φυβλαςのβλογ
บล็อกของ phyblas



ไปทำงาน (+เที่ยว) เชียงใหม่ 4-10 พ.ย. 2015
เขียนเมื่อ 2015/11/21 23:50
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42
ที่เชียงใหม่ในวันที่ 6 พ.ย. 2015 ได้มีการจัดงาน "เล่าขานตำนานดาว 3 ดินแดน ไทย-จีน-เกาหลี" โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ NARIT สถานที่จัดคือศูนย์ธรรมชาติวิทยามหาวิทยาลัยเชียงใหม่

งานนี้เป็นการเล่าเรื่องนิทานดาวของไทยจีนเกาหลี โดยวิทยากรผู้ที่บรรยายของฝ่ายไทยคือคุณวิษณุ เอื้อชูเกียรติ ส่วนฝ่ายจีนคือคุณปิง หลี่ (ถ้าเรียกแบบจีนจะเอานามสกุลขึ้นก่อนเป็นหลี่ปิง (李冰)) จากท้องฟ้าจำลองปักกิ่ง และฝ่ายเกาหลี ส่วนฝ่ายเกาหลีคือคุณโฮจิน ยัง (ยัง โฮจิน (양호진, เขียนเป็นอักษรจีน (ฮันจา) เป็น 梁洪鎭)) จากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์เกาหลี (KASI) นอกจากนี้ก็มีอีกสองคนติดตามมาด้วย โดยที่คนหนึ่งเป็นนักศึกษา

แต่ทางเกาหลีนั้นเขามีผู้ติดตามมาด้วยอีกสองคนนอกเหนือจากคนบรรยาย รวมแล้วก็เป็นสามคน

เสาหลักผู้รับผิดชอบงานนี้ก็คือ "หนุ่มแทจ็อน" ผู้ทำงานอยู่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์ เขาได้เชิญเราไปช่วยงานโดยให้ช่วยแปลเอกสารและช่วยต้อนรับอาจารย์คนจีน

งานหลักนี้จัดแค่วันที่ 6 แต่ว่าเราไปตลอดช่วงวันที่ 4-10 เพราะมีกิจกรรมอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง ต้องทำอย่างอื่นไปด้วย

ครั้งนี้นอกจากจะมาร่วมงานเกี่ยวกับดาราศาสตร์แล้ว ยังได้พาอาจารย์ชาวจีนและเกาหลีซึ่งมาเป็นวิทยากร พาเขาเที่ยวสถานที่ต่างๆในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเราก็ตามไปและได้เที่ยวด้วย หนุ่มแทจ็อนมีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆอย่างดีทำให้สามารถเที่ยวได้อย่างสนุก

ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านกับหนุ่มแทจ็อนมาแล้ว ๒ ครั้ง คือที่กัมพูชาเมื่อปีที่แล้ว https://phyblas.hinaboshi.com/20140804 และพม่าเมื่อไม่นานมานี้ https://phyblas.hinaboshi.com/20150823 ก็ได้เขาเป็นคนวางแผนและอธิบายรายละเอียดต่างๆโดยละเอียด

ครั้งนี้แผนการก็ถูกวางแผนไว้อย่างดีโดยหนุ่มแทจ็อน

แผนการแต่ละวันเป็นดังนี้
- วันที่ 4 ตอนเย็นไปรับวิทยากรชาวจีนและเกาหลี
- วันที่ 5 พาวิทยากรไปชมหอดูดาวแห่งชาติดอยอินทนนท์ และเที่ยวสถานที่อื่นๆในบริเวณ ตอนเย็นไปรับวิทยากรคนไทยที่สนามบิน
- วันที่ 6 ตอนเย็นจัดงานเล่าขานตำนานดาวที่อาคารศูนย์ธรรมชาติวิทยามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- วันที่ 7 พาวิทยากรไปเที่ยวสถานที่ต่างๆในเมืองเชียงใหม่และดอยสุเทพ
- วันที่ 8 ตอนเย็นมีกิจกรรมดูดาวที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์
- วันที่ 9 วิทยากรชาวจีนมาบรรยาวเกี่ยวกับท้องฟ้าจำลองกรุงปักกิ่ง

จะเห็นว่ามีอะไรที่ต้องทำทุกวันแต่ต่างเวลากันไป ส่วนที่นอกเหนือจากเวลางานที่เขียนไว้ในนี้ก็เป็นเวลาว่างซึ่งเราใช้เที่ยวบ้างหรือไปเยี่ยมเพื่อนบ้าง หรือบางทีก็นั่งพักอยู่ในโรงแรม

การเขียนครั้งนี้ออกแนวบันทึกประสบการณ์ว่าไปเจออะไรมาบ้างมากกว่าที่จะเขียนเพื่อให้ข้อมูลอะไร ดังนั้นคงไม่ได้พูดถึงรายละเอียดของอะไรต่างๆเท่าไหร่



พุธ 4 พ.ย. 2015

ครั้งนี้เราออกเดินทางสู่เชียงใหม่โดยเครื่องบิน โดยออกจากสนามบินดอนเมืองวันที่ 4 เวลา 9:05 และไปถึงเชียงใหม่เวลา 10:15

ส่วนขากลับวันที่ 10 พ.ย. เครื่องออกเวลา 7:45 และถึงดอนเมืองเวลา 8:50

โรงแรมที่เข้าพักก็คือโรงแรมสวนดอกแก้ว ตั้งอยู่ค่อนไปทางตะวันตกของเมือง อยู่ทางใต้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แถวๆคณะแพทย์ ใกลักับวัดสวนดอก

ตอนเช้าเดินทางไปดอนเมืองแล้วก็บินมาถึงเชียงใหม่ จากนั้นก็เรียกรถสองแถวเพื่อไปยังโรงแรม ได้ราคา ๕๐ บาท ถือว่าไม่แพงเพราะสนามบินใกล้ตัวเมืองอยู่แล้ว

เราเข้าพักในโรงแรม นั่งอยู่ในห้องทำอะไรไปเรื่อยๆจนถึงตอนเที่ยงก็ออกไปกินข้าว โรงแรมอยู่ในซอยลึกต้องเดินสักพักจึงจะถึงปากซอย

พอออกมาจากซอยก็โผล่ที่ถนนสุเทพซึ่งเป็นถนนหลักสายสำคัญซึ่งอยู่ทางใต้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เดินไปตามถนนมีร้านอาหารมากมาย



เราเดินไปกดเงินที่ธนาคารกรุงไทยซึ่งอยู่ถัดไปทางตะวันตกไกลในระดับนึง เสร็จแล้วก็แวะทานข้าวเที่ยงในร้านที่อยู่ริมถนน



ข้าวมื้อแรกในเชียงใหม่



หลังจากทานเสร็จก็เดินย้อนกลับมาแล้วถือโอกาสเที่ยววัดสวนดอก ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวที่อยู่ใกล้โรงแรมมาก



เป็นวัดขนาดเล็กๆที่สวยแห่งหนึ่ง





เสร็จแล้วก็เดินออกทางประตูใต้ซึ่งอยู่ภายในซอยใกล้กับโรงแรมมาก



แล้วก็กลับเข้าโรงแรมไปพักผ่อนแล้วตอนเย็นก็เดินทางไปหาหนุ่มแทจ็อนที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์ ที่นั่นตั้งอยู่ตรงจุดตัดระหว่างถนนนิมมานเหมินท์กับถนนหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ใกล้กับกาดรินคำและห้าง MAYA

จากนั้นก็แค่ทานมื้อเย็น



เสร็จแล้วก็รอจนถึงสี่ทุ่มจึงเดินทางไปยังสนามบินอีกรอบ คราวนี้ไปเพื่อรอต้อนรับวิทยากรชาวจีนและเกาหลี พวกเรานัดคนขับรถให้มารับตอนสี่ทุ่มแต่คนขับชักช้ากว่าจะมาก็สายไปพอสมควร ทำให้พอไปถึงสนามบินวิทยากรจีนก็มาถึงแล้ว เขาต้องรอเราสักพัก แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงก็ต้องรอวิทยากรคนเกาหลีซึ่งเที่ยวบินช้ากว่าหน่อย

หลังจากรับวิทยากรทั้งสองประเทศเสร็จก็ต้องพาพวกเขากลับโรงแรม ระหว่างทางรถแวะส่งเราที่โรงแรมสวนดอกแก้วเนื่องจากเป็นทางผ่านที่จะไปโรงแรมของพวกเขา

แล้ววันแรกก็จบลงไปอย่างรวดเร็ว ยังเพิ่งเริ่มต้นยังไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่อะไรๆจะเริ่มต้นจริงๆพรุ่งนี้



พฤหัส 5 พ.ย. 2015

หลังจากที่เมื่อวานมาถึงเชียงใหม่แล้วรับแขกจบแล้วกว่าจะได้นอนก็ดึกพอสมควร ตอนเช้าออกเดินทางนั่งรถสองแถวไปยังสถาบันวิจับดาราศาสตร์อีกครั้ง อากาศตอนเช้าเย็นสบายดี เป็นการเริ่มวันใหม่ที่ดี



แวะทานก๋วยเตี๋ยวแถวนั้นเป็นมื้อเช้า



จากนั้นเก้าโมงก็ขึ้นรถตู้เพื่อไปรับแขกคนจีนกับเกาหลีเพื่อพาเขาไปเที่ยวดอยอินทนนท์ จุดประสงค์หลักคือจะพาไปดูหอดูดาวแห่งชาติ แต่ก็พาไปที่อื่นด้วย

การเดินทางใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ระหว่างทางมีแวะเติมน้ำมัน แล้วอาจารย์คนจีนเขาก็แวะซื้อซิม แต่ติดปัญหานิดหน่อยก็เลยทำให้เสียเวลาเยอะ ไปๆมาๆกว่าจะมาถึงดอยอินทนนท์ก็เกือบเที่ยงแล้ว พวกเราแวะทานกันที่ครัวมิตรภาพซึ่งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์




หลังจากทานเสร็จก็ไปเที่ยวเจดีย์คู่ พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล-พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ




ความสูงตรงนี้อยู่สูงกว่าเมฆระดับล่างจึงสามารถสัมผัสเมฆได้อย่างใกล้ชิด ภาพแบบนี้ดูสวยงามแต่ก็มองรอบๆไม่ค่อยเห็นเลย



ที่นี่มีดอกอาจิไซอยู่เป็นจุดๆ เป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ชอบมาก



เนื่องจากดูเวลาแล้วท่าจะไม่พอก็เลยได้เดินเที่ยวไปแค่เจดีย์เดียวเท่านั้น จากนั้นก็รีบมุ่งไปยังจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์กันเลย มันเป็นสถานที่สำคัญที่ถ้าขึ้นดอยอินทนนท์มาแล้วก็ควรจะแวะไป


ที่ใกล้จุดสูงสุดนั้นเป็นที่ตั้งของสถานีตรวจวัดนิวตรอนสิรินทร



หลังจากขึ้นไปจุดสูงสุด



พวกวิทยากรเขาซื้อกาแฟทานตรงร้านแถวนั้น อุณหภูมิที่นั่นขณะนั้นอยู่ที่ ๑๕ องศา



เสร็จแล้วก็กลับย้อนลงมานิดหน่อยก็ถึงหอดูดาวแห่งชาติ ที่นี่ประกอบด้วยกล้องดูดาวขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง ๒.๔ เมตร ซึ่งใหญ่ที่สุดในไทย และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย



ก่อนหน้านี้เคยไปหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลงที่จีนมาแล้ว https://phyblas.hinaboshi.com/20130529

ที่นั่นเป็นฐานสังเกตการณ์ที่ประกอบด้วยหอดูดาวมากมายหลายแห่ง หากเทียบขนาดพื้นที่แล้วหอดูดาวแห่งชาติไทยซึ่งมีแค่หอเดียวดูจะเล็กกว่ามาก อย่างไรก็ตามกล้องกล้องขนาด ๒.๔ เมตรก็ถือว่าใหญ่มากกว่ากล้องอื่นๆทั้งหมดในซิงหลงยกเว้นกล้อง LAMOST ซึ่งใหญ่ที่สุดของที่นั่น

ที่นี่ตั้งอยู่ในระดับความสูง ๒๔๗๘.๕ เมตร ก็คืออยู่เกือบจะจุดยอดของดอยอินทนนท์ เป็นสถานที่ตั้งที่เหมาะแก่การสังเกตการณ์ ได้ยินว่าเดิมทีเขาอยากไปตั้งบนยอดดอยเลยแต่ว่าขอไม่สำเร็จก็เลยตั้งต่ำลงมาหน่อย

พวกเราเข้าไปด้านใน คนที่ทำงานที่นี่อธิบายเกี่ยวกับการทำงานของที่นี่ให้พวกแขกฟัง



นี่เป็นแบบจำลองย่อส่วนของที่นี่



แล้วเขาก็พาไปดูด้านใน



เข้าไปแล้วสามารถเห็นตัวกระจกของกล้องได้



ชมเสร็จก็ได้เวลาเดินทางกลับตัวเมือง เดินทางไปยังอาคารศูนย์ธรรมชาติวิทยาซึ่งเป็นสถานที่จัดงานวันพรุ่งนี้ เพื่อให้วิทยากรได้มาดูสถานที่และนัดแนะกันว่าจะพูดยังไง


เสร็จแล้วพวกวิทยากรก็ขอตัวไปเที่ยวตลาดกลางคืนกันเอง ส่วนพวกเราก็ไปเดินห้าง MAYA หาอะไรทานกันที่นั่น



แล้วก็เตรียมตัวรอไปรับคุณวิษณุที่สนามบิน พวกเราไปช้าเนื่องจากนัดคนขับรถไว้แล้วเขามาสายอีกแล้ว

ขากลับจากสนามบินรถแวะส่งเราที่โรงแรมสวนดอกแก้วอีกเหมือนเมื่อวาน



ศุกร์ 6 พ.ย. 2015

วันนี้ช่วงกลางวันเป็นเวลาว่างๆ เราใช้เวลาอยู่ในโรงแรมทำอะไรไปเรื่อยๆตลอด ตอนเที่ยงออกไปแถวหน้าปากซอยเจอร้านติ่มซำก็แวะทานเป็นมื้อเที่ยง



จากนั้นพอสี่โมงกว่าก็มาที่ศูนย์ธรรมชาติวิทยา พอถึงห้าโมงงานก็เริ่มขึ้น



คุณวิษณุเริ่มบรรยายก่อนเป็นลำดับแรก โดยพูดเป็นภาษาไทย เขาเล่าถึงความสำคัญของดาราศาสตร์ต่อวัฒนธรรม แล้วก็ยกตัวอย่างกลุ่มดาวพื้นบ้านและตำนานดาวของไทย รวมทั้งของอาณาจักรล้านนา



ต่อด้วยวิทยากรฝั่งเกาหลี เขาเล่าถึงดาราศาสตร์เกาหลีโบราณ เกาหลีเป็นประเทศที่มีโบราณสถานด้านดาราศาสตร์เยอะมากมายอย่างน่าเหลือเชื่อทีเดียว



พอเขาพูดเสร็จเราก็ออกไปด้านหน้าอาคาร ตอนนั้นฟ้ามืดไปแล้ว กิจกรรมดูดาวเริ่มขึ้นที่นั่น



จากนั้นสักพักก็ได้เวลาบรรยายของวิทยากรจีน เขามาพูดถึงนิทานพื้นบ้านจีนที่เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ พอเขาเริ่มการบรรยายขึ้นผู้คนที่ตอนแรกเดินกันขวักไขว่ในบริเวณนั้นก็เริ่มเงียบสงบลงและมองไปทางเขาแล้วตั้งใจฟัง



จบแล้วก็ยังมีการแนะนำกลุ่มดาวของเกาหลี ซึ่งพูดโดยนักศึกษาจากสถาบันวิจัยอวกาศเกาหลีซึ่งติดตามวิทยากรมาด้วย



ช่วงนี้เรามีโอกาสได้คุยกับวิทยากรชาวเกาหลีด้วย เขาสามารถพูดภาษาจีนได้เพราะศึกษาดาราศาสตร์โบราณ ซึ่งของเกาหลีมีความเกี่ยวพันกับจีนอยู่ไม่น้อย เราถามเขาว่าทำยังไงถึงสามารถศึกษาดาราศาสตร์ของเกาหลีเหนือได้ เขาก็บอกว่าได้แต่คาดเดาเท่านั้น เพราะคนเกาหลีใต้ไม่สามารถเข้าเกาหลีเหนือได้ และก็ไม่เคยมีการติดต่อกับนักวิจัยของเกาหลีเหนือด้วย

ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่แผ่นดินเกาหลีครึ่งหนึ่งกลายเป็นดินแดนต้องห้าม ไม่สามารถเข้าไปค้นคว้าวิจัยอะไรได้โดยสะดวก แต่ถึงอย่างนั้นแค่ในเกาหลีใต้ก็มีโบราณสถานน่าสนใจที่น่าไปชมอยู่มากมายแล้ว หากมีโอกาสได้ไปเที่ยวละก็ต้องแวะไปชมแน่นอน

หลังจบงานก็พาพวกวิทยากรไปส่งที่โรงแรม ส่วนเราก็ติดไปด้วยถึงโรงแรมของพวกเขาจากนั้นก็แยกไปนั่งรถสองแถวเพื่อกลับโรงแรมของตัวเอง



เสาร์ 7 พ.ย. 2015

วันนี้พาวิทยากรเที่ยว ที่หมายแรกคือดอยสุเทพ เราเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นปี 2010 ผ่านมา ๕ ปีแล้ว ได้กลับมาหวนระลึกความหลังอีกครั้ง



พอมาถึงที่นี่แล้ว เพลง "ลาภูพิงค์" ของสุนทราภรณ์ก็ดังแว่วขึ้นมาในหัว เพราะในเพลงมีการกล่าวถึงดอยสุเทพ



ภายในอาคารหลังหนึ่งในวัดดอยสุเทพมีแผนที่ดาวโบราณอยู่ด้วย



จากนั้นออกมาเดินรอบๆตัววัด



บริเวณนี้รูปปั้น "ตัวมอม" ซึ่งเขียนภาษาอังกฤษว่า MOM พอวิทยากรเห็นเข้าเขาก็ถามเลยว่านี่เป็นแม่ใครหรือ...



จุดสำคัญของการมาดอยสุเทพก็คือการมองเมืองเชียงใหม่จากมุมสูง



จากนั้นเราก็ลงเขากันมาแล้วก็มาเที่ยวต่อในตัวเมือง เริ่มจากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ที่แวะมาที่นี่เพราะว่าคนเกาหลีเขาบอกไว้ว่าอยากได้น้ำผึ้งไปเป็นของที่ระลึก



ตอนที่มาถึงก็ใกล้ๆเที่ยวแล้วก็เลยแวะทานอาหารที่ครัวศิลปาชีพ ซึ่งเป็นร้านที่ตั้งอยู่ในนี้ก่อน



พอทานเสร็จก็ไปเดินดูของ ที่นี่ขายพวกสินค้าจากฝีมือชาวบ้าน



เสร็จแล้วก็ไปเที่ยววัดเจ็ดยอด ที่นี่มีเจดีย์สวย






เสร็จแล้วก็มาที่ใจกลางเมือง บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ซึ่งแถวนั้นมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอยู่สามแห่ง พวกเราเริ่มเข้าชมจากหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ ซึ่งใหญ่ที่สุดในสามแห่ง




หนุ่มแทจ็อนอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในนี้อย่างละเอียด และแขกแต่ละคนก็ดูจะให้ความสนใจ เพราะแต่ละคนก็ศึกษาดาราศาสตร์โบราณคดี มีความเกี่ยวข้องกับสมบัติทางวัฒนธรรมพวกนี้อยู่แล้ว





ใช้เวลาในนั้นไปนานพอสมควร พอเดินดูเสร็จก็เข้าชมพิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนาต่อ




ชมเสร็จก็เกือบจะได้เวลาที่พิพิธภัณฑ์ปิดแล้วจึงไม่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งสุดท้ายคือหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ หลังจากนั้นเราก็ไปเที่ยววัดที่อยู่ใกล้ๆต่อ แถวนี้มีวัดอยู่มากมาย

เริ่มจากวัดพันเตา



ตามด้วยวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ซึ่งอยู่ข้างๆกัน ที่นี่เป็นวัดใหญ่ที่มีความสำคัญมากของเชียงใหม่ เจดีย์ใหญ่ที่นี่ถูกอาจารย์คนจีนมองว่าคล้ายกับพีรามิดของชนเผ่ามายา





นั่นเป็นสถานที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของการเที่ยวในวันนี้ หลังจากนั้นพวกเราก็ไปเดินห้าง MAYA เพราะแขกต้องการเดินซื้อของฝาก เสร็จแล้วก็ทานข้าวกันที่นั่น จากนั้นก็พาพวกเขาไปส่งที่โรงแรม



วิทยากรชาวเกาหลีเดินทางกลับในคืนนี้แล้ว ส่วนวิทยากรจีนยังอยู่ต่ออีกสองวัน หนุ่มแทจ็อนรอไปส่งวิทยากรเกาหลี ส่วนครั้งนี้เราไม่ได้ไปด้วยแต่เดินทางกลับโรงแรมตัวเอง



อาทิตย์ 8 พ.ย. 2015

วันนี้ช่วงกลางวันไม่มีอะไรเกี่ยวกับงานที่จะต้องไปทำ เราไปบ้านเพื่อนตั้งแต่เช้า จากนั้นพอถึงตอนเย็นก็ค่อยกลับมาที่อนุสาวรีย์สามกษัตริย์เพื่อมาดูบรรยากาศกิจกรรมงานดูดาวซึ่งวิทยากรชาวจีนก็เข้ามาร่วมด้วย แต่ว่าเขาแยกย้ายไปเดินเล่นรอบๆแล้ว ไม่ได้เจอกัน

ยามค่ำคืนที่นี่ก็สวยงามไปอีกแบบ



เดินดูบรรยากาศในงาน





ไปเดินถนนคนเดินซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ไปหาอะไรทานเป็นมื้อเย็น



ซื้อไทยากิทาน



แล้วก็ทาโกยากิ ร้านนี้อร่อยมาก



เดินเสร็จแล้วก็แวะไปวัดเชียงมั่นซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่เนื่องจากไปเวลากลางคืนเลยดูวังเวง ได้บรรยากาศแปลกๆไปอีกแบบ แต่ปัญหาคือหมาวัดนี้ดุ พอเข้าไปก็เจอเห่าใส่ ตกใจแทบแย่ ต้องตะโกนเรียกให้คนในวัดมาช่วย พระบอกว่าให้ระวังมากๆเพราะบางตัวมันกัดจริงๆ เราเลยไม่ได้เดินเข้าไปด้านในลึก สรุปแล้ววัดนี้ไม่ควรไปตอนกลางคืน



เดินเที่ยววัดเสร็จก็เรียกรถเพื่อกลับโรงแรมไปพักผ่อน



จันทร์ 9 พ.ย. 2015

วันนี้ช่วงเช้ายังไม่มีอะไรต้องทำก็นั่งอยู่ในห้องไป พอถึงตอนบ่ายก็ไปที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์เพื่อฟังวิทยากรคนจีนบรรยายเกี่ยวกับท้องฟ้าจำลองปักกิ่ง



หลังจากเสร็จแล้วก็ได้เวลาแยกย้ายกันไป เราบอกลาทั้งวิทยากรคนจีนและหนุ่มแทจ็อนที่นี่


เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะกลับแล้วแต่ตอนนี้เวลายังพอมีเหลืออยู่จึงกะไปเดินเที่ยวย่านใจกลางเมืองสักหน่อย โดยได้รับคำแนะนำจากหนุ่มแทจ็อนเรื่องสถานที่เที่ยว

เราจึงนั่งรถสองแถวเข้ามาใจกลางเมือง บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์อีกครั้ง เพื่อชมหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ ซึ่งวันก่อนไม่ได้ไปเพราะไม่มีเวลา แต่พอมาถึงก็พบว่า... มันปิด! เนื่องจากเป็นวันจันทร์



ดังนั้นก็เลยไม่ได้เข้าชม แต่ก็ไม่เป็นไร เที่ยววัดก็ได้ แถวนั้นมีวัดอยู่มากมายเลยทีเดียว เราเดินไปทางตะวันตกแล้วก็แวะทุกวันระหว่างทาง เริ่มจากวัดชัยพระเกียรติ



ต่อด้วยวัดวัดทุงยู



แล้วก็วัดศรีเกิด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน



จากนั้นเดินต่อไป ถึงวัดผาบ่อง



ข้างๆกันเป็นวัดปราสาท



ถัดมาเป็นวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ที่นี่เป็นวัดใหญ่แห่งหนึ่งของย่านนี้




ข้างๆวัดเป็นที่ทำการไปรษณีย์



เดินถัดมาก็เจอวัดหมื่นเงินกอง



ถัดมาอีกหน่อยไม่ไกลมีวัดเมธัง



เดินไปเดินมาก็มาถึงคูเมืองฝั่งตะวันตก เราเดินข้ามคูเพื่อออกไปจากเขตย่านเมืองเก่าในคูเมือง



ไหนๆก็เดินมาถึงนี่แล้วก็เลยตัดสินใจว่าเดินกลับโรงแรมซะเลย เพราะโรงแรมก็อยู่ซีกตะวันตกของเมืองอยู่แล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินสักพัก



เดินเลียบริมคูมาทางเหนือเรื่อยๆก็ถึงประตูเมืองทางตะวันตก ชื่อว่าประตูสวนดอก



จากตรงนี้เดินทางไปตะวันตกเรื่อยๆ ผ่านคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่



แล้วก็กลับมาถึงโรงแรมสวนดอกแก้ว



พักผ่อนในห้องสักพักแล้วก็เดินทางออกไปหาเพื่อนซึ่งทำงานเป็นหมออยู่ที่เชียงใหม่ เขาอยู่ที่โรงพยาบาลเทศบาลเชียงใหม่ อยู่ใกล้กับกาดหลวงหรือตลาดวิมลวโรรส

เราจึงเรียกรถสองแถวเดินทางไปกาดหลวง ระหว่างทางรถติดแถมรถก็แวะส่งผู้โดยสารคนอื่นที่จุดโน้นจุดนี้ทำให้ใช้เวลา จากตอนแรกกะว่าจะไปถึงเร็วกว่านัดนิดหน่อยเพื่อให้มีเวลาเดินตลาดก็กลายเป็นว่าไปถึงพอดีเวลา ไม่ได้เดินอะไร



กาดหลวงอยู่ใกล้กับแม่น้ำ นี่คือแม่น้ำปิง แม่น้ำสายสำคัญของเชียงใหม่ เห็นแม่น้ำนี้แล้วเพลง "สักขีแม่ปิง" ดังขึ้นมาในหัวเลย เราเคยนั่งรถผ่านที่นี่หลายครั้งแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเดินเลียบริมแม่น้ำชมทิวทัศน์แบบสบายๆ



ใกล้ๆกันยังมีศาลเจ้าจีนชื่อว่าศาลเจ้าปุงเถ่ากง ก็แวะไปดูนิดหน่อย หากรวมที่นี่เป็นวัดนึงแล้วละก็เท่ากับวันนี้เราเที่ยวชมทั้งหมด ๙ วัด แต่ไม่ได้มาไหว้อะไร มาเพื่อถ่ายรูปแล้วก็เดินจากไปทันที



แล้วก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลเทศบาลเชียงใหม่ที่เพื่อนทำงานอยู่



พอได้เจอกันแล้วเพื่อนพาไปทานติ่มซำที่ร้านใกล้ๆแถวนั้น

https://phyblas.hinaboshi.com/rup/thai/20151104/087.jpg

ทานเสร็จก็พาไปนั่งรถชมบรรยากาศรอบๆ ผ่านแถวตลาดกลางคืนแต่ไม่ได้แวะอะไร เสร็จแล้วเพื่อนก็ขับรถไปส่งถึงโรงแรม



อังคาร 10 พ.ย. 2015

ตื่นขึ้นมาแต่เช้า จากนั้นก็เดินทางขึ้นรถสองแถวไปสนามบินเพื่อบินกลับกรุงเทพฯ การเดินทางครั้งนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้


-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- บันทึก

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

สารบัญ

รวมคำแปลวลีเด็ดจากญี่ปุ่น
มอดูลต่างๆ
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
การเรียนรู้ของเครื่อง
-- โครงข่าย
     ประสาทเทียม
ภาษา javascript
ภาษา mongol
ภาษาศาสตร์
maya
ความน่าจะเป็น
บันทึกในญี่ปุ่น
บันทึกในจีน
-- บันทึกในปักกิ่ง
-- บันทึกในฮ่องกง
-- บันทึกในมาเก๊า
บันทึกในไต้หวัน
บันทึกในยุโรปเหนือ
บันทึกในประเทศอื่นๆ
qiita
บทความอื่นๆ

บทความแบ่งตามหมวด



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  ค้นหาบทความ

  บทความแนะนำ

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文