# เสาร์ 7 ม.ค. 2023
หลังจากที่ตอนที่แล้วได้ไปเดินเที่ยวตามรอยอนิเมะโมโมะคุริภายในเมืองมิโตะมาจนเดินไปถึงโรงเรียนมัธยมปลายมหาวิทยาลัยโทกิวะ
https://phyblas.hinaboshi.com/20230113เป้าหมายต่อไปที่เราจะแวะไปเที่ยวก็คือ
ปราสาทมิโตะ (水戸城) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสถานีมิโตะนั่นเอง
ปราสาทมิโตะเป็นปราสาทที่ครองโดยตระกูลมิโตะโทกุงาวะ (
水戸徳川) ซึ่งปกครอง
มิโตะฮัง (水戸藩) ที่กินพื้นที่บริเวณจังหวัดอิบารากิในปัจจุบัน
พื้นที่บริเวณปราสาทนั้นโดยหลักๆแล้วแบ่งเป็น ๓ ส่วนไล่จากทางตะวันออกสุดคือฮมมารุ (
本丸) ตามมาด้วยนิโนะมารุ (
二の
丸) ตรงกลาง และซังโนะมารุ (
三の
丸) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกสุด
ปัจจุบันส่วนประกอบต่างๆของตัวปราสาทได้ถูกทำลายไปเยอะแล้วจากสาเหตุต่างๆเช่นการทิ้งระเบิดในปี 1945 ปลายช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เหลืออยู่เพียงบางส่วน หรือบางส่วนก็ถูกสร้างจำลองขึ้นมาใหม่
ภายในบริเวณที่เคยเป็นตัวปราสาทมิโตะนั้นในปัจจุบันมีการสร้างสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่เข้าไป เช่นโรงเรียนหรือที่ทำการต่างๆ และมีการตัดถนนผ่านภายในบริเวณด้วย
ในการเข้าชมครั้งนี้เราเริ่มชมจากทางฝั่งตะวันตกสุด คือส่วนของซังโนะมารุ แล้วก็ไล่ไปทางตะวันออกเรื่อยๆ
เพียงแต่ว่าเวลาเหลือค่อนข้างจำกัด จึงดูแบบรีบๆ ข้ามไปหลายอย่าง ดังนั้นครั้งนี้จึงได้แต่เล่าแบบคร่าวๆเท่านั้น ไม่สามารถเก็บรายละเอียดอะไรได้มากนัก
ต่อจากตอนที่แล้ว เราได้นั่งรถเมล์จากป้ายซากาเอะมาจินิโจวเมะ (
栄町二丁目) เพื่อย้อนกลับมายังแถวๆใกล้สถานี
นั่งมาลงรถเมล์ที่ป้ายอิโจวซากะ (
銀杏坂)
จากนั้นก็เดินไปทางเหนืออีกหน่อย
ก็มาถึงบริเวณที่เป็นซังโนะมารุของปราสาทมิโตะ ที่นี่ยังเหลือซากร่องรอยของคูล้อมปราสาทซึ่งว่างเปล่าอยู่
ด้านในมี
หอสมุดจังหวัดอิบารากิ (茨城県立図書館) ตั้งอยู่
ข้างๆกันนั้นเป็นอาคารหนึ่งของ
ที่ว่าการจังหวัดอิบารากิ (茨城県庁) เรียกว่าอาคาร
ที่ว่าการซังโนะมารุ (三の丸庁舎) ข้างๆนั้นเป็นศาลเจ้าเล็กๆ ชื่อ
ศาลเจ้าคาชิมะ (鹿島神社) อาคารเก่าที่เห็นอยู่ทางขวานี้คือ
โควโดวกัง (弘道館) เป็นโรงเรียนสมัยเอโดะ สร้างขึ้นในปี 1841 ส่วนบริเวณรอบๆอาคารนี้ซึ่งเรากำลังเดินอยู่นั้นเรียกว่า
สวนสาธารณะโควโดวกัง (弘道館公園) ตรงนี้เป็นทางออกโควโดวกัง ไม่สามารถเข้าไปได้ หากจะเข้าชมต้องไปเข้าจากตรงทางเข้าซึ่งอยู่อีกด้าน และต้องจ่ายค่าเข้าชมด้วย
เดินมาเรื่อยๆจนถึงปากทางเข้าด้านตะวันออกของสวนสาธารณะโควโดวกัง
ส่วนทางเข้าอาคารโควโดวกังก็อยู่ตรงนี้เอง
จากตรงนี้จะเข้าไปได้ต้องจ่ายค่าเข้าชมก่อน ราคา ๔๐๐ เยน
แต่เนื่องจากเราไม่มีเวลาแล้วก็เลยไม่ได้เข้าไปชมด้านใน แต่เดินข้ามถนนไปยังส่วนของนิโนะมารุ ที่เห็นอยู่ข้างหน้านี้คือประตู
โอเตะมง (大手門) ทางเข้าฝั่งตะวันออกของนิโนะมารุ เพียงแต่ว่าที่เห็นอยู่นี้ไม่ใช่ของเก่าดั้งเดิม แต่เป็นของที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 2015 แทนของเดิมที่ถูกทำลายไปแล้ว
ส่วนสะพานหน้าประตูเรียกว่า
สะพานโอเตะ (大手橋) จากบนสะพานนี้มองไปเห็นถนนที่อยู่ด้านล่าง ที่นี่ตั้งอยู่สูงไม่น้อยเหมือนกัน
เดินเข้ามาด้านในนิโนะมารุ
ทางซ้ายนี้เป็นหอจัดแสดงนิโนะมารุ (
二の
丸展示館) เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆที่เปิดให้เข้าชมได้ ไม่เสียค่าเข้าชม
แต่ว่าเราไม่มีเวลาจึงเดินผ่านไปเลย
เดินผ่านมาจนถึงตรงทางแยกที่เป็นทางลาด เรียกว่าทางลาดเขาสึงิยามะ (
杉山坂)
ส่วนข้างๆทางลาดนั้นเป็นประตู
สึงิยามะมง (杉山門) เดินผ่านสึงิยามะมงต่อมาทางตะวันออก
ก็มาถึงทางเข้าไปยังส่วนฮมมารุซึ่งภายในนั้นมีประตู
ยากุอิมง (薬医門) เป็นสิ่งก่อสร้างสำคัญที่ถูกอนุรักษ์ไว้ตั้งแต่สมัยดั้งเดิมไม่ได้ถูกทำลายและสร้างจำลองใหม่ เพียงแต่ว่าตอนที่ไปนั้นเขามีจัดสอบที่บริเวณด้านใน เลยไม่เปิดให้เข้าชมได้ ก็ได้เลยได้แต่เดินผ่านไปโดยไม่ได้เข้าไปดูประตูยากุอิมง
แล้วก็เดินต่อมาเลี้ยวขวาไปทางใต้ ผ่านประตู
ซากุมาจิซากะชิตะมง (柵町坂下門) จนออกมาสู่ถนนใหญ่ที่เชื่อมไปสู่หน้าสถานีมิโตะ
เราเดินผ่านถนนนี้จนกลับมาถึงสถานีมิโตะในที่สุด
ตอนกลับมาที่สถานีแล้วมองกลับไปยังบริเวณปราสาทมิโตะจึงพบว่าจากตรงนี้ก็พอจะมองเห็นตัวอาคารปราสาทได้ส่วนหนึ่ง ที่เห็นอยู่นั้นเป็นส่วนของหอมุมตะวันตกเฉียงใต้ของนิโนะมารุ แต่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนประถม จึงไม่ได้เดินเข้าไปชมในนั้น
การเที่ยวชมปราสาทมิโตะแบบรีบๆก็จบลงเท่านี้แล้ว หลังจากนั้นเราก็กลับมาถึงสถานีเพื่อนั่งรถไฟเดินทางกลับเซนได
เรื่องเล่าการเดินทางด้วยรถไฟขากลับนั้นจะเขียนถึงในตอนต่อไป ซึ่งจะเป็นตอนสุดท้ายของบันทึกการเที่ยวในครั้งนี้
https://phyblas.hinaboshi.com/20230115