# ศุกร์ 1 ก.ย. 2023
ต่อจากตอนที่แล้วที่มาถึงเมืองโทมาโกไมและเริ่มเช่ารถออกเดินทาง
https://phyblas.hinaboshi.com/20230905ในตอนนี้จะเริ่มเป็นการไปเที่ยวตามสถานที่เที่ยว โดยเริ่มจากสถานที่ที่มีชื่อว่า
อูโปโปย (upopoy) ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวที่เกี่ยวข้องกับชาวไอนุ ชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือของเกาะฮกไกโด
ชื่ออูโปโปยนั้นเป็นภาษาไอนุ หมายถึงการร่วมร้องเพลงด้วยกันหลายคน
ภายในอูโปโปยนั้นประกอบไปด้วยส่วนสำคัญคือ
พิพิธภัณฑ์ชนเผ่าไอนุแห่งชาติ (国立アイヌ民族博物館) ซึ่งจัดแสดงเกี่ยวกับไอนุ การเข้าชมที่นี่ทำให้ได้เห็นและเข้าใจอะไรเกี่ยวกับไอนุขึ้นมามากมาย นอกจากนี้แล้วยังมีบ้านแบบดั้งเดิมของชาวไอนุที่ถูกสร้างจำลองขึ้นมาสามารถเข้าไปชมด้านในได้ด้วย
ในหน้านี้จะมีชื่อต่างๆที่เป็นภาษาไอนุ ซึ่งจะเขียนทับศัพท์ตามที่เขียนเอาไว้ในหน้า
หลักการเขียนทับศัพท์ภาษาไอนุสำหรับใครที่สนใจภาษาก็สามารถอ่านได้ในหน้านั้น ถ้าจะเที่ยวฮกไกโด รู้ภาษาไอนุไว้ก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย ที่มาของชื่อสถานที่ต่างๆในฮกไกโด
อูโปโปยตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบ
ทะเลสาบโปโรโต (ポロト湖) ใน
เมืองชิราโออิ (白老町) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเมืองโทมาโกไมซึ่งเราลงเรือมา เดินทางไม่นานก็ถึง
ชื่อเมืองชิราโออินี้ก็มีที่มาจากภาษาไอนุ โดยมาจากคำว่า "ซีเราโออี" (
siraw-o-i) แปลว่า "สถานที่ที่มาเหลือบมาก"
ตำแหน่งเมืองชิราโออิในกิ่งจังหวัดอิบุริบนเกาะฮกไกโด แสดงเป็นสีเหลืองเข้มทางซ้าย


หลังจากได้เช่ารถแล้วขึ้นรถนั่งออกมาจากเมืองโทมาโกไม รถก็วิ่งท่ามกลางสายฝนมาเรื่อยๆจนมาถึงเมืองชิราโออิ แล้วก็เข้ามาจอดรถที่ที่จอดรถหน้าทางเข้าอูโปโปย ที่นี่คิดค่าจอดรถด้วยคือ ๕๐๐ เยน

แล้วก็เดินตากฝนเข้าไปด้านใน

ที่เห็นตั้งเด่นอยู่ตรงหน้าทางเข้านี้คือตัวละครมาสคอตของอูโปโปย ชื่อว่า
ตูเร็ปปน (tureppon) มาจากคำว่า ตูเร็ป (
turep) เป็นชื่อพืชชนิดหนึ่งในภาษาไอนุ ส่วนในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่าโออุบายุริ (
大姥百合) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Cardiocrinum cordatum 
เดินเข้ามาในบริเวณก็มีพวกร้านเล็กๆ

ร้านด้านหน้าสุดนี้ขายพวกขนมและไอศกรีม

ถัดมาร้านคาเฟริมเซ (
café rimse) โดยคำว่า "ริมเซ" นั้นเป็นคำภาษาไอนุหมายถึงการเต้นรำ ร้านนี้ขายอาหารไอนุ

จากนั้นเดินลึกเข้ามาก็เจอตูเร็ปปนอีก

ส่วนตรงนี้มีร้านอาหาร

ตรงส่วนนี้เป็นศูนย์อาหาร

เนื่องจากเป็นเวลาอาหารเที่ยง พวกเราจึงกินกันก่อนที่จะเข้าไปชมด้านใน โดยได้แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ๔ คนกินอาหารไอนุที่ร้านริมเซ และอีก ๕ คนกินที่ศูนย์อาหาร เราอยู่ในกลุ่มที่เลือกไปกินอาหารไอนุ
นี่เป็นเมนูร้านริมเซ ด้านบนเป็นอาหารพื้นบ้านไอนุ เจ็ปโอเฮา (
cep ohaw) และ กีนาโอเฮา (
kina ohaw) โดยคำว่า "เจ็ป", "กีนา", "โอเฮา" เป็นภาษาไอนุ แปลว่า "ปลา", "ผัก", "ซุป" ตามลำดับ ดังนั้นเมนูนี้จึงหมายถึงซุปปลาและซุปผักแบบไอนุนั่นเอง จะอันไหนก็ราคา ๘๐๐ เยน แต่ถ้าสั่งเป็นชุดก็จะเป็น ๑๔๐๐

เราเลือกสั่งเจ็ปโอเฮา นั่นคือซุปปลา ก็อร่อยดีทีเดียว

หลังจากกินเสร็จก็มาเดินดูแถวหน้าทางเข้าอีกหน่อย ตรงนี้มีห้องน้ำ และร้านขายของที่ระลึก

ในร้านขายพวกขนมพื้นเมืองของที่นี่

อันนี้เป็นเจ็ปโอเฮาที่เพิ่งกินไป ซื้อกลับไปทำกินได้ด้วย นอกจากนี้ยังมียุกโอเฮา (
yuk ohaw) คือซุปเนื้อกวาง

ส่วนตรงนี้เป็นพวกของที่ทำเป็นลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไอนุ ลวดลายแบบนี้มักวาดลงบนเสื้อผ้าของชาวไอนุ เชื่อว่ามีไว้เพื่อปกป้องจากปีศาจร้าย

อันนี้เป็นถุงเท้า เราได้มีซื้อไปคู่นึงด้วย ราคา ๗๗๐ เยน

ตุ๊กตาตูเร็ปปน น่ารักดี

ในร้านมีเขียนอธิบายเกี่ยวกับตูเร็ปปนไว้ด้วย เห็นหน้าตาแบบนี้จริงๆแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กสาวไวรุ่น

จากนั้นก็ได้เวลาเข้าชมด้านในกัน โดยก่อนอื่นต้องซื้อตั๋วเข้าชมที่เครื่องขายอัตโนมัติ

ตั๋วราคา ๑๒๐๐ เยน

จากนั้นก็เดินเข้าไปชมด้านใน ตอนนั้นเห็นเด็กมาเป็นกลุ่มกำลังเดินเข้าไปชมกันพอดี แม้จะฝนตกแต่ก็มีคนเข้ามเที่ยวที่นี่กันไม่น้อยเลย

เมื่อเข้ามาด้านใน ที่เห็นอยู่ทางซ้ายก็คือโรงละคร โดยในนี้จะมีการฉายหนังอยู่เป็นรอบๆ สามารถเข้าไปขมได้ตามรอบที่กำหนด ตอนที่เราไปถึงนั้นเป็นเวลา 14:05 และรอบต่อไปที่จะฉายคือเวลา 14:30 ทำให้ตัดสินใจไปเดินเล่นในส่วนของพิพิธภัณฑ์จนใกล้เวลาแล้วจึงไปที่โรงละครเพื่อเข้าชม จากนั้นเสร็จแล้วจึงกลับไปชมพิพิธภัณฑ์ต่อ

สำหรับเรื่องการชมพิพิธภัณฑ์จะเล่าทีเดียวเลย ส่วนตอนนี้จะเล่าถึงโรงละครก่อน

เมื่อเข้ามาด้านใน ภายในห้องชมหนังเป็นแบบนี้

สำหรับหนังที่ฉายนั้นมีอยู่ ๒ เรื่องฉายต่อกันไป เรื่องที่ฉายคือตำนานพื้นบ้านของชาวไอนุที่ได้รับการเล่าขานกันปากต่อปากมา เรียกว่า "ยูการ์" (
yukar) เรื่องแรกคือเรื่องของเด็กหนุ่มชาวไอนุ ซึ่งเราสามารถทำความเข้าใจธรรมเนียมความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวไอนุได้ผ่านเรื่องราวนี้ ส่วนอีกเรื่องคือตำนานเรื่องล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ จุปกามุย (
cup kamuy) กับหมาจิ้งจอกชั่วร้ายที่จับลูกชายของจุปกามุยไป
มีแจกแผ่นพับให้มาอ่านด้วย

หลังจากดูเสร็จไปโดยใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมง ต่อมาก็มาชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นส่วนหลักที่สำคัญที่สุดของที่นี่

ด้านหน้าทางเข้ามีที่วางร่มซึ่งถูทำไว้เป็นอย่างดีด้วย

ด้านในภายในชั้น ๑

เดินขึ้นมาที่ชั้น ๒

จากตรงนี้มองไปเห็นทิวทัศน์ในบริเวณนี้

เข้ามาชมห้องจัดแสดงหลัก ส่วนจัดแสดงทั้งหมดอยู่ที่ห้องใหญ่ห้องเดียวนี้ ซึ่งมีขนาดใหญ่มีอะไรอยู่มากมาย

นี่เรียกว่า อีเนา (
inaw) เป็นของที่ทำขึ้นเพื่อสำหรับใช้บูชาเทพเจ้าของชาวไอนุ

ตรงนี้แสดงเครื่องแต่งกายของชาวไอนุ โดยหลักแล้วเป็นชุดคลุมทำจากผ้าฝ้าย มีวาดลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวไอนุ

นี่เป็นชุดสำหรับใส่เมื่อทำพิธี ของผู้ชาย

ชุดของผู้หญิง

นอกจากนี้ก็มีชุดที่ทำจากเส้นใยที่ได้จากต้นอิรากุสะ (
刺草) พืชจำพวกตำแย

ที่เป็นที่รู้จักดีคือเสื้อผ้าที่ทำผ้าที่ถัดจากเปลือกไม้ต้นโอเฮียว (
於瓢) เสื้อผ้าแบบนี้มีชื่อเรียกในภาษาไอนุว่า "อัตตุส" (
attus)

นอกจากนี้แล้วที่นี่ยังแสดงเสื้อผ้าของชนเผ่าวิลตา (
уилта) และเผ่านิฟฮ์ (
нивх) ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บนเกาะซาฮาลิน มีความใกล้ชิดกับไอนุมาก แต่เป็นคนละเผ่ากัน มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เสื้อผ้าก็มีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์คนละแบบกับไอนุ

อุปกรณ์สำหรับจับปลา

อุปกรณ์สำหรับเก็บหาของป่า

งานฝีมือของชาวไอนุ

ตรงนี้เป็นวีดีโอที่บอกเล่าเกี่ยวกับ "กามุย" (kamuy) ซึ่งเป็นคำเฉพาะในภาษาไอนุที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆในธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์ บ่อยครั้งมักหมายถึงพระเจ้า แต่ก็ยังใช้เรียกพวกสัตว์ต่างๆหรือรวมถึงวิญญาณด้วย

ตรงนี้อธิบายเกี่ยวกับพิธีกรรมทางจิตวิญญาณของชาวไอนุ

จะเห็นว่าตรงหัวข้อมีเขียนเป็นภาษาไทยด้วย แม้จะแค่เล็กๆ อันนี้เป็นเรื่องของ รามัต (
ramat) ซึ่งหมายถึงจิตวิญญาณ ข้างล่างที่เห็นเป็นคาตากานะล้วนนั้นเป็นภาษาไอนุ ถูกเขียนอยู่ปนกับภาษาอื่น

นอกจากนั้นแถวนี้ก็แสดงของที่เกี่ยวกับประเพนีและพิธีกรรมของชาวไอนุอีกหลายอย่าง

เครื่องทอผ้าจากเปลือกไม้

อุปกรณ์สำหรับการกินและทำอาหาร

ตรงนี้จัดแสดงเกี่ยวกับช่วงชีวิตของชาวไอนุตั้งแต่เด็กจนแก่

เครื่องดนตรีไอนุ

แบบจำลองเรือนที่อยู่อาศัยพื้นบ้านของชาวไอนุ แบบนี้เรียกว่า โตยจีเซ (
toycise) เป็นบ้านที่มีส่วนที่ขุดลงไปอยู่ใต้ดิน

วิดีโอแสดงโครงสร้างบ้านแบบไอนุ

ตรงนี้จัดแสดงอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับอาหารหรือของใช้ในชีวิตประจำวันของชาวไอนุ จริงๆจะมีคนมายืนบรรยายอยู่ตรงนี้ด้วย แต่จังหวะที่ไปนั้นไม่มีคนอยู่

มีตุ๊กตาใส่เสื้อผ้าลายต่างๆของไอนุให้ลองเปลี่ยนชุดเล่นได้ด้วย

ตรงนี้เป็นวิดีโอเล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับไอนุ ที่เห็นอยู่นี้เป็นเรื่องราวของชากุชาอิง (
シャクシャイン, ปี 1606-1669) เป็นผู้นำชาวไอนุที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลญี่ปุ่นในช่วงต้นยุคเอโดะ เนื่องจากช่วงนั้นชาวญี่ปุ่นทั้งกึ่งปกครองฮกไกโดและได้ทำการค้ากับชาวไอนุในฮกไกโดโดยผ่าน
มัตสึมาเอะฮัง (松前藩) ซึ่งเป็นเขตการปกครองที่ตั้งอยู่ที่
เมืองมัตสึมาเอะ (松前町) ทางใต้สุดของฮกไกโด แต่การค้าไม่เป็นธรรมจึงเกิดการต่อต้านจากชาวไอนุในปี 1669 ซึ่งก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ และชากุชาอิงก็ถูกสังหาร

การลุกฮือของชาวไอนุเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น นอกจากนี้แล้วในวิดีโอกก็ยังมีบรรยายถึงอีกศึกคือศึกคุนาชิริ-เมนาชิ (
クナシリ・メナシの戦い) ที่เกิดขึ้นทางตะวันออกของฮกไกโดในปี 1789 ซึ่งก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของไอนุ และยิ่งเวลาผ่านไปชาวไอนุในฮกไกโดก็ยิ่งถูกคนญี่ปุ่นเข้าครอบงำ และยิ่งเสียความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองลงไปเรื่อยๆ
ตรงนี้มีอธิบายประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง

ผู้มีส่วนสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ไอนุ

หน้าจอนี้อธิบายเกี่ยวกับผลผลิตที่เก็บในฤดูต่างๆของชาวไอนุ

ตรงส่วนนี้เล่าถึงชาวไอนุคนสำคัญที่ประกอบอาชีพต่างๆ

เช่นนักแสดงชื่อ อุกาจิ ทากาชิ (
宇梶 剛士) เขาเป็นครึ่งไอนุ พ่อเป็นคนญี่ปุ่น ส่วนแม่ของเขาคือ อุกาจิ ชิซึเอะ (
宇梶 静江) เป็นชาวไอนุคนนึงที่มีบทบาทในการสนับสนุนการอนุรักษ์วัฒนธรรมไอนุ

นี่คือวงดนตรีไอนุที่มีชื่อว่า OKI DUB AINU BAND นำโดยคาโนว โอกิ (
加納 沖) ซึ่งมีเชื้อสายไอนุ

แบบจำลองเรือแบบต่างๆของไอนุ

นี่เป็นเศษซากเรือที่ขุดเจอที่ทะเลสาบอักเกชิ (
厚岸湖) ทางตะวันออกของฮกไกโด เรือแบบนี้เรียกว่า อีตาโอมาจิป (
itaomacip)

อุปกรณ์สำหรับเคลื่อนไหวบนหิมะ

ที่จริงแล้วที่นี่ยังมีอะไรอีกมาก ไม่อาจกล่าวถึงได้หมด เรามีเวลาเพียงจำกัด ใช้เวลาเดินชมไปชั่วโมงนึงเท่านั้นก็ต้องออกไปแล้ว

หลังจากนั้นก็เดินลงมาชั้น ๑

ตรงนี้มีร้านขายของที่ระลึก

จากนั้นออกจากพิพิธภัณฑ์มา เดินเข้ามาด้านในเลียบริมทะเลสาบต่อก็ยังมีอะไรให้ชมอีก

ตรงนี้มีแผนที่ให้ดูด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์อยู่ด้านล่าง และตอนนี้เรากำลังเดินไปชมส่วนทางขวา

ตรงนี้เรียว่าอีการ์ อูซี (
ikar usi) หมายถึงที่สำหรับทำงานฝีมือ

ภายในมีพวกเสื้อผ้า ของใช้ หรืองานฝีมือที่ชาวไอนุทำขึ้น มีพื้นที่ให้ลองด้วย แต่เราไม่ได้ทำอะไร แค่มาดูผ่านๆแบบรีบๆ

นี่คือรองเท้าทำจากหนังปลา เรียกว่า "เจ็ปเกร์" (
cepker)

มีดสั้นของชาวไอนุ เรียกว่า "มากีรี" (
makiri)

มีเสื้อผ้าพื้นเมืองของชาวไอนุ เหมือนที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่เพิ่งไปชมมี แต่อันนี้วางไว้ให้สามารถจับต้องได้ เราก็ได้ลองจับดูสัมผัสเนื้อผ้า

หมีสลักไม้ ชาวไอนุเรียกหมีว่ากีมุนกามุย (
kimunkamuy) นับถือเป็นพระเจ้า

เดินถัดต่อเข้ามาเห็นอาคารสวยๆ นั่นคืออาคารสำนักงานของที่นี่ ไม่ได้เปิดให้เข้าชม ได้แค่เดินผ่านไป

ถัดมาเป็นบ้านหลังเล็กๆแบบไอนุดั้งเดิม เรียกว่า "จีเซ" (
cise)

หลังนี้เรียกว่า "ซีนตจีเซ" (
sinot cise) ภายในดูเหมือนว่าจะมีจัดกิจกรรมอะไรตามเวลา สามารถเข้าไปได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้เปิดอยู่

บ้านถัดมาเป็นหลังใหญ่ที่เรียกว่า "โปโรจีเซ" (
poro cise) แปลว่า "บ้านหลังใหญ่" สามารถเข้าไปชมด้านในได้

ด้านใน

หลังถัดมาด้านในสุดเรียกว่า "ปนจีเซ" (
pon cise) แปลว่า "บ้านหลังเล็ก"

หลังนี้ก็สามารถเข้าไปชมด้านในได้

ถัดจากตรงนี้ไปก็ไม่ใช่บริเวณที่เปิดให้เข้าชมแล้ว การเที่ยวที่นี่จึงจบลงเท่านี้

หลังจากนั้นก็ได้เวลาเดินกลับไปยังทางเข้าและไปยังที่จอดรถเพื่อเดินทางไปต่อ

แม้ว่าจะมีเวลาเที่ยวจำกัด แถมฝนยังตกอยู่ทำให้ลำบากไปบ้าง แต่ก็ได้เที่ยวชมที่นี่อย่างจุใจ ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับไอนุเพิ่มขึ้นมามาก ถือว่าคุ้มค่าจริงๆที่ได้มา
ตอนต่อไปจะเดินทางต่อไปมุ่งสู่ทะเลสาบโทวยะ (
洞爺湖)