# อังคาร 17 เม.ษ. 2018หลังจากที่เที่ยวในสี่โจวเสร็จ
https://phyblas.hinaboshi.com/20180524ก็เดินทางกลับมายังตัวเมืองต้าหลี่ แต่คราวนี้แวะลงที่ย่านเมืองเก่า ไม่ได้กลับไปถึงที่ท่ารถในย่านเมืองใหม่
เมืองเก่าต้าหลี่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน โดยเริ่มถูกสร้างตั้งแต่สมัยอาณาจักรน่านเจ้า (南诏, ปี 738-902) หรือตรงกับช่วงยุคราชวงศ์ถังของจีนโดยเริ่มแรกชื่อหยางจวีเมียเฉิง (羊苴咩城 หรือ 阳苴咩城)
ต่อมาพออาณาจักรต้าหลี่ก่อตั้งขึ้นก็ใช้ที่นี่เป็นเมืองหลวงต่อด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างตัวเมืองดังที่เห็นเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันนั้นถูกสร้างใหม่ในปี 1382 ต้นยุคราชวงศ์หมิง หลังจากที่กองทัพทหารราชวงศ์หมิงที่นำโดยมู่อิง (沐英) ตียึดต้าหลี่ได้สำเร็จ เมืองถูกสร้างใหม่ทับของเก่าแล้วร่องรอยของตัวเมืองเก่าก็ค่อยๆเลือนหายไป
เมืองที่สร้างใหม่มีการสร้างกำแพงเมืองล้อมในลักษณะเดียวกันกับเมืองทั่วไปในจีน ดังนั้นเมืองเก่าต้าหลี่แทบไม่ต่างจากเมืองเก่าที่พบได้ทั่วไปในจีน แม้ว่าประชากรจะเป็นชนเผ่าไป๋ก็ตาม
ตัวเมืองเก่าตั้งอยู่ระหว่างภูเขาและทะเลสาบ โดยภูเขาชางซาน (苍山) อยู่ทางตะวันตก และทะเลสาบเอ๋อร์อยู่ทางตะวันออก (洱海) พื้นไม่ได้เป็นแนวราบ โดยทางตะวันตกจะสูงกว่าตะวันออก เป็นพื้นลาดลงไปเรื่อยๆ
กำแพงเมืองล้อมตัวเมืองเป็นสี่เหลี่ยม แต่ปัจจุบันกำแพงเหลืออยู่ไม่ครบสมบูรณ์ ป้อมประตูตั้งอยู่ ๔ ทิศ ทิศละอัน
- ตะวันออก ชื่อเอ๋อร์ไห่เหมิน (洱海门) หันไปทางทะเลสาบเอ๋อร์ไห่
- ตะวันตก ชื่อชางซานเหมิน (苍山门) หันไปทางเขาชางซาน
- ใต้ ชื่อซวางเฮ่อเหมิน (双鹤门) แปลว่า "กระเรียนคู่"
- เหนือ ชื่อซานถ่าเหมิน (三塔门) แปลว่ส "สามเจดีย์" หันไปทางสามเจดีย์วัดฉงเซิ่ง
ประตูเหนือกับใต้อยู่ในแนวถนนเส้นเดียวกัน ส่วนตะวันตกกับตะวันออกนั้นไม่ตรงกัน โดยประตูตะวันออกตั้งค่อนไปทางใต้
รถมาส่งลงที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของย่านเมืองเก่า
จากนั้นเราก็เดินเลียบคูเมืองทางตอนเหนือ สภาพคูเมืองตื้นเขิน และบริเวณส่วนใหญ่ไม่มีกำแพงล้อม
เดินมาจนถึงประตูเหนือซึ่งเมื่อวานรถเมล์มาส่ง แต่นี่ไม่ใช่ประตูเหนือหลัก ประตูหลักต้องเดินต่อไปทางตะวันตกอีก
แต่ก่อนอื่นเห็นมีร้านอาหารเลยแวะก่อน เพราะยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงเลย
สั่งเกี๊ยวทอด ๑๘ เกี๋ยวน้ำ ๑๕ แล้วก็หมี่ผัด ๑๕ รวมแล้ว ๔๘ หยวน
ระหว่างที่นั่งกินอยู่โต๊ะข้างๆมีการทะเลาะกันเกิดขึ้นด้วย ตอนแรกฟังไม่ออกว่าทะเลาะเพราะพวกเขาคุยกันด้วยสำเนียงท้องถิ่น ฟังเข้าใจยาก แต่สักพักเริ่มทำท่าจะต่อยกันแล้วมีคนมาห้าม เราได้ยินป้าเจ้าของร้านบ่นพึมพำว่าหนวกหูจัง
กินเสร็จก็เดินเข้าไปแล้วทะลุผ่านโรงพยาบาลที่อยู่ด้านในขอบกำแพงฝั่งเหนือของเมืองเก่า
แล้วทะลุออกประตูเหนือซึ่งเป็นคนละประตูกับที่เราเข้ามา แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ประตูเหนือหลักบทถนนสายหลักที่ต้องการเดิน
เดินออกมาแล้วเดินเลียบกำแพงทางเหนือไปต่อ
แล้วในที่สุดก็มาถึงประตูเหนือประตูหลัก ชื่อว่าซานถ่าเหมิน (三塔门) ถูกสร้างขึ้นในปี 1382 เดิมมีชื่อว่าอานหย่วนโหลว (安远楼)
ตรงนี้มีเรื่องฮาๆที่อยากเล่า คือว่าป้ายบอกทางเป็นภาษาญี่ปุ่นตรงนี้เป็นซับนรกอีกแล้ว อย่างป้ายตรงนี้บอกชื่อถนนจงเหอ (中和路) แต่คำว่าจงเหอ (中和) นั้นยังแปลว่า "ทำให้เป็นกลาง" ได้ด้วย และคำนี้ยังใช้ในภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ในภาษาญี่ปุ่นกลับแปลเป็น 道を中和する ซึ่งแปลว่า "ทำให้ถนนเป็นกลาง" แทนที่จะแปล 中和 เป็นชื่อถนนตามที่ควรจะเป็น ที่ถูกต้องควรเป็น 中和通り แบบนี้คนญี่ปุ่นมาเห็นคงจะฮากันอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ก็ซับนรกอีกอัน ภาษาจีน 游遍天下山川只留脚印一串 แปลว่า "เที่ยวรอบภูเขาแม่น้ำทั่วหล้าให้หลงเหลือไว้เพียงรอยเท้าสักแนวนึง" เป็นนโยบายการท่องเที่ยวที่ว่าไปเที่ยวที่ไหนอย่าทิ้งขยะไว้ ให้ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าก็พอ
แต่ในภาษาญี่ปุ่นเขียน 天下の風景は全て立ち止まったことある、ただ足跡を残すため "ทิวทัศน์ทั่วหล้าเคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ แค่เพื่อจะหลงเหลือรอยเท้า" ซึ่งดูแล้วอ่านไม่ได้ศัพท์เลย
ตัวป้อมด้านบนขึ้นมาชมได้
ซึ่งเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่ดี จากตรงนี้ลองมองไปเห็นเส้นทางด้านในย่านเมืองเก่าที่กำลังจะมุ่งหน้าไปต่อ
และในจังหวะที่อยู่ตรงนั้น พอดีมีเฮลิคอปเตอร์บินผ่านเหนือย่านเมืองเก่า จึงถ่ายภาพเก็บไว้ได้พอดี
จากนั้นก็ลงมาแล้วเดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ
มีโรงหนังอยู่ในนี้ด้วย
เราเลี้ยวขวาแล้วตรงมาเรื่อยๆจนถึงประตูตะวันตก
แล้วก็เดินออกมา ฝั่งตรงข้ามเป็นถนนชื่อ ซานเยวี่ยเจีย (三月街) เป็นถนนเก่าแก่นอกย่านในเมืองเก่า เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรน่านเจ้า
เป้าหมายที่มาตรงนี้คือจะมาชม
แผ่นป้ายหยวนซื่อจู่พิชิตยูนนาน (元世祖平云南碑, หยวนซื่อจู่พิงหยวินหนานไผ) ซึ่งเป็นป้ายหินที่ตั้งขึ้นในปี 1304 มีการสลักข้อความบันทึกเหตุการณ์ตอนที่กุบไลข่านยกกองทัพมองโกลบุกมาถึงที่นี่เพื่อตียึดอาณาจักรต้าหลี่ ดังนั้นจึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
เนื่องจากพื้นไม่ได้ราบแต่ยิ่งไปทางตะวันตกก็ยิ่งสูงขึ้นไป ทำให้การเดินไปทางตะวันตกนี้เหนื่อยมาก
แต่พอไปถึงกลับพบว่าเขาปิดปรับปรุงสถานที่อยู่ ไม่สามารถเข้าไปดูด้านในได้ ทำเอาผิดหวังพอสมควร
แผ่นป้ายศิลาจารึกอยู่ในศาลาที่โดนล้อมอยู่นี้
แต่เราก็พยายามหาทางลัดเลาะเพื่อจะมองให้เห็นให้ได้ แล้วก็ได้เห็นจริงๆ แต่แค่ส่วนบนนิดหน่อย
แผ่นหินที่สลักชื่อถนน 三月街 โดยอักษรตรงกลางอักษร 月 พระจันทร์ ใช้เป็นรูปจันทร์เสี้ยว ☽ แทน
จากนั้นก็เดินย้อนกลับมายังย่านเมืองเก่า แล้วก็เดินลงใต้ไปตามถนนหลักสายกลางต่อ
ระหว่างทางผ่านธนาคารจีน (中国银行) เลยแวะทำธุระอะไรตรงนี้นิดหน่อยด้วย พอดีมีปัญหาเรื่องบัญชีธนาคาร
แล้วก็เดินมาถึงวัดขงจื๊อ (文庙, เหวินเมี่ยว) ของเมืองนี้
เข้ามาเดินข้างในได้ สวยมากทีเดียว แต่ค่อนข้างเย็นมากแล้วจึงไม่ได้เดินละเอียด
แล้วด้านในมีพิพิธภัณฑ์อยู่ แต่ว่าพอจะเข้าชมก็พบว่ามันจะได้เวลาปิดแล้ว
เดินลงไปทางใต้ต่อ
ถึงหออู่หัวโหลว (五华楼) หอนี้สมัยโบราณใช้เป็นที่รับแขก แต่ว่าของเดิมพังไปแล้วและมีการสร้างใหม่ซ้ำหลายครั้ง ครั้งล่าสุดถูกทำลายตอนยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ที่เห็นอยู่นี่สร้างใหม่แทนเมื่อปี 1998
พอเข้ามาด้านในนี้มีร้านขายของอยู่
ขึ้นไปด้านบนได้
ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่ดี เนื่องจากอยู่กลางย่านเมืองเก่าจึงเห็นเมืองเก่าได้รอบทิศ
มองไปทางเหนือ เห็นประตูเหนืออยู่ไกลๆ
ทางซ้ายเห็นสามหอคอยวัดฉงเซิ่งด้วย
มองไปทางตะวันออก เห็นทะเลสาบเอ๋อร์ไห่
มองไปทางตะวันตก เห็นภูเขาชางซาน
และมองไปทางใต้ เห็นประตูใต้ ซึ่งเป็นทิศทางที่เรากำลังจะมุ่งหน้าไปต่อ
เดินลงมา แล้วก็มุ่งหน้าไปต่อ
แล้วก็มาถึงประตูใต้
เท่ากับว่าเราได้ผ่านทั้งหมด ๓ ประตูจาก ๔ ประตู ขาดแค่ประตูตะวันออกเท่านั้นที่ไปถึงไม่ไหวเพราะค่อนข้างไกล
หลังออกจากประตูใต้ก็เดินต่อมาทางทิศตะวันตกเพื่อไปยังจุดที่ขึ้นรถเมล์ได้
ป้ายรถเมล์นี้มี ๒ สายที่ผ่าน ที่เราจะขึ้นคือสายที่วังฉงเซิ่ง (ไม่มีหมายเลข) ซึ่งออกมาจากวัดฉงเซิ่งและมีปลายทางที่สถานีรถไฟ สายเดียวกับที่นั่งกลับจากวัดฉงเซิ่งเมื่อวาน
รอสักพักถถเมล์ก็มา เรานั่งรถเมล์กลับย่านเมืองใหม่เพื่อที่จะออกเดินทางนั่งรถไฟกลับไปยังคุนหมิง
ตอนต่อไปจะเขียนถึงการนั่งรถไฟตู้นอนจากต้าหลี่ไปคุนหมิง
https://phyblas.hinaboshi.com/20180528