# เสาร์ 20 ต.ค. 2018เมื่อวานไปปีนเขากับเพื่อนมาอีกแล้ว เขาที่เลือกไปครั้งนี้คือ
เขาหั่วหยาน (火炎山, หั่วหยานซาน) อยู่ตรงรอยต่อระหว่างตำบล
ซานอี้ (三義) และตำบล
ย่วนหลี่ (苑裡) ทางตอนใต้ของจังหวัด
เหมียวลี่ (苗栗) บริเวณที่ติดกับเมือง
ไถจง (台中)แผนที่แสดงตำแหน่งของจังหวัดเหมียวลี่และการแบ่งเขตภายในจังหวัด
ซานอี้และย่วนหลี่อยู่ทางซ้ายล่าง ติดกับไถจง
ที่นี่เป็นเขาที่มีภูมิประเทศที่น่าสนใจ มีบริเวณที่โดนลมและฝนกัดกร่อนจนเขามีหน้าตัดเรียบโล้นแหลม จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ซึ่งทำให้ผู้คนสนใจอยากมาปีนเพื่อชม
นอกจากนี้จากบนเขายังสามารถเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำ
ต้าอานซี (大安溪) เป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างเหมียวลี่และไถจง และมองเห็นเมืองไถจงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เขานี้มียอดสูงสุดที่เดินไปถึงได้สูงจากระดับน้ำทะเล ๖๐๒ เมตร อย่างไรก็ตามจุดชมทิวทัศน์สวยงามที่เป็นเป้าหมายสำคัญนั้นอยู่บนครึ่งทางที่จะไปยอดเขา และถึงไปจนถึงยอด จุดนั้นก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น จึงอาจแค่มาเพื่อชมจุดที่มีทิวทัศน์สวยสุดแล้วก็กลับ
การเดินทางไปคือมีเพื่อนขับรถ เช่นเดียวกับตอนที่ไปเขาเซียน (仙山) ซึ่งอยู่ในเหมียวลี่เหมือนกัน
https://phyblas.hinaboshi.com/20180923จังหวัดนี้การเดินทางไม่ค่อยง่าย การมีรถขับไปเองจึงเป็นอะไรที่สะดวกมาก ถ้านั่งรถเมล์มาที่นี่จะไม่ได้สะดวกนัก
เราออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยชิงหัวในเมืองซินจู๋ ใช้เวลาชั่วโมงกว่าจึงมาถึงหน้าทางขึ้นเขา
ที่หน้าทางขึ้นเขานี้มีที่จอดรถ ค่าจอด ๕๐ จอดได้ทั้งวัน
จากที่จอดรอเดินเลี้ยวซ้ายไปก็ไปถึงทางขึ้นเขาได้ทันที แต่เนื่องจากยังมีบางคนไม่ได้กินเข้าเช้ามาจึงแวะร้านที่อยู่ข้างๆก่อน
ไก่ร้านนี้อร่อยดี
กินเสร็จก็เดินย้อนมาตรงทางขึ้นเขา
นี่เป็นแผนที่ การจะไปถึงจุดยอดได้ต้องเดิน ๓.๓ กม. จากนั้นจะมีทางเดินกลับลงอีกทาง แต่จะไม่เดินไปถึงยอดแล้วก็เดินย้อนลงมาทางเดิมก็ได้
ทางเดินขึ้นเขาช่วงต้นๆ เดินไม่ยาก ทางลาดขึ้นทีละนิดความชันไม่มาก บางส่วนที่ดูเหมือนจะตกได้ง่ายก็จะมีเชือกกั้น
ขึ้นมาสักระยะก็มีจุดที่มองลงไปแล้วเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้ ที่เห็นตรงนี้เป็นฝั่งใต้ของภูเขา ซึ่งก็คือหันไปทางเมืองไถจง มีแม่น้ำสายใหญ่ที่ส่วนใหญ่เหือดแห้งอยู่คือแม่น้ำต้าอานซี
ถัดจากตรงนั้นมาหน่อยก็เจอเสาหลักที่ใช้บอกว่าเราเดินมาแล้ว ๕๐๐ เมตร เราเดินมาถึงตรงนี้โดยใช้เวลาไป ๑๕ นาที ส่วนที่เห็นด้านบนเครื่องหมาย + ไม่ใช่โอเคแต่เป็นศูนย์เค หมายถึงศูนย์กิโลเมตร
เดินต่อมาก็เจอจุดที่เห็นทิวทัศน์สวยๆได้ประปราย
บางบริเวณเป็นทางเดินแคบอันตรายแต่มีเชือกกั้นอยู่จึงไม่ต้องเป็นห่วง
ตรงนี้เริ่มมองเห็นบริเวณเขาส่วนที่เรียบแหลมที่เป็นเป้าหมายหลักที่อยากจะมาดู แต่ยังไม่ใช่มุมที่เห็นชัดดีนัก
ไปต่อ
แล้วก็มาถึงเสาที่บอกว่าเดินมา ๑ กม. แล้ว ขณะนั้นผ่านไปแล้วกว่า ๓๕ นาทีหลังจากเริ่มเดิน
ไปต่ออีกสักหน่อย
ก็เจอจุดที่มีเก้าอี้ให้นั่งพัก จึงหยุดพักสักครู่ค่อยไปต่อ
ที่ตรงนี้มีทางแยกแต่ด้านขวาโดนปิดแล้วมีป้ายเขียนให้ไปทางซ้ายคือ 小峽谷 (เสี่ยวเสียกู่) แปลว่าทางร่องเขาแคบๆ
ทิวทัศน์ที่มองลงไปเห็นได้ระหว่างทาง
ป้ายนี้บอกว่าห้ามเด็ดดอกไม้ต้นไม้ใบหญ้าใดๆจากที่นี่ไป มีป้ายคล้ายๆแบบนี้อยู่ประปรายตลอดทาง
เดินต่อมาอีกก็ถึงหลัก ๑.๕ กม. หลังเดินมาแล้ว ๑ ชั่วโมงกับอีก ๕ นาที
ถัดจากตรงนั้นก็ได้เจอจุดที่เห็นผาสวยๆได้
แต่ว่านั่นก็ยังไม่ใช่จุดที่มองเห็นได้สวยที่สุด ยังต้องเดินต่อไปอีก
ระหว่างทางเจอทางแยกที่มีเขียนว่าทางซ้ายเป็น 輕鬆 (ชิงซง) สบายๆ ทางขวาเป็น 挑戰 (เถี่ยวจ้าน) แปลว่าท้าทาย หมายความว่าเส้นทางมีความลำบากในการเดินไปต่างกัน พวกเราเลือกไปทางซ้าย
แล้วเดินต่อมาอีกในที่สุดก็ถึงจุดที่ชมทิวทัศน์ได้สวยที่สุด ตรงนี้มีคนเบียดเสียดมากมายแย่งกันหาจุดถ่ายรูป เราใช้เวลาไป ๑ ชั่วโมงกับ ๒๕ นาทีในการมาถึงตรงนี้
ภาพทิวทัศน์ที่ถ่ายได้ตรงนี้สวยงามมาก เห็นเขาแหลมโล้นทางโน้น
และยังเห็นช่องเขาระหว่างเขานี้กับเขานี้
บางบริเวณมีสีแดงสดดูแล้วสวย
ลักษณะเขาบริเวณนี้เองที่เป็นที่มาของชื่อเขาหั่วหยาน โดยหั่ว (火) แปลว่า "ไฟ" และหยาน (炎) แปลว่า "เปลวไฟ"
เราอยู่ตรงนี้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ตัดสินใจจะไม่เดินต่อ เพราะระหว่างทางก็มีคนที่เดินย้อนกลับลงมาบอกว่าจุดนี้สวยสุดแล้ว ถึงไปต่อก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่านี้ให้ดู และก็ใช้เวลาไปเยอะแล้ว นี่ยังถือเป็นแค่ครึ่งทางเท่านั้นถ้าจะไปให้ถึงตรงยอด จึงจบการเที่ยวปีนเขาเพียงเท่านี้
ขากลับเดินลงข้างล่างใช้เวลาน้อยกว่าขาขึ้น คือประมาณชั่วโมงนึงพอดี
ระหว่างทางเดินกลับลงเจอต้นไม้ที่กำลังออกผลสีม่วงสดใสซึ่งก็ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรเหมือนกัน
ปีนเขาเสร็จก็นั่งรถเข้าแถวกลางชุมชนตำบลซานอี้ ที่จริงแถวนี้มี
พิพิธภัณฑ์รูปสลักไม้ซานอี้ (三義木雕博物館) เป็นสถานที่เที่ยวอีกแห่ง แต่ไม่ได้แวะ
ตรงนี้มี hi-life ขนาดใหญ่ซึ่งมีที่จอดรถ จึงแวะเข้าไปซื้ออะไรรองท้องกินเป็นมื้อเที่ยงกัน
การเที่ยวในวันนี้ยังไม่จบลงเท่านี้ เพราะลงจากเขาแล้วยังมีเวลาเหลือ จึงตัดสินใจไปเที่ยวสถานที่เที่ยวที่อยู่ใกล้ๆนั้นต่อ นั่นคือ
หอวัฒนธรรมฮากกาไต้หวัน (台灣客家文化館) ซึ่งจะขอแยกไปเล่าในตอนหน้า
https://phyblas.hinaboshi.com/20181022