เมืองสแตรงแนส มหาวิหารขนาดใหญ่ในเมืองเล็ก
เขียนเมื่อ 2014/06/15 01:56
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42
#พุธ 7 พ.ค. 2014
หลังจากไปเดินเที่ยวในเมืองเออเรบรูมา https://phyblas.hinaboshi.com/20140613
เป้าหมายต่อไปที่จะเดินทางไปเที่ยวก็คือเมืองสแตรงแนส (Strängnas) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในจังหวัดเซอเดอร์มันลันด์ (Södermanland) ปัจจุบันเป็นแค่เมืองเล็กๆแต่ว่าในอดีตมีความเป็นมาที่ยาวนาน
เมืองนี้มีจุดเด่นอยู่ที่มหาวิหารสแตรงแนส (Strängnäs domkyrka) ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ขนาดใหญ่ หากเทียบกับมหาวิหารแห่งอื่นๆในสวีเดนแล้วที่นี่ถือว่าเป็นมหาวิหารที่ตั้งอยู่ในเมืองขนาดเล็กที่สุด แต่ขนาดกลับใหญ่กว่ามหาวิหารในเมืองใหญ่หลายแห่ง
มหาวิหารสแตรงแนสถูกเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1250 โดยเริ่มต้นมีขนาดเล็กกว่าแต่ก็ถูกขยายเพิ่มเติมในช่วงศตวรรษที่ 14-15 และส่วนหอคอยของโบสถ์สูง ๗๕ เมตร ได้ถูกสร้างในปี 1740 ตัวโบสถ์สร้างด้วยอิฐเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิก
รถไฟออกจากสถานีเออเรบรูเวลา 10:45 จากนั้นก็มาเปลี่ยนรถที่เมืองอาร์โบกา (Arboga) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในจังหวัดแวสต์มันลันด์ (Västmanland)
รถไฟมาถึงที่นี่เวลา 11:05 จากนั้นก็นั่งรถไฟต่อทันทีเวลา 11:20 จึงไม่มีเวลาทำอะไรในเมืองนี้ ต้องไปเปลี่ยนอีกทีที่เมืองเอสกิลสตูนา (Eskilstuna) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของจังหวัดเซอเดอร์มันลันด์ เป็นเมืองที่มีคนเชื้อสายฟินแลนด์อยู่เป็นจำนวนมาก
รถไฟถึงสถานีเอสกิลสตูนาเวลา 11:46 และรถจะออกเวลา 12:05 ทำให้เรามีเวลาประมาณ ๑๙ นาที ก็เลยเดินเล่นแถวๆสถานีได้นิดหน่อย
ที่นี่มีอุโมงค์ลอดข้ามทางรถไฟสวย
ออกมาเดินเล่นหน้าสถานี
วงเวียนสถานี แต่ไม่ได้เดินต่อแล้ว ไม่อยากกลับถึงสถานีตอนเวลากระชั้นชิดเกินไป
จากนั้นรีบกลับไปยังชานชลาทันที
รถไฟไปถึงเมืองสแตรงแนสเวลา 12:20 ถึงสักทีหลังจากที่นั่งรถไฟถึงสามต่อ
ตัวสถานีที่นี่ตั้งอยู่ริมหน้าผา
ตรงนี้เป็นจุดขึ้นรถเมล์ ถ้าจะไปไหนต่อก็มาขึ้นรถเมล์ตรงนี้ได้
เมื่อมาถึงก็มาจัดการเรื่องตั๋วที่จะเดินทางต่อไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก รถไฟผ่านไม่ได้มีตลอดเวลา ต้องรู้ว่ามีรอบรถเมื่อไหร่
เป้าหมายต่อไปคือที่เมืองมารีเฟรด (Mariefred) ซึ่งก็เป็นเมืองข้างๆกันสามารถเดินทางไปได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าไม่มีรถไฟไปถึงโดยตรงต้องนั่งรถเมล์ ซึ่งมันก็มีอยู่สองทางคือนั่งรถเมล์ต่อเดียวไปถึงเลย หรือว่าจะนั่งรถไฟต่อรถเมล์
เท่าที่ถามทางร้านก็ได้รู้ว่านั่งรถเมล์จะได้รอบที่ออกเร็วกว่า อย่างไรก็ตามพอถามถึงเรื่องที่ว่าไม่มีบัตรสำหรับขึ้นรถเมล์ที่นี่และไม่สามารถจ่ายบัตรเครดิตด้วยจะทำยังไง เขาก็บอกว่ารถเมล์ไม่สามารถซื้อตั๋วจากสถานีรถไฟได้ ถ้าจะจ่ายเงินสดก็ได้แต่จะแพงถึง ๑๐๐ โครน ซึ่งมันแพงกว่าค่ารถจริงประมาณ ๒ เท่าเลย
เราก็เลยเลือกอีกทางหนึ่งก็คือนั่งรถไฟไปต่อรถเมล์ ซึ่งวิธีนี้สามารถซื้อตั๋วด้วยเงินสดได้ ซึ่งราคาเดิมมันแพงกว่านั่งรถเมล์ต่อเดียวแต่พอจ่ายตามราคาปกติได้ยังไงก็ถูกกว่ามาก
น่าแปลกว่าระบบที่นี่เป็นแบบนี้ นั่นคือที่สถานีรถไฟจะมีช่องขายตั๋วสำหรับให้ซื้อตั๋วรถไฟด้วยเงินสดได้ และถ้านั่งรถไฟไปแล้วต้องต่อรถเมล์ก็สามารถซื้อตั๋วรถเมล์นั้นควบไปด้วยได้ แต่ถ้าจะซื้อตั๋วรถเมล์เดี่ยวๆละก็ไม่สามารถทำได้ ต้องจ่ายบนรถเมล์โดยใช้บัตรของที่นี่หรือใช้บัตรเครดิตเท่านั้น
ทีนี้ตามแผนพอเที่ยวมารีเฟรดเสร็จเรายังต้องเดินทางกลับสตอกโฮล์ม ซึ่งก็ต้องนั่งรถเมล์แล้วต่อรถไฟ ก็เลยถามด้วยว่าสามารถซื้อตั๋วรถเมล์ต่อรถไฟจากที่นั่นได้หรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่ได้ ที่นั่นไม่มีสถานีรถไฟ ดังนั้นถ้าจะซื้อให้ซื้อจากที่นี่เลย
สรุปแล้วเราก็เลยซื้อตั๋วรวดเดียวสองต่อเลยก็คือจากสแตรงแนสไปมารีเฟรด และจากมารีเฟรดกลับสตอกโฮล์ม
ตั๋วรถไฟจะออกจากสถานีตอน 14:17 ดังนั้นเรามีเวลาเดินเที่ยวในสแตรงแนสประมาณเกือบสองชั่วโมง ซึ่งก็ดูแล้วค่อนข้างเหลือเฟือพอสมควรสำหรับเมืองเล็กๆสามารถเดินสบายๆไม่ต้องรีบได้
ได้เวลาออกเดินเที่ยวในเมืองแล้ว
วงเวียนหน้าสถานี จากตรงนี้เห็นยอดหอคอยของมหาวิหารอยู่ไกลๆด้วย
เดินไปตามทางเรื่อยๆ เส้นทางไม่ค่อยตรงไปตรงมาเท่าไหร่ ถนนในเมืองนี้เข้าใจยากอยู่ คงเพราะเป็นเมืองเก่าที่ไม่ได้มีการวางผังเมืองใหม่ให้ดีมาก แต่ใช้ GPS ดูแผนที่เอาตลอดเลยไม่มีปัญหา
สักพักก็เดินมาถึงมหาวิหาร
เป็นโบสถ์ที่ใหญ่มากจริงๆ และเป็นจุดศูนย์กลางที่สำคัญมากของเมือง
ส่วนหอนาฬิกาของโบสถ์
ตรงนี้เหมือนเป็นที่เก็บของเล็กๆใต้โบสถ์
ประตูด้านหนึ่งของมหาวิหารซึ่งปิดอยู่
ส่วนตรงนี้เป็นประตูด้านหน้าซึ่งเปิดให้เข้าไปได้
เมื่อเข้าไปในโบสถ์ ข้างในกว้างใหญ่สวยงามมาก
ด้านในสุดของโบสถ์ ตรงส่วนที่เป็นเวที
รูปปั้นจักรพรรดิคอร์ลที่ ๙ (Karl IX) กษัตริย์สวีเดนในช่วงปี 1604 - 1611 ศพของท่านถูกฝังอยู่ที่มหาวิหารสแตรงแนสแห่งนี้
ข้างๆนั้นก็มีของประดับอีกหลายอย่างวางอยู่
ส่วนด้านหลังเวที
ตรงนี้มีรวบรวมรายชื่อบิช็อปทั้งหมดในยุคต่างๆของที่นี่เอาไว้
มองไปด้านข้างจะเห็นว่ายังประกอบด้วยส่วนที่แยกห้องต่างๆซึ่งก็มีวางของประดับอะไรไว้มากมาย
บริเวณแถวๆใกล้โบสถ์
จากโบสถ์หันไปทางนี้จะเห็นแม่น้ำ
เดินหน้าต่อสู่ริมฝั่งน้ำ
ตู้โทรศัพท์สาธารณะเขาหน้าตาสวยดี ภาพนี้ถ่ายระหว่างทางที่เดินจากโบสถ์ไปริมน้ำ มองกลับไปยังเห็นหอคอยโบสถ์ตั้งเด่นอยู่
แล้วก็เดินมาถึงริมฝั่งน้ำแล้ว บรรยากาศดีมากเลย ลมก็พัดแรงจนหนาวไปหมด
ถ้านั่งเล่นตรงนี้คงจะสบายมากเลย
มองกลับไปยังทางที่เดินมา ยังเห็นยอดหอคอยโบสถ์อยู่
บรรยากาศบ้านริมน้ำแถวๆนี้
สะพานใหญ่สำหรับข้ามแม่น้ำนี้
มองข้ามไปอีกฝั่งจากตรงนี้
ถ้าเดินข้ามสะพานนี้ก็สามารถไปอีกฝั่งได้ แต่เท่าที่เห็นฝั่งโน้นก็ไม่มีอะไรมากก็เลยไม่ได้ข้ามไป แค่มองจากตรงนี้
เห็นหอคอยอะไรอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ข้ามไปเลยไม่รู้ว่าคืออะไร
จากบนสะพานมองกลับไปก็เห็นริมฝั่งน้ำสวยงาม
จากตรงนี้ก็เห็นหอคอยโบสถ์
เดินเลียบไปตามริมฝั่งน้ำเรื่อยๆก็ยังเห็นมุมที่เห็นหอคอยโบสถ์อยู่ประปราย เมืองนี้นอกจากมหาวิหารแล้วก็ไม่มีอาคารสูงอะไรเลย หอคอยจึงดูเด่นมาก
ริมน้ำบรรยากาศดี เจอเป็ดด้วย
เราเดินกลับสถานีรถไฟโดยใช้ทางเดินอ้อมคนละทางกับที่เดินมาตอนแรก
เส้นทางนี้ไม่ผ่านมหาวิหารแต่ก็สามารถมองเห็นได้
ป้ายบอกทางกลับสถานีรถไฟ ใกล้ถึงแล้ว
แล้วก็กลับมาถึงก่อนเวลารถไฟออกประมาณ ๑๕ นาที นั่งพักในสถานีสักครู่แล้วพอได้เวลาก็ออกมารอรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปเมืองมารีเฟรดต่อไป https://phyblas.hinaboshi.com/20140617
หลังจากไปเดินเที่ยวในเมืองเออเรบรูมา https://phyblas.hinaboshi.com/20140613
เป้าหมายต่อไปที่จะเดินทางไปเที่ยวก็คือเมืองสแตรงแนส (Strängnas) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในจังหวัดเซอเดอร์มันลันด์ (Södermanland) ปัจจุบันเป็นแค่เมืองเล็กๆแต่ว่าในอดีตมีความเป็นมาที่ยาวนาน
เมืองนี้มีจุดเด่นอยู่ที่มหาวิหารสแตรงแนส (Strängnäs domkyrka) ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ขนาดใหญ่ หากเทียบกับมหาวิหารแห่งอื่นๆในสวีเดนแล้วที่นี่ถือว่าเป็นมหาวิหารที่ตั้งอยู่ในเมืองขนาดเล็กที่สุด แต่ขนาดกลับใหญ่กว่ามหาวิหารในเมืองใหญ่หลายแห่ง
มหาวิหารสแตรงแนสถูกเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1250 โดยเริ่มต้นมีขนาดเล็กกว่าแต่ก็ถูกขยายเพิ่มเติมในช่วงศตวรรษที่ 14-15 และส่วนหอคอยของโบสถ์สูง ๗๕ เมตร ได้ถูกสร้างในปี 1740 ตัวโบสถ์สร้างด้วยอิฐเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิก
รถไฟออกจากสถานีเออเรบรูเวลา 10:45 จากนั้นก็มาเปลี่ยนรถที่เมืองอาร์โบกา (Arboga) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆในจังหวัดแวสต์มันลันด์ (Västmanland)
รถไฟมาถึงที่นี่เวลา 11:05 จากนั้นก็นั่งรถไฟต่อทันทีเวลา 11:20 จึงไม่มีเวลาทำอะไรในเมืองนี้ ต้องไปเปลี่ยนอีกทีที่เมืองเอสกิลสตูนา (Eskilstuna) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของจังหวัดเซอเดอร์มันลันด์ เป็นเมืองที่มีคนเชื้อสายฟินแลนด์อยู่เป็นจำนวนมาก
รถไฟถึงสถานีเอสกิลสตูนาเวลา 11:46 และรถจะออกเวลา 12:05 ทำให้เรามีเวลาประมาณ ๑๙ นาที ก็เลยเดินเล่นแถวๆสถานีได้นิดหน่อย
ที่นี่มีอุโมงค์ลอดข้ามทางรถไฟสวย
ออกมาเดินเล่นหน้าสถานี
วงเวียนสถานี แต่ไม่ได้เดินต่อแล้ว ไม่อยากกลับถึงสถานีตอนเวลากระชั้นชิดเกินไป
จากนั้นรีบกลับไปยังชานชลาทันที
รถไฟไปถึงเมืองสแตรงแนสเวลา 12:20 ถึงสักทีหลังจากที่นั่งรถไฟถึงสามต่อ
ตัวสถานีที่นี่ตั้งอยู่ริมหน้าผา
ตรงนี้เป็นจุดขึ้นรถเมล์ ถ้าจะไปไหนต่อก็มาขึ้นรถเมล์ตรงนี้ได้
เมื่อมาถึงก็มาจัดการเรื่องตั๋วที่จะเดินทางต่อไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก รถไฟผ่านไม่ได้มีตลอดเวลา ต้องรู้ว่ามีรอบรถเมื่อไหร่
เป้าหมายต่อไปคือที่เมืองมารีเฟรด (Mariefred) ซึ่งก็เป็นเมืองข้างๆกันสามารถเดินทางไปได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าไม่มีรถไฟไปถึงโดยตรงต้องนั่งรถเมล์ ซึ่งมันก็มีอยู่สองทางคือนั่งรถเมล์ต่อเดียวไปถึงเลย หรือว่าจะนั่งรถไฟต่อรถเมล์
เท่าที่ถามทางร้านก็ได้รู้ว่านั่งรถเมล์จะได้รอบที่ออกเร็วกว่า อย่างไรก็ตามพอถามถึงเรื่องที่ว่าไม่มีบัตรสำหรับขึ้นรถเมล์ที่นี่และไม่สามารถจ่ายบัตรเครดิตด้วยจะทำยังไง เขาก็บอกว่ารถเมล์ไม่สามารถซื้อตั๋วจากสถานีรถไฟได้ ถ้าจะจ่ายเงินสดก็ได้แต่จะแพงถึง ๑๐๐ โครน ซึ่งมันแพงกว่าค่ารถจริงประมาณ ๒ เท่าเลย
เราก็เลยเลือกอีกทางหนึ่งก็คือนั่งรถไฟไปต่อรถเมล์ ซึ่งวิธีนี้สามารถซื้อตั๋วด้วยเงินสดได้ ซึ่งราคาเดิมมันแพงกว่านั่งรถเมล์ต่อเดียวแต่พอจ่ายตามราคาปกติได้ยังไงก็ถูกกว่ามาก
น่าแปลกว่าระบบที่นี่เป็นแบบนี้ นั่นคือที่สถานีรถไฟจะมีช่องขายตั๋วสำหรับให้ซื้อตั๋วรถไฟด้วยเงินสดได้ และถ้านั่งรถไฟไปแล้วต้องต่อรถเมล์ก็สามารถซื้อตั๋วรถเมล์นั้นควบไปด้วยได้ แต่ถ้าจะซื้อตั๋วรถเมล์เดี่ยวๆละก็ไม่สามารถทำได้ ต้องจ่ายบนรถเมล์โดยใช้บัตรของที่นี่หรือใช้บัตรเครดิตเท่านั้น
ทีนี้ตามแผนพอเที่ยวมารีเฟรดเสร็จเรายังต้องเดินทางกลับสตอกโฮล์ม ซึ่งก็ต้องนั่งรถเมล์แล้วต่อรถไฟ ก็เลยถามด้วยว่าสามารถซื้อตั๋วรถเมล์ต่อรถไฟจากที่นั่นได้หรือเปล่า เขาก็บอกว่าไม่ได้ ที่นั่นไม่มีสถานีรถไฟ ดังนั้นถ้าจะซื้อให้ซื้อจากที่นี่เลย
สรุปแล้วเราก็เลยซื้อตั๋วรวดเดียวสองต่อเลยก็คือจากสแตรงแนสไปมารีเฟรด และจากมารีเฟรดกลับสตอกโฮล์ม
ตั๋วรถไฟจะออกจากสถานีตอน 14:17 ดังนั้นเรามีเวลาเดินเที่ยวในสแตรงแนสประมาณเกือบสองชั่วโมง ซึ่งก็ดูแล้วค่อนข้างเหลือเฟือพอสมควรสำหรับเมืองเล็กๆสามารถเดินสบายๆไม่ต้องรีบได้
ได้เวลาออกเดินเที่ยวในเมืองแล้ว
วงเวียนหน้าสถานี จากตรงนี้เห็นยอดหอคอยของมหาวิหารอยู่ไกลๆด้วย
เดินไปตามทางเรื่อยๆ เส้นทางไม่ค่อยตรงไปตรงมาเท่าไหร่ ถนนในเมืองนี้เข้าใจยากอยู่ คงเพราะเป็นเมืองเก่าที่ไม่ได้มีการวางผังเมืองใหม่ให้ดีมาก แต่ใช้ GPS ดูแผนที่เอาตลอดเลยไม่มีปัญหา
สักพักก็เดินมาถึงมหาวิหาร
เป็นโบสถ์ที่ใหญ่มากจริงๆ และเป็นจุดศูนย์กลางที่สำคัญมากของเมือง
ส่วนหอนาฬิกาของโบสถ์
ตรงนี้เหมือนเป็นที่เก็บของเล็กๆใต้โบสถ์
ประตูด้านหนึ่งของมหาวิหารซึ่งปิดอยู่
ส่วนตรงนี้เป็นประตูด้านหน้าซึ่งเปิดให้เข้าไปได้
เมื่อเข้าไปในโบสถ์ ข้างในกว้างใหญ่สวยงามมาก
ด้านในสุดของโบสถ์ ตรงส่วนที่เป็นเวที
รูปปั้นจักรพรรดิคอร์ลที่ ๙ (Karl IX) กษัตริย์สวีเดนในช่วงปี 1604 - 1611 ศพของท่านถูกฝังอยู่ที่มหาวิหารสแตรงแนสแห่งนี้
ข้างๆนั้นก็มีของประดับอีกหลายอย่างวางอยู่
ส่วนด้านหลังเวที
ตรงนี้มีรวบรวมรายชื่อบิช็อปทั้งหมดในยุคต่างๆของที่นี่เอาไว้
มองไปด้านข้างจะเห็นว่ายังประกอบด้วยส่วนที่แยกห้องต่างๆซึ่งก็มีวางของประดับอะไรไว้มากมาย
บริเวณแถวๆใกล้โบสถ์
จากโบสถ์หันไปทางนี้จะเห็นแม่น้ำ
เดินหน้าต่อสู่ริมฝั่งน้ำ
ตู้โทรศัพท์สาธารณะเขาหน้าตาสวยดี ภาพนี้ถ่ายระหว่างทางที่เดินจากโบสถ์ไปริมน้ำ มองกลับไปยังเห็นหอคอยโบสถ์ตั้งเด่นอยู่
แล้วก็เดินมาถึงริมฝั่งน้ำแล้ว บรรยากาศดีมากเลย ลมก็พัดแรงจนหนาวไปหมด
ถ้านั่งเล่นตรงนี้คงจะสบายมากเลย
มองกลับไปยังทางที่เดินมา ยังเห็นยอดหอคอยโบสถ์อยู่
บรรยากาศบ้านริมน้ำแถวๆนี้
สะพานใหญ่สำหรับข้ามแม่น้ำนี้
มองข้ามไปอีกฝั่งจากตรงนี้
ถ้าเดินข้ามสะพานนี้ก็สามารถไปอีกฝั่งได้ แต่เท่าที่เห็นฝั่งโน้นก็ไม่มีอะไรมากก็เลยไม่ได้ข้ามไป แค่มองจากตรงนี้
เห็นหอคอยอะไรอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ข้ามไปเลยไม่รู้ว่าคืออะไร
จากบนสะพานมองกลับไปก็เห็นริมฝั่งน้ำสวยงาม
จากตรงนี้ก็เห็นหอคอยโบสถ์
เดินเลียบไปตามริมฝั่งน้ำเรื่อยๆก็ยังเห็นมุมที่เห็นหอคอยโบสถ์อยู่ประปราย เมืองนี้นอกจากมหาวิหารแล้วก็ไม่มีอาคารสูงอะไรเลย หอคอยจึงดูเด่นมาก
ริมน้ำบรรยากาศดี เจอเป็ดด้วย
เราเดินกลับสถานีรถไฟโดยใช้ทางเดินอ้อมคนละทางกับที่เดินมาตอนแรก
เส้นทางนี้ไม่ผ่านมหาวิหารแต่ก็สามารถมองเห็นได้
ป้ายบอกทางกลับสถานีรถไฟ ใกล้ถึงแล้ว
แล้วก็กลับมาถึงก่อนเวลารถไฟออกประมาณ ๑๕ นาที นั่งพักในสถานีสักครู่แล้วพอได้เวลาก็ออกมารอรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปเมืองมารีเฟรดต่อไป https://phyblas.hinaboshi.com/20140617