# อาทิตย์ 16 ส.ค. 2020วันนี้ 16 ส.ค. 2020 ในขณะที่ในไทยมีจัดการชุมนุมต่อต้านเผด็จการที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ไต้หวันเองก็มีคนจัดกิจกรรมเล็กๆขึ้นมาที่สถานีไทเป เป็นการรวมตัวคนไทยที่อยู่ในไต้หวันมาที่มีจุดยืนต่อต้านเผด็จการ
นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญเป็นคนไต้หวัน ฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ สิงคโปร์ ซึ่งต่างก็เป็นคนที่เจอปัญหาจากการปกครองเผด็จการ ทุกคนมาพูดคุยกันในงานนี้
พอดีอยู่ไต้หวันด้วยจึงได้ถือโอกาสลองแวะไป แต่ก็แค่อยู่ดูสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้าไปร่วมในวงด้วย
กิจกรรมจัดขึ้นเวลา 17:00 ที่โถงใหญ่ของสถานีไทเป
เนื่องจากพักอยู่หอในเมืองซินจู๋ แต่กิจกรรมจัดที่ไทเป จึงต้องนั่งรถเมล์ไป ซึ่งก็ไม่ไกล ใช้เวลาชั่วโมงกว่า รถจากมหาวิทยาลัยชิงหัวไปถึงสถานีไทเปโดยตรง
ขณะที่มาถึงก็ประมาณก่อนเวลา ๒๐ นาที
บรรยากาศในห้องโถงที่จัดกิจกรรมก่อนเวลาจัดงาน เห็นคนเต็มไปหมดเลย แต่นั่นไม่ใช่แค่คนที่มาร่วมกิจกรรม แค่คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นหรือมานั่งเล่น หรือบ้างก็มาสังเกตการณ์
เมื่อถึงเวลาผู้จัดก็เริ่มพูดเป็นภาษาไทย และมีคนคอยแปลเป็นภาษาจีนให้ คนมาดูกันเยอะ แต่ก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าที่เป็นคนไทยมีมากแค่ไหน แต่น่าจะไม่ถึงร้อยคน ส่วนใหญ่ก็คือคนไต้หวันที่สนใจเรื่องในไทย หรือบางคนอาจแค่ผ่านมาแล้วเห็นว่าน่าสนใจเลยแวะดู
x
โถงที่จัดกิจกรรมนั้นกว้างใหญ่มาก แต่จุดที่จัดงานคือมุมเล็กๆซึ่งมีคำว่า "ยิ้ม" เป็นภาษาไทยอยู่นั่นเอง
คำว่า "ยิ้ม" นี้เพิ่งถูกทำขึ้นเมื่อกลางปีนี้เอง โดยมีเขียนคำว่า "ยิ้ม" ในภาษาต่างๆมากมาย
อย่างอันนี้ภาษาฝรั่งเศส le sourire
ภาษาจีน 微笑 "เวย์เซี่ยว" (wēi xiào) แต่คนที่ไต้หวันจะอ่านว่า "เหวย์เซี่ยว" (wéi xiào)
ภาษาญี่ปุ่น スマイル "สึมะอิรุ"
ภาษาเวียดนาม nụ cười "หนุเกื่อย"
ที่เหลือมีอีกเยอะหลายภาษา แต่บ้างก็เจอคนนั่งทับอยู่ ไม่ได้เห็นทั้งหมด
กิจกรรมโดยหลักๆก็คือมีผู้คนต่างๆมาพูด เนื้อหาส่วนใหญ่ก็พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในไทย อธิบายความเลวร้ายของเผด็จการ นอกจากนี้ก็มีคนฮ่องกงมาพูดถึงเรื่องชุมนุมที่ฮ่องกง มีคนไต้หวันมาพูดด้วย มีการพูดถึงพันธมิตรชานม (奶茶聯盟) ด้วย ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีคนสิงคโปร์และจีนแผ่นดินใหญ่มาพูดด้วย
ทั้งหมดพูดเป็นภาษาจีนกลาง แต่มีการแปลเป็นไทยทั้งหมด
ทางฝั่งผู้เข้าชมก็มีคนถือป้ายต่างๆมากมาย
มีทั้งภาษาจีน
แล้วก็ภาษาไทย
นอกจากนี้ก็มีเจ้าหน้าที่มาถือป้ายเตือนถึงเรื่องมาตรการป้องกัน COVID-19 ด้วย แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงเวลานี้ ซึ่งทุกคนก็ดูจะให้ความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัยกันดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร
กิจกรรมเริ่มตั้งแต่ 5 โมงเย็นตามเวลา กำหนดเดิมคือจะเลิก 6 โมง แต่ก็มีการล่าช้าไปตามระเบียบ สิ้นสุดจริงๆคือ 6 โมง 20
บรรยากาศหลังเลิกกิจกรรม
หลังจากเสร็จก็เดินออกมาหาอะไรกินแถวสถานี ขณะนั้นฟ้ายังไม่มืด
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จกลับมาที่สถานีอีกที ตอนนั้นก็เป็นเวลาทุ่มครึ่ง ฟ้ามืดไปแล้ว
ยังไงก็ต้องมาที่นี่เพื่อจะนั่งรถกลับซินจู๋อยู่แล้ว เลยลองแวะไปดูที่ห้องโถงที่จัดกิจกรรมอีกทีก่อนไป ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว
โดยรวมแล้วก็ประมาณนี้ ต่อไปเป็นความเห็นส่วนตัว.......
กิจกรรมนี้จริงๆก็เป็นแค่งานเล็กๆ คงเทียบกับที่จัดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไม่ได้ ไม่คิดว่าจะมีผลอะไรมากนัก
อย่างไรก็ตาม ก็เหมือนเป็นพื้นที่สำหรับให้คนไทยรวมทั้งคนไต้หวันที่สนใจปัญหาการเมืองในไทยได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น อีกทั้งได้เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในไทยให้คนไต้หวันหรือคนอื่นที่ผ่านมาดูได้รับรู้ไปด้วย
ในตอนแรกก็มีความกังวลว่างานนี้จะมีการพาดพิงถึงสถาบันหรือเปล่า จะมีการพูดถึงหมายเลขสิบหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีการพูดอะไรแบบนั้น (แม้ว่าแผ่นป้ายของคนที่มาร่วมบางส่วนจะมีพาดพิงบ้าง) ซึ่งก็ดีแล้ว หลักๆคือมาเพื่อพูดถึงเรื่องต่อต้านรัฐบาลเผด็จการเท่านั้นเอง
แม้ว่าเราจะรู้กันว่าตัวหมายเลขสิบนั้นมีปัญหาอะไรแค่ไหนก็ตาม ซึ่งคงไม่อาจปฏิเสธได้ แต่โดยส่วนตัวก็ไม่ได้คิดว่าการพยายามพูดถึงเรื่องละเอียดอ่อนจะเป็นเรื่องดีนัก ยิ่งอาจจะทำให้สถานะของการประท้วงดูลำบากขึ้นก็เป็นได้ เพราะยังไงเป้าหมายจริงๆที่ต้องการก็คือ
เพื่อให้อนาคตของประเทศไปในทางที่ดีขึ้น ตรงนี้ก็ไม่ควรจะลืม
และถ้าไปพูดถึงเรื่องสถาบันแล้ว คนไต้หวันหรือคนฮ่องกงที่มาร่วมงานนี้ด้วยก็ย่อมไม่มีอารมณ์ร่วมอะไร เพราะปัญหาที่เขาเจออยู่นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับส่วนนี้ ดังนั้นประเด็นหลักของวันนี้ก็คือแค่เรื่องการเมือง เรื่องรัฐบาลที่ใช้อำนาจในทางไม่ชอบหรือข่มเหงคุกคามประชาชน
และที่สำคัญคือได้มาเห็นผู้คนมากมายที่แสดงความเป็นห่วงอนาคตของชาติ ก็เป็นบรรยากาศที่ไม่เลวนัก
อยากขอทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่มีใครที่จะคิดเหมือนกันไปหมดทุกเรื่อง ทุกคนอาจคิดเหมือนกันในบางเรื่อง แต่บางเรื่องอาจจะเป็นศัตรูกันทางความคิดก็ได้
ดังนั้นก็คงไม่ควรจะหวังว่าจะให้คนอื่นคิดเหมือนหรือทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการไปซะหมดจนถ้าไม่ทำตามก็จะถูกหาว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามแล้ว
หรือบางคนแค่นิ่งเฉยไม่ได้ช่วยก็ถูกหาว่าไม่ใส่ใจ เฉยเมย แบบนั้นยิ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
แต่ละคนมีวิธีคิดเป็นของตัวเอง มีเป้าหมายของตัวเองอยู่ มีสิ่งที่ให้ความสำคัญต่างกันออกไป นั่นเป็นเรื่องปกติ หรือบางทีวิธีอาจมีการต่างกันไปแต่อาจมีเป้าหมายเดียวกันก็เป็นได้
ปัญหาคือจะทำอย่างไรจึงจะตกลงกันได้ เพื่อให้สามารถก้าวไปด้วยกันได้
ใช้เหตุผลคุยกัน ดีกว่าใช้อารมณ์เข้าห้ำหั่นกัน พยายามเข้าใจคนอื่นให้มากขึ้น มีสติเวลาคุยกัน
สุดท้ายนี้ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ก็หวังว่าประเทศไทยจะมุ่งไปในทิศทางที่ดี
微笑~微笑~にっこり~