# เสาร์ 4 พ.ย. 2023เมืองเซนไดนั้นเป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ยุคเอโดะ (ปี 1603-1868) แล้ว โดยผู้ปกครองคือตระกูล
ดาเตะ (
伊達) ซึ่งนำโดยผู้นำคนสำคัญคือ
ดาเตะ มาซามุเนะ (
伊達 政宗)
ศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่
ปราสาทเซนได (
仙台城) หรือเรียกอีกชือว่า
ปราสาทอาโอบะ (
青葉城) โดยถูกสร้างในปี 1601 แต่ว่าน่าเสียดายที่ถูกรื้อทิ้งในปี 1871 ช่วงยุคเมย์จิเนื่องจากการเลิกลมระบบศักดินา ทำให้ปัจจุบันเหลือแต่เพียงซาก
ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเซนไดที่ถ้าใครมาเที่ยวก็มักจะแวะมาชม ในบริเวณนอกจากมีซากปราสาทส่วนที่เหลืออยู่แล้วก็ยังมีศาลเจ้าแล้วก็รูปปั้นขี่ม้าของดาเตะ มาซามุเนะ
สถานที่ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง จึงเดินทางมาได้โดยง่าย และจากที่ที่เราพักอยู่ก็สามารถเดินมาเที่ยวที่นี่ได้โดยไม่จำเป็นต้องนั่งรถไฟใต้ดินหรือรถเมล์เลย แต่ว่าก็ยังไม่มีโอกาสได้แวะมาเที่ยวที่นี่สักที
จนในที่สุดครั้งนี้ก็มีโอกาสแวะไปเที่ยวมาจนได้ โดยที่จริงก็เพราะว่าได้แวะไปเที่ยว
สะพานยางิยามะ (
八木山橋) ดังที่เล่าไปใน
https://phyblas.hinaboshi.com/20231105เมื่อข้ามสะพานมาก็ถึงทางเข้าฝั่งใต้ของตัวปราสาทแล้ว ก็เลยถือโอกาสแวะมาเที่ยวด้วยเลย ฤดูกาลก็เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสวยด้วย
ประตูทางเข้าปราสาทจากฝั่งใต้ ส่วนใหญ่ที่มาเข้าทางนี้จะเป็นรถ
เข้ามาถึงก่อนอื่นก็จะเจอส่วนที่เป็นร้านอาหารและร้านขายของฝาก
เดินถัดเข้ามาเป็นศาลเจ้าเล็กๆชื่อ
ศาลเจ้าโกโกกุจังหวัดมิยางิ (
宮城縣護國神社) เป็นศาลเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคเมย์จิ ภายในบริเวณปราสาทเซนได
เดินผ่านศาลเจ้าเข้ามา
แล้วก็มาถึงบริเวณซากปราสาท บริเวณนี้เป็นส่วนที่เดิมเป็น
ฮมมารุ (
本丸) คือตัวอาคารหลัก ปัจจุบันเหลือแค่ฐานหินให้มาเดินชมเล่น ไม่ได้มีการสร้างตัวปราสาทจำลองขึ้นมาใหม่แทน
แผนที่บริเวณปราสาทในสมัยนั้น
ข้างๆนั้นเป็นที่ตั้งของรูปปั้นดาเตะ เมาซามุเนะขี่ม้า ซึ่งถือเป็นจุดเด่นสำคัญของที่นี่
ส่วนข้างๆนั้นเป็นอนุสาวรีย์
โชวจูฮิ (
昭忠碑) ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1902 เพื่อบูชาวีรบุรุษที่เสียสละชีวิตในสงคราม
จากตรงนี้มองไปเห็นทิวทัศน์เมืองเซนไดได้สวยงาม
ส่วนข้างๆซากฮมมารุยังมีอาคารพิพิธภัณฑ์เล็กๆชื่อว่า
เคมบุงกัง (
見聞館)
ภายในจัดแสดงเกี่ยวกับปราสาทเซนได
หลังจากชมภายในบริเวณส่วนหลักของปราสาทเสร็จก็เดินลงออกมาทางด้านเหนือ
ระหว่างเดินลงไปตามทางลาดก็ชมส่วนฐานหินของปราสาท
จากตรงนี้มีทางแยกไปยัง
พิพิธภัณฑ์เมืองเซนได (
仙台市博物館) ซึ่งก็เป็นสถานที่เที่ยวอีกแห่งที่ถ้ามาเที่ยวปราสาทเซนไดก็น่าแวะมาชมด้วย ที่นี่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เดิมเป็นส่วน
ซังโนะมารุ (
三の
丸) ของปราสาทเซนได
แต่น่าเสียดายที่ช่วงที่มานั้นพิพิธภัณฑ์นี้ปิดปรับปรุงอยู่ กว่าจะเปิดอีกทีก็ปีหน้าเลย ดังนั้นจึงได้แค่มาชมบริเวณรอบๆ
ตรงนี้เป็นแผ่นป้ายที่ระลึกของ
ฮาเซกุระ ทสึเนนางะ (
支倉 常長, ปี 1571-1622) เป็นซามุไรคนสำคัญของเซนได ซึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธ์และเป็นที่รู้จักมากมาย
ใกล้ๆกันนั้นมีอนุสาวรีย์ของ
หลู่ซวิ่น (
魯迅, ปี 1881-1936) นักเขียนชื่อดังชาวจีน เขาได้มาเรียนแพทย์ที่เซนไดในช่วงปี 1904 แต่ก็ตัดสินใจเลิกเรียนเพราะพบว่าตัวเองต้องการเป็นนักเขียน จึงได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิต ดังนั้นเซนไดจึงเป็นสถานที่สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของเขา จึงได้มีการสร้างอนุสรณ์ที่ระลึกให้เข้าไว้ที่นี่
ป้ายอธิบายเกี่ยวกับที่นี่และหลู่ซวิ่น
ข้างๆยังมีรูปปั้นของหลู่ซวิ่น
ด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าไปได้
จากนั้นก็เดินลงออกมาทางตะวันออก
คลองทางตะวันออกของซังโนะมารุ
เดินถัดมาเป็น
ศูนย์นานาชาติเซนได (
仙台国際センター) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้าที่สำคัญที่เป็นสถานีหลักที่คนที่จะมาเที่ยวปราสาทเซนไดมักจะต้องมาแวะลง นั่นคือ
สถานีศูนย์นานาชาติ (
国際センター
駅)
การเที่ยวในวันนี้ก็จบลงเท่านี้ ได้เวลาเดินทางกลับ โดยจากตรงนี้ก็เดินต่อไปทางตะวันออก
ข้ามสะพาน
โอฮาชิ (
大橋) ข้าม
แม่น้ำฮิโรเสะ (
広瀬川)
ทิวทัศน์จากบนสะพาน
เมื่อข้ามมาแล้วถ้าเดินต่อไปจากตรงนี้ก็จะไปถึง
สถานีโอมาจินิชิโควเอง (
大町西公園駅) ซึ่งก็เป็นอีกสถานีที่อาจแวะมาลงได้เพื่อมาเที่ยวปราสาทเซนได
จากตรงนี้เราเดินเลี้ยวขวาลงไปทางใต้ เพราะมีร้านอาหารที่เคยแวะมากินอยู่ ตอนนี้เป็นเวลามื้อเที่ยง ตั้งใจจะแวะกินก่อนกลับ
ร้านนั้นชื่อร้าน
คัตสึดงโนะคัตสึดงยะ (かつどんのかつどん
家)
เมนู
สั่งอาหารชุดคัตสึดง (かつどん
定食) ราคา ๗๘๐ เยน
หลังจากกินเสร็จระหว่างทางยังเดินผ่าน
เซนไดไดจิงงู (
仙臺大神宮) ซึ่งก็เป็นแค่ศาลเจ้าเล็กๆที่ไม่ได้มีอะไรมาก ไม่ได้ใหญ่เหมือนอย่างชื่อ
หลังจากนั้นจึงเดินทางกลับที่พัก เป็นอันสิ้นสุดการเที่ยวในวันนี้