#31 ม.ค. 2012
ก่อนอื่นสวัสดีปีใหม่!
ขึ้นปีใหม่แล้วนะ ปีนี้จะได้กลับไทยแล้ว ปี 2012 เนี่ยใช้ชีวิตอยู่จีนตลอดโดยไม่ได้กลับเลย แต่ก็เป็นปีที่วิเศษมากทีเดียวได้ประสบการณ์อะไรมากมายน่าจดจำ
ปีใหม่นี้ที่ปักกิ่งมีการขยายรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่มเติม เป็นการขยายครั้งใหญ่ซึ่งสำคัญยิ่งนัก
สายที่ถูกเพิ่มขึ้นมาคือสาย 6 ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายที่วิ่งในแนวตะวันออกตก ผ่านใจกลางเมือง ดังนั้นจึงสำคัญมาก
นอกจากจะเปิดทำการสาย 6 แล้ว ยังขยายสายที่มีอยู่เดิมให้ยาวขึ้น นั่นคือสาย 8 สาย 9 สาย 10 โดยเฉพาะสาย 10 นั้นขยายเยอะมาก โดยลากผ่านบริเวณวงแหวนรอบเมือง นอกจากนี้การขยายของสาย 9 ก็ทำให้รถไฟฟ้าของปักกิ่งกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จากที่เดิมทีส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้นั้นแยกอยู่ต่างหาก
นี่คือภาพก่อนขยาย (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่)
และนี่คือภาพหลังจากที่ขยายแล้ว (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่) จะเห็นว่าต่างกันออกไปอย่างมาก ให้ความรู้สึกต่างออกไปจากเดิมเยอะเลยทีเดียว
รถไฟฟ้าสายใหม่และส่วนขยายต่อทั้งหมดนี้เปิดทำการวันที่ 30 ธ.ค. 2012 แต่เราได้มีโอกาสใช้จริงๆในวันถัดมา ก็ถือว่าไม่ช้าไป
สำหรับวันสิ้นปีนี้เราได้ไปเจอญาติซึ่งมาเที่ยวปักกิ่ง ในขณะที่เขาเที่ยวอยู่ที่วัดลามะยงเหอกง (雍和宫) หลังจากนั้นก็ถือโอกาสไปเที่ยวต่อโดยเลือกไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งรถไฟฟ้าสายใหม่ สาย 6 นี้ตัดผ่าน
สถานที่นั้นก็คือซอยหนานหลัวกู่ (南锣鼓巷, หนานหลัวกู่เซี่ยง) ซึ่งเป็นซอยเล็กๆยาวประมาณ ๘๐๐ เมตร ทอดตัวในแนวเหนือใต้ เป็นลักษณะย่านโบราณที่เก่าแก่อนุรักษ์มาตั้งแต่สมัยก่อน ตามทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายเรียงราย
ย่านนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน (元朝) แล้ว เป็นย่านที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในปักกิ่ง แต่ปัจจุบันแม้จะยังคงบ้านเป็นรูปแบบโบราณอย่างนั้นอยู่ แต่ภายในก็ได้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นร้านค้าแบบปัจจุบันเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว
นอกจากร้านค้าต่างๆแล้ว ก็ยังมีพวกฝับ บาร์ และโรงแรมที่พักอยู่ในบริเวณไม่น้อย
พูดถึงปักกิ่งแล้ว สถานที่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดก็คือการมาเดินในย่านโบราณที่เรียกว่าหูท่ง (胡同) ซึ่งซอยหนานหลัวกู่นี้ก็เป็นย่านโบราณแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียง แม้อาจจะไม่เป็นที่รุ้จักมากเท่าที่สือช่าไห่ (什刹海) หรือที่แถววัดลามะยงเหอกงก็ตาม
การเดินทางมาที่ซอยหนานหลัวกู่นี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนค่อนข้างลำบากเพราะว่าแม้จะอยู่กลางเมืองแต่กลับไม่มีรถไฟฟ้าเชื่อมถึง แต่ว่าตอนนี้ปัญหานั้นหมดไปแล้ว เมื่อรถไฟฟ้าสาย 6 เปิดใหม่ นั่นน่าจะทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาเที่ยวที่นี่กันมากขึ้น
ตำแหน่งของซอยหนานหลัวกู่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งนั่นคือสวนสาธารณะเป่ย์ไห่ (北海公园) ซึ่งเคยเล่าถึงไปใน https://phyblas.hinaboshi.com/20111203
ตอนนี้เป๋ย์ไห่เองก็มีรถไฟฟ้าผ่านแล้วเช่นกัน เป็นสถานีติดกัน จะไปก็สะดวกกว่าเดิม
ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาที่นี่ ก่อนหน้านี้เคยมาแล้ว เมื่อครั้งที่จัดงานอำลาจบการศึกษาที่บ้านเพื่อน เพราะเพื่อนเช่าห้องพักอยู่ที่นี่ มีเล่าเอาไว้ใน https://phyblas.hinaboshi.com/20120611
เพื่อที่จะไปขึ้นสาย 6 เรานั่งสาย 2 ไปต่อรถที่สถานีเฉาหยางเหมิน (朝阳门站) เป็นสถานีจุดเชื่อมต่อระหว่างสาย 2 กับสาย 6 จะเห็นว่าตอนนี้ภายในมีทางเชื่อมต่อสู่สาย 6 จากที่เมื่อก่อนไม่เคยมี
พอทะลุเข้ามายังบริเวณส่วนของทางขึ้นรถไฟฟ้าสาย 6 แล้วก็พบว่ามันดูใหม่มาก เพราะเพิ่งสร้าง
ภายในรถไฟฟ้าสาย 6 จากที่ดูเห็นว่าคนไม่ค่อยหนาแน่นเท่าไหร่เมื่อเทียบกับสาย 2 ที่นั่งมาตอนแรก คงเพราะว่าเพิ่งเปิด บางคนอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเปิดแล้ว คนก็เลยยังน้อย แต่อีกหน่อยสายนี้คนต้องเยอะแน่ เพราะเป็นสายสำคัญ
ถึงสถานีเป้าหมายนั่นคือสถานีหนานหลัวกู่เซี่ยง (南锣鼓巷站) แล้ว ตรงจุดนี้เราพบว่าบรรไดเลื่อนเขายังสร้างไม่เสร็จ ต้องเดินเอา
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสร้างเสร็จ
บรรยากาศในบริเวณสถานี
ออกมาข้างนอกด้านหน้าสถานี สถานีนี้ตั้งอยู่ปลายด้านใต้ของซอยหนานหลัวกู่
พอออกมาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าแถวนี้กำลังก่อสร้างอยู่ แต่ยังดีที่มันไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะบริเวณในซอยยังปกติอยู่
ต้องเดินผ่านบริเวณก่อสร้างนี้ไปจึงจะถึงบริเวณตัวสถานที่เที่ยว
แล้วก็มาถึงย่านโบราณซึ่งคนไม่โบราณเลย เวลาขณะนั้นประมาณ ๕ โมงเย็น ตะวันกำลังตกดินพอดี ฟ้าเริ่มจะมืดหน่อยๆแล้ว
ซอยนี้อย่างที่เห็น เป็นถนนสายเล็กๆที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย
ระหว่างตามทางก็มีพวกซอยย่อยแยกมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเทียบกับซอยหลัก จึงไม่ได้เข้าไปเลย
แม้ภายนอกจากเห็นเป็นบ้านแบบโบราณ แต่พอเข้าไปก็เห็นชัดว่าเป็นสมัยใหม่ทั้งนั้น
เนื้อเสียบไม้ อันนี้เป็นอาหารอาหรับ ขาย ๓ ไม้ ๑๐ หยวน เห็นคนซื้อไปกินกันมากมาย
เสร็จแล้วก็ทิ้งกันจนถังขยะล้น ไม่น่าดู
ร้านอาหารไทยก็มี แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านเป็นคนไทยหรือเปล่านะ
อันนี้เขาเขียนว่า "เทียนหอมไทยแท้" ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงหรือเปล่านะ ความเป็นไทยกลายเป็นจุดขายของที่นี่ไปแล้วหรือ?
ร้านนี้ขายทาโกยากิแบบโอซากะ ในภาษาจีนคำว่าทาโกยากิเรียกว่า จางหยวีเซา (章鱼烧) ส่วนโอซากะเขาจะเรียกว่าต้าปั่น (大阪) เราก็คิดว่าอีกไม่นานก็จะได้ไปเที่ยวโอซากะแล้วลองซื้อมาทานหน่อยก็ดี
ซื้อมาลองกิน ๓ ชิ้น ราคา ๑๕ หยวน ก็ตกลูกละ ๕ หยวน แพงไม่ใช่เล่น แต่ถ้ายิ่งซื้อจำนวนมากราคาต่อลูกก็จะยิ่งลดลง กินดูแล้วก็อร่อยดี แต่จะเหมือนของแท้หรือเปล่าต้องรอไปโอซากะแล้วชิมที่นั่นดูอีกที
ยิ่งเดินไปเรื่อยๆก็ยิ่งเข้าเวลาค่ำ ร้านค้าต่างๆก็พากันเปิดไฟ
ที่นี่มีผับด้วยนะ
แผงขายลองมีขายจิ๊กซอว์มีรูปโคนันกับวันพีซเต็มเลย
ร้านนี้เห็นป้ายติด มีขายพระเครื่องไทยด้วยนะ คำว่าฝัวไผ (佛牌) แปลว่าพระเครื่อง เพิ่งรู้ศัพท์คำนี้เหมือนกัน
หลังจากเดินไปกินไปถ่ายรูปไปเรื่อยๆสักพักเราก็มาโผล่สุดปลายฝั่งเหนือของซอย เป็นอันจบการเดินทางแต่เพียงเท่านี้ เวลาขณะนั้นคือ ๕ โมงครึ่ง ฟ้าใกล้จะมืดสนิทแล้ว แม้ซอยจะยาวเพียง ๘๐๐ เมตร แต่เดินช้าๆไปเรื่อยๆก็กินเวลาถึงครึ่งชั่วโมงทีเดียว
ก็เป็นสถานที่ที่น่าเดินอีกแห่งทีเดียว สัมผัสบรรยากาศโบราณ (แต่เพียงเปลือกนอก) ไปพร้อมๆกับเดินซื้อของ เดินกินอาหารตามทาง หากใครไปเที่ยวปักกิ่งหากเหลือเวลาก็แนะนำให้ลองแวะดูเช่นกัน
นอกจากที่นี่แล้วย่านโบราณที่น่าแนะนำก็มีอีกหลายแห่ง เช่น
ทะเลสาบซีไห่ https://phyblas.hinaboshi.com/20111126
ต้าจ้าหลาน https://phyblas.hinaboshi.com/20120410
สุดท้ายคืนนั้นเราก็นั่งอยู่ในห้องพักในหอคนเดียวจนถึงปีใหม่ รูมเมตเขาออกไปฉลองกับเพื่อนข้างนอกแต่เราไม่อยากออกเพราะมีอะไรยุ่งๆต้องทำมากมาย แต่ก็ได้สวัสดีปีใหม่กับเพื่อนๆในเฟสบุ๊กและที่อื่นๆ
สุดท้ายนี้สวัสดีปีใหม่ทุกคน
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ