงซู (江苏省) รวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลอานฮุยไว้ได้

เหอเฝย์และซานเหอซึ่งอยู่ในมณฑลอานฮุยเองก็ได้ตกเป็นของกบฏไท่ผิงเช่นกัน ในช่วงนั้นกำแพงเมืองและป้อมต่างๆได้ถูกสร้างขึ้นในเมืองซานเหอเนื่องจากเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ

ในปี 1858 เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นที่ซานเหอ เนื่องจากกองทัพซึ่งสนับสนุนจักรพรรดิจีนซึ่งนำโดยหลี่ซวี่ปิน (李续宾) ได้ส่งทัพมาล้อมซานเหอ พยายามจะยึดเมืองนี้ให้ได้ แต่สุดท้ายผลของสงครามในสมรภูมินี้คือชัยชนะของกบฏไท่ผิง ส่วนหลี่ซวี่ปินถูกบังคับให้แขวนคอตายในสนามรบ

แต่ชัยชนะในซานเหอครั้งนี้นับว่าเป็นชัยชนะครั้งท้ายๆของฝ่ายกบฏไท่ผิงแล้ว หลังจากปี 1859 ไป กบฏไท่ผิงมีแต่จะเสื่อมลง ท้ายที่สุดแล้วกบฏไท่ผิงก็ได้ล่มสลายลงไปในปี 1964 ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ แต่ผลพวงของสงครามนั้นหนักหนานัก ทั่วประเทศมีคนตายในสงครามนี้ประมาณ ๘๐ ล้านคน ร่องรอยของสงครามก็หลงเหลือให้เห็นอยู่ตามเมืองต่างๆที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่กบฏไท่ผิงเหลือไว้ให้กับเมืองซานเหอก็คือป้อมกำแพงเมืองซึ่งแต่เดิมเมืองนี้ไม่มีอยู่





หยางเจิ้นหนิง

เมืองนี้ยังเป็นบ้านแห่งหนึ่งของหยางเจิ้นหนิง (杨振宁) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลชื่อดัง ซึ่งรู้จักในชื่อทฤษฎีของหยาง-มิลส์ (Yang-Mills theory)

หยิงเจิ้นหนิงเกิดเมื่อปี 1922 ในเหอเฝย์ เขาจบปริญญาตรีและโทในจีน แต่เมื่อปี 1945 ย้ายไปเรียนต่ออเมริกา จนจบปริญญาเอกในปี 1948 แล้วก็อยู่ที่นั่นไปตลอดไม่ยอมกลับจีน จนได้สัญชาติอเมริกาตั้งแต่ปี 1964

เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เมื่อปี 1957 โดยได้รับร่วมกับนักฟิสิกส์ชาวจีนอีกคนคือหลี่เจิ้งเต้า (李政道) ทั้งสองคนนี้เป็นชาวจีนสองคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล (ขณะนั้นทั้งคู่ยังไม่ได้สัญชาติอเมริกา)

หยางเจิ้นหนิงเกิดที่เหอเฝย์ แต่อากู๋ของเขาอยู่ซานเหอ สมัยเด็กเขาเคยตามแม่มาอยู่ที่นี่ ทำให้ที่นี่มีบ้านเก่าที่เขาเคยอาศัยอยู่ด้วย



การไปถึงซานเหอนั้นต้องนั่งรถจากท่ารถที่เหอเฝย์ ใช้เวลาราวๆชั่วโมงครึ่ง

ท่ารถที่ซานเหอ



แถวๆท่ารถนั่นจะเจอพวกคนขับรถสามล้อรับจ้างอยู่มากมาย เราไปคุยกับเขาให้เขาขับรถพาเที่ยวในเมืองได้เลย เราลองคุยดูเขาก็เสนอว่าจะขับรถพาเที่ยวในราคา ๓๐ หยวน เล่นเอาตกใจทีเดียว ไม่คิดว่าจะถูกขนาดนี้ เราเลยไม่ต้องต่อราคาเลย แถมที่นี่ไม่ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูอะไรด้วยเลยเป็นการเที่ยวที่ถูกมากเลย



จุดที่เป็นท่ารถนั้นไม่ใช่ย่านเมืองเก่าซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักแต่เป็นตัวเมืองที่ค่อนข้างเจริญไปมาก แต่โดยรวมแล้วก็ยังเป็นตึกที่ให้บรรยากาศแบบโบราณ









เขาก็ขับพาเราไปเรื่อยๆจนมาถึงย่านเมืองเก่าซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวหลัก



ผ่านพวกร้านอาหารตามซอย




บรรยากาศตามซอกซอยต่างๆในบริเวณ




บ้านที่นี่เขามีติดโคมไว้ด้วยว่าเป็นบ้านแซ่ไหน อย่างอันนี้ก็แซ่หยาง (杨) ...หรือนี่จะเป็นบ้านของหยางเจิ้นหนิง? แต่คงไม่ใช่หรอก



นี่คือป้อมกำแพงซึ่งกบฏไท่ผิงได้ทิ้งไว้ให้กับเมืองนี้




ข้างบนเป็นปืนใหญ่



คุณลุงคนนี้เห็นแล้วน่าสงสารมากเลย เราไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาเจอขอทานที่เมืองแบบนี้ด้วย



ซุมประตูแกะสลักอย่างสวยงาม



ทิวทัศน์ริมน้ำกับแม่น้ำที่ตัดกลางเมือง




นี่เป็นวัดที่ตั้งเด่นอยู่ในเมืองนี้ แต่อย่าเข้าใจผิด วัดนี้เพิ่งสร้างมาใหม่ๆเลย ไม่ใช่ของเก่าแต่อย่างใด




บรรยากาศภายในวัด






อย่าง ที่บอก วัดนี้ใหม่มาก ยังมีส่วนที่สร้างอยู่ก็คือหอคอยนี้ ถ้าสร้างเสร็จคงสวยงามแน่ น่าเสียดายมาเร็วไปหน่อย เมืองนี้กำลังพยายามจะสร้างแต่งเติมปรับปรุงบรรยากาศการท่องเที่ยวอย่างเต็ม ที่จริงๆ



บ้านนี้เป็นบ้านซึ่งเป็นแบบอย่าง เขาเปิดให้เข้าชมแต่ต้องเสีย ๑๐ หยวน และข้างในมีคนบรรยายด้วย



เขาให้ขึ้นมาดูชั้นสองของบ้านก่อน ตรงส่วนนี้อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าส่วนไหนเป็นยังไงเพราะฟังที่เขาบรรยายไม่รู้เรื่อง สำเนียงของคนที่นี่ต้องเรียกว่าฟังยากเหลือเกิน น่าเสียดาย







กลางบ้านมีช่องเปิดหลังคาโหว่และยังทะลุไปถึงด้านล่าง



ข้างล่างเป็นบ่อมีเลี้ยงปลาด้วย



บรรยากาศชั้นล่าง




ย่านร้านค้าในบริเวณนั้น






ซอยนี้แคบมาก เดินผ่านได้ทีละคนเท่านั้น



นี่คือหอที่เรียกว่ากั๋วชุ่ยโหลว (国粹楼) หอนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองนี้ สูง ๗ ชั้น ดูตั้งตระหง่านเด่น สามารถขึ้นไปข้างบนเพื่อชมวิวได้



ที่นี่ต้องเสียค่าเข้า ๑๐ หยวน แต่ก็น่าจะคุ้มค่า



ด้านในจัดแสดงเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมด้วย







แต่เป้าหมายสำคัญสุดของการขึ้นหอคอยนี้ก็คือจะไปชมทิวทัศน์ตัวเมืองจากมุมสูง ดังนั้นจึงรีบเดินเพื่อขึ้นไปชั้นสูงสุด



ทิวทัศน์จากมุมสูงนั้นสวยมากตามที่คาดจริงๆ






มองเห็นหอคอยที่กำลังสร้างอยู่ทางโน้นด้วย



ดูเสร็จก็ข้ามสะพานมา





นี่เป็นอีกที่ที่เก็บค่าผ่านเข้าชม แต่พอดีไม่ได้เข้าไป



นี่ก็อีกที่ที่ต้องเสียตังเข้าไป



นี่ก็อีกที่



แล้วก็อีกที่ ดูเหมือนจะมีเยอะเลย พวกสถานที่ที่เขาให้เข้าไปชมได้ แต่ว่าไม่ได้เข้าไปเท่าไหร่เพราะข้างในดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่ เลยเลือกที่น่าสนใจเท่านั้น อีกอย่างคืออยากทำเวลา และก็เพื่อประหยัดเงินด้วย การได้ชมวิวจากข้างนอกยังไงก็น่าสนใจกว่า



สะพานสวยอีกแห่งหนึ่ง




ข้ามสะพานไป





ทิวทัศน์จากบนสะพาน




ทิวทัศน์ริมน้ำจากฝั่งนี้







จบเท่านี้สำหรับการเที่ยวในย่านโบราณ หลังจากนั้นเขาก็พาเรากลับไปส่งที่ท่ารถ



ได้เวลาจ่ายเงินค่าเที่ยวชม ๓๐ หยวน แก่คนขับ โดยรวมแล้วเราใช้เวลาเที่ยวภายในชั่วโมงครึ่ง เขาทั้งขับรถไปส่งและแนะนำสถานที่เที่ยวต่างๆ เก็บเงินแค่นี้ถือว่าคุ้มค่ามาก



เราไม่ได้รีบขึ้นรถกลับทันที แต่รีบกินข้าวก่อน จากนั้นก็ไปหาร้านขายยา เนื่องจากตอนนั้นเป็นหวัดมีไข้และไออยู่ อาการไม่สู้ดีนัก (แต่ก็ยังเที่ยวไม่หยุด)



ขอบ่นนิดหน่อยว่าคุณลุงคนขายยาร้านนี้พูดจีนกลางสำเนียงฟังยากมากจนเรียกได้ว่าแทบไม่รู้เรื่องเลย ทำเอาลำบากใจที่จะซื้อ ถ้าพูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้แล้วซื้อยาผิดขึ้นมากินไปแล้วมีอาการแปลกๆขึ้นมาทำยังไง เราคิดว่าคนที่จะทำอาชีพขายยาควรจะมีความสามารถในการสื่อสารมากกว่านี้ มันเกี่ยวพันกับความเป็นความตาย

หลังจากระแวงโน่นนี่สุดท้ายก็ซื้อยามาทานได้จนได้ แล้วก็รีบไปขึ้นรถเพื่อกลับไปยังตัวเมืองเหอเฝย์



แม้จะรู้ว่าไม่สบายแต่พอกลับไปถึงเหอเฝย์เราก็ยังคงเที่ยวต่อไม่หยุด อย่างน้อยก็ได้ยามาทานแล้วก็วางใจได้ล่ะ

และก็ดูเหมือนจะคิดถูกที่ไม่รีบกลับไปนอนพัก เพราะเย็นวันนั้นหิมะตกที่เหอเฝย์ด้วย ซึ่งตอนนั้นเรากำลังเที่ยวอยู่ที่สวนเปาบุ้นจิน (包公园) ซึ่งการเที่ยวที่นั่นเราคงไม่ได้มาเล่าละเอียดแบบที่นี่เพราะเป็นสถานที่ที่ไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่

แล้วจบลงที่กลางคืนกลับมานอนซมที่โรงแรม เป็นอย่างนี้ทุกคืนแต่พอเช้าก็ยังออกไปเที่ยวต่อเหมือนไม่มีอะไรตลอดสามวันที่เที่ยวในเหอเฝย์



สรุปความประทับใจ

โดยรวมแล้วคิดว่าที่นี่คุ้มค่าที่จะไปมากเลย เป็นเมืองโบราณที่สวยมาก เมืองนี้มีบ้านโบราณอยู่ริมน้ำ มีหอคอยสูงสวยซึ่งขึ้นไปชมวิวได้ และยังมีป้อมกำแพงเมืองที่เป็นร่องรอยของประวัติศาสตร์

ติดอยู่แค่ว่าคนที่นั่นพูดจีนกลาง ด้วยสำเนียงที่ฟังยากมาก (ที่จริงเป็นงี้ทุกที่ในเหอเฝย์ แต่ในเมืองยังดีกว่าหน่อย) อาจจะสื่อสารลำบาก ส่วนภาษาอังกฤษนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แต่ถ้าคุยกับพวกคนหนุ่มๆสาวๆก็จะคุยรู้เรื่องกว่ามาก

ค่านั่งสามล้อเที่ยวชมเมืองก็ถูกมากๆเลย แถมไม่ต้องเสียค่าเข้าตัวเมืองด้วย แค่ว่าถ้าจะเข้าชมสถานที่น่าสนใจในตัวอาคารต่างๆต้องเสียตังเพิ่มเท่านั้น ในขณะที่ถ้าไปเที่ยวพวกเมืองโบราณในมณฑลเจ้อเจียงอย่างอูเจิ้น (乌镇) หรือซีถาง (西塘) https://phyblas.hinaboshi.com/20120609

ทั้งสองที่นั้นต้องจ่ายค่าเข้าชมเมืองแพงมาก อูเจิ้น ๑๕๐ หยวน ซีถัง ๑๐๐ หยวน (ถ้าไม่จ่ายก็ต้องแอบหาทางลับเข้าเอง แต่ก็จะเข้าชมสถานที่ในอาคารไม่ได้) ดังนั้นเที่ยวที่ซานเหอนี้จึงประหยัดกว่ามาก

และหากเทียบกันแล้วเรากลับรู้สึกว่าซานเหอนั้นสวยกว่าอูเจิ้นหรือซีถังเสียอีก และมีขนาดใหญ่กว่าด้วย เนื้อหาของสถานที่เที่ยวก็ดูจะเยอะกว่า สาเหตุที่ซานเหอเป็นที่รู้จักน้อยอาจเป็นเพราะอยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ๆที่คนนิยมไปเที่ยว ไม่เหมือนอูเจิ้นกับซีถังซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลักๆอย่างหางโจวและเซี่ยงไฮ้

แต่หากไปเทียบกับเมืองโบราณขนาดใหญ่อย่างผิงเหยา (平遥) ในมณฑลซานซี (山西省) ซึ่งเป็นอีกที่ที่เคยไปมา https://phyblas.hinaboshi.com/20120421

ก็คงเทียบกันไม่ได้เพราะผิงเหยาเป็นเมืองระดับอำเภอ (县) ในขณะที่ซานเหอเป็นแค่เมืองระดับตำบล (镇) ขนาดมันผิดกันมากอยู่ ซานเหอเที่ยวแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็พอแล้ว แต่ผิงเหยาต้องเดินเที่ยวทั้งวันและค้างคืนด้วย

ยังไงก็รู้สึกชอบบรรยากาศเมืองโบราณแบบนี้มาก ถ้ามีโอกาสอยากลองไปเที่ยวเมืองโบราณที่อื่นๆดูอีก หวังว่าจะได้เจอเมืองโบราณที่ถูกใจยิ่งกว่าซานเหออีก

หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองเหอเฝย์ละก็ ซานเหอเป็นสถานที่อันดับหนึ่งที่แนะนำให้ไปเลย แม้ว่าจะไกลสักหน่อยคือต้องเดินทางจากตัวเมืองไปชั่วโมงครึ่งจึงจะถึง แต่ก็คุ้มค่ามากมาย



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> อานฮุย
-- ประวัติศาสตร์ >> ประวัติศาสตร์จีน

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

สารบัญ

รวมคำแปลวลีเด็ดจากญี่ปุ่น
มอดูลต่างๆ
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
การเรียนรู้ของเครื่อง
-- โครงข่าย
     ประสาทเทียม
ภาษา javascript
ภาษา mongol
ภาษาศาสตร์
maya
ความน่าจะเป็น
บันทึกในญี่ปุ่น
บันทึกในจีน
-- บันทึกในปักกิ่ง
-- บันทึกในฮ่องกง
-- บันทึกในมาเก๊า
บันทึกในไต้หวัน
บันทึกในยุโรปเหนือ
บันทึกในประเทศอื่นๆ
qiita
บทความอื่นๆ

บทความแบ่งตามหมวด



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  ค้นหาบทความ

  บทความแนะนำ

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文